จักรๆ วงศ์ๆ
เรื่องย่อ : แม่ปลาบู่ (2568/2025) เป็นเรื่องราวในอดีตกาลนานมาแล้ว ชายชราคนหนึ่งในตำบลเมืองพาราณสี มีลูกสาว 2 คน ชื่อ ขนิษฐา (กุ๊กกิ๊ก กชกร) กับ ขนิษฐี (ชมพูนุท พึ่งผล) ขนิษฐาผู้เป็นพี่นั้นสวยงามกว่าน้องสาวมาก เวลาเดินไปไหนด้วยกันสองคน ผู้ชายก็จะสนใจแต่ขนิษฐา ทำให้ขนิษฐีเกลียดและอิจฉาริษยาพี่สาวของตัวเองเป็นอย่างมาก รวมถึง เศรษฐีภาติกะ (มาฬิศร์ เชยโสภณ) สมัยหนุ่ม ๆ ก็ตกหลุมรักเข้าอย่างจัง จึงไปสู่ขอขนิษฐามาเป็นภรรยา ขนิษฐีไม่ยอม ออดอ้อนพ่อให้ยกตัวเองเป็นเมียภาติกะด้วย แม้ว่าเศรษฐีจะมีฐานะดี แต่ก็ขี้เหนียวมาก เขายังคงทำงานหาเงินลงเรือไปจับปลามาขายด้วยตัวเอง ภาติกะหลงใหลตามใจขนิษฐาจนแทบไม่สนใจขนิษฐีเลย ความอิจฉาก็ยิ่งก่อตัวมากขึ้นทุกวัน จนกระทั่งทั้งสองคลอดลูกออกมาไล่เลี่ยกัน เศรษฐีตั้งชื่อลูกขนิษฐาว่า เอื้อย และตั้งชื่อลูกขนิษฐีว่า อ้าย นานวันขนิษฐีก็ยิ่งเห็นความต่างที่ตัวเองได้รับ จึงไปพบ แม่หมอ (ยุวดี เรืองฉาย) เพื่อทำเสน่ห์ใส่เศรษฐีภาติกะ แช่ม (ชลมารค ธ เชียงทอง) กับ ชม (เต่า เชิญยิ้ม) บริวารของแม่หมอ บอกว่าเศรษฐีภาติกะซ่อนทองที่เป็นมรดกเอาไว้ แม่หมอผู้โลภมากจึงตกลงร่วมมือกับขนิษฐี และห้ามภาติกะดื่มเหล้าเพื่อป้องกันมนตร์เสน่ห์เสื่อมคลาย หลังจากนั้นภาติกะก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ คอยตวาดทำร้ายใช้งานทุบตีขนิษฐา ขนิษฐาเสียใจมาก แต่ก็ต้องพยายามปกป้องลูก จนกระทั่ง เอื้อย กับ อ้าย (เกศรินทร์ น้อยผึ้ง) เติบใหญ่ ด้วยความขี้เหนียวของเศรษฐี ทำให้เหล่าข้าทาสบริวารทนไม่ไหวพากันหนีออกมาจากบ้านของเศรษฐี จึงทำให้ขนิษฐากับเอื้อยถูกใช้งานอย่างหนัก เมื่อใดที่ขนิษฐาไปจับปลากับภาติกะ เอื้อยก็จะโดนรังแกและทุบตี ยังดีที่เอื้อยมี จี่ (กุลปริยา ศรนิล), อึ่ง (ศุภกร จิเนราวัต) และกลิ่น (ลักษิกา สมบูรณ์) ที่เป็นเพื่อนคอยช่วยและแก้เผ็ดแทนให้อยู่เสมอ เคราะห์ซ้ำกรรมซัด วันหนึ่งภาติกะไปจับปลากับขนิษฐา แต่ไม่ว่าจะเหวี่ยงแหไปกี่ครั้งก็ได้แต่ปลาบู่ทองที่ตั้งท้องตัวเดียว ปล่อยไปก็ยังว่ายกลับมา จนกระทั่งพลบค่ำ เศรษฐีภาติกะก็ตัดสินใจที่จะเอาปลาบู่ทองที่จับได้เพียงตัวเดียวกลับบ้าน แต่ขนิษฐาเกิดความสงสารปลาบู่ที่ตั้งท้อง ขอให้เศรษฐีปล่อยปลาไป เกิดการยื้อแย่งกันจนเศรษฐีบันดาลโทสะ ฟาดนางขนิษฐาด้วยไม้พายตกน้ำไป ขนิษฐาว่ายน้ำไม่เป็น กำลังจมน้ำต่อหน้าภาติกะ แต่ด้วยฤทธิ์มนตร์ดำทำให้เศรษฐีได้แต่ยืนมองอย่างสะใจ เมื่อได้สติอีกทีกระโดดลงไปตามหาก็ไม่เจอแล้ว เมื่อกลับถึงบ้านเอื้อยถามหาแม่ เศรษฐีตอบว่าหนีตามผู้ชายไป เอื้อยไม่เชื่อว่าแม่จะทิ้งไป แต่วันแล้ววันเล่าแม่ก็ไม่เคยกลับมา นับตั้งแต่วันนั้นขนิษฐีกับอ้ายก็กลั่นแกล้งใช้งานเอื้อยเป็นประจำ โดยที่เศรษฐีภาติกะรับรู้แต่ไม่สนใจ เอื้อยคิดถึงแม่มาก เอื้อยมักไปนั่งร้องไห้อยู่ริมท่าน้ำ ด้วยจิตสุดท้ายของขนิษฐาที่เป็นห่วงทั้งปลาบู่และลูกสาว จึงได้เกิดมาเป็น ปลาบู่ทอง ขนิษฐาว่ายน้ำมาเรื่อย ๆ จนได้มาเจอเอื้อยที่นั่งร้องไห้อยู่ ขนิษฐาจึงพูดกับลูก เอื้อยดีใจมากที่กลับมาได้ยินเสียงแม่อีกครั้ง แต่ก็เสียใจมากเช่นกันที่รู้ว่าแม่ได้ตายไปแล้ว ทางฝั่งพระราชวังพาราณสี พระโอรสพรหมทัต (สุรศักดิ์ สุวรรณวงษ์) เบื่อสังคมภายในวังมาก เพื่อนเล่นตอนเด็กก็มีแต่ พระธิดามัลลิกา (ปภาดา ประกอบเสียง) จากเมืองคีรีมาศ ที่พ่อแม่จับคลุมถุงชนเป็นคู่หมั้นกันตั้งแต่เล็ก พระโอรสพรหมทัตจึงตัดสินใจแอบออกมาจากวัง แต่งตัวเป็นชาวบ้านพร้อมกับผู้ติดตาม 2 คน เที่ยวเดินเล่นที่ตลาดชุมชน จนถึงวันสงกรานต์ของไทย ชุมชนมีการจัดงานก่อพระเจดีย์ทราย พรหมทัตจึงขอให้ผู้ติดตามพาออกไปเที่ยวเล่น ในขณะที่ทุกคนออกไปเที่ยวกัน เอื้อยก็ไปนั่งร้องไห้ระบายให้แม่ฟัง ขนิษฐาอยากช่วยลูก จึงบอกว่าเดี๋ยวจะช่วยดูต้นทางให้ ให้ลูกคอยเล่นอยู่แถวท่าน้ำเอาไว้ ถ้าพ่อและแม่เลี้ยงมาจะรีบว่ายไปบอกทันที เอื้อยดีใจมาก จึงรีบวิ่งไปยังงานประจำปี ระหว่างทางที่วิ่งมาเอื้อยก็เด็ดดอกไม้สวย ๆ มาด้วย มาถึงก็ก่อเจดีย์ทรายกับเพื่อน ๆ ริมท่าน้ำอย่างที่แม่ได้ขอไว้ ประจวบเหมาะกับเจ้าชายพรหมทัตที่ผู้ติดตามไม่อยากให้ใกล้ชิดกับฝูงชนมากนัก จึงก่อเจดีย์ทรายบริเวณที่เอื้อยและเพื่อนอยู่ เจ้าชายพรหมทัตที่ไม่ได้เตรียมอะไรมา เจดีย์จึงไม่มีอะไรประดับ เอื้อยเห็นแบบนั้นก็นึกสงสาร จึงหันไปแบ่งของเธอให้กับเจ้าชาย และช่วยเจ้าชายพรหมทัตก่อเจดีย์จนเสร็จสมบูรณ์ เจ้าชายพรหมทัตมองเอื้อยที่ยิ้มสวยงาม อ่อนโยน และใจดี ก็นึกหลงรักตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามความสนุกของละคร แม่ปลาบู่ ได้ทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 08.00 น. ทางช่อง 7HD กด 35 สดออนไลน์ BUGABOO.TV และติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ทางช่องทางออนไลน์ Ch7HD (Facebook, IG, TikTok, X, YouTube) และ Ch7HD Drama Society (Facebook, IG, TikTok) และ www.ch7.com ละคร แม่ปลาบู่ เริ่มตอนแรกวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม 2568
เรื่องย่อ : กุลาแสนสวย (2567/2024) พระราชธิดาของกษัตริย์นครโรมวิสัยประสูติได้มีเรือนไม้เล็กๆ ติดมือออกมาด้วย เมื่อพระธิดาเจริญวัยขึ้น เรือนไม้นี้ก็โตขึ้นตาม ดังนั้น พระบิดาจึงตั้งชื่อพระธิดาว่า โสนน้อยเรือนงาม เมื่อโสนน้อยเรือนงามโตขึ้น โหรทูลว่านางกำลังมีเคราะห์ ควรให้ออกไปจากเมือง พระบิดาและพระมารดาจึงจำใจต้องให้โสนน้อยเรือนงามออกจากเมืองไปโดยลำพัง ด้านพระอินทร์มีความสงสารนาง จึงแปลงร่างเป็นชีปะขาวมามอบยาวิเศษสำหรับรักษาคนตายให้ฟื้นได้ เมื่อโสนน้อยเรือนงามพบนางกุลาถูกงูกัดตายในป่า นางจึงนำยาของชีปะขาวมารักษานางกุลา ดังนั้นนางกุลาจึงขอเป็นทาสติดตามโสนน้อยเรือนงามไปด้วย
เรื่องย่อ : ลักษณวงศ์ (2567/2024) ท้าวพรหมทัต (กฤชสร เปรมปรีดิ์) มีมเหสีชื่อ สุวรรณอำภา (กชกร ส่งแสงเติม) และมีพระราชโอรสชื่อ ลักษณวงศ์ (ด.ช.ปัณณวัฒน์ เพชรเด็ด) วันหนึ่งท้าวพรหมทัตทรงพามเหสีพร้อมด้วยพระราชโอรสเสด็จประพาสป่า และได้พบกับ นางยักษ์อัปสร (ชนารดี อุ่นทะศรี) ที่แปลงเป็นสาวสวย ทำเล่ห์กลจนท้าวพรหมทัตลุ่มหลง ต่อมานางได้ยุให้ท้าวพรหมทัตสั่งประหารมเหสีและพระโอรส แต่เพชฌฆาตสงสารจึงปล่อยทั้งคู่ไป นางสุวรรณอำภาถูก พระยายักษ์ หรือ ท้าววิรุฬมาศ (ณพบ ประสบลาภ) พาตัวไป ขณะที่ ฤๅษี (พงศ์ประยูร ราชอาภัย) ได้นำลักษณวงศ์มาเลี้ยงคู่กับนางในดอกบัวชื่อ นางทิพเกสร (ด.ญ.จัสมินน่า กุสเนทโซว่า) เมื่อโตขึ้นลักษณวงศ์ได้ร่ำเรียนวิชากับฤๅษีจนสำเร็จ ลักษณวงศ์ฝากนางทิพเกสรไว้กับฤๅษี แล้วออกเดินทางตามหามารดาจนพบ และต่อสู้กับพระยายักษ์จนเข้าใจกันดี จากนั้นก็เดินทางไปกอบกู้บ้านเมือง โดยปราบนางยักษ์อัปสรได้ และได้ นางยี่สุ่น (อัญรส ปุณณโกศล) เป็นชายา ต่อมานางทิพเกสรปลอมเป็น พราหมณ์ (ชาย) ติดตามมาพบพระลักษณวงศ์ ด้วยความน้อยใจจึงไม่แสดงตนให้พระลักษณวงศ์รู้ นางยี่สุ่นริษยาที่สามีใส่ใจพราหมณ์มากเป็นพิเศษ จึงวางอุบายกำจัดพราหมณ์เกสร ในที่สุดพราหมณ์เกสรก็ถูกประหาร ร่างของนางจึงกลายเป็นหญิง ลักษณวงศ์เสียใจมากเมื่อพบว่าศพของนางทิพเกสรหายไป จึงให้โหราจารย์ทำนาย เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามชมกันต่อได้ในละคร ลักษณวงศ์
เรื่องย่อ : โกมินทร์ผู้กล้า (2566/2023) ณ เมืองกุสินคร มีพระราชานามว่า "โกสุทัม" และพระมเหสีนามว่า "ฉวีวรรณ" ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสถึงสามพระองค์ คนโตนามว่า "โกเมศ" คนรองคือ "โกมล" และน้องเล็กสุดท้องที่ทรงฤทธานุภาพเพราะตอนแรกเกิด ได้มีของวิเศษติดตัวมาด้วยอันได้แก่ผ้าเมาลีสีแดง และกำไลหยกที่สามารถใช้เป็นอาวุธได้นามว่า "โกมินทร์" โกมินทร์แม้นว่ายังเป็นเด็กอายุเพียง 12 ปี แต่ความสามารถไม่เป็นรองใคร ความที่เก่งกล้าเฉพาะตัวและยังมีอาวุธวิเศษ ทำให้โกมินทร์ไม่เกรงกลัวผู้ใด ทำให้เป็นที่ริษยาของอำมาตย์นามว่า อภิมัน ส่วนโกเมศและโกมล พระราชาโกสุทัมได้ส่งไปศึกษาวิชากับพระดาบสเพื่อจะได้มีความเก่งกล้าสามารถทัดเทียมกับน้องชาย แต่โกมินทร์กลับคิดไปว่าพ่อไม่รักจึงไม่ส่งตนไปเรียนเหมือนกับพี่ทั้งสอง วันหนึ่งโกมินทร์กับเพื่อนนามว่า มัสกา ซึ่งก็เป็นลูกชายของอำมาตย์อภิมันนั่นเอง ได้ไปเที่ยวแถวชายทะเล แล้วไปพบกับอัคคี บุตรชายของกะโตหน พญานาคราชแห่งเมืองใต้บาดาล เกิดการเขม่นกันขึ้น จนถึงขั้นต่อสู้กัน อัคนีพ่ายแพ้ถูกโกมินทร์ฆ่าตาย แล้วตัดขนดหางไป เมื่อกะโตหนรู้ว่าบุตรชายถูกฆ่าตาย ก็พาทหารเอกคือนัคคา บุกมาถึงเมืองกุสินคร ขู่บังคับให้โกสุทัมส่งโกมินทร์มาให้ตนลงโทษ โกสุทัมเกรงกลัวอำนาจกะโตหน จึงคิดจะส่งโกมินทร์ให้ แต่โกมินทร์ไม่ยอม ทำแสร้งเป็นหนีไป กะโตหนออกไล่ล่าโกมินทร์ แล้วเกิดการสู้รบกันบนเขาไกรลาศ กะโตหนพ่ายแพ้แก่โกมินทร์ จนร่างกายต้องกลายเป็นงูเขียวธรรมดาไป โกมินทร์พางูเขียวกะโตหนมาเฝ้าโกสุทัม แล้วให้กะโตหนสาบานว่า จะไม่คิดมารุกรานเมืองกุสินครอีก จากนั้นโกมินทร์จึงปล่อยตัวกะโตหนกลับไป โกสุทัมดีใจที่ลูกชายสามารถปราบพญานาคราช ทุกคนปลื้มกับโกมินทร์ ยกเว้นอภิมันที่เจ็บแค้นโกมินทร์ เพราะคิดว่าโกมินทร์คือต้นเหตุที่ทำให้มัสกาบุตรชายถูกนัคคาฆ่าตาย ในระหว่างที่ โกมินทร์แสร้งทำเป็นหนีกะโตหนไปเขาไกรลาศ จึงเก็บความแค้นเอาไว้ตลอดมา (Source: inter.bugaboo.tv)
สังข์ทอง (2543/2000) กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ เมืองยศวิมลนครอันมีท้าวยศวิมลเป็นผู้ครองนคร พระองค์ทรงมีมเหสีสององค์คือ พระนางจันเทวี มเหสีฝ่ายขวาผู้เป็นที่รักใคร่ของประชาชนทุกคน และพระนางจันทา มเหสีฝ่ายซ้ายผู้มีจิตใจอิจฉาริษยาผู้อื่นตลอดเวลา ท้าวยศวิมลต้องการจะมีพระราชโอรสสืบทอดราชบัลลังค์จึงได้บวงสรวงเทวดาฟ้าดินให้ประทานโอรสมาให้ จนกระทั่งพระนางจันเทวีตั้งครรภ์ขึ้นมา สร้างความปิติยินดีให้กับท้าวยศวิมลเป็นอย่างยิ่ง เมื่อครบกำหนด พระนางจันเทวีก็ได้ประสูติพระโอรสออกมา แต่พระโอรสกลับกลายเป็นหอยสังข์สร้างความอับอายให้กับท้าวยศวิมล พระนางจันทาได้ทีจึงใส่ร้ายว่าพระโอรสเป็นกาลีบ้านเมือง และให้ขับพระนางจันเทวีและพระโอรสหอยสังข์ออกจากวังเสีย พระมเหสีจันเทวีต้องระหกระเหินออกจากวังไปอาศัยอยู่ที่กระท่อมตายยายชายป่า และได้พบกับพระสังข์ที่ออกมาช่วยแม่ทำงานบ้าน พระนางจันเทวีจึงได้ทุบทำลายหอยสังข์เสีย สองแม่ลูกจึงได้พบกันและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เรื่องล่วงรู้ไปถึงพระกรรณของพระนางจันทา จึงได้ส่งทหารมาจับพระสังข์ไปถ่วงน้ำทิ้ง พระสังข์จมลงไปที่ก้นบาดาล ท้าวภุชงค์ พญานาคราชพบเข้าจึงนำมาเลี้ยงไว้ และได้ส่งพระสังข์ไปให้นางพันธุรัตเจ้าเมืองยักษ์เลี้ยง โดยนางพันธุรัตและชาวเมืองยักษ์ได้แปลงตัวเป็นคนเพื่อหลอกให้พระสังข์หลงเชื่อ จนกระทั่งพระสังข์ได้แอบไปเที่ยวที่ปราสาทหลังวัง และได้พบซากสัตว์ที่พวกยักษ์กินเหลือไว้ จึงได้รู้ว่านี่คือเมืองยักษ์ เมื่อนางพันธุรัตเผลอ พระสังข์จึงแอบชุบตัวในบ่อเงินบ่อทองและขโมยรูปเงาะที่ช่วยให้มีอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้หนีออกจากเมืองไป นางพันธุรัตรู้เข้าก็เสียใจและตามพระสังข์จนมาถึงตีนเขาแต่พระสังข์อธิษฐานให้เทวดาช่วยไว้ นางยักษ์ตามขึ้นมาไม่ได้ จึงได้มอบมนต์มหาจินดา ที่ใช้เรียกเนื้อเรียกปลาให้พระสังข์ ก่อนที่จะอกแตกสิ้นใจตายที่ตีนเขานั่นเอง พระสังข์ได้เหาะมาถึงเมืองหนึ่งชื่อว่าเมืองสามล ท้าวสามลและนางมณฑาเป็นผู้ครองนครท้าวสามลต้องการหาคู่ให้ธิดาทั้งเจ็ดจึงได้จัดการเลือกคู่ให้ทุกองค์ เหลือเพียงรจนาที่ยังไม่ยอมเลือกใคร ท้าวสามลจึงมีรับสั่งให้ไปตามเจ้าเงาะที่อาศัยอยู่กระท่อมปลายนามาให้เลือก รจนามองเห็นรูปทองที่ซ่อนอยู่ภายในจึงโยนมาลัยไปให้เจ้าเงาะ สร้างความไม่พอพระทัยให้ท้าวสามลจนถึงกับขับออกไปจากวัง ท้าวสามลคิดหาทางกลั่นแกล้งด้วยการให้เจ้าเงาะหาเนื้อหาปลาแข่งกับหกเขย เจ้าเงาะได้ถอดรูปและใช้มนต์มหาจินดาเรียกเนื้อเรียกปลามาเต็มไปหมด พร้อมกับแกล้งทำเป็นเทวดาผู้ปกป้องสัตว์ป่า หกเขยหาปลาไม่ได้ จึงต้องยอมให้ตัดจมูกและหูให้เทวดาแลกกับเนื้อและปลา ท้าวสามลทรงพิโรธมากที่เสียทีเจ้าเงาะจนถึงขั้นคิดประหารเจ้าเงาะเสีย ร้อนถึงพระอินทร์ ต้องหาทางช่วยด้วยการลงมาท้าตีคลีกับท้าวสามลเพื่อชิงเมือง ท้าวสามลส่งหกเขยไปแข่งก็สู้ไม่ได้ในที่สุดก็ต้องยอมให้เจ้าเงาะไปแข่ง เจ้าเงาะจึงถอดรูปเป็นพระสังข์และตีคลีกับพระอินทร์จนชนะท้าวสามลจึงรับพระสังข์และรจนากลับเข้าวัง กล่าวฝ่ายท้าวยศวิมล ได้ทรงพระสุบินว่าพระอินทร์มาทูลเรื่องราวความจริงทั้งหมด เมื่อตื่นบรรทมจึงได้ออกติดตามหาพระนางจันเทวีจนพบและปลอมเป็นชาวบ้านออกติดตามหาพระสังข์ถึงเมืองสามล โดยพระนางจันเทวีได้ปลอมเป็นแม่ครัวในวัง และได้แอบสลักชิ้นฟักเป็นเรื่องราวของพระสังข์ เมื่อพระสังข์ได้เห็นชิ้นฟักจึงรู้ความจริงทั้งหมด จึงได้ตามเสด็จ ท้าวยศวิมลและนางจันเทวีกลับไปครองยศวิมลนครสืบไป
ฝนสามฤดู (2515/1972) ข้อความบนใบปิด ดาราฟิล์ม สร้าง ฝนสามฤดู นิยายมหัศจรรย์แสนสนุก นำโดย เยาวเรศ นิสากร ชัย ราชพงษ์ วาสนา ชลากร สมชาย ศรีภูมิ ร่วมด้วย (อดินันท์ สิงห์หิรัญ), ท้วม ทรนง, นรา นพนิรันดร์, ถวัลย์ คีรีวัต, วิชิต ไวงาน, อบ บุญติด, ศิรดา ศิรวัฒน์, ศรีสุดา, ด.ช.สยม สังวริบุตร, ภูมิ, ไอ้งั่ง ไพรัช สังวริบุตร กำกับ อิมพีเรียลฟิล์ม จัดจำหน่าย (ที่มา : Thai Movie Posters)
ปลาบู่ทอง (2510/1967) กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่มีเศรษฐี ชื่อ ทารกะ (อ่านว่า ทา-ระ-กะ) มีอาชีพจับปลา มีภรรยา 2 คน คนแรกชื่อขนิษฐา ผู้มีจิตใจดี อ่อนโยน มีลูกสาวแสนสวย เรียบร้อยเหมือนแม่ ชื่อ เอื้อย ส่วนคนที่สองชื่อ ขนิษฐี เป็นผู้มีจิตริษยาอาฆาต มารยาสาไถ ยุแหย่สามีให้เกลียด นางขนิษฐา และลูกสาวตลอดเวลา มีลูกสาวนิสัยเหมือนแม่ 2 คนชื่ออ้าย กับอี่ วันหนึ่งเศรษฐีทารกพาขนิษฐาไปจับปลาในคลอง ไม่ว่าจะเหวี่ยงแหไปกี่ครั้งก็ได้มาเพียงปลาบู่ทองที่ตั้งท้องตัวเดียวเท่านั้น จนกระทั่งพลบค่ำเศรษฐีก็ตัดสินใจที่จะเอาปลาบู่ทองที่จับได้เพียงตัวเดียวกลับบ้าน ทว่าขนิษฐาผู้เป็นภรรยาเกิดความสงสารปลาบู่ ขอให้เศรษฐีปล่อยปลาไป เศรษฐีมีความเกลียดชังเป็นทุนอยู่แล้วจึงโมโหคว้าพายได้ ก็ฟาดจนนางขนิษฐาสลบ และผลักตกน้ำจนตาย เมื่อกลับถึงบ้านเอื้อยก็ถามหาแม่ เศรษฐีจึงตอบไปว่าแม่ของเอื้อยได้หนีตามผู้ชายไป และจะไม่กลับมาบ้านอีกแล้ว นับตั้งแต่วันนั้นเอื้อยจึงถูก 3 แม่ลูกกลั่นแกล้งทรมานด้วยการใช้ทำงานอย่างหนักไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนตลอดทั้งวัน เอื้อยคิดถึงแม่มากจึงมักไปนั่งร้องไห้อยู่ริมท่าน้ำ และได้พบกับปลาบู่ทองซึ่งเป็นนางขนิษฐากลับชาติมาเกิด เมื่อเอื้อยรู้ว่าปลาบู่ทองเป็นแม่ของตนก็ได้นำข้าวสวยและรำมาโปรยให้ปลาบู่ทองกิน และมาปรับทุกข์ให้ปลาบู่ทองฟังทุกวัน นางขนิษฐีและลูกสาวเห็นเอื้อยดูมีความสุขขึ้น เมื่อถูกกลั่นแกล้งก็อดทนไม่ปริปากบ่นจึงไปแอบสืบจนพบว่านางขนิษฐาได้มาเกิดเป็นปลาบู่ทอง และได้พบกับเอื้อยทุกวัน
เทพอัศวิน (2545/2002) เป็นละครพื้นบ้านปี 2545 ออกอากาศทางช่อง 3 ผลิตโดย : บริษัท ทีวี สแควร์ จำกัด แสดงนำ : นิรุทธ์ สุจริต, ศิริวรรณ ย้อยสกุล
เรื่องย่อ : สังข์ทอง (2561/2018) กาลปางก่อนมี พระเจ้าพรหมทัต (ท้าวยศวิมล) ครองเมืองพรหมนคร (เมืองยศวิมล) พระเจ้าพรหมทัตมีมเหสีสององค์ มเหสีฝ่ายขวาชื่อ พระนางจันทราเทวี (นางจันเทวี) มเหสีฝ่ายซ้ายชื่อ พระนางสุวรรณจัมปากะ (นางจันทา) พระเจ้าพรหมทัตโปรดมเหสีฝ่ายซ้ายมาก ต่อมามเหสีทั้งสองทรงครรภ์ โหรทำนายว่าบุตรของมเหสีฝ่ายขวาเป็นชาย ส่วนมเหสีฝ่ายซ้ายเป็นหญิง พระนางสุวรรณจัมปากะรู้สึกเสียใจที่จะได้ธิดาแทนที่จะเป็นโอรส และเกรงว่าพระนางจันทราเทวีจะได้ดีกว่า จึงใส่ร้ายพระนางจันทราเทวีจนพระเจ้าพรหมทัตหลงเชื่อขับไล่พระนางจันทราเทเวีออกจากพระราชวัง พระนางจันทราเทวีเดินทางด้วยความยากลำบาก เมื่อถึงชายป่านอกเมือง ยายตาสองคนสงสาร จึงชวนให้พักอยู่ด้วย โอรสในครรภ์ของพระนางจันทราเทวีเห็นความยากลำบากของพระมารดา จึงแปลงกายเป็นหอยสังข์เพื่อไม่ให้พระมารดาต้องลำบากเลี้ยงดู เมื่อครบกำหนดคลอด พระนางจันทราเทวีก็คลอดโอรสออกมาเป็นหอยสังข์ ซึ่งพระนางก็รักใคร่ เลี้ยงดูเหมือนลูกมนุษย์ วันหนึ่งพระนางจันทราเทวี ออกจากบ้านไปช่วยตายายเก็บผักหักฟืน ลูกน้อยในหอยสังข์ก็ออกจากรูปหอยสังข์ช่วยปัดกวาดบ้านเรือน และหุงหาอาหารไว้ พอเสร็จก็กลับเข้าไปในรูปหอยสังข์ตามเดิม พระนางจันทราเทวี เมื่อกลับมาก็แปลกใจ ว่าใครมาช่วยทำงาน และเมื่อนางจันทราเทวีออกจากบ้านไป ลูกน้อยในหอยสังข์ก็จะออกมาทำงานบ้านให้เรียบร้อยทุกครั้ง พระนางจันทราเทวีอยากรู้ว่าเป็นใคร วันหนึ่งจึงทำทีออกจากบ้านไปป่าเช่นเคย แต่แล้วก็ย้อยกลับมาที่บ้าน โอรสในหอยสังข์ก็ออกมาทำงานบ้าน พระนางจันทราเทวีเห็นโอรสเป็นมนุษย์ก็ดีใจ จึงทุบหอยสังข์เสีย และกอดโอรสด้วยความยินดี พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า "สังข์ทอง" เมื่อพระเจ้าพรหมทัตรู้ข่าวว่า พระนางจันทราเทวีประสูติพระโอรส ก็ยินดีจะรับพระนางจันทราเทวีกลับ พระนางสุวรรณจัมปากะเทวีริษยาจึงได้เท็จทูลว่า พระโอรสเดิมเป็นหอยสังข์ พระเจ้าพรหมทัตก็หลงเชื่อเกรงจะเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมือง จึงให้อำมาตย์จับพระนางจันทราเทวีและลูกน้อยสังข์ทองใส่แพลอยไป เมื่อแพลอยออกทะเล เกิดพายุใหญ่แพแตก พระนางจันทราเทวีถูกคลื่นซัดลอยไปติดที่ชายหาดเมืองมัทราษฎร์ พระนางก็เดินทางซัดเซพเนจรไปอาศัยบ้านเศรษฐีเมืองมัทราษฎร์ชื่อธนัญชัยเศรษฐี และทำหน้าที่เป็นแม่ครัว ฝ่ายพระสังข์ทองนั้นจมน้ำลงไปยังนาคพิภพ พระยานาคมีจิตสงสารจึงเนรมิตเรือทอง แล้วอุ้มพระสังข์ทองใส่ไว้ในเรือ เรือทองลอยไปถึงเมืองยักษ์ซึ่งนางยักษพันธุรัตปกครองอยู่ นางยักษ์เห็นพระสังข์ทองในเรือทองเกิดความรักใคร่เอ็นดู จึงนำพระสังข์ทองมาเลี้ยงดูในปราสาท และให้พี่เลี้ยงนางนมแปลงร่างเป็นคน เพื่อมิให้พระสังข์ทองหวาดกลัว พระสังข์ทองก็เติบโตอยู่กับนางยักษ์พันธุรัต นางยักษ์พันธุรัตปกติจะต้องออกไปหาสัตว์ป่ากินเป็นอาหาร เมื่อนางออกไปป่าก็จะไปครั้งละสามวันหรือเจ็ดวัน ทุกครั้งที่ไปก็จะสั่งพระสังข์ทองว่า อย่าขึ้นไปเล่นบนปราสาทชั้นบนและในสวน พระสังข์ทองก็เชื่อฟัง แต่เมื่อโตขึ้นก็เกิดความสงสัยอยากรู้ วันหนึ่งเมื่อนางยักษ์พันธุรัตไปป่า พระสังข์ทองก็แอบไปในสวนส่วนที่ห้ามไว้ เห็นกระดูกสัตว์และคนที่นางยักษ์กินเนื้อแล้วทิ้งกระดูกไว้เป็นจำนวนมาก พระสังข์ทองเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ นึกรู้ว่ามารดาเลี้ยงเป็นยักษ์ก็รู้สึกหวาดกลัว และเมื่อเดินต่อไปเห็นบ่อเงินบ่อทองสวยงาม พอพระสังทองเอานิ้วก้อยจุ่มลงไปนิ้วก็กลายเป็นสีทอง พระสังข์ทองจึงลงไปอาบทั้งตัวร่างกาย ก็กลายเป็นสีทองงดงาม แล้วพระสังข์ทองก็ขึ้นไปบนปราสาทชั้นบน เห็นเกราะรูปเงาะป่า เกือกทอง และพระขรรค์ พระสังข์ทองเอาเกราะเงาะป่ามาสวม ก็กลายร่างเป็นเงาะป่า พอใส่เกือกทองก็รู้สึกว่าลอยได้ พระสังข์ทองจึงหยิบพระขรรค์ แล้วเหาะหนีออกจากเมืองยักษ์ และข้ามแม่น้ำไปยังเมืองตักศิลา ตกเย็นจึงพักอยู่ที่ศาลาริมน้ำ ฝ่ายนางยักษ์กลับมาไม่เห็นลูก และขึ้นไปที่ปราสาทชั้นบน เห็นเกราะรูปเงาะป่า เกือกทอง และพระขรรค์หายไป ก็รู้ทันทีว่า พระสังข์ทองรู้ว่าตนเป็นยักษ์แล้วหลบหนีไป นางจึงเหาะตามไป เมื่อถึงฝั่งน้ำเห็นพระสังข์ทองพักอยู่ นางไม่สามารถเหาะข้ามไปได้ จึงร้องไห้ อ้อนวอนให้พระสังข์ทองกลับไป พระสังข์ทองยังหวาดกลัวจึงไม่ยอมกลับ นางพันธุรัตเสียใจจนหัวใจแตกสลาย แต่ก่อนตายนางก็สอนมนต์หาเนื้อหาปลาให้ พระสังข์ทองแล้วนางก็สิ้นใจตาย พระสังข์ทองรู้สึกเสียใจมากหลังจากได้จัดเผาศพนางยักษ์แล้ว พระสังข์ทองก็เหาะเดินทางไปเมืองพาราณสี และได้ไปอาศัยชาวบ้านช่วยเลี้ยงโค พระสังข์ทองตอนนี้รูปร่างเป็นเงาะป่าพวกเด็กเลี้ยงโคก็มาเล่นสนิทสนมกับพระสังข์ทอง ที่เมืองพาราณสีนี้เจ้าเมืองมีธิดา 7 องค์ เจ้าเมืองคิดจะให้พระธิดาทั้ง 7 องค์ได้อภิเษกสมรส จึงมีรับสั่งให้ประกาศแก่เจ้าผู้ครองนครต่างๆ ให้ส่งโอรสมาให้พระธิดาเลือกพระธิดาทั้ง 6 องค์ ก็เลือกได้เจ้าชายที่เหมาะสม แต่พระธิดาองค์สุดท้องชื่อ "รจนา" ไม่ยอมเลือกเจ้าชายองค์ใด เจ้าเมืองพาราณสีทรงกริ้วมากจึงประชดโดยให้อำมาตย์ไปประกาศให้ชายทุกคนในเมือง ให้เข้ามาในวังให้พระราชธิดาเลือก พระสังข์ทองในรูปเงาะป่าก็ถูกเกณฑ์เข้ามาด้วย เมื่อนางรจนาออกมาเลือกคู่ บุญบันดาลให้เห็นรูปทองของพระสังข์ทองแทนที่จะเป็นเงาะป่า นางจึงเลือกเงาะป่า เจ้าเมืองพาราณสีกริ้วมากขับไล่นางรจนาออกไปอยู่นอกเมือง เจ้าเมืองพาราณสีมีความแค้นเคืองเงาะป่าคิดจะกำจัด จึงออกคำสั่งให้เขยทั้ง 6 และเงาะป่า ไปหาเนื้อมาคนละตัว ใครหามาไม่ได้จะถูกประหารชีวิต เงาะป่าเข้าไปในป่าถอดรูปเงาะออกแล้วร่ายมนต์เรียกเนื้อ เนื้อทั้งหลายก็มาอยู่ที่พระสังข์ทอง 6 เขยหาเนื้อทั้งวันก็ไม่ได ้จนกระทั่งมาพบพระสังข์ทอง ซึ่ง 6 เขยคิดว่าเป็นเทวดา 6 เขยจึงขอเนื้อจากพระสังข์ทอง พระสังข์ทองให้โดยขอตัดใบหูคนละหน่อย 6 เขยยอม ทั้งหมดจึงนำเนื้อไปให้เจ้าเมืองพาราณสี เจ้าเมืองพาราณสียังทำร้ายเงาะป่าไม่ได้ก็แค้นใจ จึงมีคำสั่งให้เขยทุกคนหาปลาไปถวาย พระสังข์ทองก็ถอดรูปเงาะป่าแล้วร่ายมนต์เรียกปลา ปลาก็มาออคับคั่งอยู่ที่พระสังข์ทอง 6 เขยหาปลามาไม่ได้ทั้งวัน และเมื่อพบปลามาอออยู่ที่พระสังข์ทองก็กราบไหว้อ้ออนวอนขอปลา พระสังข์ทองยกให้โดยขอตัดปลายจมูกหกเขยคนละหน่อย แล้วหกเขยกับเงาะป่านำปลาไปถวายเจ้าเมืองพาราณสี เจ้าเมืองพาราณสีขัดแค้นใจที่ทำอันตรายเงาะป่าไม่ได้ ก็เฝ้าคิดหาวิธีการอื่นที่จะกำจัดเงาะป่า พระอินทร์บนสวรรค์ทราบถึงการคิดร้ายของเจ้าเมืองพาราณสีต่อเงาะป่าจึงลงมาช่วย โดยเหาะลงมาลอยอยู่หน้าพระที่นั่งของเจ้าเมืองพาราณสี และกล่าวท้าทายว่าให้เจ้าเมืองพาราณสีหาคนดีมีฝีมือเหาะขึ้นมาตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศ ภายใน 7 วัน ถ้าหาไม่ได้ก็จะฆ่าเจ้าเมืองพาราณสี เจ้าเมืองพาราณสีตกใจมาก ให้ 6 เขยและบรรดาเสนาอำมาตย์ช่วยกันหาผู้อาสาเหาะไปตีคลี ทุกคนก็จนปัญญา เจ้าเมืองพาราณสีจึงให้ป่าวประกาศว่าผู้ใดที่สามารถเหาะไปตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศได้ จะยกราชสมบัติให้ แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดมาอาสา นางมณฑาเทวีพระมเหสีของเจ้าเมืองพาราณสี จึงแอบไปหานางรจนาและขอให้นางรจนาอ้อนวอนให้เงาะป่าช่วย เงาะป่าสงสารทั้งสองนางจึงรับปาก และในวันที่ 7 เงาะป่าก็ถอดรูปเป็นพระสังข์ทอง ใส่เกือกแก้วเหาะขึ้นไปตีคลีกับพระอินทร์จนชนะ พระอินทร์ก็กลับไปบนสวรรค์ เจ้าเมืองพาราณสีดีพระทัยมากได้ขอโทษพระสังข์ทองและยกราชสมบัติให้ตามสัญญา พระสังข์ทองขอลาไปตามหาพระนางจันทราเทวีก่อน พระสังข์ทองเดินทางไปตามเมืองต่างๆ จนกระทั่งมาถึงเมืองมัทราษฎร์ จึงไปสืบถามที่บ้านธนัญชัยเศรษฐีว่ารู้จักหญิงที่ชื่อจันทราเทวีหรือไม่ ธนัญชัยเศรษฐีบอกว่าไม่รู้จัก แต่ก็เชิญพระสังข์ทองอยู่รับประทานอาหาร พระสังข์ทองสังเกตว่าอาหารมีรสปราณีต ซึ่งผู้ทำจะต้องเป็นผู้ทำอาหารถวายพระเจ้าแผ่นดิน จึงขอพบแม่ครัวและซักถามประวัติ ก็ทราบว่าเป็นพระนางจันทราเทวีจึงดีใจมาก และขอธนัญชัยเศรษฐีที่จะรับพระมารดากลับไป พระสังข์ทองนำพระมารดากลับไปอยู่ที่เมืองพาราณสี พระสังข์ทองปกครองเมืองพาราณสีจนเจริญรุ่งเรือง กิติศัพท์แพร่ไปยังนครอื่นๆ จนถึงเมืองพรหมนคร ชาวเมืองพรหมนครก็อพยพมาอยู่เมืองพาราณสี เสนาอำมาตย์เมืองพรหมนครจึงทูลเสนอพระเจ้าพรหมทัตว่า พระสังข์ทองพระราชโอรสครองเมืองพาราณสี มีความสามารถทำให้รุ่งเรือง จึงเห็นสมควรที่จะอัญเชิญพระสังข์ทองมาครองเมืองพรหมนครเพื่อสร้างความเจริญ พระเจ้าพรหมทัตเมื่อทรงทราบว่าพระโอรสยังมีชีวิตอยู่และมีความสามารถก็ยินดี และสำนึกผิดให้อำมาตย์ผู้ใหญ่ไปเมืองพาราณสีและทูลเชิญพระสังข์ทอง พระนางจันทราเทวี กลับเมืองพรหมนคร พระสังข์ทองสงสารพระบิดา จึงอ้อนวอนพระมารดาให้อภัยพระเจ้าพรหมทัตและเดินทางกลับเมืองพรหมนคร พระเจ้าพรหมทัตก็มอบราชสมบัติให้พระสังข์ทอง ปกครองบ้านเมืองเป็นสุขสืบมา
เรื่องย่อ : ขุนช้างขุนแผน (2542/1999) ที่เมืองสุพรรณบุรี กล่าวถึงครอบครัวสามครอบครัว คือ ครอบครัวของขุนไกรพลพ่ายรับราชการทหาร มีภรรยาชื่อ นางทองประศรี มีลูกชายด้วยกันชื่อ พลายแก้ว ครอบครัวของขุนศรีวิชัย เศรษฐีใหญ่ของเมืองสุพรรณบุรี รับราชการเป็นนายกองกรมช้างนอก ภรรยาชื่อ นางเทพทอง มีลูกชายชื่อ ขุนช้าง ซึ่งหัวล้านมาแต่กำเนิด และครอบครัวของพันศรโยธา เป็นพ่อค้า ภรรยาชื่อ ศรีประจัน มีลูกสาวรูปร่างหน้าตางดงามชื่อ นางพิมพิลาไลย วันหนึ่งสมเด็จพระพันวษา มีความประสงค์จะล่าควายป่า จึงสั่งให้ขุนไกรปลูกพลับพลาและต้อนควายเตรียมไว้ แต่ควายป่าเหล่านั้นแตกตื่นไม่ยอมเข้าคอก ขุนไกรจึงใช้หอกแทงควายตายไปมากมาย ที่รอดชีวิตก็หนีเข้าป่าไป สมเด็จพระพันวษาโกรธมากสั่งให้ประหารชีวิตขุนไกรเสีย นางทองประศรีรู้ข่าวรีบพาพลายแก้วหนีไปอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี
เรื่องย่อ : แก้วหน้าม้า (2558/2015) เรื่องราวของนางแก้วมณีอดีตนางฟ้าบนสวรรค์ที่ถูกสาปให้มาเกิดเป็นหญิงสาวชาวบ้านที่มีใบหน้าเป็นม้า วันหนึ่งพระปิ่นทองพระโอรสของท้าวภูวดลแห่งเมืองมิถิลาได้ออกมาเล่นว่าวด้านนอกพระราชวัง ว่าวพระปิ่นทองเกิดสายป่านขาดลอยไปตกที่ทุ่งนา นางแก้วมณีเห็นจึง เก็บกลับไปไว้ที่บ้าน เมื่อพระปิ่นทองมาขอว่าวคืนนางแก้วได้ขอให้พระปิ่นทองรับตนเองไปเป็นพระมเหสี ด้วยความอยากได้ว่าวคืนพระปิ่นทองจึงตกปากรับคำไปส่งเดช จนในที่สุดนางแก้วมณีก็ได้เข้าไปอยู่ในวังแต่ก็ต้องถูกกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา โดยท้าวภูวดลให้นางแก้วมณีไปตัดเขาพระสุเมรุ ระหว่างทางก็ได้พระฤๅษีช่วยและพระฤๅษีนี้เองเป็นผู้ที่ถอดหน้าม้าและมอบเรือเหาะกับมีดโต้วิเศษไว้ให้ เมื่อได้เขาพระสุเมรุกลับมาท้าวภูวดลสั่งให้พระปิ่นทองเดินทางไปยังเมืองโรมวิถีเพื่ออภิเษกกับเจ้าหญิงทัศมาลี และพระปิ่นทองยังยื่นคำขาดว่าหากกลับมา นางแก้วมณียังไม่มีลูกกับพระองค์ก็จะให้นำตัวไปประหารเสีย นางแก้วมณีจึงนั่งเรือเหาะไปขออาศัยอยู่ที่กระท่อมกับสองตายายในป่าชานเมืองโรมวิถี พร้อมกับถอดรูปม้าออกกลายเป็นหญิงสาวแสนสวยชื่อมณีรัตนา จนในที่สุดพระปิ่นทองก็ตกหลุมรักและอยู่กินด้วยกันช่วงหนึ่งจนมณีรัตนาท้อง พระปิ่นทองจึงมอบแหวนประจำพระองค์ไว้ให้ก่อนจากกัน ระหว่างทางพระปิ่นทองได้สู้กับยักษ์ชื่อท้าวพาลราช ฝ่ายแก้วมณีเมื่อทราบความจากพระฤๅษีก็แปลงกายเป็นชายชื่อเจ้าแก้วนั่งเรือเหาะมาช่วยเหลือจนชนะและยกสร้อยสุวรรณ จันทร์สุดาพระธิดาของ ท้าวพาลราชให้เป็นเมียของพระปิ่นทอง และเจ้าแก้วก็แปลงร่างกลับเป็นนางแก้วมณีอุ้มลูกคือ พระปิ่นแก้วมาดักพระปิ่นทองที่เมือง พระปิ่นทองปฏิเสธแต่ก็จำนนด้วยหลักฐานคือแหวนประจำพระองค์พระปิ่นทองจึงไล่แก้วหน้าม้าและลูกให้ไปอยู่ท้ายวัง หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดศึกท้าวประกายมาศพญายักษ์มาตีเมืองมิถิลา สร้อยสุวรรณ จันทร์สุดาจึงออกอุบายให้ท้าวภูวดลมาขอร้องนางแก้วมณีให้ไปช่วย แก้วหน้าม้าจึงแปลงกายเป็นเจ้าแก้วออกรบจนชนะ พระปิ่นทองจึงรู้ความจริงและงอนง้อขอคืนดีกับแก้วหน้าม้า ภายหลังจากที่มิถิลาสงบสุขอยู่ได้ 15 ปีนางทัศมาลีกับพระโอรสปิ่นศิลป์ไชยร่วมกันใช้มนต์เสน่ห์หลอกล่อ ให้พระปิ่นทองกลับไปอยู่ด้วย นางแก้วมณีและปิ่นแก้วจึงตามไปช่วยจนสำเร็จ พระปิ่นทองสั่งประหารนางทัศมาลีและปิ่นศิลป์ไชยแต่ปิ่นแก้วขอชีวิตไว้ นางทัศมาลีและปิ่นศิลป์ไชยจึงสำนึกผิดและกลับตัวเป็นคนดี ปิ่นแก้วจึงพาตัวปิ่นศิลป์ไชยกลับเมืองมิถิลา ระหว่างทางปิ่นศิลป์ไชยถูกนางยักษ์มณีฉายจับทำผัว ฝ่ายปิ่นแก้วเห็นน้องหาย จึงสวมรูปม้าออกตามหาไปจนถึงเมืองการะเกด เจ้าหญิงดารารัศมีเกิดสงสารจึงถอดแหวนแล้วมอบให้ ฝ่ายพระขนิษฐารัชนีเห็นดังนั้นจึงทูลฟ้องท้าวอุทัตเสด็จพ่อ ท้าวอุทัตจึงไล่นางดารารัศมีให้ไปอยู่กับชายหน้าม้าที่ปลายนา พระปิ่นแก้วคิดแก้แค้นจึงถอดรูปม้าไปลักลอบได้เสียกับเจ้าหญิงรัชนี โดยก่อนจากพระปิ่นแก้วได้มอบชายผ้าไว้ให้ ท้าวอุทัตทราบความจึงประกาศว่าผู้ใดเป็นเจ้าของชายผ้าจะยกพระธิดาให้ จึงเกิดการแย่งชิงของเจ้าต่างเมืองมากมายกลายเป็นศึกใหญ่ พระปิ่นแก้วจึงออกมาช่วยระงับศึกและได้ครองเมืองการะเกด ฝ่ายพระปิ่นศิลป์ไชยหลบหนีจากนางยักษ์มณีฉายด้วยการช่วยเหลือของเทพารักษ์โดยการมอบแหวนที่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นชายแก่ให้ ระหว่างหลบหนีไปถึงเมืองจักรวรรดิก็ได้ช่วยชาวเมืองยกเสาที่ล้มอยู่กลับคืนที่เดิม ฝ่ายเจ้าเมืองคือท้าวทรงบดินทร์จำต้องยกเจ้าหญิงทิพวันให้ตามที่เคยลั่นวาจา ฝ่ายเจ้าหญิงทิพวันเมื่อรู้ความจริงว่าชายแก่คือ พระปิ่นศิลป์ไชยก็หลงรักและพากันกลับเมืองมิถิลา ติดตามชม ละครแก้วหน้าม้า ได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.00 น. ทางช่อง 7 สี
เรื่องย่อ : เจ้าหญิงแตงอ่อน (2555/2012) เจ้าหญิงแตงอ่อนอรดี เป็นธิดาของกษัตริย์เมืองตะนูวดี มีพี่ชายชื่อ เจ้าชายสุดชฎา และมีพี่ชายต่างมารดาอันเกิดจากสนมชื่อ พระไวยราช พระไวยราชถูกมนต์สะกดของอสูรร้ายให้กระทำการชั่วต่าง ๆ นานา ทั้งยึดเมืองและต้องการได้นางแตงอ่อน น้องสาวต่างมารดามาเป็นมเหสี นางแตงอ่อนไม่ยินยอมจึงถูกฆ่าตาย พระสุดชฎาเสียใจมาก จึงอุ้มศพนางแตงอ่อนหนีไปถึงหน้าผาในป่า และตั้งใจจะกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายตามน้องสาว พระอินทร์จึงแปลงร่างลงมาขัดขวางและเกลี้ยกล่อมให้พระสุดชฎายอมรับอาหารที่ตนมอบให้ พระสุดชฎาจึงป้อนอาหารให้ศพเจ้าหญิงแตงอ่อน นางจึงฟื้นขึ้นมา ทั้งสองจึงซัดเซพเนจรไปอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ ชายเขตแดนเมืองโกสี ซึ่งใต้ดินที่ปลูกกระท่อมนั้นมีถ้ำพญาจระเข้จำศีลอยู่ นางแตงอ่อนเผลอเทน้ำข้าวเดือดลงไปบนพื้นดิน พญาจระเข้ที่จำศีลอยู่ ถูกน้ำข้าวเดือดลวกจึงออกจากถ้ำขึ้นมาบนบึงน้ำ เกล็ดจระเข้จึงกระเด็นตกลงไปในหม้อข้าว พระสุดชฎาเสวยข้าวปนเกล็ดจระเข้ลงไป ทำให้กลายเป็นจระเข้ จึงบอกให้นางแตงอ่อนปักปิ่นลงบนศีรษะตน เพื่อจะได้เป็นที่สังเกตและแยกออกว่าจระเข้ตัวไหนเป็นพี่ชายของนาง เจ้าชายไพรงามแห่งเมืองโกสีออกประพาสป่ามาพบนางแตงอ่อนก็หลงรักและรับนางไปเป็นชายา และพาจระเข้พระสุดชฎาเข้าไปเลี้ยงในวังด้วย พวกนางสนมของพระไพรงามอิจฉาริษยานางแตงอ่อน จึงออกอุบายให้พระไพรงามออกไปคล้องช้างเผือก และสับเปลี่ยนโอรสของนางแตงอ่อนที่เพิ่งประสูติกับลูกจระเข้ ใส่ร้ายว่านางคบชู้กับจระเข้ พระไพรงามโกรธจึงขับไล่นางแตงอ่อนและจระเข้พระสุดชฎาออกจากเมือง พระอินทร์จึงให้นางแตงอ่อนบำเพ็ญพรตเพื่อช่วยให้พระสุดชฎากลับคืนร่างเป็นมนุษย์ ฝ่ายโอรสของนางแตงอ่อนที่ถูกนำไปฝังได้นางไม้พฤกษาช่วยไว้ และตั้งชื่อว่า เกตุทิพย์บดี เมื่อเกตุทิพย์บดีเจริญวัยจึงกลับเข้าเมืองโกสีและบอกความจริงทั้งหมด นางสนมจึงถูกเนรเทศ พระไพรงามและเกตุทิพย์บดีออกตามหานางแตงอ่อนและพยายามคืนดี แต่ระหว่างเดินทางกลับเมือง นางแตงอ่อนถูกพญายักษ์ลักพาตัวไป ที่เมืองของพญายักษ์มีกุมารีเกิดขึ้นในดอกบัว พญายักษ์ตั้งชื่อให้ว่า ปทุมวดี เจ้าหญิงปทุมวดีสนิทสนมกับนางแตงอ่อนจนเรียกว่าแม่ ทำให้มเหสียักษ์ไม่พอใจคิดจะทำร้ายนาง พระไพรงามกับเกตุทิพย์บดีตามมาช่วยและพานางแตงอ่อนกับปทุมวดีกลับเมืองโกสี ระหว่างทางได้พบพระไวยราชที่คลายจากมนต์สะกดหลบหนีออกจากเมืองตะนูวดี อสูรร้ายตามมา จึงถูกเกตุทิพย์บดีสังหาร พระไวยราชจะคืนราชสมบัติให้พระสุดชฎา แต่พระสุดชฎาละจากโลกีย์วิสัยแล้วจึงออกบวชแสวงหาธรรมะ ในขณะที่เจ้าหญิงแตงอ่อนได้อยู่พร้อมหน้าโอรสและพระสวามีอย่างมีความสุข ติดตามชมความสนุกสนานของ ละครเจ้าหญิงแตงอ่อน ได้ทุกเช้าวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.15 - 09.15 น. ทางช่อง 7 สี
เรื่องย่อ : โกมินทร์ (2547/2004) ณ เมืองกุสินคร มีพระราชานามว่า "โกสุทัม" และพระมเหสีนามว่า "ฉวีวรรณ" ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสถึงสามพระองค์ คนโตนามว่า "โกเมศ" คนรองคือ "โกมล" และน้องเล็กสุดท้องที่ทรงฤทธานุภาพเพราะตอนแรกเกิด ได้มีของวิเศษติดตัวมาด้วยอันได้แก่ผ้าเมาลีสีแดง และกำไลหยกที่สามารถใช้เป็นอาวุธได้นามว่า "โกมินทร์" โกมินทร์แม้นว่ายังเป็นเด็กอายุเพียง 12 ปี แต่ความสามารถไม่เป็นรองใครความที่เก่งกล้าเฉพาะตัวและยังมีอาวุธวิเศษ ทำให้โกมินทร์ไม่เกรงกลัวผู้ใด ทำให้เป็นที่ริษยาของอำมาตย์นามว่า อภิมัน ส่วนโกเมศและโกมล พระราชาโกสุทัมได้ส่งไปศึกษาวิชากับพระดาบสเพื่อจะได้มีความเก่งกล้าสามารถ ทัดเทียมกับน้องชาย แต่โกมินทร์กลับคิดไปว่าพ่อไม่รักจึงไม่ส่งตนไปเรียนเหมือนกับพี่ทั้งสอง วันหนึ่งโกมินทร์กับเพื่อนนามว่า มัสกา ซึ่งก็เป็นลูกชายของอำมาตย์อภิมันนั่นเอง ได้ไปเที่ยวแถวชายทะเล แล้วไปพบกับอัคคี บุตรชายของกะโตหน พญานาคราชแห่งเมืองใต้บาดาล เกิดการเขม่นกันขึ้น จนถึงขั้นต่อสู้กัน อัคนีพ่ายแพ้ถูกโกมินทร์ฆ่าตาย แล้วตัดขนดหางไป เมื่อกะโตหนรู้ว่าบุตรชายถูกฆ่าตาย ก็พาทหารเอกคือนัคคา บุกมาถึงเมืองกุสินคร ขู่บังคับให้โกสุทัมส่งโกมินทร์มาให้ตนลงโทษ โกสุทัมเกรงกลัวอำนาจกะโตหน จึงคิดจะส่งโกมินทร์ให้ แต่โกมินทร์ไม่ยอม ทำแสร้งเป็นหนีไป กะโตหนออกไล่ล่าโกมินทร์ แล้วเกิดการสู้รบกันบนเขาไกรลาศ กะโตหนพ่ายแพ้แก่โกมินทร์ จนร่างกายต้องกลายเป็นงูเขียวธรรมดาไป โกมินทร์พางูเขียวกะโตหนมาเฝ้าโกสุทัม แล้วให้กะโตหนสาบานว่า จะไม่คิดมารุกรานเมืองกุสินครอีก จากนั้นโกมินทร์จึงปล่อยตัวกะโตหนกลับไป โกสุทัมดีใจที่ลูกชายสามารถปราบพญานาคราช ทุกคนปลื้มกับโกมินทร์ ยกเว้นอภิมันที่เจ็บแค้นโกมินทร์ เพราะคิดว่าโกมินทร์คือต้นเหตุที่ทำให้มัสกาบุตรชายถูกนัคคาฆ่าตาย
เรื่องย่อ : สิงหไกรภพ (2547/2004) ณ นครโกญจา พระเจ้าอินณุมาศ และ พระนางจันทร์แก้ว ปรารถนาจะได้บุตรไว้สืบสันตติวงศ์ แต่หลายปีผ่านไปก็ยังไม่สมปรารถนา จนกระทั่งวันหนึ่ง แม่ทัพอำนาจ ยกทัพไปปราบ โจรสลัดหิมวัฒ ได้ แล้วพาตัวลูกชายของจอมโจรวัย 5 ขวบมาถวายพระเจ้าอินณุมาศและพระนางจันทร์แก้ว เมื่อทั้งสองพระองค์ทรงทอดเนตรก็รู้สึกเอ็นดูรักใคร่ ปรารถนาจะได้เด็กนั้นเป็นลูก แม้แม่ทัพอำนาจกับ อำมาตย์กุศล ทูลทัดทานว่าจะเป็นการเลี้ยงลูกเสืออาจเกิดเภทภัยได้ ทั้งสองพระองค์ก็ไม่สนใจด้วยความรักหลงในเด็กน้อยนั่นบังตาเสียสิ้น พระเจ้าอินณุมาศตั้งชื่อเด็กน้อยนั้นว่า คงคาปราลัย คงคาปราลัยเติบโตขึ้นมา พร้อมกับนิสัยที่ดุร้ายไม่ผิดผู้เป็นพ่อ ยิ่งได้ อำมาตย์กระแจะ กับ อำมาตย์กระจาน คอยยุยงส่งเสริมหวังประจบเพื่อความดีความชอบ ก็ยิ่งทำให้คงคาปราลัยกระทำชั่วช้ามากยิ่งขึ้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพระราชาก็จะประจบเอาใจ จนพระราชาไม่ทรงล่วงรู้ถึงพฤติกรรมที่แท้จริงของคงคาปราลัย ต่อมาพระนางจันทร์แก้วทรงสุบิลประหลาดว่าได้ดวงอาทิตย์มาแล้วถูกแย่งชิงไปจากผู้วิเศษ โหรทำนายว่าจะได้พระโอรสไว้สืบสกุลและจะเป็น พระโอรสที่ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อยังเล็กจะถูกพรากจากไป เมื่อเติบใหญ่จึงจะได้พบกันอีกครั้ง ทำให้คงคาปราลัยอิจฉา จึงสมคบคิดกับอำมาตย์ฝ่ายตน ก่อกบถแย่งชิงบัลลังค์จากพระเจ้าอินณุมาศ พระเจ้าอินณุมาศกับพระนางจันทร์แก้วต้องหลบหนีออกจากนครไป แล้วไปหลบซ่อนตัวอยู่ในป่า พรานสิงห์ มาพบเข้าก็สงสารจึงพามาอยู่ในหมู่บ้าน ให้ช่วยทำนาทดแทนคุณ
เรื่องย่อ : ปลาบู่ทอง (2552/2009) กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่มีเศรษฐี ชื่อ ทารกะ (อ่านว่า ทา-ระ-กะ) มีอาชีพจับปลา มีภรรยา 2 คน คนแรกชื่อขนิษฐา ผู้มีจิตใจดี อ่อนโยน มีลูกสาวแสนสวย เรียบร้อยเหมือนแม่ ชื่อ เอื้อย ส่วนคนที่สองชื่อ ขนิษฐี เป็นผู้มีจิตริษยาอาฆาต มารยาสาไถ ยุแหย่สามีให้เกลียด นางขนิษฐา และลูกสาวตลอดเวลา มีลูกสาวนิสัยเหมือนแม่ 2 คนชื่ออ้าย กับอี่ วันหนึ่งเศรษฐีทารกพาขนิษฐาไปจับปลาในคลอง ไม่ว่าจะเหวี่ยงแหไปกี่ครั้งก็ได้มาเพียงปลาบู่ทองที่ตั้งท้องตัวเดียวเท่านั้น จนกระทั่งพลบค่ำเศรษฐีก็ตัดสินใจที่จะเอาปลาบู่ทองที่จับได้เพียงตัวเดียวกลับบ้าน ทว่าขนิษฐาผู้เป็นภรรยาเกิดความสงสารปลาบู่ ขอให้เศรษฐีปล่อยปลาไป เศรษฐีมีความเกลียดชังเป็นทุนอยู่แล้วจึงโมโหคว้าพายได้ ก็ฟาดจนนางขนิษฐาสลบ และผลักตกน้ำจมตาย เมื่อกลับถึงบ้านเอื้อยก็ถามหาแม่ เศรษฐีจึงตอบไปว่าแม่ของเอื้อยได้หนีตามผู้ชายไป และจะไม่กลับมาบ้านอีกแล้ว นับตั้งแต่วันนั้นเอื้อยจึงถูก 3 แม่ลูกกลั่นแกล้งทรมานด้วยการใช้ทำงานอย่างหนักไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนตลอดทั้งวัน เอื้อยคิดถึงแม่มากจึงมักไปนั่งร้องไห้อยู่ริมท่าน้ำ และได้พบกับปลาบู่ทองซึ่งเป็นนางขนิษฐากลับชาติมาเกิด เมื่อเอื้อยรู้ว่าปลาบู่ทองเป็นแม่ของตนก็ได้นำข้าวสวยและรำมาโปรยให้ปลาบู่ทองกิน และมาปรับทุกข์ให้ปลาบู่ทองฟังทุกวัน นางขนิษฐีและลูกสาวเห็นเอื้อยดูมีความสุขขึ้น เมื่อถูกกลั่นแกล้งก็อดทนไม่ปริปากบ่นจึงไปแอบสืบจนพบว่านางขนิษฐาได้มาเกิดเป็นปลาบู่ทอง และได้พบกับเอื้อยทุกวัน เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไปติดตามชมได้ในละคร ปลาบู่ทอง
เรื่องย่อ : นางสิบสอง (2562/2019) นานมาแล้วมีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ นนท์ และภรรยาของเขาชื่อ พราหมณี ทั้งสองมีลูกสาวถึง 12 คน ด้วยความที่ลูกเยอะฐานะทางบ้านจึงค่อย ๆ ตกต่ำลง เงินทองที่เก็บไว้ก็หายไปหมดเนื่องจากต้องเลี้ยงดูลูกสาวทั้งสิบสองคน อยู่มาวันหนึ่งพ่อของนางสิบสองก็ได้คิดอุบายว่าจะนำลูก ๆ ทั้งสิบสองคนไปปล่อยป่า โดยหลอกลูกของตนว่าตนจะไปเยี่ยมญาติจะพาลูก ๆ ไปด้วย เมื่อมาถึงกลางป่าเขาก็บอกกับลูกว่าจะไปหาผลไม้มาให้กินให้ลูก ๆ เมื่อได้โอกาสเขาก็หนีไปโดยหวังว่าจะมีคนที่ดีกว่านี้มารับเลี้ยงดู นางสิบสองรอบิดาของตนจนเหนื่อย โชคดีที่นางเภาน้องคนสุดท้องที่มีความฉลาดมากกว่าพวกพี่ ๆ ได้นำข้าวตากโรยตามทางที่เดินมา พวกนางทั้งสิบสองจึงกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย เมื่อบิดาและมารดาเห็นลูกของตนกลับมาได้ก็ตกใจมากและได้คิดว่าจะนำลูกของตนไปปล่อยป่าอีกครั้ง และวันนั้นก็มาถึง พ่อของนางสิบสองได้นำลูกของตนไปปล่อยป่าอีก คราวนี้โชคร้ายนางเภาไม่ได้เอาข้าวตากมาทำให้นางทั้งสิบสองติดอยู่ในป่า นางทั้งสิบสองได้อยู่ในป่าจนรุ่งเช้าของอีกวัน นางเภาได้บอกกับพี่ของตนว่าควรจะหาทางกลับบ้านใหม่ แต่เดินไปเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที จนในที่สุดก็มาเจอกับนางยักษ์สันตราพอดี นางยักษ์สันตราพอได้เห็นนางทั้งสิบสองก็เกิดความรักและเอ็นดูเนื่องจากตนไม่มีลูกและสามีของตนก็ตายไปแล้ว นางยักษ์จึงนำนางทั้งสิบสองมาเลี้ยงไว้ในวังโดยสั่งให้ทุกคนในเมืองทานตะวันแปลงกายเป็นมนุษย์ให้หมดเนื่องจากกลัวว่านางทั้งสิบสองจะหวาดกลัวและเกลียดตน ส่วนตนเองก็ได้เปลี่ยนชื่อจากสันตราเป็นสันธมาลา นางทั้งสิบสองใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างสุขสบายจนกระทั่งโตเป็นสาว นางเภาก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่าเมืองนี้เป็นเมืองยักษ์เพราะว่าตนนั้นไม่เคยเห็นสัตว์ตัวไหนในเมืองในเมืองนี้เลยและพี่ของตนก็ได้เจอกับกองกระดูกที่พวกยักษ์กินไว้ทางท้ายวังซึ่งนางสันธมาลาห้ามไม่ให้ไปอีกด้วย นางเภาจึงพาพวกพี่หนีจากเมืองยักษ์จนนางสันตราตามมา แต่มองไม่เห็นนางทั้งสิบสองเพราะเทวดาในป่าคุ้มครอง นางสันตราจึงกลับเมืองไปด้วยความอาฆาตแค้น นางทั้งสิบสองดีใจที่หนีจากนางยักษ์มาได้และก็เดินทางไปโดยไร้จุดหมาย จนมาถึงเมืองกุตลนครซึ่งมีราชารถสิทธิ์เป็นผู้ปกครองเมือง ท้าวรถสิทธิ์ เมื่อได้เห็นนางเภาที่รูปงามและพวกพี่ ๆ ของนางแล้วก็เกิดความรักใคร่ โดยรักนางเภามากที่สุด ท้าวรถสิทธิ์ได้นางทั้งสิบสองเป็นมเหสี อยู่มาวันหนึ่งนางทั้งสิบสองคนก็ได้ตั้งครรภ์ อีกด้านหนึ่งในขณะเดียวกันนางยักษ์สัตราได้ใช้มนต์วิเศษของตนดูภาพพวกนางทั้งสิบสองผ่านกระจก นางสันตราจึงได้เห็นและรู้ว่านางสิบสองอยู่ที่เมืองกุตลนครและได้เป็นมเหสีของราชารถสิทธิ์ ก็ได้ตามไปจนมาถึงเมืองกุตลนครและได้พบกับท้าวรถสิทธิ์ นางจึงเป่ามนต์สะกดให้ท้าวรถสิทธิ์รักใคร่และแต่งตั้งให้ตนเป็นพระมเหสีเอกแทนนางทั้งสิบสอง เมื่อนางสิบสองรู้ข่าวว่าพระสวามีตนมีมเหสีใหม่จึงโมโหและอยากรู้ว่าเป็นใคร พอดีนางยักษ์สันตราผ่านมาพอดีนางสิบสองจึงได้รู้ว่าเป็นนางยักษ์สันตราก็ตกใจกลัว และร้องขอว่าอย่าทำอะไรตนเลย นางยักษ์สันตราไม่ยอมจึงเป่ามนต์ให้ท้าวรถสิทธิ์เกลียดนางทั้งสิบสองและสั่งนางทั้งสิบสองไปขังไว้ในถ้ำ นางทั้งสิบสองต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในถ้ำขณะที่ท้องของนางก็เริ่มโตขึ้นทุกวัน ฝ่ายนางยักษ์สันตรายังไม่หยุดแค้นนางสิบสองจึงออกอุบายว่าตนป่วยเป็นโรคประหลาดและได้เป่ามนต์ใส่หมอหลวงให้พูดว่าต้องใช้ลูกตานางทั้งสิบสองมาทำยาให้กินจึงจะหาย พระรถสิทธิ์จึงรีบให้จัดการควักลูกตานางสิบสองมาถวายทันทีโดยนางยักษ์ได้สั่งให้วิรุฬและจำบัง สมุนเอกของตนรับหน้าที่นี้ เมื่อมาถึงถ้ำทั้งสองได้ควักลูกตานางสิบสองทันทีโดยเรียงจากพี่ไปน้อง ด้านนางค่อมผู้ซื่อสัตย์ต่อนางสิบสองได้อ้อนวอน ขอให้พระรถสิทธิ์สั่งไม่ให้ควักลูกตานางสิบสองอยู่พักใหญ่ก็ได้นำราชโองการมาให้วิรุฬและจำบังดูแต่ด้วยตนเองแก่แล้วและหลังก็ค่อมอีกด้วย จึงมาไม่ทันโดยวิรุฬจำบังได้ควักลูกตาไปทั้ง 11 คนแล้ว เว้นแต่นางเภาโดนควักไปเพียงข้างเดียวเพราะตนมาทันที่นางเภาพอดี วิรุฬจำบังจึงได้นำลูกตาของนางสิบสองใส่โถไปถวายให้นางสันธมาลา นางค่อมได้โมโหตัวเองที่มาไม่ทัน นี่ก็เป็นเพราะเวรกรรมของนางทั้งสิบสองที่ตอนเด็กได้ควักตาปลาออกมาเล่นแต่นางเภาควักออกมาเพียงข้างเดียว จึงไม่โดนควักลูกตาทั้ง 2 ข้าง นางทั้งสิบสองต้องทุกข์ทรมานเข้าอีกปวดทั้งตาและท้องแก่ที่ใกล้คลอดโดยหากบเขียดแถวนั้นมาย่างกินประทังชีวิตและข้าวที่นางค่อมคอยแอบนำมาถวาย เวลาผ่านไปจนกระทั่งพวกนางคลอดลูกมาแต่ลูกของนางทั้ง 11 คนตายหมด เพราะพวกนางอดอยากจึงกินลูกตัวเองเหลือแต่นางเภาที่ให้กำเนิดพระโอรสและตั้งชื่อว่า รถเสน รถเสนเป็นเด็กฉลาดและรูปงามมากและเป็นหัวแก้วหัวแหวนของแม่และป้าทั้ง 11 คน
เรื่องย่อ : อุทัยเทวี (2545/2002) ณ นครใต้บาดาลอันเป็นเขตปกครองของพญานาคราชพระองค์มีพระราชธิดา มีนามว่า สมุทมาลา มีอยู่วันหนึ่งสมุทมาลา หนีจากเมืองบาดาลมาเที่ยวเมืองมนุษย์ และพบรักกับรุกขเทวดา ที่สิงสถิตอยู่ในต้นไม้ริมสระน้ำ เมื่อรุกขเทวดาโดนพระอินทร์ลงโทษให้ไปอยู่นอกป่าหิมพานต์ สมุทมาลาได้ตั้งครรภ์รอจนคลอดเป็นไข่ฟองหนึ่ง จึงใช้สไบห่อและพ่นพิษคุ้มครองไว้ก่อนกลับเมืองบาดาล บังเอิญมีคางคกเข้ามากินไข่ แต่ก็ตายด้วพิษพญานาค เมื่อไข่ฟักออกมา เป็นเด็กหญิงจึงคิดว่าคางคกเป็นแม่มาตลอด และอาศัยอยู่ในนั้น ตายายผัวเมียมาตกปลาพายเรือผ่านมาเห็นเข้าก็ช่วยเลี้ยงดูจนโต ตั้งชื่อให้ว่าอุทัยเทวี เมื่ออุทัยเทวีเติบโตขึ้น ก็ได้พบกับเจ้าชายสุทราช แต่ตายายมีข้อกำหนดว่าต้องสร้างสะพานทองตั้งแต่วังไปจนถึงบ้านตายาย และในที่สุดอุทัยเทวีก็ได้แต่งงานกับเจ้าชาย แต่เจ้าชายต้องไปแต่งงานกับเจ้าหญิงฉันทนาตามสัญญา เจ้าหญิงฉันทนาคิดกำจัดอุทัยเทวี แต่ในที่สุดอุทัยเทวีก็ปลอดภัย และได้ครองรักกับเจ้าชายอย่างมีความสุข
เรื่องย่อ : สี่ยอดกุมาร (ดิน นํ้า ลม ไฟ) (2559/2016) เรื่องราวของเหนือหัวจุลนี เจ้าเมืองเมืองหนึ่งฝันแปลกประหลาด ถึงดินแดนอาถรรพ์จึงอยากจะพิสูจน์ว่าดินแดนอาถรรพ์มีจริงหรือไม่ เลยออกป่าเพื่อค้นหาป่าอาถรรพ์จนพบ แล้วได้ช่วยเหลือ เจ้าหญิงปทุมมา ที่ถูกซ่อนตัวในกลองใบใหญ่เพื่อหลบสายตาของนกยักษ์ที่มาฆ่าชาวเมืองไปจนหมด จุลนีพาปทุมมากลับมาแต่งงานที่เมืองของตนเอง แต่ปทุมมากลับไม่มีความสุข เพราะในเมืองมี องค์หญิงอัคนี ลูกของ องค์ชายวิชิตชัย น้องชายของเสด็จแม่ของจุลนีคอยกีดกันความรักของปทุมมาและจุลนี จนปทุมมาตั้งครรภ์และคลอดลูก แต่อัคนีแกล้งเอาปลิงมาใส่ร้ายปทุมมาว่าคลอดลูกออกมาเป็นปลิงจนถูกจุลนีไล่ออกจากเมือง ส่วนทารกน้อยถูกลอยแพ จนตายายเห็นแล้วเก็บมาเลี้ยงจนโต จากนั่นเด็กถูกฆ่าตายโดยแผนชั่วของวิชิตชัย เด็ก ๆ ทั่ง 4 เกิดมาเป็นต้นจำปา 4 ต้นก็ไม่วายจะถูกกำจัดอีก เลยหนีไปในป่าขอความช่วยเหลือจากท่านตาฤาษีจนได้ชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง จากนั่นเด็ก ๆ ทั้ง 4 ก็ออกตามหาอาวุธประจำตัวของตนเองก่อนจะไปแก้แค้นวิชิตชัย ด้วยความเป็นเด็กไม่สามารถจะตามความเจ้าเล่ห์ของผู้ใหญ่ได้ เด็ก ๆ ทั้ง 4 เลยเดินทางไปยังถ้ำวิเศษเพื่อชุบตัวให้โตเป็นหนุ่มเป็นสาว...
เรื่องย่อ : น้ำใจแม่ (2540/1997) พระธิดาแก้วปัญหา จะเลือกคู่ครอง โดยได้ตั้งเงื่อนไขไว้ว่า หากชายใดสามารถใช้เชือกคล้องน้ำใส่ตุ่มจนเต็ม และสามารถนำเอาน้ำใจแม่ มาถวายพระธิดาแก้วปัญหาได้ ชายหนุ่มผู้นั้นก็จะได้เป็นคู่ครองของพระธิดา ฝ่ายยักษ์หัสกัณฐ์ เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจผิดคิดว่าพระธิดาคงต้องการหัวใจของแม่ ยักษ์หัสกัณฐ์จึงเดินทางกลับไปบ้านเมืองของตนและก็จัดการฆ่าแม่ของตนแล้วควักหัวใจออกมาเพื่อนำไปให้แก่พระธิดาแก้วปัญหา แต่พระเอกสามารถตอบได้เลยได้เป็นคู่ครอง ส่วนผกากรอง (ตวง สาวิกา) ได้รับการช่วยเหลือจากฤาษีโดยได้หน้ากากวิเศษที่ใส่แล้วกลายร่างเป็นยายแก่ชื่อ ผกา แล้วเดินทางไปกับพระเอกพร้อมทั้ง เท่งและหนูนุ้ยมณีจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ ยายผกาชอบทำท่าเป็นสาว และมีผู้ร่วมเดินทางคือ เท่งกับหนูนุ้ยที่รู้เรื่องก็บอกไม่ได้เพราะโดนสาปให้ปวดท้อง แล้วลุ้นมากว่าเมื่อไหร่พระเอกจะรู้สักที สงสารผกา
เรื่องย่อ : เจ้าหญิงพิกุลทอง (2554/2011) "เจ้าหญิงพิกุลทอง" เป็นธิดาของ "ท้าวสัณนุราช" กับพระมเหสี คือ "นางพิกุลจันทรา" ผู้ครองเมืองสรรพบุรี เมื่อย่างเข้าวัยรุ่นสาว ความงามของนางเป็นที่เลื่องลือว่ายากที่จะหาผู้หญิงคนใดเสมอเหมือนได้ ซึ่งนอกจากเวลาพูดกับใครจะมีดอกพิกุลทองร่วงจากปาก แล้วยังมีเส้นผมที่หอมอีกด้วย วันหนึ่งนางพิกุลทองเกิดร้อนรุ่มกลุ้มอุรา จึงได้ลาท้าวสัณนุราชไปเล่นน้ำกับพระพี่เลี้ยงในลำธาร ท้าวสัณนุราชจึงให้วางตาข่ายและทุ่นไว้รอบท่าน้ำ เพราะโหรทำนายว่านางจะต้องพลัดพรากจากเมือง จะกล่าวถึงพญาแร้งชื่อว่า "ท้าวสุบรรณปักษา" บินมาเห็นซากสุนัขเน่าจึงโฉบนำกลับไปจิกกินลอยมาใกล้บริเวณที่นางพิกุลทองกับพี่เลี้ยงเล่นน้ำอยู่ นางพิกุลทองได้กลิ่นเหม็นเน่าจึงใช้ให้พี่เลี้ยงไปดูก็พบพญาแร้งกำลังกินซากนั้นอยู่จึงได้พากันด่าว่าแล้วขับไล่ด้วยคำหยาบช้าต่างๆ นานา ฝ่ายท้าวปักษาก็โกรธจัดกล่าวว่า สุนัขเน่านี้ คือ อาหารของตนอยู่แล้ว นางพิกุลทองเป็นลูกเจ้าท้าวพระยาไม่น่ามากล่าวเจรจาด่าว่าขับไล่ตนเช่นนี้ว่าแล้วก็บินหนีไป แต่ท้าวปักษีก็ยังคิดจะแก้แค้นนางพิกุลทองให้ได้จึงออกอุบายแปลงกายเป็นหนุ่มรูปงามไปขออาศัยอยู่ที่กระท่อมท้ายสวนขวัญของเมืองสรรพบุรี แล้วคอยเนรมิตทองคำให้ 2 ตายายใช้จนร่ำรวย โดยบอกว่าตนไปพบตอนขุดเผือกมัน อยู่มาวันหนึ่งจึงรบเร้าขอให้ 2 ตายายเข้าไปสู่ขอนางพิกุลทองมาเป็นภรรยา 2 ตายายฟังแล้วหัวใจแทบวายกล่าวว่าคิดเกินตัวอย่างนี้จะถูกประหารเจ็ดชั่วโคตร ท้าวปักษาแปลงจึงแสร้งทำเป็นตรอมใจใกล้ตาย 2 ตายายจึงจำใจเข้าไปทูลสู่ขอนางพิกุลทองจากท้าวสัณนุราชได้ทราบความดังกล่าวก็กริ้วจัด กล่าวว่าถ้าคิดว่าหลานชายมีบุญวาสนาจะได้คู่กับนางจริงใกล้สร้างสะพานเงินสะพานทองจากท้ายสวนมาถึงพระราชวังภายใน 3 วันมิเช่นนั้นจะประหารทั้งโคตร 2 ตายายหลังจากกลับมาถึงบ้านแล้วก็นั่งซึม เอาแต่ร้องไห้แล้วต่อว่าท้าวปักษาที่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ตน ครั้นท้าวปักษาได้ทราบเรื่องต้องสร้างสะพานทองแล้วจึงกล่าวปลอบใจว่าถ้าตนทำไม่เสร็จจะยอมตายแทน 2 ตายายจึงค่อยโล่งใจบ้าง พอตกค่ำท้าวปักษาก็บอกว่าจะขอออกไปทำธุระข้างนอกจากนั้นก็แปลงเป็นพญาแร้งขนาดมหึมาบินกลับไปยังเขานินทะกาลา แล้วเกณฑ์ไพร่พลทั้งหลายให้มาช่วยสร้างสะพานจนแล้วเสร็จ
พราหมณ์น้อยผจญภัย (2531/1988) เป็นละครโทรทัศน์ในปี พ.ศ. 2531 ออกอากาศทางช่อง 3 แสดงนำ : (อุเทน บุญยงค์), นิค ผุสรัตน์ ดารา, นราพล ศิริอโน
โกมินทร์ (2518/1975) ละครช่อง : ช่อง 7 ออกอากาศปี 2518 แสดงนำ : สยม สังวริบุตร, ปริญญา มิตรสุวรรณ, ไพโรจน์ สังวริบุตร ผลิตโดย : (ดาราฟิล์ม) บริษัท ดาราวิดีโอ จำกัด
แว่วเสียงซอ (2529/1986) แว่วเสียงซอ เป็นเรื่องราวของ โชติ เด็กกำพร้าที่ถูกทิ้ง แต่ได้หลวงตาทอง เป็นผู้อุปการะไว้ ซึ่งโชติเป็นเด็กหัวดี เรียนเก่ง เป็นเพื่อนกับ ฉาย และ กุหลาบ ลูกสาวเถ้าแก่กิมเส็ง ซึ่งเอื้อเฟื้อต่อโชติมาตลอด โชติเรียนจบทางด้านกฏหมาย หลวงตาจึงนำไปฝากไว้กับคุณพระเสวก เพื่อหวังจะให้ได้รับราชการที่บางกอก แต่เนื่องจากระยะนี้บ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลง ข้าราชการถูกออกเป็นจำนวนมาก โชติจึงอาศัยอยู่ที่บ้านไปก่อน ซึ่งทำให้คุณหญิงสุดใจ ไม่พอใจเพราะเกรงว่าโชติจะมารักกับลูกสาวของตนคือ อุษา ซึ่งได้หมายมั่นเอาไว้ให้แต่งงานกับอุดม นักเรียนนอก ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษและเจียมตัวของโชติ ทำให้อุษาถูกชะตาโชติมาก และให้ความเป็นกันเอง ต่อมาอุดมได้ไปมาหาสู่บ้านอุษาบ่อยครั้ง และให้พระยาพิชิตผู้เป็นพ่อมาทาบทามขอหมั้น โชติเสียใจที่อุษาจะต้องรับหมั้นอุดม กุหลาบให้ฉายพามาบางกอก เพราะทนคิดถึงโชติไม่ไหว กุหลาบเห็นว่าโชติสนิทกับสนมกับอุษาเกินกว่าฐานะคนรับใช้ของคุณพระ ก็เสียใจ ขอร้องให้โชติกลับไปกรุงเก่าตามเดิม โดยเธอจะให้เตี่ยรับโชติไปทำงาน แต่โชติปฎิเสธบอกว่าอยากเป็นข้าราชการมากกว่า ต่อมาได้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบในแผ่นดิน โชติไปเป็นนักหนังสือพิมพ์ และทำให้ชีวิตเขาแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา มีเหตุเกิดหลายต่อหลายครั้ง จนใครๆ พากันคิดว่าโชติเสียชีวิตไปแล้ว ฉายรู้ว่าโชติหนีไปทางรถไฟที่ขนนักโทษที่ถูกเนรเทศ ฉายรีบนำข่าวไปบอกอุษาและกุหลาบ อุษาตัดสินใจขัดใจแม่ หนีไปหาโชติ ส่วนกุหลาบขอให้ฉายพาอุษาไปคนเดียว เพราะโชติต้องการอุษา และด้วยแรงแห่งความรักที่โชติและอุษามีต่อกัน ความรักของทั้งสองจึงพบกับความสุขในบั้นปลายของชีวิต
เรื่องย่อ : มโหสถชาดก (2538/1995) มโหสถชาดก เป็นชาดกเรื่องที่ 5 จากทศชาติชาดก โดยกล่าวถึงพระโคตมโพธิสัตว์ซึ่งเสวยพระชาติเพื่อบำเพ็ญปัญญาบารมีอันเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่การตรัสรู้เป็นพระโคตมพุทธเจ้าในที่สุด ในอดีตกาลมีพระราชานามว่า พระเจ้าวิเทหราช ซึ่งปกครองกรุงมิถิลาทรงมีบัณฑิตคู่พระทัยอยู่ 4 คนคือ เสณกะ, ปุกกุสะ, กามินทะ และเทวินทะ ในคืนหนึ่งพระเจ้าวิเทหราชทรงพระสุบินประหลาดจึงโปรดให้ เสณกะ หัวหน้าบัณฑิตทำนายพระสุบิน ก็ทรงทราบว่าจะมีบัณฑิตคนที่ 5 ที่มีสติปัญญาล่วงเลยบัณฑิตทั้ง 4 ถือกำเนิดในมิถิลา ขณะเดียวกันใน หมู่บ้านปาจีนยวมัชฌคาม พระโพธิสัตว์ได้ทรงถือปฏิสนธิในครรภ์ของนางสุมนา ภรรยาของสิริวัฒกเศรษฐี เมื่อผ่านไป 10 เดือนนางสุมนาก็ให้กำเนิดบุตรชายที่ได้ถือแท่งยาออกมา ทันทีที่คลอดเสร็จสิริวัฒกเศรษฐีก็ได้นำแท่งยาไปฝนกับหินบดยาแล้วนำมาทาที่หน้าผาก ปรากฏว่าอาการปวดหัวของท่านเศรษฐีก็หายเป็นปลิดทิ้ง ท่านเศรษฐีจึงตั้งชื่อบุตรชายว่า มโหสถกุมาร แปลว่า กุมารผู้มียาอันมีอานุภาพมาก 7 ปีผ่านไปพระเจ้าวิเทหราชทรงรำลึกได้ว่าเมื่อ 7 ปีก่อนทรงพระสุบินว่าจะมีบัณฑิตคนที่ 5 มาเกิดในยุคของพระองค์จึงโปรดให้มหาอำมาตย์ออกไปสังเกตการณ์ในทิศทั้ง 4 ของมิถิลาซึ่งในที่สุดก็มีมหาอำมาตย์ท่านหนึ่งมาถึงหมู่บ้านที่มโหสถกุมารอาศัยอยู่ก็ได้ยินกิตติศัพท์และชื่อเสียงของมโหสถจึงกลับไปทูลรายงานว่าพบบัณฑิตคนที่ 5 แล้วพระเจ้าวิเทหราชดีพระทัยหมายจะเรียกมโหสถเข้ามาเป็นบัณฑิตในราชสำนัก แต่ทรงถูกเสณกะบัณฑิตยับยั้งไว้โดยอ้างว่าต้องการพิสูจน์ปัญญาของมโหสถกุมาร ในการพิสูจน์ปัญญาของมโหสถกุมารว่าเหมาะสมจะเป็นบัณฑิตคนที่ 5 หรือไม่นั้นมีปัญหาทดสอบเชาวน์ปัญญาของมโหสถกุมารถึง 19 ข้อแต่มโหสถกุมารก็สามารถวิสัชนาปัญหาได้หมด พระเจ้าวิเทหราชจึงรับมโหสถเป็นพระราชโอรสบุญธรรม พร้อมทั้งสถาปนาให้เป็นมหาบัณฑิต ซึ่งชื่อเสียงของมโหสถบัณฑิตก็ไปเข้าพระกรรณของ พระเจ้าจุลนีพรหมทัต ราชาแห่งกรุงพาราณสีที่หมายจะตีกรุงมิถิลา แต่ก็ถูกมโหสถบัณฑิตยับยั้งไว้ได้สำเร็จ จนพระเจ้าจุลนีพรหมทัตต้องขอร้องให้มโหสถมารับราชการที่ราชสำนักของพระองค์แต่มโหสถบัณฑิตได้ปฏิเสธไป แต่ได้ให้สัญญากับพระเจ้าจุลนีพรหมทัตว่าถ้าพระเจ้าวิเทหราชสวรรคตเมื่อไหร่จะไปรับใช้ทันที หลังจากพระเจ้าวิเทหราชสวรรคตมโหสถได้ไปรับใช้พระเจ้าจุลนีพรหมทัตตามสัญญาตราบจนสิ้นอายุขัย
ดาบเจ็ดสี (2566/2023) โอม (ฉัตรมงคล บำเพ็ญ), สุ (อัมพล สวนสุข), จิ (ศราวัฒน์ อมศิริ), ปุ (วิเชษฐ์ นิลกลาง), ลิ (ณรงค์ ปานชัน), พ้วง (อิศรา กิจรักษา), เพี้ยง (มิน จอ ริน) ฤาษีทั้งเจ็ดแห่งเทือกเขาสายรุ้ง ช่วยกันสร้างดาบเจ็ดสี อาวุธวิเศษที่ทรงมหิทธานุภาพ ใครได้ครอบครองจะได้ครองทั้งสามโลก มีเพียง มณีเจ็ดแสง ที่ต่อกรกับดาบเจ็ดสีได้ ผู้คนมากมายเที่ยวตามหาดาบเจ็ดสี แต่หารู้ไม่ว่าผู้ที่จะได้ครอบครองต้องมี 7 สิ่งอยู่ในตัว คือ กตัญญูรู้คุณ เกื้อหนุนเมตตา กรุณาผู้น้อย คอยช่วยเพื่อนมนุษย์ ใจสุดมั่นคง ซื่อตรงความดี พลีชีพปราบมาร โอรสเพชรฤทธิ์ (รชฏ สกุลสิงห์ดุสิต) แห่งจันทรนคร ต้องหนีตายจาก ท้าวพันตา (สุรศักดิ์ สุวรรณวงษ์) ผู้ที่หวังครอบครองดาบเจ็ดสี ท้าวพันตาต้องการตำราวิเศษ ของคู่บ้านคู่เมืองจันทรนคร ที่จะบอกได้ว่าดาบเจ็ดสีอยู่ที่ไหน เพชรฤทธิ์ กับ แก้ว (ศิฐฑา ตาบโกไสย) มหาดเล็กคนสนิท จึงออกตามหา ไกรเดช (รชฏ สกุลสิงห์ดุสิต) พระเชษฐา ที่ไปตามหาดาบเจ็ดสี เพื่อกลับมาช่วยเสด็จพ่อจันทราทิตย์ (ศุภราช เกษศิริ) และเสด็จแม่นันทาวดี (ชนารดี อุ่นทะศรี) ที่ถูกท้าวพันตาจับตัวไป ขณะเดินทาง เพชรฤทธิ์ได้พบฤาษีทั้ง 7 ตน สอนวิชาให้ แถมยังเสกไม้เท้าวิเศษที่จะกลายเป็นม้าบินได้ให้ แล้วก็ให้ลูกแก้วที่อมแล้วยืดหยุ่นตัวได้ให้เจ้าแก้ว เมื่อเพชรฤทธิ์กับแก้วเดินทาง ก็มีนกแก้วตัวหนึ่งบินมาขอความช่วยเหลือ ให้เพชรฤทธิ์ไปที่เมืองเนมิน ที่ทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง เพชรฤทธิ์จึงช่วยพระธิดา วนาลี (ภัทราภรณ์ เมาลี) จากการอภิเษกกับ ภูตจักรกลด (รัฐศิลป์ นลินธนาพัฒน์) บริวารของท้าวพันตา ต่อมาเพชรฤทธิ์ได้พบกับหนุ่มน้อยสุวรรณ โดยไม่รู้ว่า สุวรรณมาลัย (สัตตบงกช อารีรักษ์) คือธิดาของ ครุฑธาเทพ (โอภาภูมิ ชิตาพัณณ์) ที่ครองเมืองมนุษย์ครุฑธา เพชรฤทธิ์ฝันถึงนางในฝันซึ่งมีหน้าตาเหมือนหนุ่มน้อยสุวรรณ เพชรฤทธิ์ตามหานางในฝัน จนหลงเข้าไปในเมืองมนุษย์ครุฑธา และถูกสาปเป็นกระต่าย สุวรรณมาลัยจึงช่วยถอนคำสาปให้เพชรฤทธิ์ และหาทางเอาไม้เท้าที่ครุฑธาเทพยึดไปมาคืนให้ ทางด้าน สิงห์ (ภูธนิน สินสมใจ) ชายหนุ่มที่อาศัยอยู่กับตาและยาย ได้เดินทางเข้าป่าเพื่อหายาวิเศษมารักษาตาของยายที่บอด การเดินทางครั้งนี้นอกจากพบยาวิเศษแล้ว สิงห์ยังได้พบเพื่อนรู้ใจ ดำทมิฬ หมาพูดได้ และแหวนวงหนึ่ง ซึ่งเมื่อถูหัวแหวน กุมารี (ด.ญ.อณิกา ทอมลินสัน) ผู้มีฤทธิ์เดชในแหวน จะทำหน้าที่คอยรับใช้ผู้เป็นเจ้าของแหวน สิงห์ใช้ยาวิเศษรักษาดวงตาของยาย จนผู้คนร่ำลือไปถึงกษัตริย์แห่งอุตรนคร นครนี้มีธิดาชื่อ อัมราวดี (อิสซาเบล โคปิเต่) ที่มีนิสัยโหดร้าย เพราะได้รับการเลี้ยงดูจาก แม่เฒ่าเมาฬี (สิริยา นฤนาท) ซึ่งเป็นปีศาจแมว สมุนของท้าวพันตา ใบหน้าอัมราวดีครึ่งหนึ่งน่ากลัวเหมือนปีศาจ อีกครึ่งงามดังเทพธิดา มเหสีอำภา (ชนุชตรา สุขสันต์) แม่ของอัมราวดี ให้คนไปพาตัวสิงห์มารักษาอัมราวดี อุตระราชา (พบศิลป์ โตสกุล) ให้ข้อเสนอสิงห์ว่า หากรักษาธิดาของเขาหายจะให้สิงห์อภิเษกกับนาง แต่หากรักษาไม่หายจะต้องถูกประหาร เมื่อสิงห์ได้พบอัมราวดีก็เกิดหลงรัก สิงห์ใช้กุมารีรักษาใบหน้าของอัมราวดีจนเป็นปกติ เมาฬีสงสัยว่าสิงห์ต้องมีของวิเศษ ทำให้คำสาปที่เคยสาปอัมราวดีตั้งแต่อยู่ในครรภ์หายได้ จึงวางแผนให้อัมราวดีหลอกล่อ แกล้งทำเป็นรักสิงห์ สิงห์หลงกล มอบแหวนให้อัมราวดี และถูก กาฬราช (พศิณ กรรณสูต) ผีดูดเลือดที่หลงรักอัมราวดี ทำให้สิงห์กลายเป็นผีดิบ แต่สิงห์ก็สามารถหนีรอดไปจากเมืองได้ เพราะได้เพชรฤทธิ์กับแก้วช่วยเอาไว้ บนยอดปราสาทเมืองท้าวพันตา ลีลาวดี (รมิตา รัตนภักดี) ธิดาของท้าวพันตา มีหน้าที่ปรุงยารักษาสมุนปีศาจของท้าวพันตาที่ได้รับบาดเจ็บ ลีลาวดีรัก อัคนี (ภากร รอดขำปิยเศรษฐ์) องค์ชายที่ท้าวพันตาหมายมั่นจะให้แต่งงานด้วย แต่ดูเหมือนอัคนีจะรักลีลาวดีเพียงแค่น้องสาว เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามชมกันต่อได้ในละคร ดาบเจ็ดสี ที่ออกอากาศทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.00 น. ทางช่อง 7HD ละคร ดาบเจ็ดสี เริ่มตอนแรกวันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2566 (ที่มา : ช่อง 7)
เรื่องย่อ : จินดาสมุทร (2528/1985) จินดาสมุทร เด็กน้อยเจ้าน่ารัก จินดาเจ้ารู้จัก ค่าความรักและกตัญญู มีแม่เป็นนางยักษ์ เป็นที่รักและเป็นทั้งครู แม่สอนให้เจ้ารู้ คุณความดีมีศีลธรรม จินดาเป็นยอดเด็ด เป็นเพชรที่เลิศล้ำ แม่สอนเจ้าก็จำ เชื่อถ้อยคำของแม่โดยดี เจ้าหมั่นท่องมนต์คาถา หมั่นศึกษาครบถ้วนวิธี ลงน้ำเป็นนาคี เข้าพงพีเป็นสิงหราช ฝึกฝนจนช่ำชอง กระบองฝีมือฉกาจ ปราดเปรียวเปรื่องปราด สมเป็นชาติเชื้อเจ้าชาย จินดาสมุทร สงสารเจ้ากำพร้า เด็กน้อยคอยถามว่า แม่จ๋าพ่อหนูคือใคร ทุกวันเจ้าเหม่อมองฟ้า เห็นนกกาบินคลอกันไป พ่อจ๋าพ่ออยู่ไหน ลูกจะไปติดตามหาพ่อ
เรื่องย่อ : ไกรทอง (2513/1970) กาลครั้งหนึ่ง มีถ้ำแก้ววิเศษเป็นที่อยู่ของจระเข้(ใต้) ในถ้ำมีลูกแก้ววิเศษที่ส่องแสงดุจเวลากลางวัน จระเข้ทุกตัวที่เข้ามาในถ้ำจะกลายเป็นมนุษย์ มีท้าวรำไพ เป็นจระเข้เฒ่าผู้ทรงศีล ไม่กินเนื้อมนุษย์และสัตว์ มีบุตรชื่อ ท้าวโคจร ซึ่งนิสัยแตกต่างจากพ่อโดยสิ้นเชิง ท้าวโคจรมีบุตรชื่อ ชาละวัน (ดามพ์ ดัสกร) วันหนึ่ง ท้าวโคจร เกิดทะเลาะวิวาทกับท้าวแสนตาและพญาพันวัง(เหนือ) ท้าวโคจรโกรธที่ท้าวแสนตาฆ่าลูกน้องของตนจึงเข้ามาขอท้าสู้ แต่ท้าวแสนตาก็ไม่อาจสู้กำลังของท้าวโคจรได้ พญาพันวังโมโหที่ท้าวโคจรฆ่าพี่ชายของตนจึงขึ้นมาสู้กับท้าวโคจร สุดท้ายทั้งสามก็จบชีวิตลงจากบาดแผลที่เกิดจากการสู้รบกัน
ดาบเจ็ดสี มณีเจ็ดแสง (2553/2010) นทรา นครที่เคยอุดมรุ่งเรืองมาแสนนาน เกิดแห้งแล้งวิปริตดุจต้องอาถรรพณ์ ในคืนหนึ่งเหนือหัวจันทราทิตย์ (เบญ เบญจมินทร์) สุบินเห็นอสูรย์ร่างกระดูกบอกวิธีแก้ไข โดยให้ไปตามหาดาบ 7 สี รุ่งขึ้น...ความทราบถึงพระโอรสคู่แฝดผู้เป็นความหวังของราชวงศ์ ต่างรีบอาสาสรุปด้วยวิธีจับไม้สั้นไม้ยาว เจ้าชายไกรเดชผู้พี่ชนะ (ฟิวส์-กิตติวงศ์) และออกเดินทางไป แต่ลับหายไร้วี่แวว เจ้าชายเพชราผู้น้อง (ฟิวส์-กิตติวงศ์)ทูลขอติดตาม เหนือหัวจันทราทิตย์ทรงอนุญาต ทั้งที่ทรงวิตกว่าจะเป็นอย่างไร หากดาบ 7 สี เป็นเพียงตำนานเล่าขานเจ้าชายเพชรา (ฟิวส์-กิตติวงศ์) และหัวหมู่แก้ว (จัตวา) ทหารคนสนิทเดินทางผ่านป่าใหญ่ อันเป็นที่สถิตบำเพเพ็ญพรตของ 5 มหาฤษีดัดตนทรงฤทธิ์อันมีนามว่า โอม สุ จิ ปุ ลิ ได้ร่วมกันผนึกกำลังพลังหลอมไม้เท้าวิเศษขึ้น สามารถพูดได้เป็นพหูสูตแปลงเป็นม้าบิน และอาวุธทวนคู่กายโดยใช้ชื่อของฤาษี โอม-สุ-จิ-ปุ-ลิ เป็นคาถากำกับ ส่วนเจ้าแก้วได้ลูกอมวิเศษ อมแล้วสามารถยืดหดตัวได้
เรื่องย่อ : พิกุลทอง (2545/2002) เจ้าหญิงพิกุลทอง เป็นธิดาของ "กษัตริย์ยศกานต์" กับพระมเหสี คือ "นางพิกุลจันทรา" ผู้ครองเมืองสรรพบุรี (ต้นฉบับสมุดข่อยเขียนว่าเมือง สันทบุรี) เมื่อย่างเข้าวัยรุ่นสาว ความงามของนางเป็นที่เลื่องลือว่ายากที่จะหาผู้หญิงคนใดเสมอเหมือนได้ ซึ่งนอกจากเวลาพูดกับใครจะมีดอกพิกุลทองร่วงจากปาก แล้วยังมีเส้นผมที่หอมอีกด้วย วันหนึ่งนางพิกุลทองเกิดร้อนรุ่มกลุ้มอุรา จึงได้ลาท้าวสัณนุราชไปเล่นน้ำกับพระพี่เลี้ยงในลำธาร ท้าวสัณนุราชจึงให้วางตาข่ายและทุ่นไว้รอบท่าน้ำ เพราะโหรทำนายว่านางจะต้องพลัดพรากจากเมือง จะกล่าวถึงพญาแร้งชื่อว่า "ท้าวสุบรรณปักษา" บินมาเห็นซากสุนัขเน่าจึงโฉบนำกลับไปจิกกินลอยมาใกล้บริเวณที่นางพิกุลทองกับพี่เลี้ยงเล่นน้ำอยู่ นางพิกุลทองได้กลิ่นเหม็นเน่าจึงใช้ให้พี่เลี้ยงไปดูก็พบพญาแร้งกำลังกินซากนั้นอยู่จึงได้พากันด่าว่าแล้วขับไล่ด้วยคำหยาบช้าต่างๆ นานา ฝ่ายท้าวปักษาก็โกรธจัดกล่าวว่า สุนัขเน่านี้ คือ อาหารของตนอยู่แล้ว นางพิกุลทองเป็นลูกเจ้าท้าวพระยาไม่น่ามากล่าวเจรจาด่าว่าขับไล่ตนเช่นนี้ว่าแล้วก็บินหนีไป แต่ท้าวปักษีก็ยังคิดจะแก้แค้นนางพิกุลทองให้ได้จึงออกอุบายแปลงกายเป็นหนุ่มรูปงามไปขออาศัยอยู่ที่กระท่อมท้ายสวนขวัญของเมืองสรรพบุรี แล้วคอยเนรมิตทองคำให้ 2 ตายายใช้จนร่ำรวย โดยบอกว่าตนไปพบตอนขุดเผือกมัน อยู่มาวันหนึ่งจึงรบเร้าขอให้ 2 ตายายเข้าไปสู่ขอนางพิกุลทองมาเป็นภรรยา 2 ตายายฟังแล้วหัวใจแทบวายกล่าวว่าคิดเกินตัวอย่างนี้จะถูกประหารเจ็ดชั่วโคตร ท้าวปักษาแปลงจึงแสร้งทำเป็นตรอมใจใกล้ตาย 2 ตายายจึงจำใจเข้าไปทูลสู่ขอนางพิกุลทองจากกษัตริย์ยศกานต์ พระองค์ได้ทราบความดังกล่าวก็กริ้วจัด กล่าวว่าถ้าคิดว่าหลานชายมีบุญวาสนาจะได้คู่กับนางจริงใกล้สร้างสะพานเงินสะพานทองจากท้ายสวนมาถึงพระราชวังภายใน 3 วันมิเช่นนั้นจะประหารทั้งโคตร 2 ตายายหลังจากกลับมาถึงบ้านแล้วก็นั่งซึม เอาแต่ร้องไห้แล้วต่อว่าท้าวปักษาที่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ตน ครั้นท้าวปักษาได้ทราบเรื่องต้องสร้างสะพานทองแล้วจึงกล่าวปลอบใจว่าถ้าตนทำไม่เสร็จจะยอมตายแทน 2 ตายายจึงค่อยโล่งใจบ้าง พอตกค่ำท้าวปักษาก็บอกว่าจะขอออกไปทำธุระข้างนอกจากนั้นก็แปลงเป็นพญาแร้งขนาดมหึมาบินกลับไปยังเขานินทะกาลา แล้วเกณฑ์ไพร่พลทั้งหลายให้มาช่วยสร้างสะพานจนแล้วเสร็จ