สุวรรณหงส์ 2525

สุวรรณหงส์ (2525/1982) สุวรรณหงส์เป็นโอรสของท้าวสุทันนุราช มีมเหสีชื่อ ศรีสุวรรณ แห่งนครไอยรัตน์ ร่ำเรียนศิลปศาสตร์กับพระฤาษีที่ในป่า จนสำเร็จศิลปศาสตร์ทางดาบ และวิชาพูดภาษาสัตว์ต่าง ๆ ได้ เมื่อกลับมาเมืองไอยรัตน์แล้ว วันหนึ่งเก็บมาลัยที่ลอยตามธารน้ำได้ เป็นมาลัยประหลาดที่แม้จะเก็บได้สามวันแล้วก็ยังสดใส และฝันไปว่าเจ้าของมาลัยนั้นเป็นธิดากษัตริย์มีใบหน้าสวยงามมากมาหา เมื่อตื่นจากความฝัน สุวรรณหงส์ก็คร่ำครวญหาแต่นางในฝันอย่างน่าสงสาร วันต่อมา มีช่างสองคนนำเรือหงส์มาถวาย คนหนึ่งเป็นช่างไม้ อีกคนเป็นช่างพยนต์ ช่างทั้งสองทำเรือหงส์เสร็จแล้ว ไม่กล้าขึ้นขี่ เพราะเกรงบารมีไม่มีจึงนำมาให้สุวรรณหงส์ และสุวรรณหงส์สามารถเหาะขับขึ้นไปได้ในอากาศ เพราะอ่านพระเวทย์ซึ่งเป็นภาษาของพญาครุฑออก จึงให้รางวัลแก่ช่างทั้งสองไปเป็นจำนวนมาก ต่อมาสุวรรณหงส์จึงเสี่ยงทายปล่อยว่าวขึ้นไปบนอากาศ แล้วว่าวลอยไปตกในนครมัตตัง สายป่านไปพันยอดปราสาทของนางเกศสุริยง ธิดาของพญายักษ์แห่งนครนั้น สุวรรณหงส์จึงไต่สายป่านขึ้นไปพบเกศสุริยง ธิดาของพญายักษ์ได้และเกิดรักใคร่ได้เสียกับเกศสุริยง สุวรรณหงส์ใช้วิธีลักลอบขึ้นไปาเกศสุริยง ณ ยอดปราสาทโดยไม่ให้ใครล่วงรู้ เพราะพญายักษ์ซึ่งเป็นพ่อของเกศสุริยงดุร้าย และหวงลูกสาวมาก ใครมาสู่ขอก็ฆ่าด้วยวิธีดุร้ายต่างๆ ทั้งสองพบกันบ่อย จนพี่เลี้ยงทั้งห้าของเกศสุริยงสงสัยและกลัวความผิดจะตกมาถึงตัว จึงคิดอ่านทำหอกยนต์ไว้ที่หน้าต่าง เมื่อสุวรรณหงส์จะเข้าไปหาเกศสุริยงทางช่องหน้าต่างนั้นอีกก็ถูกหอกยนต์ลั่นเสียบอกทันที สุวรรณหงส์เมื่อถูกหอกแล้วก็แข็งใจนั่งเรือเหาะกลับมาเมืองไอยรัตน์และมาถึงแก่ความตายในเมือง ไอยรัตน์ ด้วยความแค้น คิดว่าเมียทรยศมีชายใหม่เป็นคู่จึงอธิฐานขอตามล้างแค้นไปทุกชาติก่อนที่จะตาย ฝ่ายนางเกศสุริยง เห็นสุวรรณหงส์ไม่มาหาเช่นเคย ก็ประหลาดใจ จึงมาตรวจดูที่ช่องหน้าต่างเห็นหยดเลือดตกติดอยู่ก็คาดคะเนรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชู้รักของตน จึงลักลอบออกจากปราสาทสะกดรอยตามไปจนหมดหยดเลือด ไม่รู้แห่งจะตามไปอย่างไร ประกอบด้วยความเสียใจก็นอนสลบอยู่ในป่า พระอินทร์ทรงทราบเข้า ก็เสด็จลงมาช่วยแก้ให้ฟื้น แล้วช่วยแปลงตัวนางเกศสุริยงให้เป็นผู้ชาย เป็นพราหมณ์ผู้ชาย และประทานน้ำมันทิพย์บรรจุขาดและศรไว้ให้แล้วแบ่งร่างอีกส่วนหนึ่งของเกศสุริยงไปอยู่ที่ปราสาทในเมืองของพญายักษ์ผู้พ่อเพื่อกันไม่ให้สงสัย นางเกศสุริยงจึงเที่ยวตามหาสามีของนางต่อไปจนมาถึงศาลาที่อยู่ของยักษ์กุมภัณฑ์ ยักษ์กุมภัณฑ์เห็นเข้านึกว่าเป้นผู้หญิงคิดจะเอาไว้เป็นเมียแต่ครั้นดูไปดูมาเห็นเป็นชาย ก็รบกันยักษ์กุมภัณฑ์ก็แพ้ ก็มอบตัวอาสารับใช้ พราหมณ์เกศสุริยงก็เล่าเรื่องราวของตนให้กุมภัณฑ์รับทราบความจริง และถามถึงหนทางที่จะติดตามหาสามีของเธอต่อไป ยักษ์กุมภัณฑ์รับอาสาจะพาไป เกศสุริยงจึงให้กุมภัณฑ์แปลงตัวเป็นพราหมณ์เสียด้วยกัน ซึ่งต่อไปนี้เรียกพราหมณ์กุมภัณฑ์ว่าพราหมณ์โต และเรียกพราหมณ์เกศสุริยงว่าพราหมณ์เล็กหรือพราหมณ์อัมพร แล้วทั้งสองพราหมณ์ก็พากันเข้าไปในเมืองไอยรัตน์ เข้าไปเฝ้าท้าวสุทันนุราช รับอาสาซุบสุวรรณหงส์ให้ฟื้นขึ้น เมื่อฟื้นขึ้นแล้ว สุวรรณหงส์เห็นพราหมณ์เล็กก็เข้าใจว่าเป็นเกศสุริยงเมียรักของตน แต่ก็ชักสงสัยไม่แน่ใจว่าเป็นหญิงหรือชาย จะเป็นเมียของตนหรือมิใช่ก็ไม่รู้ สุทันนุราช ผู้เป็นพระราชบิดาจึงทรงแนะเป็นอุบายบอกเป็นความลับแก่สุวรรณหงส์ว่า ให้ลองพิสูจน์ดู ถ้าเป็นหญิงจะต้องชอบดอกไม้และเพชรนิลจินดา ให้ลองพาไปเที่ยวสวนแล้วคอยสังเกตุดูท่าที ถ้าพราหมณ์เล็กชอบดอกไม้ก็จะจับได้ว่าเป็นหญิง สุวรรณหงส์ได้รับทราบอุบายจากพ่อ ก็แกล้งชวนพราหมณ์เล็กไปเที่ยวสวนและชมถ้ำแต่อุบายเหล่านี้ พราหมณ์โตแอบฟังรู้เรื่องหมดจึงบอกพราหมณ์ให้รู้ตัวเสียก่อน พราหมณ์เล็กจึงคอยระมัดระวังตัวไว้ แม้ในใจจริงอยากจะได้ดอกไม้ในสวนและเพชรนิลจินดาที่ถ้ำ ต่อม่สุวรรณแกล้งไปรักกับหญิงอื่น เกศสุริยงด้วยความแค้นและความหึงจึงหนีไป โดยทิ้งหลักฐานไว้ว่าเธอคือเกศสุริยงนั่นเอง สุวรรณหงส์จึงตามไปด้วยความแค้นที่อธิฐานไว้เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเกศสุริยงรู้เห็นเป็นใจในการทำหอกฆ่าตัวเสีย เพราะเป็นลูกยักษ์จึงมีนิสัยดุร้าย เมื่อสุวรรณหงส์ตามไปถึงปราสาทเห็นเกศสุริยงหลับอยู่ จึงอธิษฐานว่าหากเกศสุริยงยังซื่อสัตย์ต่อสุวรรณหงส์ก็ให้เลือดมีรสหวาน และเมื่อไม่ซื่อสัตย์ให้เลือดมีรสขม แล้วสุวรรณหงส์ฟันคอเกศสุรยงขาดเลือดไหลออกมา เมื่อสุวรรณหงส์ชิมดูปรากฏว่ามีรสหวาน ก็เสียใจว่าฆ่าเมียที่บริสุทธิ์เสียแล้ว เฝ้าคร่ำครวญหาแต่เมียที่จากไปด้วยการตาย อย่างไม่มีวันหลับปิ่มว่าจะขาดใจตาย

โสนน้อยเรือนงาม 2524

โสนน้อยเรือนงาม (2524/1981) กษัตริย์นครโรมวิสัยมีพระราชธิดาที่สวยงามมาก พระราชธิดานี้เมื่อประสูติมีเรื่อนไม้เล็กๆติดมือออกมาด้วย เรือนนี้เมื่อพระธิดาเจริญวัยขึ้น เรือนไม้นี้ก็โตขึ้นด้วยและกลายเป็นของเล่นของพระราชธิดา พระบิดาจึงตั้งชื่อพระราชธิดาว่า โสนน้อยเรือนงาม เมื่อโสนน้อยเรือนงามมีพระชนม์พรรษาได้สิบห้าพรรษา โหรทูลพระบิดาว่าโสนน้อยเรือนงามกำลังมีเคราะห์ ควรให้ออกไปจากเมืองเสีย เพราะจะต้องอภิเษกกับคนที่ตายแล้ว พระบิดาและพระมารดาก็จำใจให้โสนน้อยเรือนงามออกไปจากเมืองแต่ผู้เดียว โสนน้อยเรือนงามปลอมตัวเป็นชาวบ้านและเอาเครี่องทรงพระราชธิดาห่อไว้ พระอินทร์สงสารนางจึงแปลงร่างเป็นชีปะขาวมามอบยาวิเศษสำหรับรักษาคนตายให้ฟื้นได้ โสนน้อยเรือนงามเดินทางเข้าไปในป่าพบนางกุลาหญิงใจร้ายนอนตายเพราะถูกงูกัด โสนน้อยเรือนงามจึงนำยาของชีปะขาวมารักษา นางกุลาก็ฟื้น นางจึงขอเป็นทาสติดตามโสนน้อยเรือนงาม ที่นครนพรัตน์เมืองใกล้เคียงโรมวิสัยมีกษัตริย์ครองอยู่ มีพระราชโอรสนามว่า พระวิจิตรจินดา ซึ่งเป็นชายหนุมรูปงามและมีความสามารถ แต่วันหนึ่งพระวิจิตรจินดาถูกงูพิษกัดสิ้นพระชนม์ พระบิดาและ พระมารดาเศร้าโศรกเสียใจมาก แต่โหรทูลว่า พระวิจิตรจินดาจะสิ้นพระชนม์ไปเจ็ดปีแล้วจะมีพระราชธิดาของเมื่องอื่นมารักษาได้ พระบิดาและพระมารดาจึงเก็บพระศพของพระวิจิตรจินดาไว้ และมีประกาศให้คนมารักษาให้ฟื้น โสนน้อยเรือนงามและนางกุลาเดินทางมาถึงเมืองนพรัตน์ได้ทราบจากประกาศ จึงเข้าไปในวังและอาสาทำการรักษา โดยขอให้กั้นม่านเจ็ดชั้น ไม่ให้ใครเห็นเวลารักษา โสนน้อยเรือนงามแต่งเครื่องทรงพระราชธิดาทำการรักษา โดยนางกุลาติดตามเฝ้าดู เมื่อโสนน้อยเรือนงามทายาให้พระวิจิตรจินดา พิษของนาคราชเป็นไอร้อนออกมาทำให้นางรู้สึกร้อนมาก จึงถอดเครื่องทรงพระราชธิดาออกแล้วเสด็จไปสรงน้ำ ระหว่างนั้นนางกุลาก็นำเครื่องทรงพระราชธิดาของโสนน้อยเรือนงามามแต่ง พอดีพระวิจิตรจินดาฟื้น ทุกคนก็คิดว่านางกุลาเป็นพระราชธิดาที่รักษาจึงเตรียมจะให้อภิเษก ส่วนโสนน้อยเรือนงามต้องกลายเป็นข้าทาสของนางกุลาไป พระวิจิตรจินดาและพระบิดาและพระมารดาก็ยังมีความสงสัยในนางกุลา จึงให้นางเย็บกระทงใบตองถวาย นางกุลาทำไม่ได้โยนใบตองทิ้งไป โสนน้อยเรือนงามเก็บใบตองมาเย็บเป็นกระทงสวยงาม นางกุลาก็แย้งไปถวายพระราชบิดามารดาของพระวิจิตรจินดา พระวิจิตรจินดาไม่อยากอภิเษกกับนางกุลาจึงขอลาพระบิดาพระมารดาไปเที่ยวทางทะเล พระบิดาพระมารดาให้นางกุลาย้อมผ้าผูกเรือ นางกุลาก็ทำไม่เป็น โยนผ้าและสีทิ้ง โสนน้อยเรือนงามเก็บผ้าและสีไปย้อมได้สีงดงาม นางกุลาก็แย้งนำไปถวายพระบิดาพระมารดาอีก เมื่อพระวิจิตรจินดาจะออกเรือก็ปรากฎว่าเรือไม่เคลื่อนที่พระวิจิตรจินดาทรงคิดว่ คงมีผู้มีบุญในวังต้องการฝากซื้อของ เรือจึงไม่เคลื่อนที่จึงให้ทหารมาถามรายการของที่คนในวังจะฝากซื้อ ทุกคนก็ได้มีโอกาสฝากซื้อ แต่โสนน้อยเรือนงามอยู่ใต้ถุนถึงไม่มีใครไปถาม เรือก็ยังไม่เคลื่อนที่ พระวิจิตรจินดาจึงให้ทหารกลับไปค้นหาคนในวังที่ยังไม่ได้ฝากซื้อของ ทหารจึงได้ไปค้นหานางโสนน้อยเรือนงามได้ นางจึงฝากซื้อ " โสนน้อยเรือนงาม " เมื่อพระวิจิตรจินดาเดินทางไป ลมก็บันดาลให้พัดไปยังเมืองโรมวิสัยของพระบิดาของโสนน้อยเรือนงาม พระวิจิตรจินดาซื้อของฝากได้จนครบทุกคน ยกเว้นโสนน้อยเรื่อนงาม พระวิจิตรจินดาจึงสอบถามจากชาวเมือง ชาวเมืองบอกว่าโสนน้อยเรือนงามมีอยู่แต่ในวังเท่านั้น พระวิจิตรจินดาจึงเข้าไปในวังและทูลขอซื้อโสนน้อยเรือนงามไปให้นางข้าทาส พระบิดาของโสนน้อยเรือนงามทรงถามถึงรูปร่างหน้าตาของนางทาส ก็ทรงทราบว่าเป็นพระธิดาจึงมอบโสนน้อนเรือนงามให้พระวิจิตรจินดาและให้ทหารตามมาสองคน เมื่อพระวิจิตรจินดากลับถึงบ้านเมือง ทหารสองคนก็ไปทำความเคารพนางโสนน้อญเรือนงาม และเรือนวิเศษก็ขยายเป็นเรือนใหญ่มีข้าวของเครื่องใช้พระธิดาครบถ้วน โสนน้อยเรือนงามก็เข้าไปอยู่ในเรือนนั้น พระวิจิตรจินดาจึงแน่ใจว่าโสนน้อยเรือนงามเป็นพระราชธิดาที่รักษาตน จึงจะฆ่านางกุลาแต่โสนน้อยเรือนงามขอชีวิตไว้ พระวิจิตรจินดาก็ได้อภิเษกกับนางโสนน้อยเรือนงามและอยู่ด้วยกันมีความสุขสืบไป....

สังข์ทอง 2524

สังข์ทอง (2524/1981) กาลปางก่อน มีท้าวยศวิมล ครองเมืองพรหมนคร ท้าวยศวิมลมีมเหสีสององค์ มเหสีฝ่ายขวาชื่อ "จันเทวี" มเหสีฝ่ายซ้ายชื่อ "จันทา" ต่อมามเหสีทั้งสองทรงครรภ์ โหรทำนายว่าบุตร ของมเหสีฝ่ายขวาเป็นชาย ส่วนมเหสีฝ่ายซ้ายเป็นหญิง เมื่อครบกำหนดคลอด มเหสีจันเทวีก็คลอดโอรสออกมาเป็นหอยสังข์ ทำให้มเหสีจันทาจึงใส่ร้ายจนพระเจ้าพรหมทัตหลงเชื่อ ขับไล่พระนางจันเทวีออกจากพระราชวัง นางจันเทวีเดินทางด้วยความยากลำบาก เมื่อถึงชายป่านอกเมือง ยายตาสองคนสงสารจึกชวนให้พักอยู่ด้วย วันหนึ่งนางจันเทวีออกจากบ้านไปช่วยตายายเก็บผักหักฟืน ลูกน้อยในหอยสังข์ก็ออกจากรูปหอยสังข์ช่วยปัดกวาดบ้านเรือน และหุงหาอาหารไว้ พอเสร็จก็กลับเข้าไปในรูปหอยสังข์ตามเดิม พระนางกลับมาก็แปลกใจว่าใครมาช่วยทำงาน พระนางจันเทวีอยากรู้ว่าเป็นใคร วันหนึ่งจึงทำทีออกจากบ้านไปป่าเช่นเคย แต่แล้วก็ย้อยกลับมาที่บ้าน โอรสในหอยสังข์ก็ออกมาทำงานบ้าน พระนางจันเทวีเห็นโอรสเป็นมนุษย์ก็ดีใจ จึงทุบหอยสังข์เสียและกอดโอรสด้วย ความยินดี และตั้งชื่อให้ว่า ” สังข์ทอง ”

เจ้าหญิงแตงอ่อน 2523

เจ้าหญิงแตงอ่อน (2523/1980)  เป็นละครโทรทัศน์จักรๆวงศ์ๆ ของไทย โดยดัดแปลงบทประพันธ์จากเทพนิยายวัดเกาะ เรื่อง "เจ้าหญิงแตงอ่อน" ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2523 ออกอากาศตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2523 - 28 เมษายน พ.ศ. 2524

โกมินทร์ 2518

ฝนสามฤดู (2515/1972) ข้อความบนใบปิด ดาราฟิล์ม สร้าง ฝนสามฤดู นิยายมหัศจรรย์แสนสนุก นำโดย เยาวเรศ นิสากร ชัย ราชพงษ์ วาสนา ชลากร สมชาย ศรีภูมิ ร่วมด้วย อดินันท์ สิงห์หิรัญ, ท้วม ทรนง, นรา นพนิรันดร์, ถวัลย์ คีรีวัต, วิชิต ไวงาน, อบ บุญติด, ศิรดา ศิรวัฒน์, ศรีสุดา, ด.ช.สยม สังวริบุตร, ภูมิ, ไอ้งั่ง ไพรัช สังวริบุตร กำกับ อิมพีเรียลฟิล์ม จัดจำหน่าย (ที่มา : Thai Movie Posters)

พระอภัยมณี 2514
ไกรทอง 2513

ปลาบู่ทอง (2510/1967) กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่มีเศรษฐี ชื่อ ทารกะ (อ่านว่า ทา-ระ-กะ) มีอาชีพจับปลา มีภรรยา 2 คน คนแรกชื่อขนิษฐา ผู้มีจิตใจดี อ่อนโยน มีลูกสาวแสนสวย เรียบร้อยเหมือนแม่ ชื่อ เอื้อย ส่วนคนที่สองชื่อ ขนิษฐี เป็นผู้มีจิตริษยาอาฆาต มารยาสาไถ ยุแหย่สามีให้เกลียด นางขนิษฐา และลูกสาวตลอดเวลา มีลูกสาวนิสัยเหมือนแม่ 2 คนชื่ออ้าย กับอี่ วันหนึ่งเศรษฐีทารกพาขนิษฐาไปจับปลาในคลอง ไม่ว่าจะเหวี่ยงแหไปกี่ครั้งก็ได้มาเพียงปลาบู่ทองที่ตั้งท้องตัวเดียวเท่านั้น จนกระทั่งพลบค่ำเศรษฐีก็ตัดสินใจที่จะเอาปลาบู่ทองที่จับได้เพียงตัวเดียวกลับบ้าน ทว่าขนิษฐาผู้เป็นภรรยาเกิดความสงสารปลาบู่ ขอให้เศรษฐีปล่อยปลาไป เศรษฐีมีความเกลียดชังเป็นทุนอยู่แล้วจึงโมโหคว้าพายได้ ก็ฟาดจนนางขนิษฐาสลบ และผลักตกน้ำจนตาย เมื่อกลับถึงบ้านเอื้อยก็ถามหาแม่ เศรษฐีจึงตอบไปว่าแม่ของเอื้อยได้หนีตามผู้ชายไป และจะไม่กลับมาบ้านอีกแล้ว นับตั้งแต่วันนั้นเอื้อยจึงถูก 3 แม่ลูกกลั่นแกล้งทรมานด้วยการใช้ทำงานอย่างหนักไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนตลอดทั้งวัน เอื้อยคิดถึงแม่มากจึงมักไปนั่งร้องไห้อยู่ริมท่าน้ำ และได้พบกับปลาบู่ทองซึ่งเป็นนางขนิษฐากลับชาติมาเกิด เมื่อเอื้อยรู้ว่าปลาบู่ทองเป็นแม่ของตนก็ได้นำข้าวสวยและรำมาโปรยให้ปลาบู่ทองกิน และมาปรับทุกข์ให้ปลาบู่ทองฟังทุกวัน นางขนิษฐีและลูกสาวเห็นเอื้อยดูมีความสุขขึ้น เมื่อถูกกลั่นแกล้งก็อดทนไม่ปริปากบ่นจึงไปแอบสืบจนพบว่านางขนิษฐาได้มาเกิดเป็นปลาบู่ทอง และได้พบกับเอื้อยทุกวัน