ยมบาลเจ้าขา ปี 2 2559

เรื่องย่อ : ยมบาลเจ้าขา ปี 2 (2559/2016) จากอพาร์ตเม้นต์ของลลิต ประตูนรกได้หมุนเคลื่อนอีกครั้ง ด้วยสาเหตุจากบาปกรรมอันหนาหนักที่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ ได้ไปก่อกวนประตูเชื่อมมิติแห่งกาลเวลา และครั้งนี้ประตูนรกได้เคลื่อนตัวมายังโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ทางเชื่อมได้เปิดขึ้นอีกครั้ง ณ ห้องดับจิต สถานที่ที่ไม่มีใครต้องการเฉียดใกล้แม้ในช่วงเวลากลางวัน “นพ. มังกร สืบบุญ” แพทย์หนุ่มไฟแรง อายุ 30 ปี มีความแปลกแหวกแนวกว่าเพื่อนๆ ที่จบแพทยศาสตร์บัณฑิตทั่วไป เพราะเขาเลือกที่จะเรียนต่อสาขานิติเวชวิทยา หรือ นิติเวชศาสตร์ (Forensic Medicine) นายแพทย์มังกรเป็นคนหนุ่ม มาดนิ่ง สุขุม มีความกวนตีนอยู่ลึกๆ บางครั้งเขานิ่งฟังคนพูดมากๆ ก็จะสวนกลับด้วยคำพูดสั้นๆ ที่กระแทกใจคน เข้าทำนองพูดน้อยต่อยหนัก นายแพทย์มังกรใช้ชีวิตเรียบง่าย อาศัยที่คอนโดไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก ชอบอาหารฟาสฟู้ดเพราะง่ายและเร็ว แม้จะรู้ว่ามันไม่ค่อยดีกับสุขภาพ แต่บางครั้งก็ฝากท้องกับร้านอาหารของโรงพยาบาล ปัจจุบันนายแพทย์มังกรทำงานที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง (ที่เดียวกับประตูนรกเปิดเชื่อม) *** แพทย์ทางนิติเวชจะมีประจำที่โรงพยาบาลศิริราชตลอด 24 ชั่วโมง สามารถไปถึงยังสถานที่ที่เกิดเหตุได้ตลอดเวลา *** ชีวิตของนายแพทย์มังกร เริ่มเข้าสู่โหมดความวุ่นวายมากขึ้น เมื่อได้มารู้จักกับนักข่าวสาวอาชญากรรมมือใหม่ไฟแรง ชื่อ “น้ำหวาน” หรือ มธุรส เรียงอักษร นักข่าวสาวสวยอายุ 24 ปี เป็นนักข่าวหน้าใหม่ที่เพิ่งได้รับการบรรจุงานเป็นนักข่าวสายอาชญากรรม สำหรับนักข่าวสาวคนอื่นๆ งานสายอาชญากรรมอาจจะเป็นสายที่เอาไว้อันดับท้ายๆ แต่ไม่ใช่กับน้ำหวาน น้ำหวานกลับเลือกที่จะทำข่าวอาชญากรรม เพราะน้ำหวานมีความมุ่งมั่นที่จะทำข่าวเพื่อช่วยเหลือประชาชน ช่วยเหลือสังคม นำความจริงมาเผยแพร่ และนำคนร้ายมาลงโทษ น้ำหวานต้องส่งสกู๊ปงานและภาพข่าวให้ได้อย่างน้อยวันละ 1 สกู๊ป ชีวิตการทำงานของน้ำหวานจึงต้องเกาะติดอยู่กับโรงพัก โรงพยาบาล รวมทั้งมูลนิธิร่วมกตัญญู ปอเต็กตึ๊ง เพื่อหาข่าวให้ได้ น้ำหวานเป็นสาวตัวเล็กๆ คล่องแคล่ว แต่โก๊ะๆ เปิ่นๆ ซุ่มซ่ามในบางเวลา เพราะความเร่งรีบตามข่าวของเธอ เธอจึงไม่ชอบแต่งหน้า เวลาจะไปทำงานน้ำหวานจะทาครีมกันแดด แต่ทาแป้งเด็ก แล้วก็ทาลิปมัน แค่นี้ก็เหนอะปากมากพอแล้ว เรื่องเดียวที่ทำให้เธอลำบากใจก็คือ การทำงานของเธอ ทำให้ไม่มีเวลาให้กับ “น้ำฝน” น้องสาวเพียงคนเดียวของเธอ น้ำฝนต้องรอคอยเธอกลับมาดูแล ซึ่งบางครั้งเธอก็ทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่าที่ควร พ่อแม่ของน้ำหวานและน้ำฝน เสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลังจากที่น้ำหวานได้รับใบปริญญาได้ไม่นาน โชคดีที่พ่อแม่ทิ้งบ้านทาวน์เฮ้าส์ไว้ให้ 1 หลัง และเงินอีกจำนวนหนึ่ง น้ำหวานได้งานทำทันทีหลังเรียนจบ เธอจึงตั้งใจที่จะใช้ชีวิตแบบประหยัดมัธยัสถ์ เก็บเงินที่พ่อแม่เหลือไว้ให้ไว้เป็นค่าเล่าเรียนของน้ำฝน สำนักข่าวของน้ำหวาน อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลที่นายแพทย์มังกรทำงานอยู่ แถมคอนโดของนายแพทย์มังกรก็ยังอยู่ซอยเดียวกับบ้านทาวน์เฮ้าส์ของน้ำหวานด้วย บางครั้งนายแพทย์มังกรขับรถผ่านบ้านน้ำหวาน เขาเห็นน้ำฝนออกมานั่งเล่นหน้าบ้านคนเดียวบ่อยๆ ดูแล้วน่าสงสาร มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ลูกบอลของน้ำฝนกระเด็นออกมากลางถนน โชคดีที่เขาเบรกรถไว้ได้ทัน จากการพูดคุยวันนั้น นายแพทย์มังกรจึงได้รู้ว่าน้ำฝนมีพี่สาว ชื่อน้ำหวานและเป็นนักข่าวจอมป่วน ที่ชอบมาป้วนเปี้ยนที่ทำงานของเขานั่นเอง นายแพทย์มังกรสงสารน้ำฝน จึงมักหาเวลาซื้อขนมมาฝากและนั่งเล่นเป็นเพื่อนบ่อยๆ จนกลายเป็นเพื่อนซี้ต่างวัย บางครั้งเขาจะได้ยินน้ำฝนพูดคุยกับใครบางคน น้ำฝนแนะนำให้เขารู้จักกับทอง แต่เขามองไม่เห็นใคร นายแพทย์มังกรคิดว่า อายุของน้ำฝนโตเกินกว่าจะมีเพื่อนในจินตนาการแล้ว แล้วที่น้ำฝนพูดมันหมายความว่าอย่างไร?? เรื่องนี้ทำให้นายแพทย์มังกรสนใจน้ำฝนมาก และกะว่าจะหาเวลาพูดกับน้ำหวาน เพราะคิดว่าน้ำฝนอาจจะผิดปกติก็เป็นได้ กุมารทอง ไม่พอใจเล็กน้อย สุวานและสุวรรณพากันหัวเราะยั่วเย้ากุมารทอง จนพญายมต้องปรามและบอกกุมารทองว่า การที่เค้าไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่าเขาดูถูก หรือไม่เห็นความสำคัญ เรื่องที่มีคนเห็นพวกเราอย่างเด็กที่ชื่อน้ำฝน ถือว่าเป็นเรื่องพิเศษ ไม่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะสามารถเป็นได้ หนูทอง สงสารน้ำฝนที่พ่อแม่ตายหมดแล้ว พญายมอธิบายว่าบุญกรรมคนเราทำมาไม่เท่ากัน แม้ว่าบิดามารดาจะจากไป แต่ก็ยังมีพี่สาวที่คอยรักและห่วงใย กุมารทองแย้งว่า แต่ก็ไม่เห็นมีเวลาให้น้องสาวเท่าไหร่เลย สุวานและสุวรรณส่ายหน้าบอกว่า จะให้พี่สาวอยู่ด้วยตลอด 24 ชม. ก็ไม่ต้องทำงานกันพอดี พญายมมองทางหมอหนุ่ม ที่ชื่อมังกร แล้วเปรยว่า นายแพทย์คนนี้เป็นคนดีและเถรตรง พวกเราจะต้องเจอกับมนุษย์ผู้นี้มีมากมายหลายครั้ง นับจากวันนี้เป็นต้นไป .......... กุมารทองสงสัยว่า เพราะอะไร สุวานและสุวรรณบอกว่า เหมือนบุพเพสันนิวาส คราวก่อนชะตาของพวกเราต้องกันกับมนัส นายตำรวจหนุ่ม แต่คราวนี้ กลับเป็นนายแพทย์มังกร พญายมหัวเราะบอกว่า อย่างเด็กน้อยที่ชื่อน้ำฝน ซึ่งสามารถมองเห็นเจ้าหนูทองได้ ก็ถือว่ามีอะไรที่พิเศษเหนือกว่าเด็กทั่วๆ ไป เนื่องจากในอดีต น้ำฝน เจอประสบการณ์เฉียดตายมาก่อน จนไข้สูงเกิดอาการชัก วิญญาณของพ่อและแม่ที่กำลังโดนเราพิพากษาร้อนรนทนไม่ไหว ขออนุญาตมาดูแลลูก ครั้งนั้นเราได้อนุญาตไป แต่ทำให้เด็กน้อยคนนี้ได้เห็นตัวเราโดยบังเอิญ จึงได้รับพลังพิเศษไปจากเราโดยไม่รู้ตัว สุวานสุวรรณทูลถามพญายมว่า พลังพิเศษนี้จะดำรงอยู่ตลอดไปหรือไม่ พญายมยิ้มบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีใครสามารถตอบได้ ขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่ติดตัวมาแต่ดั้งเดิม บางทีเมื่อโตขึ้น จิตเริ่มไม่นิ่งไม่บริสุทธิ์พลังพิเศษเหล่านี้ก็จะถูกลบเลือนไปก็เป็นได้ หน้าบ้านทาวเฮ้าส์ของน้ำฝน “มานพ” วินมอเตอร์ไซค์ อายุ 26 ปี มองเข้ามาในบ้านอย่างสงสัย แล้วมองรถเก๋งหรูที่จอดหน้าบ้าน (รถของนายแพทย์มังกร) ใครมาวะ?? พอน้ำฝนเดินออกมากับนายแพทย์มังกร .. มานพก็มองอย่างระแวง น้ำฝนบอกเพื่อนหนูเอง แล้วแนะนำให้พี่มานพ รู้จักกับพี่หมอมังกร .. มานพมองมังกรไม่ไว้ใจ นายแพทย์มังกรหน้านิ่งรู้ว่ามานพคิดยังไง บอกลาน้ำฝนขึ้นรถจากไป มานพยื่นถุงก๋วยเตี๋ยวให้น้ำฝนพลางเตือนว่า อย่าเที่ยวเปิดประตูรับคนแปลกหน้าเผื่อมันเป็นโรคจิต น้ำฝนยิ้มพลางมองก๋วยเตี๋ยวในถุง บ่นว่าก๋วยเตี๋ยวอีกแล้วเหรอ มานพเกาหัวบอกพี่น้ำหวาน ฝากมาให้นี่ ไม่ชอบเหรอ น้ำฝนเบ้ปากบอกอยากกินไอติมกับน้ำขวด มานพหัวเราะบอกว่าอาหารแบบนั้นพี่สาวห้ามไม่ใช่หรอ แต่แล้วก็เรียกน้ำฝนซ้อนท้ายบอกไปปากซอยกันพี่เลี้ยงเอง พวกพญายม สุวานสุวรรณ กุมารทอง มองมานพและน้ำฝน พญายมบอกว่า เห็นมั้ยเจ้าหนูทอง แม้จะอาภัพบิดามารดา แต่บุญเก่ายังพอมี ถึงได้พบเจอแต่คนดีๆ .... พญายมพูดเพียงเท่านั้น ก็ชะงัก บอกกับพวกสุวานสุวรรณและกุมารทองว่า ได้เวลางานของพวกเราอีกแล้ว ..... มีการแจ้งเหตุการณ์ตายขึ้น พวกมูลนิธิ (ประมาณปอเต็กตึ๊ง ร่วมกตัญญู) มาที่สถานที่เกิดเหตุ เสียงหวอเปิดครวญครางน่ากลัวและเร่งเร้าความรู้สึก พวกพญายมปรากฏกายขึ้นมองทางด้านหน้าสถานที่แห่งนั้น “ดาว” สาวมาดทอมบอย เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ (เป็นเจ้าหน้าที่ น.เขต ได้เงินเดือนจากทางมูลนิธิ ทำงานเป็นอาชีพ) เดินทะลุผ่านกลุ่มพญายมไปด้วยความเร่งรีบ เธอต้องการไปถึงตัวผู้เคราะห์ร้ายให้รวดเร็วที่สุด ผู้เคราะห์ร้ายอาจจะยังมีชีวิต และเธอต้องช่วยกู้ชีพให้เร็วที่สุด ความจริงดาวเป็นคนกลัวผีที่สุด แต่มีจิตใจมุ่งมั่นในการช่วยเหลือคนมากกว่า พญายมบอกกุมารทองว่า ดาวคือ ตัวอย่างของคนในสังคมที่แม้จะอยู่ในชนชั้นล่าง เงินเดือนน้อย แต่มีความเสียสละ และชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ดาวมีสัมผัสพิเศษเจอผีบ่อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นผี บางครั้งผีก็มาบอกจุดเกิดเหตุ หรือมาขอความช่วยเหลือจากดาว คนรอบๆ ตัวดาว คิดว่าดาวเป็นพวกผิดเพศที่เพี้ยนๆ ทั้งดาวและมานพ อาศัยอยู่ในแฟลตเดียวกัน เป็นคู่กัดลับฝีปากกันเป็นประจำ แม้จะไม่ค่อยถูกชะตา แต่ก็คอยช่วยเหลือกันอยู่ในที เพราะเป็นคนจิตใจดีทั้งคู่ ดาวต้องพาคนเจ็บและศพมาส่งที่โรงพยาบาลของนายแพทย์มังกรบ่อยๆ ดาวแอบชอบนายแพทย์มังกร แต่เพราะมาดทอมบอยของดาว ทำให้หมอมังกรไม่ทันได้รับรู้ความรู้สึกของดาว ในขณะเดียวกันนายแพทย์มังกรกลับประทับใจน้ำหวาน นักข่าวสาวจอมยุ่ง ส่วนมานพก็หลงรักน้ำหวานด้วย ถึงแม้ภายนอกนายแพทย์มังกรกับน้ำหวานจะดูไม่ค่อยจะถูกกัน นายแพทย์มังกรออกจะรำคาญน้ำหวานที่มาคอยตื๊อทำข่าว แต่ใจจริงแล้วนายแพทย์มังกรประทับใจน้ำหวาน ที่เป็นผู้หญิงสู้ชีวิต แถมยังต้องดูแลน้องสาวคนเดียว จากความประทับใจก็กลายเป็นความรักในที่สุด เรื่องราวของนายแพทย์มังกร น้ำหวาน มานพ ดาว และน้ำฝน ล้วนมีชะตาต้องกัน เมื่อพวกเขาต้องมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ กับประตูมิติของนรกที่เชื่อมมายังห้องดับจิต นายแพทย์มังกรไม่เชื่อเรื่องผี แต่กลับต้องมาเจอเรื่องขนหัวลุกที่พิสูจน์ไม่ได้บ่อยๆ เมื่อวิญญาณที่ไม่ยินยอมพร้อมใจตายปรากฏให้เห็น ด้วยติดค้างเรื่องทางโลก กระทบไปถึงน้ำหวาน นักข่าวอาชญากรรมที่มาป้วนเปี้ยนตามข่าวกับนายแพทย์มังกร กุมารทองต้องมาช่วยเหลือนายแพทย์มังกรและน้ำหวานไม่ให้โดนวิญญาณที่มีดวงจิตอาฆาตทำร้าย รวมทั้งยังต้องช่วยสุวานและสุวรรณตามล่าวิญญาณโหดหลายดวงที่พยายามหลบหนีการจับกุม กุมารทองที่เฝ้ามองอยู่ถามพญายมว่า นี่คือการเรียนรู้ชีวิตมนุษย์ครั้งใหม่ของหนูใช่หรือไม่ พญายมตอบว่า ถูกแล้ว คนเหล่านี้ คือ ฟันเฟืองสำคัญที่จะเป็นสื่อกลางให้เราได้เรียนรู้ชีวิตมนุษย์ในยุคนี้ ... เพราะไม่มีใครในโลกนี้ที่จะหลีกหนีกรรมของตนได้พ้น หากต้องการพ้นจากนรก มีทางเดียว คือ รักษาศีลให้มั่นคงเข้าไว้ สุวานและสุวรรณได้ฟังก็หัวเราะออกมาดังกึกก้อง ด้วยรู้ว่าเป็นสิ่งยากยิ่งเพราะมนุษย์ทุกคนอุดมไปด้วยกิเลสนานาชนิดนั่นเอง ...

ใต้ร่มพระบารมี เรื่อง จงรักภักดี (2559/2016) เรื่องราวของชายหนุ่มผู้มอบกายและถวายใจเป็นความจงรักภักดีแด่องค์ภูมินทร์รัชกาลที่ ๙ ในช่วงเวลาหลังจากวันที่คนไทยทั้งแผ่นดินโศกศัลย์อย่างที่สุด เหตุจากการเสด็จสวรรคตของพ่อหลวง รัชกาลที่ ๙ เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ ชีวิตของเขาและผู้คนรอบข้างได้เปลี่ยนไป แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในใจก็ยังคงมิเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือ "ความจงรักภักดี"

ใต้ร่มพระบารมี เรื่อง จากฟากฟ้าสุราลัย (2559/2016) เป็นจดหมายที่ราษฏรตัวเล็กๆ ที่บางคนอาจจะคิดว่าไม่มีความสำคัญอะไรเลยแต่สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 แล้ว ทุกคนมีความสำคัญเสมอกันหมด ทุกข์ของราษฏรไม่ว่าจะเป็นใครก็อยู่ในสายพระเนตรของพระองค์เสมอ “เทวดาของหนู” เด็กชาย นที บุญยะสุขานนท์ วัย 7 ขวบ มีฐานะยากจน มารดาชื่อ เพ็ญรุ่ง บุญยะสุขานนท์ เมื่อแรกเกิด มารดาซึ่งมีอาชีพขายของที่ห้างขายปลีก ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับวัดแห่งหนึ่งในอำเภอนั้น และที่วัดแห่งนี้เองมีชายฐานะยากจนแต่มีน้ำใจดีงาม ชื่อ นายไพโรจน์ วารวร อาศัยอยู่ นายไพโรจน์ช่วยงานของวัดทุกอย่างเพื่อตอบแทนที่ให้ตนได้อาศัยร่มไม้ชายคา และมีอาหารกินจากข้าวก้นบาตร ด้วยความเป็นคนขยันขันแข็งไม่ย่อท้อ นายไพโรจน์ยังได้ไปรับจ้างเข็นผักผลไม้ในตลาด ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ประจำอำเภอ เมื่อนางเพ็ญรุ่งคลอดบุตรชายใหม่ๆ ด้วยความที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว จึงทำให้ไม่สามารถหยุดทำงานได้ นางจึงนำเด็กชาย นที มาฝากไว้กับนายไพโรจน์ซึ่งรู้จักนับถือกัน นายไพโรจน์ช่วยเลี้ยงเด็กชายนทีด้วยความรัก และเมตตาจนเกิดเป็นความผูกพันเรื่อยมา เด็กน้อยเรียกนายไพโรจน์ว่า “พ่อ” และรักเขาเหมือนพ่อบังเกิดเกล้า ส่วนนายไพโรจน์ก็รักนทีดุจลูกแท้ๆ เช่นกัน นทีโตขึ้นมาเป็นเด็กขยันขันแข็ง ช่วยแม่ทำงานเข็นผักในตลาด ตามคำสั่งสอนของบิดาบุญธรรม ซึ่งเน้นถึงความกตัญญูรู้คุณ และความวิริยะอุตสาหะ ไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบากใดๆ สำหรับตัวนายไพโรจน์เอง วัยที่มากขึ้นก็นำพาโรคร้ายมาด้วย เขาป่วยเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง แต่เขาก็ไม่เคยหยุดทำงาน จนในที่สุดโรคเบาหวานทำให้ตามัวจนเกือบมองไม่เห็น เมื่อเป็นแผลที่ขาก็รักษาไม่หาย มิหนำซ้ำยังเกิดอุบัติเหตุจากรถจักรยานล้มอีก อาการจึงหนักยิ่งขึ้น จะไปรักษาก็เดินทางไม่สะดวก ความเจ็บป่วยทำให้ท้อแท้ เงินทองก็ขัดสน นทีเฝ้ามองพ่อบุญธรรมด้วยความเป็นห่วง ได้แต่ช่วยดูแลตามประสาเด็ก 7 ขวบ เท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งวันหนึ่งเด็กชายได้เห็นข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 ในทีวี จึงถามมารดาว่า “เขาเป็นใคร” มารดาตอบว่า “ท่านเป็นเทวดา ท่านช่วยเหลือคนมากมาย” เขาจึงคิดตามประสาเด็กว่า ในเมื่อเป็นเทวดา ท่านก็น่าจะช่วยพ่อได้เช่นกัน หลังจากนั้น เขาจึงเขียนจดหมายไปถึงพระองค์ โดยเขียนด้วยดินสอ ด้วยภาษาง่ายๆ แบบเด็กๆ และไม่ได้คิดเลยว่า “เทวดา” ของเขาจะได้รับจดหมาย และตอบกลับหรือเปล่า เมื่อบิดาบุญธรรมซึ่งพอค่อยยังชั่วก็มารับนทีไปช่วยขนผักที่ตลาด เด็กชายจึงแอบเดินไปส่งจดหมายที่ไปรษณีย์ ต่อมาไม่นาน ก็มีหนังสือตอบกลับมาจากสำนักพระราชวังว่า จะมารับตัวพ่อของเขาไปรักษา ทำให้เด็กชายดีใจมาก ที่พ่อจะไม่ต้องเสียชีวิตแล้ว หลังจากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์ ก็มีคนจากสำนักพระราชวัง กาชาดจังหวัด ผู้ว่าฯ และนายอำเภอมาที่บ้านเพื่อรับตัวพ่อไปรักษา ไม่แต่เท่านั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 ยังพระราชทานทุนการศึกษาให้เขาอีกเดือนละ 1000 บาท อีกทั้งยังระบุว่า หากขาดเหลืออะไรก็ให้เขียนจดหมายไปแจ้งได้ ซึ่งเขาก็ไม่เคยเขียนไปอีกเลย เพราะคิดว่าสิ่งที่ท่านพระราชทานมานั้นมากมายแล้ว ภายหลัง ครอบครัวของนทียังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาล ที่9 โดนทางหน่วยงานของกาชาดจังหวัดราชบุรี ได้เข้ามาทำการสร้างบ้านให้ ทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ปัจจุบัน มารดาของเขามีอาชีพขายไอศกรีมขอมีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว ส่วนบิดาบุญธรรมก็อยู่ในความดูแลของแพทย์ที่โรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลรามาธิบดี ปัจจุบัน นทีมีอายุ 14 ปี เขาและครอบครัวรู้สึกเสียใจมากเช่นเดียวกับคนไทยทุกคนที่ได้ทราบข่าวการสวรรคตของในหลวง เพราะเขายังไม่ได้มีโอกาสตอบแทนที่พระองค์ทรงมีพระเมตตาช่วยบิดา บุญธรรม และครอบครัวของเขาเลย แต่ก็ตั้งใจจะทำความดีเพื่อพระองค์ โดยตั้งใจเล่าเรียน และน้อมนำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วยการประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย และจะเติบโตเป็นคนดีของสังคมตลอดไป “สู่สายธารพระเมตตา” เรื่องนี้เป็นการแสดงถึงพระเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 ที่ทรงมีต่อราษฏรของพระองค์ที่ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใด อยู่ห่างไกลแค่ไหน แต่พวกเขาเหล่านั้นก็อยู่ในสายพระเนตรของพระองค์ตลอดเวลา เป็นเรื่องของเด็กหญิงมุสลิมวัย 7 ปี ชื่อ “จ๋า” โดยเล่าผ่าน กี พี่ชายของเธอครอบครัวของจ๋าบิดาเป็นตำรวจอยู่ที่ สภ.บาเจาะ จังหวัดนราธิวาส กี จ๋า และน้องๆได้มีโอกาสได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 ในปี พ.ศ.2535 หลายครั้ง เพราะพระองค์เสด็จไปที่นั่นบ่อยๆในปีนั้น เนื่องจากบิดาต้องไปถวายอารักขา ภาพของในหลวงที่ทรงโบกพระหัตถ์และแย้มพระสรวลให้กับประชาชนที่ไปรับเสด็จจึงติดตาตรึงใจเขาตลอดมา ในปี 2544 บิดาของกีถูกยิงเสียชีวิตจากเหตุการณ์ “ยุทธการใบไม้ร่วง” เมื่อบิดาตายแม่จึงกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว ซึ่งมีถึง 7 ชีวิต รวมทั้งแม่เป็น 8 แม่ต้องอพยพครอบครัวหนีไปอาศัยที่อื่นเพราะไม่รู้ว่าใครมายิงพ่อ และจะตามมาทำร้ายคนที่เหลือหรือไม่ ความลำบากของแม่ที่ต้องทำงานเลี้ยงลูกถึง 7 คน ทำให้ก็อยากจะลาออกจากโรงเรียน แต่เมื่อหวนนึกถึงที่พ่อเคยบอกว่า “ความฝันของพ่อคือต้องการให้ลูกทุกคนเรียนจบปริญญา” ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจกลับมาเรียนต่อ ความลำบากของแม่ทำให้ทุกคนพยายามตั้งใจเรียนเพื่อจะได้จบมาช่วยแม่เร็วๆ ถึงจะต้องอดมื้อกินมื้อทุกคนก็ไม่ท้อแท้ ต่อมา “จ๋า” น้องสาววัย 7 ขวบ ซึ่งไม่รู้จะช่วยแม่อย่างไรดี เพราะเห็นแม่ทั้งเหนื่อย ทั้งลำบากตากตรำ จึงตัดสินใจเขียนจดหมายถึงในหลวง บอกเล่าเรื่องราวความลำบากของแม่หลังพ่อถูกยิงเสียชีวิต โดยระบุชื่อผู้รับว่า “ถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” แล้วหย่อนลงตู้ไปรษณีย์โดยไม่ได้ติดแสตมป์ และไม่มีใครรู้เลย หลังจากนั้น...ก็มีเจ้าหน้าที่จากศาลากลางจังหวัดปัตตานี มาพบที่บ้าน ตามที่อยู่บนจดหมายบอกให้ไปพบนิติกรจังหวัดที่ศาลากลาง และให้นำตัวลูกสาวคนที่เขียนจดหมายไปพบด้วย เมื่อทุกคนไปถึง เจ้าหน้าที่จึงถามจ๋าว่า นี่ใช่จดหมายที่เธอเขียนถึงในหลวงหรือเปล่า จ๋ารับว่าเป็นเธอเอง เจ้าหน้าที่ตอบว่า “ในหลวงทรงทราบ และทางสำนักราชเลขาได้แจ้งเรื่องนี้กลับมายังจังหวัด” เมื่อเจ้าหน้าที่พูดจบ ทั้งแม่ และลูก ต่างน้ำตาไหล ด้วยความตื้นตันใจอย่างสุดซึ้งเพราะพวกเขาไม่เคยคิดว่า จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณถึงเพียงนี้ พระองค์ทรงรับรู้ถึงความมีตัวตนของพวกเขา ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน หรือนับถือศาสนาใดก็ตาม “จากฟากฟ้าสุราลัย” “จากฟากฟ้าสุราลัย” เป็นเรื่องราวของนางสาว อรธีรา รสหอม หรือ น้องส้ม ในวัย 13 ขวบ ชาวตำบลธรรมามูล อำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท นางจำรูญ มารดาประกอบอาชีพรับจ้าง ส่วน นายสมบูรณ์ บิดาเป็นลูกจ้างประจำสำนักงานชลประทานที่12 ส้มยังมีน้องสาวอีก1คน คือ เด็กหญิง ธนพร หรือน้องส้มเป็นเด็กขยันขันแข็ง ช่วยพ่อแม่ทำงานทุกอย่างเพื่อผ่อนเบาภาระ เพราะทั้งสองสุขภาพไม่ดี นายสมบูรณ์ป่วยด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และเบาหวาน ส่วนนางจำรูญผ่าตัดมดลูกถึง 3 ครั้ง จึงทำงานหนักไม่ค่อยได้ นอกจากนี้ช่วงปิดเทอม ส้มยังรับจ้างลุงขายน้ำอ้อยริมถนนสายเอเชียโดยได้ค่าจ้างวันละ 100 บาท เพื่อช่วยครอบครัวอีกแรง ถึงแม้จะต้องมีภาระหลายอย่าง แต่ส้มก็ไม่เคยทิ้งการเรียน ผลการเรียนจึงอยู่ในขึ้นดีเยี่ยม ต่อมาส้มถูกรถบรรทุกสิบล้อชน อาการสาหัส ขาขวาขาดตั้งแต่ใต้หัวเข่า นิ้วมือซ้ายขาดทั้งหมด มือขวาเหลือแค่ 3 นิ้ว นอกจากนี้ยังเสียใบหูขวา และผมบริเวณศีรษะด้านขวา หมอบอกให้ครอบครัวทำใจ เพราะส้มอาจจะไม่รอด นางจำรูญไม่รู้จะทำอย่างไร ด้วยความที่กลัวว่าลูกจะตาย จึงคิดถึงในหลวงว่าท่านคงจะช่วยได้ ด้วยท่านเป็นเทวดา รับรู้ทุกข์สุขและช่วยเหลือผู้คนในแผ่นดิน ถ้าตนขอพระราชทานความช่วยเหลือไป ลูกอาจจะได้รับการรักษาในโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ และอาการอาจจะดีขึ้น นางจำรูญจึงได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 หลังจากนั้นไม่นาน ครอบครัวนี้ก็ได้เข้าสู่สายธารแห่งพระเมตตา ความช่วยเหลือในด้านต่างๆได้ทยอยเข้ามา ตั้งแต่การรักษาพยาบาล การให้ทุนการศึกษา อันประกอบด้วย ทุนประกอบอาชีพจำนวน 5 หมื่นบาท ทุนการศึกษาต่อเนื่อง ทูลเกล้าฯ ความโดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และทุนสนับสนับสนุนการดำรงชีพ จำนวน 5 หมื่นบาท หลังจากส้มอาการดีขึ้นแล้ว ได้มีหนังสือสำนึกนพระมหากรุณาธิคุณ ตลอดเวลาที่ผ่านมาส้มรู้สึกว่า ในหลวงทรงให้ชีวิตใหม่แก่เธอ เธอบอกว่า “พระองค์คือลมหายใจของเธอ” และทำให้เธอเปลี่ยนความคิด ทุกความท้อแท้ ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปด้วยเกรงจะเป็นภาระของครอบครัว กลับมามีกำลังใจที่จะต่อสู้อีกครั้ง โดยจะตั้งใจเรียน ปฎิญาณตนจะเป็นคนดี และท้ายที่สุดอยากทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาท ถึงแม้เธอจะไม่มีโอกาสนั้น แต่เธอก็ตั้งใจจะทำความดีเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะให้กำลังใจแก่ผู้ที่กำลังท้อแท้สิ้นหวังในชีวิต เช่นเดียวกับที่เธอได้รับพระเมตตาพระราชทานกำลังใจจากพระองค์

ใต้ร่มพระบารมี เรื่อง อาทิตย์อับแสง (2559/2016) เมื่อรู้ข่าวการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ ชายชราที่ชื่อว่า ซือเล่อ ถึงกับทรุดลงกราบ ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ริมถนนอย่างไม่อายใคร ใครจะคาดคิดว่า วันนี้จะมาถึง 50 ปีที่แล้วหากไม่มีพระองค์ ซือเล่อและชาวไทยภูเขาคงไม่มีชีวิตสุขสบายอยู่มาจนทุกวันนี้ หลังกลับมาถึงหมู่บ้านปางแง ชายชราที่ชื่อซือเล่อล้มป่วยลงด้วยความเสียใจ แม่เฒ่าคำกิ่งเองก็ไม่ต่างกัน คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านปางแงมารวมตัวพูดคุย ต่างสำนึกในพระมหกรุณาธิคุณ เมื่อขาดพระองค์ไปทำให้ทุกคนอยู่ในอาการโศกเศร้า อาการป่วยของพ่อเฒ่าซือเล่อเองก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ท้องฟ้าที่หมู่บ้านมืดครึ้มเมื่ออาทิตย์อับแสง ซือเล่อนอนฟังคนรุ่นใหม่ในหมู่บ้านซึ่งไม่ค่อยเข้าใจซาบซึ้งในสิ่งที่ในหลวงทำให้ด้วยความไม่สบายใจ จึงฝืนสังขารลุกขึ้นมาแล้วเล่าเรื่องให้ทุกคนฟังว่าพระองค์มีพระมหากรุณาธิคุณต่อชายไทยภูเขามากเพียงใด เมื่อ 50ที่แล้ว ชายหนุ่มที่ชื่อซือเล่อ คือหนึ่งในชาวไทยภูเขาของหมู่บ้านปางแง ที่ทั้งหมู่บ้านมีอาชีพปลูกฝิ่นขายให้กับกองกำลังต่างชาติของนายพล เอ็งช่วน ทุกคนในหมู่บ้านปางแงใช้ชีวิตอย่างผิดกฎหมาย ไร้สัญชาติ หลบๆซ่อนๆ จากอำนาจรัฐ สภาพความเป็นอยู่ของทุกคนในหมู่บ้าน เต็มไปด้วยความกดดัน และถูกควบคุมโดยกองกำลังต่างชาติที่คอยบังคับให้คนในหมู่บ้านต่อต้านข้าราชการไทย ซอซอ แม่ของซือเล่อป่วยหนัก หมอผีในหมู่บ้านไม่สามารถรักษาให้หายได้แล้ว ทำให้ซือเล่อตัดสินใจแอบพาซอซอหนีจากหมู่บ้านไปหาหมอที่มากับคณะของในหลวง จนซอซออาการดีขึ้น และหายจากการเจ็บป่วยในที่สุด ด้วยเหตุนี้ทำให้ซือเล่อเริ่มมีความคิดที่แตกต่างจากคนในหมู่บ้านปางแง ซือเล่อพยายามติดต่อหาข่าวเรื่องการเสด็จของในหลวง และสิ่งที่พระองค์พยายามจะช่วยเหลือชาวไทยภูเขาที่หมู่บ้านอื่น ๆ ซือเล่อเล่าให้ คำกิ่ง สาวคนรักฟังเรื่องในหลวงอยากให้ชาวไทยภูเขาเลิกปลูกฝิ่น แต่แล้วเรื่องรู้ไปถึงหูของเล่าต๋า ทำให้เล่าต๋าไม่พอใจ ซือเล่อจึงถูกจับตัวไปสอบสวน และเฆี่ยนตี เพื่อล้างสมอง ซือเล่อพยายามอธิบายเรื่องดีๆ ของในหลวงให้เล่าต๋าฟัง แต่เล่าต๋าไม่สนใจ กองกำลังของนายพลเอ็งช่วน ถูกตชด.โจมตี ล่าถอยเข้ามาในหมู่บ้านปางแง และยึดหมู่บ้านปางแงเป็นฐานที่ตั้ง เล่าต๋าและคนในหมู่บ้านเริ่มเห็นธาตุแท้ของนายพลเอ็งช่วนที่เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว ทำทุกอย่างเพื่อให้พวกของตัวเองรอด โดยไม่สนใจชีวิตของชาวบ้านในหมู่บ้านปางแง เล่าต๋าเสียใจจนกระทั่งล้มป่วยลงด้วยความตรอมใจ คำกิ่ง ลูกสาวของเล่าต๋าจึงขอร้องให้ซือเล่อ พาเล่าต๋าไปหาหมอหลวงที่หมู่บ้านใกล้เคียง แต่แล้ว นายพลเอ็งช่วนรู้ข่าวจึงส่งคนออกไปตามล่า เพราะเข้าใจว่าเล่าต๋าทรยศ ซือเล่อ คำกิ่ง เล่าต๋า พยายามหลบหนีเอาชีวิตรอด จนกระทั่งมาพบกับกองกำลังตำรวจตระเวณชายแดน และได้รับการช่วยเหลือ ตำรวจตระเวนชายแดนบุกเข้ายึดหมู่บ้านปางแง ขับไล่นายพลเอ็งช่วนออกไปได้สำเร็จ เล่าต๋าได้รับการดูแลจากหมอหลวง ซาบซึ้งในสิ่งที่ในหลวงทรงกระทำเพราะได้มาประสบด้วยตัวเอง เมื่อกลับไปที่หมู่บ้านปางแง เล่าต๋า คำกิ่ง และซือเล่อจึงกลับไปทำลายไร่ฝิ่น และเข้าร่วมกับโครงการในพระราชดำริ ปลูกพืชเมืองหนาวกัน หมู่บ้านปางแง ได้รับการพัฒนา ความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ซือเล่อแต่งงานกับคำกิ่ง และได้รับตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านมาจนปัจจุบัน เมื่อพ่อเฒ่าซือเล่อเล่าจบ เขาก็เข้าใจทันทีว่าชีวิตที่เหลืออยู่เขาจะทำสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต นั่นคือหน้าที่ในการถ่ายทอดสิ่งที่ในหลวงทรงทำให้คนรุ่นใหม่ได้ยินได้ฟัง เพราะแม้พระองค์จะจากไปแล้ว แต่คุณความดีของพระองค์จะต้องยังคงอยู่ตราบนานเท่านาน หมายเหตุ อาทิตย์อับแสง คือชื่อเพลงพระราชนิพนธ์

ใต้ร่มพระบารมี เรื่อง แสงสุดท้าย (2559/2016) แสงเทียนเด็กหนุ่มวัย 17 ผู้มีพรสวรรค์ทางด้านศิลปะเป็นอย่างมากประทีปพ่อของเทียนก็มีฝีมือทางด้านศิลปะ มากอยู่เหมือนกัน เขาเคยใฝ่ฝันจะเป็นศิลปินเพียงแต่ตอนนี้ดวงตาทั้ง 2 ข้างของประทีปไม่สามารถใช้การได้เหมือนเดิมที่พอจะมองเห็นได้ มีเพียงแสงมัว ๆ ประทีปตั้งความหวังเอาไว้ ว่าเทียนจะสานฝันของเขาได้ และเทียนก็ทำได้จริง ๆ เทียนสอบเข้าเรียนที่ อาชีวะปลูกศิลป์ ได้สำเร็จด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง ทำให้เขาได้เป็นนักเรียนทุนของสถาบัน ประทีปปลื้มใจมาก ชีวิตชายพิการยากจนต้องอาศัยวัดอยู่ดูมีความหวังเรืองรองขึ้นมา ผลการเรียนของเทียนออกมาดีมาก ฝีมือวาดภาพ และปฏิมากรรมอันเก่งฉกาจของเทียนทำให้ อ. สัญญา พอใจและมักจะหางานพิเศษมาให้เทียนทำเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทั้ง อ.สัญญา และประทีปกังวล ก็คือกลุ่มเพื่อนของเทียน ซึ่งประกอบไปด้วย วิณ ลูกชายนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผู้มั่งคั่งซึ่งมีนิสัยรักพวกพ้องมาก บิ๊กลูกชายร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ ผู้มีนิสัยเกเร และชอบหาเรื่องมาให้เพื่อน ๆ ไม่เว้นแต่ละวัน ส่วนโจ๊ก ลูกแม่ค้าในตลาด และภูมิลูกครูก็ทำตัวเป็นลูกสมุนของบิ๊ก ผู้ที่พร้อมจะลุยเสมอเพียงแต่บิ๊กเอ่ยปาก กลุ่มของบิ๊กคือ ตัวปัญหาของสถาบัน เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น บิ๊กจะกระพือไฟให้ลุกลาม ยุยงเพื่อนร่วมสถาบันให้ลุกขึ้นมาต่อยตีกับคู่อริต่างสถาบัน เทียนก็มักจะติดร่างแหไปกับเขาด้วยทุกครั้ง มันทำให้ประทีปเจ็บปวดหัวใจ เหตุผลที่เทียนต้องเข้าไปยุ่งกับการทะเลาะวิวาททุกครั้ง ก็เพราะเขาห่วงวิณ วิณเป็นเพื่อนสนิทของเทียน ถึงแม้ว่า วิณจะเป็นลูกคนรวย แต่ก็ไม่เคยรังเกียจเด็กวัดจน ๆ อย่างเทียน เวลาที่เทียนลำบาก วิณจะช่วยเหลือทุกครั้งไป อ.สัญญา และหลวงพ่อรู้ดีว่าเทียนไม่ใช่เด็กที่ชอบมีเรื่อง เทียนเป็นเด็กดีและมีน้ำใจว่าง ๆ เทียนมักจะจับเด็กเล็ก ๆ แถววัดมาสอนวาดรูปโดยไม่ได้คิดมูลค่าใด ๆ เลย เพื่อให้เด็ก ๆ มีกิจกรรมที่สร้างสรรค์ในวันหยุดดีกว่าไปเกกมะเหรกเกเรทุกอย่างอยู่ในสายตาหลวงพ่อเสมอ ทุกครั้งที่เทียนไปมีเรื่องมา ประทีปมักจะใส่อารมณ์กับลูกเสมอ แม้เทียนจะอธิบายเหตุผลก็ตาม นี่เองที่เป็นสาเหตุ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกเป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่นพ่อลูกจะพูดคุยกันเท่าที่จำเป็นเท่านั้น วันหนึ่ง ๆ ประทีปจะขลุกอยู่กับการปั้นพระประธาน เขาค่อย ๆ คลำปั้นไปทีละเล็กละน้อยจนเป็นที่เวทนาของชาวบ้าน เพราะดูแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จ ประทีบมีลูกมือตัวน้อย คือ น้ำขิง คอยเล่นซนช่วยหยิบจับอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่ใกล้ ๆ น้ำขิงทำให้ประทีปคิดถึง แสงทอง ลูกสาวที่ภรรยาของเขาพาหนีไปตอนที่ตัวเท่า ๆ กับน้ำขิง จึงทำให้ประทีปเอ็นดูน้ำขิงเป็นพิเศษ ป้านิ่ม ย่าของน้ำขิงเป็นคนพูดมาก แม้จะมีน้ำใจหาข้าวปลามาให้กินทุกวัน แต่ก็อดบ่นโน่นบ่นนี่ ค่อนแคะถึงความล่าช้าในการสร้างพระประธานของประทีปไม่ได้ แกเคยเปรย ๆ กับหลวงพ่อว่า ให้ไปสั่งซื้อแถวเสาชิงช้าน่าจะง่ายกว่า แต่หลวงพ่อก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ถึงแม้จะโดนค่อนแคะทุกวัน แต่ประทีปก็ยังคงยึดมั่นในความเพียร อย่างที่ในหลวงทรงสอนเอาไว้ ผ่านพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก เทียนเองก็อยากจะช่วยพ่อทำ แต่เข้าใกล้กันทีไร ก็มักจะมีเรื่องให้ทะเลาะกันเสมอ จึงทำให้เทียนต้องคอยเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้พ่อ อีกสิ่งหนึ่งที่ประทีปทำเป็นประจำก็คือ การไปเฝ้ารอรับเสด็จองค์พระบาทพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ที่โรงพยาบาลสิริราช ยิ่งช่วงหลัง ๆ ที่มีข่าวพระอาการประชวรของพระองค์ออกมาถี่เหลือเกิน ยิ่งทำให้ประทีปไม่สบายใจ ต้องไปเฝ้ารอฟังข่าวพระอาการของพระองค์บ่อยขึ้น ถึงแม้การเดินทางไปแต่ละครั้งจะยากลำบากแค่ไหน ประทีปก็จะไป เทียนเป็นห่วงพ่อ แต่ทักท้วงเท่าไหร่พ่อก็ไม่ฟัง ทำให้เทียนเหนื่อยใจคนที่รู้ทุกเรื่องและเป็นที่ปรึกษาให้เทียน คือเพลงชนก เพลงมีความรู้สึกดี ๆ ให้เทียน เทียนเองก็หลงรักเด็กสาว หน้าตาน่ารัก จิตใจดี ฝีมือเขียนรูปฉกาจอย่างเพลง เพียงแต่เทียนรู้สึกเจียมตน จึงไม่เผยความรู้สึกใด ๆ ออกมาและอีกหนึ่งเหตุผลก็คือ เทียนรู้ว่าวิณชอบเพลง ถ้าเพื่อวิณแล้ว เทียนยอมได้ทุกอย่าง แม้ตัวเองจะต้องเจ็บปวดหัวใจก็ตาม วันหนึ่งนักเรียนอาชีวะยกพวกตีกันครั้งใหญ่ จนทำให้ หมี เพื่อนสนิทในชั้นเรียนคนหนึ่งของเทียนต้องตาย หมีเป็นคนหงอ ๆ ขี้กลัว มักจะคอยบอกเทียนให้เลิกยุ่งกับบิ๊ก แต่เทียนไม่เชื่อ การตายของหมี ทำให้เทียนเสียใจมาก อ.สัญญาเรียกกลุ่มหัวโจกมาตักเตือนทำให้เกิดการโต้เถียงกัน อ. สัญญาบันดาลโทสะไปตบหน้าวิณเข้า เรื่องไปถึงพ่อวิณ ผอ.รำไพ ต้องเข้ามาช่วยเคลียร์ปัญหาด้วยความลำบากใจ เพราะพ่อวิณบริจาคเงินสร้างห้องภาพพิมพ์ ห้องคอมพิวเตอร์ และอีกสารพัดอย่างในโรงเรียนแห่งนี้ ซึ่งมันมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนมาก ผอ.รำไพ ขอให้ อ.สัญญาขอขมาพ่อวิณ เพื่อให้ทุกปัญหาเบาลง อ.สัญญาน้อยใจมากจะขอลาออก ผอ.รำไพขอร้องให้พิจารณาให้ดี เพราะโรงเรียนยังต้องการครูดี ๆ อย่าง อ.สัญญา ให้อยู่ช่วยอบรมสั่งสอน และคอยกันพวกเด็ก ๆ ออกจากพวกรุ่นพี่นักเลงหัวไม้ ที่แม้จะจบไปแล้ว แต่ก็ยังวนเวียนคอยยุงให้น้องรักสถาบันแบบผิด ๆ อย่าง แบงค์ อ.สัญญาท้อใจบอกกับ ผอ.รำไพว่าไม่มีใครมาเปลี่ยนวิถีชีวิตของเด็กพวกนี้ได้แต่ ผอ.แย้งว่า ถ้าพวกเขามีแบบอย่างที่ดี มีคนอบรมสั่งสอนที่ดี วันหนึ่งพวกเขาจะเปลี่ยนได้ อ.สัญญาฟังก็ใจอ่อน ตั้งหน้าตั้งตารอปาฏิหาริย์ ส่วนประทีปเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ 2 พ่อลูกถึงจุดแตกหัก ประทีปโกรธเทียนมากถึงขั้นลงไม้ลงมือทำให้เทียนเสียใจมาก เทียนน้อยใจที่ประทีปไม่เคยมั่นใจในตัวเขาเลย ถ้าพ่อมีเหตุผลพอและรับฟังเขาอย่างตั้งใจ พ่อจะรู้ว่าเขาไม่ผิด และไม่ได้ตั้งใจที่จะมีเรื่องต่อยตี หลังจากวันนั้นพ่อลูกก็แทบไม่ได้คุยกันเลย พ่อของบิ๊กเป็นเพียงเจ้าของร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์เล็ก ๆ แต่เขากลับมีเงินให้ลูกผลาญเล่นอย่างเหลือเฟือ แท้จริงแล้ว เขาแอบขายยาไอซ์ให้กลุ่มวัยรุ่นละแวกนั้นและยังมีแผนขยายเข้าไปสู่สถาบันการศึกษาอีกต่างหาก บิ๊กไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเพราะพ่อไม่อยากให้บิ๊กรู้ คนเป็นพ่อย่อมอยากจะดูดีเสมอในสายตาลูก แต่โจ๊กและภูมิรู้ดี นั่นเป็นเหตุผลที่ 2 คนอยากเป็นลูกไล่บิ๊ก เพราะจะได้รางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ จากพ่อของบิ๊กอยู่เสมอ คนที่สงสัยในตัวพ่อบิ๊กอีกคนหนึ่งคือเทียน นั่นเป็นเหตุผลที่เขาพยายามดึงวิณออกจากกลุ่มของบิ๊ก แต่วิณไม่ยอม การมีบิ๊กและกลุ่มนักเรียนนักเลงคุ้มหัว การได้ออกไปต่อยไปตีทำให้วิณรู้สึกได้ถึงพลังและอำนาจบางอย่างที่เขาไม่เคยมี วันหนึ่งวิณถูกเพลงปฏิเสธ เพลงให้เหตุผลว่าเธอมีคนอื่นในใจแล้ว วิณถามเพลงว่าใช่เทียนหรือเปล่า เพลงไม่ปฏิเสธ ทำให้วิณเสียใจมากเหมือนถูกหักหลัง เขาโกรธเทียนมาก เทียนเองก็เสียใจ ตั้งแต่นั้นมาวิณก็เลิกคบเทียน เก้า และ ไม้ เป็นคู่อริต่างสถาบัน ไม่ชอบขี้หน้าเทียนมาก ๆ เพราะเพลงชนกเธอดังข้ามสถาบันเป็นขวัญใจหนุ่ม ๆ คนที่ได้ใกล้ชิดเธออย่างเทียนย่อมถูกหมั่นไส้ เท่ากับเทียนกำลังตกที่นั่งลำบาก ต้องเจอทั้งศึกนอกศึกใน ไหนจะเรื่องพ่ออีก ในเวลานี้มีเพียง อ.สัญญาเท่านั้นที่คอยเป็นกำลังใจให้คำชี้นำที่ดีแก่เทียน และพยายามชี้นำให้เทียนเข้าอกเข้าใจพ่อของเขา ประทีปได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงที่เขาไม่อยากได้ยินตลอดทั้งวัน เขาไม่สบายใจแม้ใคร ๆ จะบอกว่าให้รอฟังประกาศจากรัฐบาล ประทีปก็แทบจะรอไม่ไหว แม้จะป่วยหนักประทีปก็มุ่งมั่นที่จะไปรอฟังข่าวที่ศิริราชให้ได้ ทำให้เทียนทนไม่ไหวต้องขออาสาพาพ่อไปเองครั้งนี้เองทำให้ 2 พ่อลูกตื้นตันใจที่ได้กลับมาคุยกัน เทียนและประทีปเกือบจะเดินพ้นวัดออกไปอยู่แล้ว ภูมิก็วิ่งเข้ามาส่งข่าวว่ากลุ่มของบิ๊กกับวิณกำลังจะมีเรื่อง ตอนนี้ถูกนักเรียนต่างสถาบันกลุ่มใหญ่ล้อมไว้อยู่ เทียนไม่ฟังคำทัดทานของพ่อเขารีบรุดไปที่เกิดเหตุทันทีเพื่อไปช่วยวิณ เมื่อไปถึงเหตุการณ์บานปลายไปมากแล้ว เทียนลุยเข้าไปจนถึงตัววิณ ช่วยวิณเอาไว้ได้ แต่ฝ่าวงล้อมกลับออกไปไม่ได้ เทียนกับวิณคิดว่าต้องตายแน่ แต่ประทีปก็เข้ามาช่วยได้พอดี ประทีปโดนลูกหลงเข้าอย่างจังจนเขาล้มลง เหตุการณ์กำลังเข้าขั้นวิกฤติแต่ทุกอย่างต้องชะงักลงเมื่อโทรทัศน์ออกประกาศแถลงการณ์การเสด็จสวรรคตขององค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทุกอย่างหยุดนิ่งเหมือนต้องมนต์ สิ้นสุดการประกาศ เสียงร้องไห้ระงมของชาวบ้านก็ดังขึ้น ประทีปหัวใจสลายเขาสิ้นใจตายอยู่ตรงนั้นเอง เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ อ.สัญญาเสียใจ และท้อใจที่จะสอนเด็ก ๆ อีกต่อไป เขารู้แล้วว่าไม่มีอะไรที่จะมาเปลี่ยนใจเด็กพวกนี้ได้ เขาประกาศลาออกหน้าเสาธงในเช้าวันรุ่งขึ้น เทียนรู้สึกว่าเขาสูญเสียทุกอย่างแล้ว เขาจะเสียครูดี ๆ ไปไม่ได้ เขาจึงขึ้นไปพูดโน้มน้าวเพื่อน ๆ ร่วมสถาบัน "พ่อไม่ได้สอนให้เรารักพ่อ แต่พ่อสอนให้เรารักกัน" และเทียนขอปฏิญาณตนเลิกทะเลาะวิวาท เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯซึ่งเพื่อน ๆ ร่วมสถาบันทุกคนก็เห็นดีเห็นงามด้วย ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทุกสถาบัน นำมาซึ่งการนัดรวมตัวกันถวายสัตย์ปฏิญาณที่จะเลิกทะเลาะวิวาทกัน อ.สัญญาดีใจมาก ผอ.รำไพว่านี่แหละ คือ ปาฏิหาริย์ ในงานศพของประทีปที่จัดแบบเรียบง่าย หลวงพ่อได้เล่าภูมิหลังของประทีปให้เทียนฟังว่า ประทีปเป็นคนมีฝีมือทางด้านศิลปะ เขาได้รับแรงบันดาลใจเมื่อครั้งได้เห็นภาพวาดฝีพระหัตถ์ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ๆ จึงฝึกฝนวาดรูปจนเก่งได้รับทุนเรียนดี แต่ด้วยความใจร้อนประทีปมักมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนอื่นเป็นประจำ จนวันหนึ่งพลาดท่าถูกคู่อริทำร้าย ด้วยระเบิดทำให้ตาทั้งสองข้างถูกทำลาย เพราะไม่มีเงินจึงรักษาได้ไม่ดีพอทำให้ตาทั้ง 2 ของประทีปพิการตั้งแต่นั้นมา ประทีปฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเทียน อยากเห็นเทียนเป็นตัวแทนของตน อยากให้เทียนเก่งศิลปะเหมือนในหลวง และอยากให้เทียนนำความสามารถของตนไปรับใช้สังคมและประเทศชาติ เทียนได้ฟังแล้วก็เข้าใจ เขาเสียใจที่ได้รู้ความจริง ในวันที่สายไปเสียแล้ว เทียนจึงขอบวชให้พ่อและตั้งใจว่าจะไม่สึก จนกว่าจะสานต่องานปั้นพระประธานต่อจากพ่อได้สำเร็จลุล่วง ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตของเทียนเลยทีเดียว แต่ อ.สัญญาและเพื่อน ๆ ก็ไม่ทอดทิ้งเทียน ทุกคนที่รู้ข่าวต่างมาช่วยเทียนปั้นพระ พ่อของวิณก็สนับสนุนในเรื่องทุนทรัพย์ในขั้นตอนของการหล่อโลหะ อย่างเต็มที่ เทียนซาบซึ้งใจมากและขอบคุณทุก ๆ คน วิณว่าเขาต้องรีบช่วยเทียนปั้นพระให้เสร็จ ไม่งั้นเพลงได้ขึ้นคานแน่ ๆ ด้วยพระบารมีล้นเกล้าของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านทรงบันดาลให้เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ กลายเป็นจริงขึ้นมาได้นับครั้งไม่ถ้วน รวมทั้งเหตุการณ์ถวายสัตย์ของนักเรียนอาชีวะกรุงเก่าในครั้งนี้ โดยหวังว่านี่จะเป็นแบบอย่างให้นักเรียนอาชีวะทั่วประเทศ เกิดสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณจนเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ติดตามชมละคร เทิดพระเกียรติชุด ใต้ร่มบารมี ตอน แสงสุดท้าย ได้ในวันพุธที่ 7 ธันวาคม 2559 เวลา 20.20 น. ทางช่อง 7 สี

ใต้ร่มพระบารมี เรื่อง เพียงพอที่พอเพียง (2559/2016) “เพียงพอที่พอเพียง” เป็นละครเทิดพระเกียรติ ที่นำเสนอหลักปรัชญาความพอเพียงตามแนวพระราชดำริ ผ่านตัวละครอย่าง พริมโรส (พีค) คุณหนูไฮโซอายุ 20 ปี ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย เป็นผู้หญิงที่สวย สง่า แสบ ซ่า ลุกสาวคนสุดท้องของนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พ่อแม่รักและตามใจจนเคยตัว ทำให้เธอกลายเป็นคนเอาแต่ใจ ใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อ ใช้เงินกับที่บ้านผลิตได้เอง ไม่รู้จักคุณค่าของเงิน ใช้ชีวิตให้มีความสุขไปวันๆ และชื่นชอบการใช้สินค้าแบรนด์เนมเอามากๆ จนวันหนึ่งที่บ้านธุรกิจล้มละลาย เธอรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เธอเกือบเลือกเดินทางผิด วันหนึ่งมีเหตุให้เธอได้เจอกับ วีรยศ (อ๋อม)สัตวแพทย์หนุ่มอายุ 30 ปี สัตวแพทย์ที่มีนิสัยใจเย็น อารมณ์ดี เอื้อเฟื้อและมีจิตสาธารณะ ใช้ชีวิตสมถะ โดยมีในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นต้นแบบในการใช้ชีวิตวีรยศเห็น พริมโรส ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างประชดและไม่มีเป้าหมาย วีรยศตัดสินใจค่อยๆ ทำให้พริมโรสศึกษาการใช้ชีวิตตามพระจริยวัตรของในหลวงรัชกาลที่ 9 จนเธอเข้าใจและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด พริมโรส รู้จักการอดออม รู้จักการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง และสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีสติ

ใต้ร่มพระบารมี เรื่อง เพลงแห่งแสงตะวัน (2559/2016) เอก (พอร์ช-ศรัณย์ ศิริลักษณ์) เป็นนักดนตรีฝีมือฉกาจ ( เปียโนหรือกีต้าร์คลาสสิค ) กวาดรางวัลมาแล้วทุกสถาบันทั้งในและนอกประเทศ นอกจากความสามารถที่เป็นเลิศ เอกยังมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาเป็นที่คลั่งไคล้ของสาวๆ จนกระทั่งได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงอันดับหนึ่งในอัตราค่าตัวสูงลิ่วโดยมี นิกกี้ (เกริก ชิลเลอร์) แฟนคลับที่ผันมาเป็นผู้จัดการส่วนตัว คอยดูแล ประคบประหงมราวกับเอกเป็นเทวดา ความมั่นใจในตัวเองทำให้เอกมักทำร้ายจิตใจคนอื่นโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน หรือนักดนตรีร่วมค่าย โดยเฉพาะ เชน(แอมป์-พีรวัศ กุลนันท์วัฒน์) ศิลปินเบอร์ต้นๆของค่ายที่จู่ๆก็ถูกเอกเข้ามาบดบังรัศมี แต่ทุกคนก็เก็บความแค้นไว้ในใจ เพราะ ณ นาทีนี้ เอกคือพระเจ้าของค่ายที่ไม่มีใครกล้าลบหลู่แต่แล้ววันหนึ่ง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเอกประสบอุบัติเหตุ จนทำให้มือทั้งสองข้างพิการ ไม่สามารถเล่นดนตรีได้อีก จากวันนั้น ชีวิตของเอกก็พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ เอกถูกเลิกสัญญา ผู้คนรอบข้างล้วนตีจากไม่เว้นแม้แต่ เทวี(แนท-ณัฐชา นวลแจ่ม) ไฮโซสาวสวยที่มีแผนจะแต่งงานกันอยู่ไม่กี่วัน ที่เจ็บที่สุดก็คือ เอกได้ค้นพบว่า นิกกี้ แอบโอนเงินส่วนตัวของตนไปจนหมด จากชีวิตที่เหมือนเทวดา กลับดิ่งลงในนรกขุมลึกที่สุดในชั่วข้ามคืน เอกตัดสินใจจบชีวิตตัวเองที่โรงพยาบาล ใกล้รุ่ง(พิม-พิมประภา ตั้งประภาพร) นักศึกษาสาวจากต่างจังหวัดที่เข้ากรุงเทพมาเรียนวิทยาลัยทางการดนตรี และเป็นแฟนคลับอันเหนี่ยวแน่นของเอกเข้ามาช่วยเอาไว้ได้โดยบังเอิญ ใกล้รุ่งยึดเอกเป็นไอดอลและใฝ่ฝันจะเป็นนักดนตรีที่เก่งกาจเหมือนเอก จึงมักมาตามตื๊อเอกให้สอนเทคนิคการเล่นให้ แต่เอกก็ไม่ใส่ใจ จนเมื่อเอกเข้าแอดมิท ใกล้รุ่งจึงคอยมาเยี่ยมอยู่เสมอ จนมาพบว่าเอกกำลังจะฆ่าตัวตายจึงเข้ามาขัดขวางโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเอกหายดี จึงกลับไปบ้านที่ซื้อไว้เตรียมเป็นเรือนหอ ก็พบว่านิกกี้ไม่เคยผ่อนค่างวด จนบ้านถูกยึด เอกเร่รอ่นไปเช่าห้องเล็กๆอยู่ในชุมชนแออัดอย่างหมดอาลัยตายอยาก จนวันหนึ่งเกิดไฟไหม้ เอกนั่งอยู่ในบ้านไม่ยอมหนี ใกล้รุ่งที่ตามหาเอกจนพบพยายาม จะดึงเอกออกไป จนกระทั่งใกล้รุ่งเอง โดนไม้หล่นมาทับบาดเจ็บ เอกต้องกลายเป็นฝ่ายช่วยใกล้รุ่งออกจากบ้านเอง เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พ่อแม่ของใกล้รุ่งโกรธมาก และสั่งห้ามใกล้รุ่งยุ่งเกี่ยวกับเอกอย่างเด็ดขาด เอกเริ่มกินเหล้า และเดินเร่ร่อนอยู่ริมถนน ค่ำไหนนอนนั่น จนวันหนึ่ง เมื่อลืมตาตื่น เอกได้ยินเสียงเพลงพระราชนิพนธ์จากบ้านเก่าๆหลังหนึ่ง จึงเดินเข้าไปฟังและได้พบว่า ผู้ที่กำลังบรรเลงเพลงนั้นคือ เทียน(สิงโต นำโชค) ชายพิการทางสายตา ซึ่งไม่ได้ตาบอดแต่กำเนิด แต่เทียนเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม และไม่มีเงินที่จะรักษา แต่เทียนก็ไม่ได้ท้อถอย ยังคงรับจ้างเล่นดนตรีตามที่ต่างๆ ด้วยความสุข เรื่องราวชีวิตของเทียนทำให้ เอกเริ่มคิดได้ และมุ่งมั่นจะกลับมาเล่นดนตรีให้ได้อีกครั้ง แต่หนทางที่จะกลับไปสู่จุดเดิมนั้น กลับไม่ใช่เรื่องง่าย เอกต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะต้องเอาชนะความท้อถอยของตัวเอง โดยอาศัยสิ่งหนึ่งเป็นหลักชัยนั่นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์อัครศิลปิน เอกเพิ่งได้พบว่า เพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น ไม่ใช่เพื่อความสุขส่วนพระองค์ แต่ทรงพระราชทานความสุขให้กับพสกนิกรของพระองค์ เป็นเพลงแห่งการให้ เพลงแห่งกำลังใจ เป็นเพลงของความรักจากพ่อของแผ่นดิน

ใต้ร่มพระบารมี เรื่อง คลื่นแห่งศรัทธา (2559/2016) เมื่อ 15 ปีก่อน วิษณุ(ไมค์-ภัทรเดช สงวนความดี) และ อุฤทธิ์(ดอม เหตระกูล) สองพ่อลูกได้ไปแล่นเรือใบกัน ลมที่กรรโชกแรงทำให้อุฤทธิ์เสียการควบคุมเรือและทำให้วิษณุตกน้ำ ตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บจนต้องจบชีวิตนักกีฬาเรือใบ เหตุการณ์ครั้งนั้นฝังอยู่ในใจวิษณุ ซึ่งแม้ตอนนี้จะอายุ 25ปีแล้วก็ยังเป็นโรคกลัวทะเล ส่วนอุฤทธิ์พยายามประคบประหงมลูกชายคนเดียวเต็มที่เพราะรู้สึกผิดที่ทำให้ลูกเกือบตาย จนวิษณุกลายเป็นคนเอาแต่ใจ เหลาะแหละ และไม่อดทน จะดีก็แต่เป็นคนรักสัตว์ มี ลูกข่าง หมาคู่ใจที่วิษณุอาศัยเป็นที่ปรับทุกข์เสมอเวลาเถียงกับพ่อ อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้วิษณุนึกโกรธพ่อตัวเองและขุดกลับมาต่อว่าอุฤทธิ์เสมอคือเหตุการณ์ที่ รดา(นิโคล เทริโอ) แม่ของเขาป่วยหนัก แต่อุฤทธิ์เอาแต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรือใบ (หลังจากเล่นไม่ได้ก็จะไปนั่งเฝ้ามองคนอื่นเล่นที่ทะเลเสมอ เพื่อบรรเทาความเครียดเรื่องอาการป่วยของรดาและยังรักการเล่นเรือใบ) และกลับมาไม่ทันก่อนรดาจะเสียชีวิต อุฤทธิ์อยากให้ลูกเล่นเรือใบและเอาชนะโรคกลัวทะเลเลยแอบไปสมัครเรียนที่สมาคมให้ วิษณุโกรธพ่อมากที่บังคับให้ไปเรียน แต่เมื่อเจอ บัววรุณ(เซฟฟานี่ อาวะนิค) และเข้าใจผิดว่าเป็นโค้ช เลยยอมเรียนเพื่อหวังจะจีบ วิษณุเห็นรูปในหลวงทรงเรือใบที่หน้าสโมสรแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ที่สมาคม วิษณุได้เจอกับ ชัชชวินทร์(เชน-ณัฐวัฒน์ เปล่งศิริวัธน์) เพื่อนร่วมงานโดยบังเอิญและรู้ว่าชัชวินทร์เองก็เพิ่งมาเล่นรวมทั้งเล็งจะจีบบัววรุณอยู่เหมือนกัน วิษณุที่เข้าใจว่าบัววรุณจะเป็นคนสอน กลับเจอ ตฤน(ตั๊ก-นภัสกร มิตรเอม) โค้ชวัยกลางคนสุดเฮี้ยบ วิษณุพยายามหลีกเลี่ยงที่จะออกทะเล และหาข้ออ้างต่างๆนานามาพูดกับตฤนและบัววรุณทั้งไม่สบายบ้าง ร่างกายไม่พร้อมบ้าง วิษณุพูดกับบัววรุณบ่นว่าตฤนโหดเฮี้ยบมาก ใครที่ไหนจะกล้าเรียนด้วย บัววรุณว่าทุกคนที่มาเรียนก็ตั้งใจกันทั้งนั้น ถ้าวิษณุไม่มีใจก็เลิกไปดีกว่า และอย่ามาว่าพ่อของเธอ วิษณุอึ้งที่บัววรุณเป็นลูกของตฤนพยายามจะขอโทษแต่ถูกบัววรุณงอนกลับ วิษณุพยายามจะลงทะเลให้ได้เพื่อเอาใจบัววรุณแต่ก็ไม่สามารถทำสำเร็จ โค้ชตฤนกลับเป็นคนที่เข้าใจวิษณุและบอกว่าให้ค่อยๆปรับตัวไม่ต้องเร่งร้อน วิษณุเล่าเรื่องอุบัติเหตุที่ทำให้กลัวน้ำให้ตฤนฟัง บัววรุณมาแอบฟังจึงเข้าใจเขามากขึ้นและเป็นฝ่ายมาขอโทษ ชัชชวินทร์ที่หวังจะจีบบัววรุณนึกเขม่นที่วิษณุเป็นจุดสนใจของทั้งสองพ่อลูก ชัชชวินทร์อาศัยที่เป็นคนมาดดี ดูเอาจริงเอาจังตีสนิทกับบุษบา แม่ของบัววรุณ พูดบ่นเชิงปรับทุกข์เรื่องความเจ้าชู้ของเพื่อน ใส่ไฟจนบุษบาเริ่มไม่ชอบวิษณุ บัววรุณพาวิษณุและลูกข่างไปนั่งเรือเล็กเล่น บัววรุณพูดให้ข้อคิดกับวิษณุว่าต้องกล้าที่จะข้ามผ่านความกลัว ลูกข่างที่เล่นซนถูกเชือกพันตัวตกลงไปในทะเล วิษณุกระโดดลงทะเลเพื่อช่วยโดยตัดความกลัวทิ้ง เขาช่วยลูกข่างขึ้นมาได้ท่ามกลางความแปลกใจของบัววรุณ วิษณุพบว่าทะเลไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดรวมทั้งรู้สึกย้อนไปถึงวันเก่าๆที่เคยมีความสุขสามคนพ่อแม่ลูก บัววรุณพูดถึงตัวเองที่เป็นผู้หญิงและมีความฝันอยากเป็นโค้ชแบบพ่อ ถึงใครจะดูถูกแต่ก็ไม่ละความพยายาม วิษณุเลยขอให้บัววรุณเป็นโค้ชช่วยสอนเล่นเรือใบให้ลับๆโดยให้สัญญาว่าจะเป็นนักกีฬาเรือใบระดับชาติให้ได้และไม่อยากจะยึดติดกับความกลัวอะไรแล้ว ตฤนแท้จริงแล้วเป็นเพื่อนกับอุฤทธิ์ได้นำข่าวดีไปบอกเขา อุฤทธิ์ดีใจมากที่ลูกชายฝึกหัดเรือใบอย่างจริงจัง แต่เส้นทางการเล่นและเป็นนักกีฬาเรือใบของวิษณุกลับไม่สวยหรูเหมือนที่คิด วิษณุต้องฝึกหนักทั้งยังต้องทำงานในวันธรรมดา จะมีก็แต่บัววรุณและอุฤทธิ์ที่เป็นกำลังใจให้ยามเหนื่อยล้า ชัชชวินทร์พยายามแข่งกับวิษณุแต่ก็ไม่ได้มีความสามารถมากกว่ากันไปเท่าไร วิษณุลงแข่งหลายต่อหลายครั้งแต่ก็แพ้จนเกิดความท้อถอย คิดจะเลิกล้มการเล่น และเมื่อไปปรึกษากับอุฤทธิ์ก็ถูกบอกว่าให้พยายามมากขึ้น วิษณุที่เครียดจัดเผลอพูดว่าอย่าเอาความฝันของพ่อมาใส่ตัวเอง พ่อเป็นนักเล่นเรือใบใช่ว่าตัวเองจะเป็นได้ และเพราะพ่อมัวแต่ยึดติดกับเรือใบเลยมาไม่ทันแม่ตาย อุฤทธิ์ได้ยินเข้าก็ฝืนยิ้มทั้งที่เจ็บปวดใจ ในวันที่วิษณุจะไปลาออกจากสมาคม อุฤทธิ์ได้ล้มเจ็บลงด้วยอาการโรคหัวใจ วิษณุได้พาไปส่งโรงพยาบาล บัววรุณมาเยี่ยมและนั่งอ่านบทพระราชนิพนธ์พระมหาชนกให้อุฤทธิ์ฟังจนวิษณุเกิดความประทับใจในความเพียร วิษณุผละออกมาที่บริเวณชั้นล่างได้เจอกับตฤน ในเวลาที่ทีวีของโรงพยาบาลฉายสารคดีพระอัจฉริยภาพในการทรงเรือใบของในหลวงและทรงได้รับแชมป์กีฬาแหลมทอง ความประทับใจในสารคดีของท่านบวกกับการให้กำลังใจจากตฤนเป็นพลังให้เขาฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้งเพื่อตามรอยพระองค์ วิษณุกลับมาฮึดสู้อีกครั้งและฝึกฝนอย่างหนัก ความสามารถของเขาก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆเช่นเดียวกับความสัมพันธ์กับบัววรุณ แต่บุษบากลับอยากให้บัววรุณรักคนอื่นเพราะไม่เชื่อว่าวิษณุจะดูแลลูกสาวตัวเองได้แม้ว่าตฤนจะช่วยพูดยังไงก็ตาม วิษณุบอกอุฤทธิ์ว่าจะลงแข่งขันและอยากให้หายไวๆเพื่อมาดู เขาจะชนะให้ได้ วิษณุได้ลงแข่งคัดเลือกนักกีฬาเรือใบเพื่อเป็นตัวแทนของสโมสรไปแข่งระดับโลก เขาบอกกับบุษบาว่าถ้าได้เป็นตัวแทน จะขอให้บุษบายอมให้บัววรุณแต่งงานกับเขา วิษณุแล่นมาอย่างสูสีกับชัชชวินทร์ และตามหลังที่หนึ่งอยู่ไม่มาก ในจังหวะที่เขากำลังจะนำ ชัชชวินทร์กลับเบียดเข้ามาจนวิษณุตกลงน้ำ ระหว่างที่จมลงน้ำก็ได้เห็นแสงสว่างที่ทอดผ่านลงมา พอพุ่งร่างขึ้นมาวิษณุได้เห็นภาพสะท้อนของคนที่มีลักษณะคล้ายในหลวง(ไม่เห็นหน้า เห็นแต่เค้าโครงร่าง) ยิ้มให้ วิษณุฮึดขึ้นมาอีกครั้งปีนขึ้นเรือและเข้าสู่เส้นชัย หลังการแข่งขัน มีเจ้าหน้าที่เห็นว่าชัชชวินทร์รบกวนการแข่งทำให้วิษณุตกน้ำแต่วิษณุกลับไม่เอาความและให้อภัยชัชชวินทร์ วิษณุเข้าเป็นอันดับสามทำให้ไม่ได้เป็นตัวแทนแต่บุษบากลับเห็นในความตั้งใจจริงและยอมรับในตัวเขาในที่สุด วิษณุบอกกับอุฤทธิ์ว่าถึงจะไม่ได้ตำแหน่ง แต่เขาก็ดีใจที่เอาชนะความกลัว ฝึกฝนตัวเองให้อดทนและเปลี่ยนเป็นคนใหม่ได้ อุฤทธิ์ปลอบใจว่าไม่ชนะไม่เป็นไร แค่ได้เห็นลูกเป็นลูกผู้ชายที่สมบูรณ์ก็เป็นความสุขที่สุดของพ่อแล้ว

ใต้ร่มพระบารมี เรื่อง ทางของพ่อ (2559/2016) เป็นเรื่องราวชีวิตของครูอุทัย พรหมวงศ์ หนึ่งในครูที่ทำทุกอย่างเพื่อลูกศิษย์อย่างแท้จริง โดยสืบสานตามพระบรมราโชวาทที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่พระราชทานแก่คณะอาจารย์และนักเรียนโรงเรียนวังไกลกังวล ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๑๓ ที่ว่า “ครูนั้นจะต้องให้ความรู้แก่เด็กๆด้วยความเมตตา ด้วยความหวังดี คือ ด้วยความเมตตาต่อผู้ที่เป็นลูกศิษย์ และด้วยความหวังดีต่อส่วนรวม เพราะถ้าส่วนรวมประกอบไปด้วยบุคคลที่มีความรู้ ส่วนรวมก็จะไปรอด “ และพระราชดำรัส ที่ทรงพระราชทานแก่ครูอาวุโส เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๒๓ ที่ว่า “ครูที่แท้จริงนั้นต้องเป็นผู้ทำแต่ความดี คือ ต้องหมั่นขยันและอุตสาหะพากเพียร ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเสียสละ ต้องหนักแน่นอดทน และอดกลั้น สำรวม ระวังความประพฤติปฏิบัติของตน ให้อยู่ในระเบียบ แบบแผนที่ดีงาม รวมทั้งต้องซื่อสัตย์ รักษาความจริงใจ วางใจเป็นกลาง ไม่ปล่อยไปตามอำนาจอคติ” โดยครูอุทัยได้น้อมนำพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต และอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ให้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูอุทัยยึดถือและปฏิบัติเสมอมาตลอดชีวิตในการทำงานอาชีพครู ของครูอุทัย พรหมวงศ์ ได้ประสบกับปัญหาและอุปสรรคมากมาย ทั้งเรื่องปัญหาสภาพชุมชนของเด็กนักเรียนที่ไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเพราะต่างมีฐานะยากจน เด็กๆต่างต้องช่วยพ่อแม่ทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ ผนวกกับสภาพแวดล้อมของชุมชนที่มีปัญหายาเสพติดและอันธพาล แต่ครูอุทัยก็สามารถผ่านพ้นปัญหาต่างๆและเป็นที่ยอมรับของเด็กๆและผู้ปกครอง เพราะยึดพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน ที่ทรงตรัสไว้ว่า “การทำดีนั้นทำยากและเห็นผลช้าแต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะหาไม่แล้วความชั่วซึ่งทำได้ง่ายจะเข้ามาแทนที่และจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้ตัว” ด้วยความรักความเมตตาของครู ครูผู้เป็นผู้ให้อย่างแท้จริงโดยไม่หวังผลใดๆ และปรารถนาที่จะให้ลูกศิษย์ประสบความสำเร็จในชีวิต เกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผลของความตั้งใจในปฏิญาณตนของครูอุทัย ได้สร้างเมล็ดพันธุ์ให้งอกงามเจริญเติบโต จนมีอาชีพที่ดีและสามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้

ใต้ร่มพระบารมี เรื่อง ครูของแผ่นดิน (2559/2016) เป็นเรื่องราวชีวิตของครูอุทัย พรหมวงศ์ หนึ่งในครูที่ทำทุกอย่างเพื่อลูกศิษย์อย่างแท้จริง โดยสืบสานตามพระบรมราโชวาทที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่พระราชทานแก่คณะอาจารย์และนักเรียนโรงเรียนวังไกลกังวล ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๑๓ ที่ว่า “ครูนั้นจะต้องให้ความรู้แก่เด็กๆด้วยความเมตตา ด้วยความหวังดี คือ ด้วยความเมตตาต่อผู้ที่เป็นลูกศิษย์ และด้วยความหวังดีต่อส่วนรวม เพราะถ้าส่วนรวมประกอบไปด้วยบุคคลที่มีความรู้ ส่วนรวมก็จะไปรอด “ และพระราชดำรัส ที่ทรงพระราชทานแก่ครูอาวุโส เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๒๓ ที่ว่า “ครูที่แท้จริงนั้นต้องเป็นผู้ทำแต่ความดี คือ ต้องหมั่นขยันและอุตสาหะพากเพียร ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเสียสละ ต้องหนักแน่นอดทน และอดกลั้น สำรวม ระวังความประพฤติปฏิบัติของตน ให้อยู่ในระเบียบ แบบแผนที่ดีงาม รวมทั้งต้องซื่อสัตย์ รักษาความจริงใจ วางใจเป็นกลาง ไม่ปล่อยไปตามอำนาจอคติ” โดยครูอุทัยได้น้อมนำพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต และอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ให้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูอุทัยยึดถือและปฏิบัติเสมอมาตลอดชีวิตในการทำงานอาชีพครู ของครูอุทัย พรหมวงศ์ ได้ประสบกับปัญหาและอุปสรรคมากมาย ทั้งเรื่องปัญหาสภาพชุมชนของเด็กนักเรียนที่ไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเพราะต่างมีฐานะยากจน เด็กๆต่างต้องช่วยพ่อแม่ทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ ผนวกกับสภาพแวดล้อมของชุมชนที่มีปัญหายาเสพติดและอันธพาล แต่ครูอุทัยก็สามารถผ่านพ้นปัญหาต่างๆและเป็นที่ยอมรับของเด็กๆและผู้ปกครอง เพราะยึดพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน ที่ทรงตรัสไว้ว่า “การทำดีนั้นทำยากและเห็นผลช้าแต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะหาไม่แล้วความชั่วซึ่งทำได้ง่ายจะเข้ามาแทนที่และจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้ตัว” ด้วยความรักความเมตตาของครู ครูผู้เป็นผู้ให้อย่างแท้จริงโดยไม่หวังผลใดๆ และปรารถนาที่จะให้ลูกศิษย์ประสบความสำเร็จในชีวิต เกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผลของความตั้งใจในปฏิญาณตนของครูอุทัย ได้สร้างเมล็ดพันธุ์ให้งอกงามเจริญเติบโต จนมีอาชีพที่ดีและสามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้

สี่ยอดกุมาร 2559

เรื่องย่อ : สี่ยอดกุมาร (ดิน นํ้า ลม ไฟ) (2559/2016) เรื่องราวของเหนือหัวจุลนี เจ้าเมืองเมืองหนึ่งฝันแปลกประหลาด ถึงดินแดนอาถรรพ์จึงอยากจะพิสูจน์ว่าดินแดนอาถรรพ์มีจริงหรือไม่ เลยออกป่าเพื่อค้นหาป่าอาถรรพ์จนพบ แล้วได้ช่วยเหลือ เจ้าหญิงปทุมมา ที่ถูกซ่อนตัวในกลองใบใหญ่เพื่อหลบสายตาของนกยักษ์ที่มาฆ่าชาวเมืองไปจนหมด จุลนีพาปทุมมากลับมาแต่งงานที่เมืองของตนเอง แต่ปทุมมากลับไม่มีความสุข เพราะในเมืองมี องค์หญิงอัคนี ลูกของ องค์ชายวิชิตชัย น้องชายของเสด็จแม่ของจุลนีคอยกีดกันความรักของปทุมมาและจุลนี จนปทุมมาตั้งครรภ์และคลอดลูก แต่อัคนีแกล้งเอาปลิงมาใส่ร้ายปทุมมาว่าคลอดลูกออกมาเป็นปลิงจนถูกจุลนีไล่ออกจากเมือง ส่วนทารกน้อยถูกลอยแพ จนตายายเห็นแล้วเก็บมาเลี้ยงจนโต จากนั่นเด็กถูกฆ่าตายโดยแผนชั่วของวิชิตชัย เด็ก ๆ ทั่ง 4 เกิดมาเป็นต้นจำปา 4 ต้นก็ไม่วายจะถูกกำจัดอีก เลยหนีไปในป่าขอความช่วยเหลือจากท่านตาฤาษีจนได้ชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง จากนั่นเด็ก ๆ ทั้ง 4 ก็ออกตามหาอาวุธประจำตัวของตนเองก่อนจะไปแก้แค้นวิชิตชัย ด้วยความเป็นเด็กไม่สามารถจะตามความเจ้าเล่ห์ของผู้ใหญ่ได้ เด็ก ๆ ทั้ง 4 เลยเดินทางไปยังถ้ำวิเศษเพื่อชุบตัวให้โตเป็นหนุ่มเป็นสาว...

คู่ป่วนก๊วนกวนผี 2559

เรื่องย่อ : คู่ป่วนก๊วนกวนผี (2559/2016) “เมื่อบ้านที่หวังจะเป็นเรือนหอดันกลายเป็นบ้านผีสิง ผีธรรมดาก็จะแย่แล้ว แต่นี่ดันเป็นผีของดาวตลกคาเฟ่อีก งานนี้เลยไม่รู้ว่าจะกลัว หรือจะฮาดีคร้าบบบบบบ” “กรี๊ดดดดดดดดด...!!!” เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังก้องมาจากลานจอดรถภายในโรงแรมชั้นใต้ดินที่เงียบสงัด ถ้าเป็นกลางวันคงมีฮีโร่โผล่เข้ามาช่วยชีวิตเธอแล้วอย่างในละครโทรทัศน์ แต่ทว่านี่เป็นกลางดึกที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต มุ่ย... (จาร์ด้า อินโตร์เร) สาวน้อยหัวนอก ที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ เพื่อสานต่อธุรกิจครอบครัว ไม่ใช่เพื่อเอาชีวิตมาทิ้งลงในที่เปลี่ยวแสนโหดร้ายและต้องตายอย่างเดียวดายอย่างนี้ เธอพยายามเอาชีวิตรอดหนีตายขึ้นไปบนดาดฟ้า ก่อนที่มุ่ย จะหลุดหัวเราะออกมาแล้วเฉลยว่าเธอรู้ว่าฆาตกรที่อยู่ตรงหน้าเธอคือ แฟนหนุ่มของเธอที่เป็นลูกชายเจ้าของโรงแรมชื่อดังแห่งนี้ เขานัดเธอออกมาเพื่อจัดฉากเซอร์ไพรซ์ขอเธอแต่งงานนั่นเอง แต่สิ่งที่มุ่ยคิดทั้งหมดกลับไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อชายที่อยู่ตรงหน้ากลับเป็น หยวน... (ปรัชญ์ ปรมิณ) ชายหนุ่มช่างซ่อมบำรุงของโรงแรมที่กำลังงงเช่นกัน เพราะแผนการขอแต่งงานกับแฟนสาวดันกลายเป็นยายเพิ้งที่ไหนเนี่ย ก่อนหน้านี้เมื่อ 6 ชั่วโมงที่แล้ว หยวน หนุ่มหน้าใสหัวใจต๊อกต๋อย ตัดสินใจสร้างอนาคตตามฝันของตัวเองโดยขอแฟนสาวที่คบหากันมา 7 ปี แต่งงาน และครั้งนี้หยวน ไม่สนคำห้ามปรามจากเพื่อนสนิทอย่าง แจ๊คกี้... (ปิติพน พรตรีสัตย์) หนุ่มช่างซ่อมบำรุงคู่ซี้ ที่มีหยวนที่ไหน มีแจ็คกี้ที่นั่น แผนทุกอย่างที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี หยวน ตั้งตารอแฟนสาวตามเวลานัดบนดาดฟ้าที่ประดับแสงไฟระยิบระยับและป้ายขอแต่งงานที่เขาได้เตรียมไว้ แต่ทุกอย่างก็ต้องมาพังลงเพราะมุ่ยนั่นเอง แต่แล้วเสียงของชิลลี่ก็ดังขึ้น พร้อมกับ จอร์จ...ชายหน้าตาดีที่มีดีกรีถึงลูกชายเจ้าของโรงแรมชื่อดังแห่งนี้ จอร์จกับชิลลี่ เดินมาด้วยกัน ท่ามกลางความตกตะลึงอึ้งย้ง งงงวยของมุ่ย เพราะจอร์จก็คือ แฟนของเธอ แล้วจอร์จเดินมากับชิลลี่ได้ยังไง ก่อนที่จอร์จกับชิลลี่ จะบอกกับมุ่ยและหยวนว่า เขาทั้งคู่กำลังคบหาดูใจกัน หยวนกับมุ่ยยิ่งงงหนัก ก่อนที่ชิลลี่กับจอร์จจะเดินควงแขนกันจากไป ทิ้งให้หยวน ที่ได้แต่นั่งอึ้งเหมือนสูญสิ้นทุกอย่าง ก่อนที่น้ำตาแห่งความเสียใจของลูกผู้ชายจะพรั่งพรูออกมา หยวนพยายามยื้อไม่ให้เสียคนที่รักที่สุดไป มุ่ยเองก็อึ้งไม่แพ้กันได้แต่ยืนงงกับเหตุการณ์ทั้งหมดตรงหน้า แต่แล้วทุกคนก็ต้องตกใจ เมื่อเสียงมุ่ยดังขึ้น ก่อนจะไม่เปิดเวลาให้ทุกคนเตรียมตัวหนี มุ่ยแย่งพลุที่หยวนเตรียมไว้จุดสร้างบรรยากาศมาระดมยิงใส่จอร์จและชิลลี่หมายล้างแค้นที่หักอกเธอ ต่างคนต่างหลบพลุของมุ่ยอย่างไม่คิดชีวิต ทุกคนวิ่งหลบพลุของมุ่ยกันจ้าละหวั่น มีเพียงหยวนที่พยายามเข้าไประงับเหตุ หยวนพยายามแย่งพลุจากมือมุ่ย จึงทำให้ชิลลี่และจอร์จมีเวลาได้หนีกลับออกไป พลุเหมือนจะสงบลงไปพร้อมความเสียใจของมุ่ย แต่แล้วพลุลูกสุดท้ายกลับไปทำให้กล่องของขวัญและป้ายผ้าติดไฟ และกำลังโหมไหม้แรงขึ้นเรื่อยๆ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้หยวนและแจ๊คกี้ถูกจับขึ้นโรงพัก และพ้นจากสภาพตำแหน่งพนักงานช่างซ่อมบำรุงของโรงแรมทันที ชีวิตหยวนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มิหนำซ้ำห้องเช่าก็ดันมาถูกยึด เขาไม่มีแม้ที่ซุกหัวนอน ทั้งเนื้อทั้งตัวของหยวน มีเพียงเงิน 500 บาท และกุญแจบ้าน ใช่!! โชคยังเข้าข้าง เพราะหยวนยังมีบ้านที่เขาซื้อไว้เพื่อเป็นเรือนหอของเขากับชิลลี่ เขาจึงไม่ใช่คนไร้บ้านอีกต่อไป หยวนยืนอยู่หน้าบ้านหลังน้อยที่เขาประมูลมากับมือ แม้ว่ามันจะไม่มีชิลลี่อย่างที่หวัง แต่อย่างน้อยตอนนี้เขามีเพียงบ้านหลังนี้หลังเดียวที่จะใช้ซุกหัวนอนได้ หยวนเข้าไปในบ้าน เขารู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองเขาตลอดเวลา แต่หยวนก็ไม่คิดมากก่อนที่หยวนจะหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย แต่แล้วในค่ำคืนนั้นหยวนก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะเสียงคนคุยกันแทบจะได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน แต่อย่าเรียกว่าคุยกันเลย เรียกว่าซ้อมมุกกันมากกว่า หยวนตกใจเมื่อพบว่ามีใครก็ไม่รู้มาอยู่ในบ้านเขาได้ยังไง แต่ทั้งหมดกลับบอกว่าบ้านหลังนี้เป็นของพวกเขา หยวนยิ่งงงตาแตกซิก็ในเมื่อเขาประมูลมาแล้ว แล้วก่อนที่เขาประมูลเขาก็มาดูแล้วเห็นว่าบ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่มานานหลายสิบปีแล้ว แต่คนพวกนั้นก็ยืนยันว่าบ้านหลังนี้เป็นของเขา หยวนที่กำลังหัวเสียเพราะคืนนี้เขาเจอมาหลายเรื่องจึงเปิดศึกกับคนทั้ง 5 ทันที อย่างนี้ต้องเปิดศึกชิงบ้านกันหน่อย แต่ยังไม่ทันที่หยวนจะทำอะไร หยวนก็โดนประตูฟาดหน้าเข้าให้ก่อนที่หยวนจะสลบไป เล่าฝ่ายพระเอกของเรามาก็เยอะแล้ว มาดูฝั่งนางเอกของเราบ้างดีกว่า มุ่ยตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงอันโหยหวนของ เจ๊เล้ง... (สุรางคนา สุนทรพนาเวศ) ผู้ที่เชื่อเรื่องดวงเป็นชีวิตจิตใจ เจ๊เล้งถูกขนานนามว่า เจ๊จอมเค็มปล่อยเงินกู้ขาใหญ่ ที่กำลังจะขยายสาขารองรับการกลับมาของมุ่ย ถูกต้องแล้ว...เพราะเจ้เล้งเป็นแม่ของมุ่ยนั่นเอง เจ๊เล้งเชื่อว่าทุกอย่างมักไม่ได้มาด้วยความสามารถเพียงอย่างเดียวต้องพึ่งดวงด้วย เธอยอมจ่ายค่าตัวหลักหมื่นให้หมอดู เพียงเพราะเชื่อว่าชีวิตดีได้ขนาดนี้เพราะคำทำนาย หมอดูได้ทำนายไว้ว่ามุ่ยจะได้โชคที่ตกลงมาจากฟ้า มุ่ยเล่าเรื่องคำทำนายให้เพื่อนสนิทอย่าง บ๊วย... (ฐิตินันท์ สุวรรณภักดี) เพื่อนรุ่นพี่ผู้มีบุคลิกแสนซื่อและใจอ่อน บ๊วยคอยเป็นที่ปรึกษาที่ดีและส้วมที่ดีให้มุ่ยคอยระบายทุกครั้งเช่นกัน ต่างจากเพื่อนรุ่นน้องจอมโวยวายอย่าง กิมก๊ำ... (อาทิตยา ทองวิชิต) ไม่ว่าจะเรื่องเล็กแค่ไหนกิมก๊ำ มักจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ได้เสมอ เมื่อไหร่ที่มุ่ยโดนรุม กิมก๊ำมักจะเป็นด่านหน้าขาลุยเสมอ แม้ว่าจะไม่เคยได้เรื่องเลยก็ตาม เจ๊เล้งได้ข่าวจากเพื่อนบ้านมาว่ามีคนเข้ามาอยู่ในบ้านหลังตลาดแล้ว ทำให้เจ๊เล้งหูผึ่ง เพราะบ้านหลังนั้นเพียงหลังเดียวที่เธอไม่สามารถครอบครองได้ เพราะถ้าเจ๊ซื้อบ้านหลังนั้นได้เมื่อไหร่ เจ๊ก็จะสามารถขายที่ผืนใหญ่ให้กับนายทุนเอาไปทำคอนโดได้ในราคาที่นั่งกินนอนกินได้ไปหลายชาติเลย เมื่อคิดได้อย่างนั้นเจ๊เล้งจึงตั้งขบวนรบออกไปพร้อมกับมุ่ยทันที ขณะเดียวกันหยวนตื่นขึ้นมาพร้อมกับวาดลีลาเต็มที่ แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าไม่มีใครอยู่ในบ้านแล้ว แต่เมื่อคืนเขาเห็นผู้ชาย 4 คน อยู่ในบ้านเขาจริงๆ นะ หยวนรีบแต่งตัวออกจากบ้านเพื่อไปแจ้งความทันที ซึ่งทำให้คลาดกับมุ่ยและเจ้เล้งแบบเส้นยาแดงผ่าแปด หยวนเล่าให้ตำรวจฟังถึงเหตุการณ์เมื่อคืน แต่ทันทีที่หยวนเล่า ทั้งตำรวจและคนที่อยู่รอบบริเวณต่างก็ทำท่าหวาดกลัวและไม่อยากพูดถึงบ้านหลังนั้น ในที่สุดหยวนก็เหลืออดจึงได้ถามชาวบ้านแถวนั้นก่อนที่หยวนจะได้ยินเรื่องสุดสยองเมื่อทุกคนบอกว่าทั้งหมดที่เห็นเป็นผี! หยวนได้ยินแทนที่จะกลัวกลับขำ เพราะมันจะเป็นไปได้ยังไง เพราะเขายังฟัดแบบ 1 ต่อ 5 มาแล้ว หยวนกลับมาบ้านพร้อมกับอุปกรณ์ป้องกันตัวแบบเต็มที่ ตั้งใจว่าคืนนี้เป็นไงเป็นกัน แต่ยังไม่ทันที่ต่อมฮึกเหิมจะทำงานเต็มที่ หยวนก็ดันไปเจอกับกล่องไม้ใบใหญ่ ก่อนที่หยวนจะเปิดออกดูแล้วพบกับรูปถ่ายจำนวนมาก ซึ่งรูปถ่ายเหล่านั้นคือ รูปของพวกมัน 5 คน ! หยวนจะเอารูปของมันทั้ง 5 ไปแจ้งความ แต่แล้วหยวนก็พบกับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งลงข่าวเรื่องที่ตลกคาเฟ่คณะลักยิ้ม ตายยกคณะ ขณะที่กำลังซ้อมการแสดงภายในบ้าน หยวนถึงกับขยี้ตาเพราะตลกคณะลักยิ้มที่บอกมันคือ 5 คน ที่เขาเห็นเมื่อคืนนี่ !!! หยวนเหวอไป หยวนยังไม่ทันจะกรี๊ด เขาก็ต้องพบกับผีทั้ง 5 ที่ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาตัวเป็น แล้วคราวนี้หยวนก็เชื่อแล้วว่าเป็นผีจริงๆ เพราะพวกนั้นผ่านประตูที่เขาวิ่งหนีเข้าห้องล็อกประตูมาได้ซะงั้น หยวนช็อกหมดสติไป หยวนฟื้นขึ้นมาพร้อมกับเจอทั้ง 5 คน เอ๊ะ...เรียกว่า 5 ตนถึงจะถูก ทั้ง 5 บอกให้หยวนไม่ต้องกลัวพวกเขา ก่อนที่ทั้ง 5 จะแนะนำตัวเอง เริ่มจาก โย่ง ลักยิ้ม...(ชาลี ดีเด็ด) ผู้มีความสามารถร้องลิเก ลำตัด ลูกทุ่ง ลูกกรุง ได้หมดในคนเดียว คนที่ 2 คือ ม่อม ลักยิ้ม... (หมวย ชวนชื่น) ผู้ที่เอะอะโวยวายตลอดเวลาเป็นเอกลักษณ์ คนที่ 3 คือ จ้ะเอ๋ ลักยิ้ม...(แม็กก้า จ๊ะเอ๋) ตลกหน้าเป็น ผู้มีความสามารถหลากหลาย ตึ๋ง ลักยิ้ม...(โอโม่ อาร์สยาม) ผู้ที่รักการมอบเสียงหัวเราะให้กับผู้คนเป็นชีวิตจิตใจ คนสุดท้ายคือ เผือก ลักยิ้ม (ฤทธิ์ ดีเด็ด) ผู้มีหน้าที่เป็นทุกอย่างให้คณะตลก ทั้งผู้จัดการ คนขนของ คนขับรถ แม้กระทั่งนักดนตรีประจำคณะ หยวนบอกกับทุกคนว่าบอกกูทำไม กูไม่ได้อยากรู้ ทันใดนั้นทุกคนก็เข้ามาอ้อนวอนหยวนให้ช่วยพวกเขาหน่อย หยวนสงสัยว่าทำไมต้องเป็นเขา ทุกคนจึงบอกกับหยวนว่าเพราะหยวนสามารถเห็นพวกเขา นั่นแสดงว่าหยวนต้องมีอะไรบางอย่างที่สื่อสารกับพวกเขาได้ และที่อยากให้ช่วยก็คือ ทำให้พวกเขาไปเกิดซะที นั่นหมายความว่าหยวนจะต้องช่วยสะสางเรื่องผีๆ ให้ทุกคนนั่นเอง หยวนยังไม่ทันจะรับปากหยวนก็ได้ยินเสียงแหลมแสบแก้วหูที่หน้าบ้าน หยวนออกมาที่หน้าบ้านก่อนที่หยวนจะตกใจเมื่อได้พบกับมุ่ยและเจ๊เล้ง มุ่ยกับหยวนต่างตกใจเมื่อได้พบกันอีกครั้ง เจ๊เล้งเห็นมุ่ยกับหยวนรู้จักกันก็ดีใจ แต่เจ๊ก็ดีใจเพียงแวบเดียว เพราะมุ่ยกับหยวนต่างทะเลาะกันบ้านแทบแตก เพราะฉะนั้นเลิกคิดที่จะให้มุ่ยมาเป็นตัวแทนในการซื้อบ้านของหยวนได้เลย เจ๊เล้งยื่นคำขาดกับมุ่ย หากไม่หาวิธีเอาบ้านนี้มาเป็นของเราตามคำทำนายของซินแส มุ่ยจะไม่มีวันได้ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการอีกเลย เรื่องนี้จึงเดือดร้อนถึงผีคณะตลกที่ต้องร่วมมือกับหยวนป้องกันบ้านหลังนี้ ไหนหยวนจะต้องเริ่มทำธุรกิจที่มีเจ๊เล้งคอยเป็นก้างตลอด หยวนจะยอมขายบ้านเพื่อให้มุ่ยได้สานฝันอาชีพของเธอหรือไม่ แล้วบทสรุปของมุ่ยและหยวนท่ามกลางความชุลมุนของก๊วนผีจะวุ่นวายเช่นไร แล้วก๊วนผีตลกจะได้ไปเกิดมั้ย ติดตามความรักเฮี้ยนๆ ได้...

กองพันหรรษา 2559

เรื่องย่อ : กองพันหรรษา (2559/2016) เจมส์ (ธาราเขต เพ็ชร์สุกใส) หนุ่มนักเรียนนอกถูกคุณตาวิศาล (กรุง ศรีวิไล) เรียกตัวกลับเมืองไทย เพราะความเกเร ไม่ตั้งใจเรียน และใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต แม่ของเจมส์ รัชนี (รัชนีกร พันธุ์มณี) ก็คอยตามใจตลอดเวลา ระหว่างทางขับรถกลับบ้าน เจมส์เกือบเกิดอุบัติเหตุขับรถชนกับรถอีกคัน ซึ่งคนขับคือ ก้อย (อังคณา วรรัตนาชัย) มากับเพื่อนชื่อ จุ๋ม (ปุญญพัฒน์ ถนอมกุล) ทั้งคู่กำลังจะไปซื้อของไปทำบุญที่วัด เจมส์กับก้อยทะเลาะกัน แต่เกิดล้มชนและกอดกัน ทำให้ก้อยโมโหเตะหว่างขาเจมส์จนจุก เจมส์กลับมาถึงบ้านก็ตกใจมาก เพราะที่วิศาลบังคับให้รีบกลับมาเพราะจะให้ไปเกณฑ์ทหาร เจมส์ไม่ยอมแต่ก็โดนบังคับให้ไปจนได้ เจมส์มาจับใบดำใบแดงได้เจอกับ โชติ (เซี้ยะ ติ่มซำ) ลูกชายของกำนันที่อยากจะเป็นทหารมาก พวง (นาย เดอะคอมเมอร์เดี้ยน) นักร้องลูกทุ่งที่มีแม่ยกมาช่วยเชียร์ไม่ให้จับได้ใบแดง บักเล (เก่งกาจ เดอะคอมเมอร์เดี้ยน) หนุ่มช่างซ่อมรถ ที่ไม่ได้อยากเป็นทหาร เจนจบ (ทอม เดอะคอมเมอร์เดี้ยน) ชายหนุ่มเจ้าสำอาง และในที่สุดเจมส์ก็จับได้ใบแดงต้องไปเกณฑ์ทหาร เจมส์พยายามจะหนีแต่ก็โดนวิศาลขู่เรื่องมรดกและการหนีทหาร ถ้าโดนจับได้ต้องติดคุก เจมส์จึงต้องจำใจเกณฑ์ทหาร เป็นทหารวันแรกเจมส์กับเพื่อนก็เจอกับ จ่าเดียว (ธีรภัทร์ แย้มศรี) และจ่าก้าน (ตูมตาม เชิญยิ้ม) ที่เข้มงวดทุกอย่าง สั่งตัดผมและฝึกอย่างหนักตั้งแต่วันแรก เจมส์ได้พบกับก้อยอีกครั้ง เพราะก้อยคือลูกสาวของผู้พันต๋อย (ปราบ ยุทธพิชัย) และคุณนายรำไพ (กรองทอง รัชตะวรรณ) ที่อยู่ที่ค่ายทหารนี้ จ่าเดียวก็ได้เจอกับ ขวัญข้าว (วรางคนาง วุฑฒยากร) น้องสาวของจ่าก้านซึ่งเปิดร้านอาหารอยู่ในค่ายทหาร ก็รู้สึกชอบในความน่ารักของขวัญข้าว แต่จ่าเดียวก็ถูก เจ๊เพ็ญ (บัณฑิตา ฐานวิเศษ) ที่เปิดร้านขายน้ำอยู่ใกล้กับขวัญข้าวจับจองเพราะชอบจ่าเดียว จ่าก้านมีลูกสาวอยู่คนหนึ่งชื่อ กิ่ง (ชาลีน่า ไบเลย์) มีนิสัยแก่น ทะโมน โตมากับค่ายทหาร รู้จักทุกซอกทุกมุมและทุกคน เจมส์แค่ฝึกวันแรกก็ทนไม่ไหว คิดจะหนีออกจากค่ายทหาร โดยมีบักเลร่วมด้วย ทั้งสองคนหาวิธีต่าง ๆ นานา สุดท้ายก็ได้ แมน (กิ๊ฟ ชวนชื่น) และหมึก (ตะวัน นวลนุกุล) ซึ่งเป็นญาติห่าง ๆ ของคุณนายรำไพที่มาอาศัยอยู่ที่บ้านด้วย หลอกเอาเงินเป็นข้อแลกเปลี่ยนในการบอกวิธีหนีออกจากค่าย ก้อยรู้ข่าวว่าเจมส์จะหนีทหารจากแมน และหมึก จึงมาห้ามเจมส์ เพราะไม่อยากให้โดนรับโทษจากการหนีทหาร ก้อยท้าเจมส์ให้อยู่ฝึกทหารให้ครบหลักสูตรแรกเป็นระยะเวลาสองเดือนครึ่ง เจมส์ไม่อยากโดนปรามาส จึงรับคำท้าจากก้อย เรื่องสนุก ๆ ในการฝึกทหารและการไม่ยอมแพ้แกล้งกันไปมาระหว่างเจมส์กับก้อยทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นแต่ก้อยก็มีแฟนอยู่แล้วคือ ผู้กองพิริยะ (นพพล พิทักษ์โล่พานิช) เจมส์จะฝึกทหารครบสองเดือนครึ่งหรือเปล่า และจะเอาชนะใจก้อยที่มีผู้กองพิริยะอยู่แล้วได้ยังไง ติดตามได้ใน ‘กองพันหรรษา’

หอเฮ้วขนหัวลุก 2559

เรื่องย่อ : หอเฮ้วขนหัวลุก (2559/2016) "นักศึกษาใหม่ป้ายแดง ถึงเวลาที่ต้องออกไปเผชิญโลกกว้าง เก็บเสื้อผ้าและก้าวขาออกหาหอพักใหม่เพื่อเปิดประสบการณ์การห่างอกพ่ออกแม่ครั้งแรก แต่ใครจะรู้ว่าประสบการณ์ชวนขนหัวลุกกำลังรอพวกเขาอยู่" “ทอย”(พระเอก)นักศึกษาใหม่ป้ายแดง มีอัธยาศัยดี ชอบช่วยคนเป็นชีวิตจิตใจ แถมมีดีที่หน้าตา แต่พกพาความซวยมาเต็มกระเป๋า จะเช่าหอพักดีๆ กับเขาก็ดันโดนโกงค่ามัดจำ ซ้ำยังทำเหรียญสิบเหรียญสุดท้ายหล่นท่อ จะโทรบอกพ่อกับแม่โทรศัพท์ก็เงินหมด โถ่ชีวิตไอ้ทอย ให้แลกกับหมาหมายังส่ายหน้า แต่ทว่าความซวยของทอยยังไม่จบแค่นั้นเพราะดันหวังดีจะช่วย “เมษา”(นางเอก) นักศึกษาปี 1 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์จากโจรโรคจิตที่กำลังใช้มือถือถ่ายใต้กระโปรง แต่เมษาหันมาเจอทอยพอดีเลยคิดว่าทอยไล่ดมกระโปรงของตนเองอยู่ ทอยจึงโดนเมษาตราหน้าว่าเป็นโรคจิตไปโดยปริยาย แต่ในความโชคร้ายก็ยังร้ายไม่พอทอยได้ไปช่วย “เจ๊ดอกเข็ม”เจ้าของหอพักชายและหอพักหญิงที่ชื่อว่า หอพักดอกเข็มจากโจรจี้ชิงทรัพย์ทำให้ทอยไปรับมีดของโจรแทนเจ๊ดอกเข็มเข้าเต็มๆ เจ๊ดอกเข็มจึงตอบแทน ด้วยการให้ทอยเข้าไปอยู่หอพักดอกเข็มแบบไม่ต้องจ่ายค่ามัดจำ แถมยังได้ราคาพิเศษอีกด้วย แต่ความงกของเจ๊ดอกเข็มนั้นมากกว่าน้ำทะเล เธอตั้งเงื่อนไขว่าทอยจะต้องเป็นพ่อบ้านช่วยงานที่หอด้วย ทอยไม่มีอะไรจะเสีย เขาจำยอมทำทุกอย่างให้ได้มีที่ซุกหัวนอน แต่ไม่มีใครบอกทอยซักคนว่าหอพักนี้ ผีดุชะมัด!!! ถึงผีจะดุ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครมาเช่า “ปลาทอง”(นางรอง) นักศึกษาสาวปี1 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่หลงใหลในเรื่องลี้ลับเป็นชีวิตจิตใจ ได้จองห้องเข้ามาอยู่อย่างไม่ลังเล แต่เธอไม่ได้มาอยู่คนเดียว ดันเกี่ยวเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กมาอยู่ด้วยนั่นคือ เมษา นั่นเอง ซึ่งเมษาไม่รู้เลยว่าผีดุ แต่จะย้ายออกก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะปลาทองได้จ่ายค่าหอและเซ็นสัญญาอยู่ถึง 4 ปี โอ้ว..แม่เจ้า!! เมษาจะหาพระเกจิกี่องค์ห้อยคอล่ะที่นี้ เมษาถามเหตุผลที่ต้องมาอยู่หอนี้ เธอกลับได้เหตุผลจากเพื่อนรักของเธอว่า “ฉันอยากเจอผี”และยิ่งกว่านั้นเมื่อเมษารู้ว่าหอพักดอกเข็มเป็นทางผ่านของผีไปสู่นรก นั่นทำให้เธอแทบอยากจะเก็บเสื้อผ้ากลับต่างจังหวัดซะเดี๋ยวนั้น แต่แค่นั้นยังถือว่าซวยไม่ถึงที่สุด เพราะเมษายังต้องเจอกับนายทอยคนที่เธอคิดว่าเป็นโรคจิตอีกด้วย!!! ขณะที่ทอยจะเอาผ้ามาปั่นที่ร้านซักรีด แต่เครื่องปั่นดันไม่มีเครื่องไหนว่าง มีอยู่เครื่องหนึ่งที่ปั่นเสร็จแล้ว แต่เจ้าของผ้ายังไม่มาเอา ทอยจึงจะเอาผ้าออกเพื่อที่จะซักต่อ แต่ใครจะคิดว่าผ้าในถัง ดันมีชุดชั้นในผู้หญิงอยู่ด้วย ทอยหยิบขึ้นมา แต่เจ้ากรรม..พัดลมดันพัดมาทางทอยชุดชั้นในโผเข้าหน้าทอยอย่างจัง และทอยจะไม่ซวยเลย ถ้าเมษาไม่เข้ามาเห็นและเข้าใจผิด ประกอบกับครั้งที่แล้วที่ทอยดูเหมือนโรคจิต ครั้งนี้จึงไปกันใหญ่ ทอยพยายามอธิบายแต่เมษาไม่ฟัง เพราะหลักฐานคาหน้าทอยอยู่ ตั้งแต่วันนั้นมาเมษากับทอยก็เจอกันทุกวันเหมือนใครจับหมากับแมวมาอยู่ในกรงเดียวกันความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่มีคำว่าญาติดีกันอีกต่อไป ต่างคนต่างพ่นไฟใส่กันแต่ความซวยของทอยไม่จบลงง่ายๆ เพราะอภิมหาความซวยครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นกับทอยนั่นคือ "มะยม"(พระรอง)ยมทูตฝึกหัดอายุแค่ 18 ปี ชื่อจริงชื่อมะยม ได้รับภารกิจให้นำตัววิญญาณผู้ที่หมดอายุขัยมายังปรโลก ซึ่งปลาทองกับทอยได้เกิดอุบัติเหตุซ้อนมอเตอร์ไซค์วินมาทั้งคู่ แล้วเกิดเหตุชนกันขึ้น สลบไปทั้งคู่ แต่ยมกลับนำวิญญาณมาผิดซึ่งทอยยังไม่ถึงฆาต คนที่ถึงฆาตคือปลาทอง ทำให้เมื่อวิญญาณทอยกลับเข้าร่างทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เพราะทอยกลับเห็นผี!! แถมยังต้องช็อกซ้ำสอง เมื่อทอยรู้ว่าตนอายุขัยสั้นลงและจะซวยไปตลอดชีวิต ซึ่งเป็นผลกระทบจากการที่วิญญาณออกจากร่างนั่นเอง แต่ทางแก้ปัญหาก็คือ ทอยต้องรับภารกิจคอยช่วยเหลือปลดปล่อยเหล่าวิญญาณเร่ร่อนให้ไปสู่สุขคติอย่างไม่มีกำหนด ทอยไม่มีทางเลือกจึงต้องก้มหน้ารับชะตากรรม แต่ทอยไม่ได้ทำคนเดียว เพราะมีผู้ช่วยอย่าง มะยม ซึ่งต้องมารับผิดโทษฐานนำวิญญาณไปผิดนั่นเอง จะช่วยให้ดีขึ้นหรือช่วยให้ซวยลงทอยชักเริ่มไม่แน่ใจ!! แต่ผู้ช่วยทอยยังไม่หมดแค่นั้น ปลาทองที่ได้ใกล้ชิดผีสมใจอยากและยังชอบที่ตัวเองตายอีกต่างหาก ขออาสามาช่วยทอยกับยมอีกแรง โดยที่ขอร้องยมว่าอย่าเพิ่งเอาวิญญาณตนไปปรโลก ขออยู่เพื่อเป็นผีที่มีประโยชน์ต่อสังคมก่อน ยมแอบหลงเสน่ห์ปลาทองตั้งแต่แรกเห็น จึงอนุญาตให้ปลาทองเป็นผู้ช่วยอีกคน แต่งานนี้เมษาต้องเข้ามามีเอี่ยวด้วย เพราะปลาทองเป็นสื่อกลางทำให้ทอยต้องเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเมษาอย่างไม่ตั้งใจ ซึ่งเมษาเองก็ยังไม่ชินที่มีเพื่อนเป็นผี แถมวันดีคืนดียังพาพี่ผีตนอื่นๆ มาปาร์ตี้ที่ห้องอีกต่างหาก เมษาดูภายนอกแก่นซ่า ไม่ยอมคน แต่ภายในแล้วใครจะรู้ว่าเธอมีปมอยู่ในใจเพราะกำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก เมษาอยู่กับ "มั่นคง" ผู้เป็นพ่อมาตลอด ซึ่งเป็นคนไม่เอาไหนเท่าไหร่ แม่เลยหนีไป เมษาจึงต้องเอาตัวรอดในสังคมด้วยตนเองมาตั้งแต่เล็ก และนอกจากทอยจะต้องวุ่นวายกับเรื่องปลดปล่อยวิญญาณแล้ว ยังต้องมาปวดหัวกับเพื่อนรุ่นพี่ข้างห้องอย่าง "จุ้น"หนุ่มปี 2คณะวิทยาศาสตร์ แต่อายุ 30 ปี ย้ายมาเกือบทุกมหาวิทยาลัย จุ้นเป็นคนฉลาด ไหวพริบดี แต่ชอบใช้ในทางที่ไม่ดี ขี้โกงและเอาเปรียบชาวบ้านจนโดนไล่ออกมาจากหอเก่ามาอยู่ที่นี่นั่นเอง ซึ่งจุ้นก็จุ้นสมชื่อจริงๆเพราะมักจะคอยเอาเปรียบทอยเสมอ แต่ส่วนมากจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทอยจึงไม่อยากเอาเรื่องสักเท่าไหร่ แต่กลับเป็นยมที่เอาคืนจุ้นแทนทอยอยู่ตลอด มีผู้เช่าย้ายมาใหม่ภายในหอดอกเข็ม ชื่อ "ตั้ม"อายุ 30 ปี เป็นนักวิทยาศาสตร์ ติดขี้เก๊ก เป็นเพื่อนสมัยมัธยมปลายของจุ้น แต่แยกย้ายกันไปตอนเรียนมหาวิทยาลัยเพราะจุ้นซิ่วไปเรียนที่นู้นที่นี่อยู่เรื่อย ตั้มได้มาเจอจุ้นอีกครั้งแต่กลับไม่ดีใจเลยสักนิดเพราะทั้งคู่เป็นทั้งเพื่อนและคู่กัดในเวลาเดียวกัน ตั้มมักจะทดลองจนหอเกิดความวุ่นวายและเกือบไฟไหม้หลายรอบ จนเจ๊ดอกเข็มต้องมาต่อว่าตั้ม แต่เรื่องจะเงียบทันทีเมื่อตั้มควักเงินจ่ายค่าเสียหายให้เจ๊ดอกเข็ม เจ๊ดอกเข็มที่ความเค็มยังเรียกป้ามีลูกชายสุดซ่าชื่อว่า"โกสน"มีนิสัยโอ้อวด เอาแต่ใจ ทำเป็นเก่งและปากดี แต่เอะอะก็จะฟ้องแม่ลูกเดียว และหาเรื่องแกล้งทอยอยู่ตลอดเวลาเพราะอิจฉาทอยที่อยู่ใกล้กับเมษา ซึ่งเมษาเป็นคนที่โกสนชอบ แต่แผนของโกสนมักจะถูกขัดขวางโดย "มาย"นักศึกษาปี 1เป็นคนร่าเริง ขี้อ้อน โดยเฉพาะกับทอย ซึ่งมายมีใจชอบทอย เมื่อมีใครมาแกล้งก็พร้อมจะปกป้องเสมอ และมายยังหาเรื่องเมษาอยู่บ่อยครั้งซึ่งโกสนไม่ชอบเช่นกัน มายกับโกสนจึงเกลียดขี้หน้ากันไปโดยปริยายและพร้อมกัดกันทุกเมื่อที่ได้เจอกัน นอกจากมายจะมีหน้าที่คอยปกป้องทอยจากโกสนแล้ว หน้าที่หลักคือช่วยพ่อกับแม่ทำอาหารซึ่งมายทำอาหารเก่งไม่แพ้พ่อกับแม่ แต่ส่วนมากมักยืนสวยๆ เรียกลูกค้าหนุ่มๆ เข้าร้านเป็นประจำ โดยเปิดร้านที่ใต้หอชายดอกเข็มมีร้านขายของชำและอาหารตามสั่ง ดำเนินกิจการโดย "มน" แม่ของมายซึ่งเป็นคนที่งมงายเรื่องลี้ลับมาก เป็นเจ้าแม่เลขเด็ดตัวยงเลยก็ว่าได้ ส่วนอีกคนคือ"เฮียเหมา"พ่อของมาย ซึ่งหลายคนมักเรียกเฮียหมา เพราะปากของแกนั่นเอง แต่เห็นอย่างนี้เฮียเหมาเป็นคนรักสัตว์มาก เข้าขั้นบ้าก็ได้ เห็นสัตว์เดือดร้อนไม่ได้ต้องรีบเข้าไปช่วย แต่เก็บมาเลี้ยงไม่ได้ เพราะที่หอมีกฎห้ามเลี้ยงสัตว์เฮียเหมาจึงซื้อตุ๊กตาสัตว์มาเลี้ยงแทน นอกจากนี้เฮียเหมายังเป็นคนรู้คุณค่าของเวลา ขนาดที่ว่าไปไหนก็ต้องพกของไปขายด้วย โดยเฉพาะในร้านเสริมสวยของ"เจ๊จู"ที่เปิดอยู่ใต้หอหญิงทำให้ทั้งคู่ทะเลาะและมีปากเสียงกันบ่อยๆ แต่ถ้ามีผลประโยชน์ร่วมกันได้ ทั้งสองก็จะเป็นมหามิตรกันทันทีทั้งคู่มีศัตรูร่วมกันคือ เจ๊ดอกเข็ม ซึ่งทั้งคู่มักต่อต้านความเค็มและความเคี่ยวอยู่เป็นประจำ แต่โดยความที่ค่าเช่าถูกที่สุดในย่านนี้ ทั้งคู่จึงไม่ย้ายไปไหนและไม่ใช่ใครจะสามารถเข้าออกหอดอกเข็มได้ง่ายๆ เพราะมีรปภ."ชาย"คอยเฝ้าอยู่ แต่ไม่ค่อยทันคน หัวช้า ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว ขี้เซา ชอบหลับในเวลางานจนโดนเจ๊ดอกเข็มต่อว่าอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ปรับปรุงตัวสักที ในบรรดาคนในหอ ชายคือคนที่เจอผีบ่อยที่สุด แต่ชายแยกไม่ออกว่าไหนคนไหนผี นอกจากนี้หอดอกเข็มยังมีแม่บ้านประจำหอ ชื่อว่า "เบญ"ส่วนมากชอบอยู่ฝั่งหอชายมากกว่าฝั่งหอหญิง เวลาเจอทอยชอบแกล้งเป็นลมอยู่เสมอ เพราะทอยเนี่ย สเปคเบญเลย คำพูดติดปากของเบญคือ "เบญสัมผัสได้" บริเวณหอพัก จะมีพี่วินขาใหญ่ประจำซอยนั่นคือ "ชาลี"หญิงห้าวมาดดุเข้มอายุ 30 ปี ชื่อจริงชื่อนางสาวชาลินี แต่ชอบให้คนเรียก พี่ชาลี เป็นหัวหน้าวินมอเตอร์ไซค์ มีนิสัยดุดันและจริงจังในหน้าที่ ดุแต่เฉพาะลูกน้องและผู้ชาย แต่ถ้าเป็นสาวๆ พี่ชาลีจะใช้เสียงสองคุยทันที ชาลีชอบเอาใจลูกค้าสาวๆ มีสโลแกนสวยนั่งฟรีหุ่นดีครึ่งราคา ชาลีมีลูกน้องอีกสองคนคือ "ซาไก"เป็นคนต่างจังหวัด เข้ามาทำงานในกรุงเทพ ชอบขี้โม้ ขี้ประจบ ใครมีผลประโยชน์กับซาไก ซาไกดีด้วยแทบถวายหัว ซาไกมีความฝันอยากเป็นนักแข่งรถ เลยมาทำอาชีพขับวิน ซาไกมักจะทะเลาะกับเพื่อนร่วมงานอีกคนคือ "ชับปุย"เป็นประจำ ชัปปุยลูกน้องมือซ้ายของชาลี อายุ28ปี เป็นคนซื่อ ไม่ทันคนและไม่ทันซาไก ชอบโดนซาไกหลอกใช้ แถมยังโดนพี่ชาลีด่าอยู่บ่อยครั้ง เวลาทำอะไรไม่ถูกใจ ชับปุยมีอย่างหนึ่งที่แก้ไม่หายคือ โรคชักกระตุกตลอดเวลา หอดอกเข็มนอกจากจะมีคนคอยเฝ้าแล้ว ยังมี "ท่านท้วม" ท่านเจ้าที่ประจำหอพักด้วย เป็นผีเฒ่า ที่เผลอหลับเป็นประจำ แถมยังเจ้าชู้ ขี้หลี พวกผีผู้หญิงและนางไม้อีกด้วย แต่ท่านท้วมก็น่าสงสาร เพราะเป็นเจ้าที่ที่ถูกเจ้าบ้านอย่างเจ๊ดอกเข็มทอดทิ้งไม่บูชาเครื่องเซ่นใดๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านท้วมแก้เผ็ดโดยการจัดให้หอแห่งนี้เป็นประตูผีซะเลย ภารกิจการช่วยเหลือปลดปล่อยเหล่าวิญญาณ ชักเริ่มไม่ใช่ภารกิจธรรมดาซะแล้ว เพราะมันได้ก่อเกิดเป็นความรักทั้ง ยมมะยมที่มีใจให้กับปลาทอง ซึ่งปลาทองเมื่อได้ใกล้ชิดกับยมมากๆ ก็เริ่มเผลอใจให้ เพราะชอบผีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่อุปสรรคที่ขวางกั้นอยู่นั้นคือทั้งคู่ต่างชั้นวรรณะกัน ส่วนทางด้านทอยกับเมษายิ่งช่วยกันไปกัดกันไปก็ยิ่งเริ่มรักกันไปโดยที่ไม่รู้ตัว และปากแข็งทั้งคู่อีกต่างหาก ฝ่ายผีที่ต้องการความช่วยเหลือจากทอย เพื่อจะได้ไปผุดไปเกิด ได้ใช้ปลาทองและยมมะยม ทำหน้าที่เป็นนายหน้าเพื่อเข้าหาทอย แต่ละตนก็ขนสาระพันปัญหามาให้ทอยแก้ ตั้งแต่ปัญหาชีวิต ปัญหาเศรษฐกิจ ไปถึงปัญหาความรัก ซึ่งตัวทอยเองก็จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว แถมทอยยังถูกเจ๊ดอกเข็มเรียกใช้ไปซ่อมนู้นนี่อยู่ตลอดเวลา ดีที่ว่าเมษาพอมีวิชาซ่อมแซมอาคารอยู่บ้าง ทำให้ทอยได้หาเรื่องไปพูดคุย แต่ก็ต้องถูกเฉดหัวกระจุย ถ้าเมษาจับได้ว่าทอยมาจีบตน เรื่องราวความรักของทอย กับ เมษาจะลงเอยกันอย่างไร แล้ว ยมมะยม กับ ปลาทองจะรักกันได้หรือไม่ ทอยจะต้องปลดปล่อยเหล่าวิญญาณไปถึงเมื่อไร จึงจะเสร็จสิ้นภารกิจ โปรดติดตามได้ใน ซิทคอมสุดฮาที่มาพร้อมความหลอนเรื่องหอเฮ้ว ขนหัวลุก !!!

รหัสปริศนา 2559

เรื่องย่อ : รหัสปริศนา (2559/2016) ผู้กองศรุท (แบงค์ อาทิตย์) ตำรวจจากหน่วย DSI สังกัดทีม A.T.M. (AGAINS TERRORIST MISSION) หน่วยพิเศษที่จัดตั้งด้วยความร่วมมือระหว่าง 3 เหล่าทัพ, ตำรวจ, กระทรวงยุติธรรม กระทรวง ICT และสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นมือปราบรุ่นใหม่ที่ซื่อสัตย์และห้าวระห่ำเกินกว่าคนรุ่นเดียวกัน ศรุท ปิดคดีไปได้มากมายหลายคดี เพราะความจริงจังและฉลาด จึงเป็นที่ไว้วางใจของ ผู้กำกับศานติ (สุเมธ องอาจ) ซึ่งมอบหมายคดีสำคัญที่ต้องการปิดคดีให้ได้ให้ ศรุท ทำอยู่เสมอ แต่ในช่วงเวลานี้ ศรุท กลับต้องปวดหัวกับโจรปล้นธนาคาร นาม นิมิตร (โย่ง อาร์มแชร์) โจรที่ปล้นธนาคารสาขาใหญ่ๆ ไปเกือบหลายร้อยล้านบาทแล้ว สิ่งที่ ศรุท ไม่เข้าใจก็คือ การปล้นแต่ละครั้งของ นิมิตร นั้นเป็นการฉายเดี่ยว ไม่มีลูกทีมคอยช่วยเหลือ ไม่มีรูปแบบของการวางแผน ไม่มีการใช้อาวุธใดๆ มันเหมือนกับ นิมิตร เดินเข้าธนาคารไปแล้วออกไปพร้อมเงินถุงใหญ่อย่างง่ายดายและลอยนวล ต่อมาเขาก็ได้มาซึ่งรูปร่างหน้าตาของ นิมิตร มาจนได้ ทุกอย่างเหมือนจะง่าย เมื่อสามารถระบุรูปพรรณคนร้ายได้ แต่ปรากฏว่าไม่มีข้อมูลใดๆ ที่บ่งบอกว่า นิมิตร เป็นใครมาจากไหน เหมือนกับ นิมิตร ลํ้าหน้า ศรุท อยู่หนึ่งก้าวเสมอ เที่ยงวันหนึ่งรถตู้นิรภัยที่ใช้ขนเงินของสยามธนาคาร ขนเงินสดจำนวน 10 ล้านบาท มุ่งไปที่สาขาหนึ่งของธนาคารใจกลางเมือง ในช่วงเวลาที่รถขนเงินกำลังติดไฟแดง รถตู้อีกคันขับตีคู่เข้ามาจอดเทียบ แล้วกดรหัสเปิดประตูหลังรถราวกับเขารู้รหัสนั้นมาล่วงหน้า เขาคือ นิมิตร ที่กำลังจะได้เงิน 10 ล้าน ไปแบบง่ายๆ แต่แล้ว นิมิตร ก็ต้องชะงักอึ้งเมื่อสิ่งที่อยู่ท้ายรถไม่ได้มีเพียงเงินสดจำนวน 10 ล้านบาท แต่มี ศรุท ที่พุ่งออกมาพร้อมปืนที่จ่อตรงมาที่เขาเหมือนรออยู่ก่อนแล้ว นิมิตร ถูก ศรุท ลากตัวมายังกองบัญชาการ พร้อมเผยว่าก่อนหน้านี้เขาเป็นแค่เซียนแฮคเกอร์ธรรมดาๆ แต่ในคืนหนึ่งที่พายุเข้าเกิดฟ้าผ่าทำให้คอมพ์ทุกตัวของเขาช็อตจน นิมิตร กระเด็นสลบไป เมื่อ นิมิตร ตื่นขึ้นมาเขาก็พบว่าเขามีพลังพิเศษในการดักจับสัญญาณดิจิตอลทุกประเภท เขาสามาถเห็นทุกๆ สัญญาณและทุกๆ ข้อความไม่ว่าจะเป็นสัญญาณ SMS, ข้อความ Email หรือจาก Line และ WhatsApp โพสท์บน Facebook หรือ Twitter ทุกๆ สิ่งที่สื่อดิจิตอลเป็นตัวนำแหวกอากาศไปนั้น นิมิตร สามารถเห็นมันแล่นผ่านอากาศ และคว้าจับพวกมันมาดูได้ทั้งหมด แถมการปล้นที่ นิมิตร ทำไปก็เพื่อความสนุกมากกว่า เพราะเงินทุกบาทที่ปล้นมาเขายังเก็บไว้ดูเล่นที่บ้านไม่มีสูญหาย ผู้กำกับศานติ ต้องการให้ส่งตัว นิมิตร ให้ กีรติ (ซอนญ่า สิงหะ) อัยการสาวผู้ทำคดีพิเศษเพื่อขังลืม (ที่มีความสัมพันธ์เป็นอดีตแฟนของ ศรุท) แต่ ศรุท ยื่นข้อเสนอลับกับ นิมิตร โดยต้องเป็นผู้ช่วย ศรุท ในการไขคดีและตามจับผู้ร้ายในคดีที่ยังปิดไม่ได้ เพื่อแลกกับการลบล้างความผิดให้กับ นิมิตร ทั้งหมด แต่ถ้าหาก นิมิตร หลบหนีหายไปอีก ศรุท จะต้องออกจากราชการทันที เรื่องราวของ รหัสปริศนา จึงเริ่มต้นขึ้น ณ จุดนี้ เมื่อ ศรุท ทำการเปิดคดีที่ค้างเติ่ง และให้ นิมิตร ใช้พลังของเขาไขคดี แล้วตามล่าจับตัวคนร้ายในแต่ละคดี ด้วยความระทึกและคาดไม่ถึง ในขณะเดียวกัน นิมิตร ก็พร้อมจะหลบหนีไป และในการร่วมงานกันระหว่าง ศรุท นิมิตร และ กีรติ รวมถึง หมอพิยะดา (ตาล กัญญา) ศัลยแพทย์ประจำหน่วยพิสูจน์หลักฐานของทีม A.T.M ที่แอบชอบ ศรุท มาตลอด รวมถึง นิมิตร ที่มีความรู้สึกดีๆ ให้ทั้ง กีรติ และ หมอพิยะดา จนทำให้เกิดสารเคมีที่เรียกว่า "รัก 4 เส้า" ขึ้นมา คดีแต่ละคดีจะถูกไขและนำไปสู่การจับตัวคนร้ายได้อย่างไร นิมิตร จะหักหลัง ศรุท และหลบหนีไปหรือไม่ ความสัมพันธ์ระหว่าง ศรุท, นิมิตร, กีรติ และ หมอพิยะดา จะเป็นไปในทิศทางใด ติดตามชมในซิทคอม แอ็คชั่น ดราม่า สืบสวนสอบสวน แนวใหม่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นของเมืองไทย ในซิทคอม “รหัสปริศนา CODE HUNTER”

ลูกตาลลอยแก้ว 2559

เรื่องย่อ : ลูกตาลลอยแก้ว (2559/2016) อนาวิล รัชชานนท์ หรือ ต้นตาล (พีรวัศ กุลนันท์วัฒน์) ทายาทเจ้าของธนาคารอันดับต้นของเมืองไทย กำลังจะไปทำงานสายตั้งแต่วันแรก หลังกลับมาจากเมืองนอก แถมวันนี้ยังมีนัดสำคัญ เพราะ ธีรเดช (ปริยะ วิมลโนช) พี่ชาย จะแนะนำเขาให้รู้จักกับหุ้นส่วนของธนาคาร อนาวิล จึงจำเป็นต้องขอยืมมอเตอร์ไซค์สภาพแย่ของ เผือก (เก่งกาจ ณรงค์ศักดิ์ อังกาบ) คนขับรถที่บ้าน ไปใช้แทนรถเบนซ์ เพื่อขี่ลัดเลาะไปประชุมให้ทันในช่วงเวลารถติดยามเช้าแบบนี้ แต่ก็มีเหตุให้อนาวิล ไปไม่ทันอยู่ดี เพราะรถมอเตอร์ไซค์ของเขาชนกับรถเก๋งคันหรูของ มินทรา วรโชติ หรือ แก้ว (ซอนญ่า สิงหะ) มินทราเห็นสภาพชายหนุ่มคู่กรณี ขี่มอเตอร์ไซค์เก่า ๆ เสื้อกางเกงขาด เพราะครูดกับถนน ตามแขนขามีรอยถลอกเลือดซึม หน้าตามอมแมม มินทรา จึงประเมินสถานะชายหนุ่มเป็นแค่คนขับรถ ยิ่งอนาวิล มีท่าทียียวนไม่ยอมคนและยังเรียกร้องค่าเจ็บตัวที่ถูกชน มินทรายิ่งเข้าใจว่าเป็นพวกที่มีอาชีพตั้งใจชนเพื่อหาเงิน และกว่าทั้งคู่จะยอมแยกย้ายไปได้ มินทรา ต้องโทร. เรียก แพรพิไล (อังคณา วรรัตนาชัย) เพื่อนสนิท มาไกล่เกลี่ย และต้องยอมจ่ายเงินให้อนาวิล ไปแบบไม่เต็มใจ

มินทรา และแพรพิไล รีบมาที่สมาคมผู้สงเคราะห์คนยากจน เพราะคณะกรรมการจัดงานละครการกุศลหาทุน มารอดูตัวมินทรา เพื่อคัดเลือกเป็นนางเอกละครการกุศลปีนี้ ด้วยคุณสมบัติที่เพียบพร้อมสวยตรงใจ และด้วยการผลักดันของ คุณหญิงเขมิกา (ณหทัย พิจิตรา) แม่ของมินทรา ทำให้เธอผ่านการคัดเลือกในรอบแรก แต่พรุ่งนี้มินทรา ต้องมาที่สมาคมอีกครั้งเพื่อให้ คุณหญิงกุลนาถ (วิยะดา โกมารกุล ณ นคร) ประธานมูลนิธิ เป็นผู้ตัดสิน คุณหญิงเขมิกา ดีใจที่ลูกสาวคนเดียวผ่านการคัดเลือกรอบแรก เธออยากให้มินทรา เป็นดาวเด่นในวงสังคม จึงคุยฟุ้งให้สมาชิกในบ้านร่วมยินดี ทั้ง คุณพยัคฆ์ (กลศ อัทธเสรี) สามีที่ขึ้นชื่อเรื่องกลัวเมียเป็นที่สุด ยศกร (ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์) ลูกชาย ยมล (ณพัชรินทร์ ไพบูลย์รัตนกิจ) ลูกสะใภ้ และยศพล (ด.ช.สิรวิชญ์ ตั้งจิตร์มั่นคง) ลูกชายตัวอ้วน มีแต่มินทรา คนเดียวที่เฉย ๆ เพราะไม่อยากเด่นดังแค่ทำตามใจแม่เท่านั้น

เช้าวันนี้อนาวิล ต้องเข้าประชุมนัดสำคัญอีกครั้งแทนการประชุมเมื่อวานนี้ที่เขาไปไม่ทัน อนาวิล ตื่นแต่เช้าทันทานข้าวร่วมกับ ธีรเดช พรวลัย (ชนกวนันท์ รักชีพ) พี่สะใภ้ และกรกนก (ด.ญ.รชาดา) หลานสาวช่างพูด อนาวิล จึงมีเวลาแวะไปส่งคุณหญิงกุลนาถ ที่สมาคม ก่อนไปทำงาน แต่หลังจากส่งแม่แล้วก็มีรถคันหนึ่งแล่นมาอย่างเร็วชนกับรถของอนาวิล และเหมือนบุพเพสันนิวาส คู่กรณีที่ลงมาจากรถคือ มินทรา สาวสวยที่รถเพิ่งชนกันเมื่อวาน มินทราแปลกใจที่เห็นอนาวิลขับรถเบนซ์ แต่ก็คิดอย่างดูถูกว่าเป็นคนขับรถของเจ้านาย อนาวิลไม่ได้ปฏิเสธ และเพราะวันนี้เขารีบไม่อยากผิดนัดสำคัญอีก

มินทราก็รีบเพราะต้องมาให้คุณหญิงกุลนาถ ดูตัว ทั้งคู่จึงตกลงแลกชื่อและเบอร์โทรศัพท์เพื่อติดต่อกันภายหลัง ไม่มีใครยอมบอกชื่อจริง อนาวิลให้ชื่อว่า ตาล ให้ที่อยู่ที่ธนาคาร อนาวิลสมอ้างว่าทำงานเป็นคนขับรถของธนาคารตามความคิดของมินทรา มินทราได้รับเลือกให้เป็นนางเอกละครการกุศลประจำปีนี้

อนาวิล ใช้ชื่อ ตาล โทรศัพท์ไปหา มินทรา เพื่อตกลงเรื่องอุบัติเหตุ มินทราไม่ยอมจ่ายและยืนยันขอคุยกับเจ้าของรถเท่านั้น อนาวิลหมั่นไส้จึงยียวนไปหลายคำ จนมินทราทนไม่ไหว คุณหญิงเขมิกา เป็นผู้เจรจาแทน และเมื่ออนาวิล จะเอาเรื่องที่มินทราขับรถชนจนได้รับบาดเจ็บ คุณหญิงเขมิกา จึงมีท่าทีอ่อนลง และขอให้ต่างคนต่างซ่อม เพราะไม่อยากเสียเงินเพิ่ม อนาวิลถามจนรู้ว่าคุณหญิงชื่อและนามสกุลอะไร อนาวิลแกล้งยอ คุณหญิงพอใจเอ่ยปากชวนให้มาเที่ยวที่บ้านตามมารยาทก่อนจะวางสายไป

อนาวิล ถามประวัติของบ้านวรโชติ จากคุณหญิงกุลนาถ ทำให้รู้ว่ามินทรา ได้รับเลือกเป็นนางเอกละครของสมาคมปีนี้ คุณหญิงกุลนาถ ส่งเสริมหากอนาวิล จะสนใจมินทรา เพราะอยากให้ลูกชายคนเล็กเป็นฝั่งเป็นฝา แต่สำหรับอนาวิล เขาหมั่นไส้ท่าทางหยิ่ง ๆ ของมินทรา มากกว่า จึงอยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้...ในฐานะคนขับรถธนาคาร และคืนนี้อนาวิล ก็ออกไปเลี้ยงต้อนรับ ทิพเกสร (ปราณวรินทร์ ปามี) คู่ควงคนสวย ที่ทนคิดถึงเขาไม่ไหวต้องทิ้งการเรียนที่เมืองนอกแล้วบินกลับมาหา

ทิพเกสร เป็นนางเอกละครการกุศลของสมาคมเมื่อปีที่แล้ว ระหว่างทานอาหารได้พบกับ ปรารณ (พิชยดนย์ พึ่งพันธ์) เพื่อนสนิทของอนาวิล โดยบังเอิญ อนาวิลขอตัวลงมาเอาโทรศัพท์ที่ลืมไว้ในรถ และได้เจอกับมินทรา ที่เพิ่งขับรถมาจอดพอดี มินทรา คิดว่าอนาวิล เอารถเจ้านายมาใช้ แถมยังวางมาดยังกับรถตัวเอง อนาวิลทักทาย และบอกจะไปเยี่ยมที่บ้านตามคำเชิญของคุณหญิงเขมิกา ก่อนจะแยกกันเมื่อ กษม (แอนดรูว์ กรเศก โคร์นิน) หนุ่มนักธุรกิจที่กำลังตามจีบมินทรา มาถึง อนาวิลไม่ชอบหน้ากษม โดยไม่รู้สาเหตุ

อนาวิล ขี่รถมอเตอร์ไซค์คันเก่าของเผือกไปบ้านวรโชติ คุณหญิงเขมิกา งงที่นายตาล มาจริงตามคำชวนไปอย่างนั้นของเธอ แต่พอคุณหญิงเขมิกา เห็นทุเรียนลูกใหญ่ของแพงที่อนาวิล หิ้วมาด้วย ก็พูดคุยด้วยอย่างดี อนาวิลยังผูกมิตรกับ ขนมตาล สุนัขแสนรู้ที่บ้านวรโชติ มีแต่มินทราที่ไล่เขากลับแล้วไม่ให้มาอีก แต่เมื่ออนาวิล เอาผลไม้แพง ๆ มาล่อว่าจะเอามาฝากอีก คุณหญิงเขมิกา ก็หูผึ่งและอนุญาตให้อนาวิล มาเยี่ยมได้อีก

ยศพล ร้องโวยวายว่าเงินในบัญชีหายไปทั้งที่ไม่เคยถอนเงินออกมาใช้เลย ทุกคนช่วยกันปลอบใจและถึงบอกว่าจะให้เงินเพิ่ม ยศพลก็ไม่ยอม จนมินทราต้องช่วยเขียนจดหมายไปถึงธนาคารว่าจะรับผิดชอบกับเรื่องนี้ยังไง จดหมายฉบับนี้มาถึงมือธีรเดช และอนาวิล และทั้งคู่ก็เป็นผู้บริหารที่ไม่ละเลยลูกค้าถึงจะเป็นเด็กและเงินไม่มาก จึงเรียกมินทรา และยศพล มาพบที่ธนาคารเพื่อรับผิดชอบ มินทรากำลังจะกลับก็บังเอิญเจออนาวิล ที่เข้าใจว่าคือ นายตาล แต่เป็นขณะเดียวกับที่ทิพเกสร ก็มารอเขาอยู่เช่นกัน แต่ด้วยความไหลลื่นอนาวิล จึงรอดมาได้ โดยแผนไม่แตกซะก่อน

คุณหญิงกุลนาถ กลุ้มใจมาก เพราะคนที่รับปากจะมาเป็นพระเอกให้ละครการกุศลขอถอนตัวกะทันหัน คุณหญิงกุลนาถ จึงขอให้อนาวิล มารับบทพระเอกแทน อนาวิลขัดแม่ไม่ได้แต่ก็กลัวแผนหลอกมินทรา จะแตก เขาจึงต้องปลอมตัวติดหนวดใส่แว่นดำเพื่อให้เข้ากับบทพระเอกมาดเข้มในละคร และเพื่อไม่ให้ใครจำได้ และถึงมินทรา จะคุ้น ๆ หน้าอนาวิลอยู่บ้าง แต่ก็ยากจะคิดว่าหนุ่มผู้ร่ำรวยคนนี้จะเป็นคนเดียวกับคนขับรถผู้ยากจน มินทราไม่ชอบท่าทางแปลก ๆ ของอนาวิล แถมอนาวิล ยังฉวยโอกาสเล่นนอกบทกอดมินทราซะแน่นตั้งแต่ครั้งแรกที่ซ้อมด้วยกัน...

ปรารณ รู้จักบ้านวรโชติเป็นอย่างดี เพราะคนใช้บ้านวรโชติเพิ่งลาออกมาอยู่บ้านปรารณ เพราะทนความเค็มเหมือนเกลือของคุณหญิงเขมิกาไม่ไหว อนาวิลเล่าถึงเรื่องที่เขาสมอ้างเป็นคนขับรถธนาคาร ชื่อตาล เพราะอยากรู้จักมินทรามากกว่านี้ ปรารณรู้จักเพื่อนที่ชอบทำอะไรแผลง ๆ อยู่แล้วจึงไม่แปลกใจ และแนะนำแบบคิดสนุกให้อนาวิลปลอมตัวเป็น นายตาล เข้าไปทำงานที่บ้านของมินทราในฐานะคนสวน ขณะเดียวกันก็ยังซ้อมละครเวทีด้วยกันในฐานะนายแบงก์

อนาวิลคิดว่าเป็นเรื่องท้าทายและต้องลอง จึงออกอุบายให้คุณหญิงกุลนาถ ช่วยพูดฝากฝังญาติห่าง ๆ ของเผือก เข้าทำงานเป็นคนสวนที่บ้านคุณหญิงเขมิกา ค่าแรงไม่เกี่ยง...อนาวิล เข้าไปแนะนำตัวว่าเป็นคนที่คุณหญิงกุลนาถ แนะนำมา นายตาลจึงได้เข้าไปทำงานเป็นคนสวนในบ้านคุณหญิงเขมิกาด้วยค่าแรงแสนต่ำ โดยจะมาทำงานหลังเลิกงานขับรถที่ธนาคารทุกวัน

งานนี้อนาวิลทุ่มเท ทุ่มทุนอย่างหนัก เพราะในฐานะ ตาล ที่คนในบ้านเรียกว่า นายต้นตาล เพื่อไม่ให้ซ้ำกับ เจ้าขนมตาล สุนัขในบ้าน อนาวิลต้องทำงานสวนทุกอย่าง และยังต้องจัดหาเครื่องตัดหญ้ามาใช้เพื่อทุ่นแรงตัวเอง จนสวนสวย ด้วยความชอบต้นไม้อยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องยาก และยังต้องหาของกำนัลเป็นเครื่องกระป๋องของนอก ผลไม้อย่างดีมาฝากคุณหญิงเขมิกา เป็นประจำ จนคุณหญิงพอใจถึงกับแถมข้าวเย็นให้อนาวิลอีกมื้อเป็นรางวัล มีแต่มินทราที่รู้สึกสงสัยในตัวนายต้นตาล แต่ก็จับไม่ได้ซะที ซึ่งการได้ยั่วให้มินทราโกรธถือเป็นเรื่องสนุกสำหรับเขา และก็ทำให้มินทรามีชีวิตชีวาขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเช่นกัน

วันหนึ่งระหว่างที่มินทรากำลังนั่งเล่นในสวน กษม ถือดอกไม้ช่อใหญ่มาวางไว้ที่โต๊ะและขอมินทราแต่งงาน มินทราปฏิเสธเพราะเธอไม่ได้รักกษม เขาเป็นนักธุรกิจที่บ้างานมากเกินไป คุยโทรศัพท์ตลอดเวลา กษมจะคว้าช่อดอกไม้ที่วางไว้เพื่อส่งให้หญิงสาวก็เห็นว่าเจ้าขนมตาลกำลังฟัดดอกไม้ที่อนาวิลแอบโยนให้กลีบกระจุย นายต้นตาลหัวเราะเสียงดัง กษมอายจนต้องหนีกลับไป มินทราดุต้นตาล ต้นตาลพูดยั่วแต่ก็แทงใจดำว่ากษม ไม่เหมาะกับเธอ...

ทุกเสาร์-อาทิตย์ เป็นคิวที่อนาวิล จะต้องซ้อมละครเวทีกับมินทรา อนาวิลพาปรารณมาด้วยหวังจับคู่ให้แพรพิไล เพื่อหวังกันแพรพิไลให้ห่างมินทรา และก็ได้ผล ปรารณปิ๊งแพรพิไลตั้งแต่ครั้งแรก ทั้งคู่พูดคุยถูกคอทำให้อนาวิล มีโอกาสคุยตามลำพังกับมินทรามากขึ้น มินทราหาโอกาสดึงหนวดของอนาวิลบ่อย ๆ แต่ไม่เคยสำเร็จ บรรยากาศการซ้อมเป็นไปอย่างราบรื่น แต่พระนางไม่ค่อยลงรอยกัน อนาวิลมักฉวยโอกาสแกล้งหอมแกล้งจูบมินทราบ่อย ๆ ทิพเกสรและกษมก็มาเฝ้าอนาวิลและมินทราซ้อมละครจนทั้งคู่ได้รู้จักกัน

อนาวิลหลอกว่าดูหมอแม่นแต่มินทราไม่สนใจ แต่คุณหญิงเขมิกาสนใจ โดยเฉพาะต้นตาลดูให้ฟรี ต้นตาลบอกคุณหญิงจะได้ลาภ หลังจากนั้นต้นตาลเอาสร้อยทองมาใส่ไว้ในกระถางให้คุณหญิงเจอ คุณหญิงเชื่อสนิทใจว่าเป็นไปตามคำทำนายของต้นตาล เขากลายเป็นคนโปรดขึ้นมาอีก

มินทราป่วยเจ็บคอ ไอ กินอะไรไม่ลง ต้นตาลทำน้ำจับเลี้ยงและบะช่อต้มน้ำแกงมาให้และขอขึ้นไปเยี่ยมมินทราบนห้อง คุณหญิงเขมิกาไม่อนุญาต แต่พอกษมมาคุณหญิงกลับให้ขึ้นไปเยี่ยมทันที อนาวิลน้อยใจ จึงได้แค่ให้ จำปี (รมิดา เจริญมาก) จำปา (เสาวนิตย์ ณัฐวรวโรตม์) เด็กรับใช้ในบ้าน ยกอาหารขึ้นไปให้มินทราแทน มินทราทานอาหารที่อนาวิลทำหมดเกลี้ยง อนาวิลดีใจ พยัคฆ์ ยศกร ยมล มองอนาวิลด้วยความสงสัยว่านายต้นตาลไม่ใช่คนสวนธรรมดา

และก็มีเหตุบังเอิญหลายครั้งที่แผนเกือบแตก...พยัคฆ์หนีคุณหญิงเขมิกาไปเที่ยว ก็เห็นเหมือนต้นตาลมาเที่ยวเช่นกันแต่ก็คลาดไปได้ และครั้งหนึ่งที่ครอบครัววรโชติและครอบครัวรัชชานนท์ ไปทานอาหารที่โรงแรมเดียวกัน กรกนกวิ่งซนจนหลงไปชนกับยศพลที่เดินมาพร้อมมินทรา และทำให้เจอกับอนาวิลที่กำลังตามหากรกนกอยู่ อนาวิลตกใจรีบปิดปากกรกนกลัวหลานสาวจะแนะนำว่าชื่อต้นตาล ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่เรียกกันเฉพาะในครอบครัวเท่านั้น และรีบอธิบายว่ามาตามลูกเจ้านาย แต่ก็ยังไม่รอดเพราะโต๊ะอาหารที่ทั้ง 2 ครอบครัวนั่งก็ดันอยู่ใกล้กัน อนาวิลไม่รู้จะทำยังไงจึงลุกออกไปทันที

มินทราสงสัยว่านายต้นตาลไม่ใช่คนสวนธรรมดา เพราะด้วยผิวพรรณหน้าตาดี และมักมีของแพง ๆ มาให้คุณหญิงเขมิกา และมีขนมของเล่นมาฝากยศพลบ่อย ๆ แต่ก็อ้างว่าเป็นของบ้านเจ้านายให้มา แพรพิไลคอยช่วยจับผิด และซักถามกับปรารณ แฟนหนุ่ม แต่ปรารณก็ไม่เคยหลุดให้แพรไพลินจับได้

ยศพลมาบ่นว่าไม่ชอบกษม ที่กำลังจะแต่งงานกับมินทรา อนาวิลตกใจหลอกถามคุณหญิงเขมิกา จึงรู้ว่ากษม มาทาบทามขอหมั้นกับมินทรา ด้วยสินสอดที่คุณหญิงเขมิกาพอใจ ต้นตาลเริ่มรู้ใจตัวเองว่ารัก มินทราจริง ๆ ซะแล้ว ต้นตาลตัดพ้อมินทราว่าคนจนไม่มีสิทธิ์ และพูดให้มินทราได้คิดว่าการแต่งกับเงินไม่มีความสุข...แพรไพลินและปรารณตัดสินใจหมั้นกันหลังคบกันได้ไม่นาน ทั้งมินทราและอนาวิลมาช่วยงานแข็งขัน และแน่นอนอนาวิลไม่ลืมติดหมวดเข้มเมื่อสวมบทเป็นอนาวิล

ครอบครัววรโชติจะไปทะเลทั้งครอบครัว อนาวิลขอไปด้วยโดยมีข้อแม้ว่าต้องหาของดี ๆ ไปบริการและทำสวนที่บ้านพักตากอากาศให้ฟรี และแผนเกือบแตก เพราะมินทราเห็นอนาวิลคุยกับเพื่อนต่างชาติ ที่บังเอิญเจอกัน อนาวิลโกหกว่าคุยภาษาไทยและเขาเป็นเกย์ ตอนเย็นหลังบริการทุกคนเสร็จอนาวิลก็หลบไปนั่งฟังเพลงที่ร้านริมชายหาด มินทราเดินมานั่งด้วยอย่างไม่รังเกียจคนสวนเหมือนเก่า และได้เดินเล่นริมหาดกับมินทรา แต่ความสุขของอนาวิลก็หมดลงอย่างรวดเร็วเพราะกษม ขับรถตามมาจากกรุงเทพฯ

แพรไพลินและปรารณก็มาเช่นกัน กษมข่มอนาวิลที่ทุกคนชมว่าทำอาหารอร่อยด้วยการจะพาไปเลี้ยงอาหารข้างนอก แต่ไม่มีใครไป มินทราหมั่นไส้จึงไปทานกับกษม 2 คน แต่แล้วทั้งกษม และมินทราก็ท้องเสียจนต้องกลับกรุงเทพฯ ทันที กษมเป็นหนักต้องเข้าโรงพยาบาล มินทราและคุณหญิงเขมิกาไปเยี่ยม อนาวิลวางแผนเอาไข่ไปเยี่ยมในเวลาเดียวกันและทำไข่แตกเลอะตัวคนไข้และเตียงไปหมด

คุณหญิงกุลนาถ สงสัยพฤติกรรมของลูกชายที่หายไปหลังเลิกงานทุกวัน เลยจ้างเผือกสืบจนรู้ว่าอนาวิลไปบ้านวรโชติ...พยัคฆ์ และ ยศกร หนีคุณหญิงเขมิกาไปเที่ยวและครั้งนี้ได้พบกับอนาวิลและปรารณแบบเต็ม ๆ อนาวิลปฏิเสธไม่ได้และยอมรับว่ารักมินทราจริง ๆ ขอร้องอย่าเพิ่งบอกความจริงเรื่องนี้

มินทราเบื่อไม่อยากอยู่บ้านเฉย ๆ และเพราะไม่อยากแต่งงานกับกษม จึงหางานทำและมีตำแหน่งว่างที่ธนาคารของอนาวิล มินทราลองไปสอบดูและอนาวิลเป็นคนเรียกสัมภาษณ์ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ อนาวิลเสนอตำแหน่งแม่บ้านภรรยาของเขาให้มินทรา เธองง เพราะก่อนหน้านี้อนาวิลไม่เคยมีท่าทีจีบเธอมาก่อน มินทราคุยกับต้นตาลว่านายแบงก์ประสาท ต้นตาลยืนยันว่าอนาวิลชอบมินทรา และเผยความในใจแบบอ้อม ๆ ว่าเขาก็ชอบมินทราเช่นกัน เพื่อหวังลองใจหญิงสาว มินทรารู้สึกสับสนเพราะชายหนุ่มที่ทำให้เธอคิดถึงและมีความสุขคือนายต้นตาล คนสวน เธอต้องเก็บความคิดนี้ไว้ไม่กล้าบอกใคร

กษมตกลงสินสอดและวันหมั้นกับคุณหญิงเขมิกา เรียบร้อย โดยที่มินทราไม่มีโอกาสปฏิเสธ อนาวิลร้อนใจอยู่เฉยไม่ได้ จึงให้คุณหญิงกุลนาถ รีบไปสู่ขอมินทราทันที คุณหญิงเขมิกาเห็นแก่หน้าตา และฐานะที่มากกว่าจึงยอมยกมินทราให้อนาวิลแทนกษม กษมเสียใจแต่ก็ยอมรับขอเป็นเพื่อนที่ดีแทน ก่อนถึงวันหมั้นระหว่างมินทรากับอนาวิล มินทรามาคุยกับต้นตาลที่กำลังนั่งท้อใจอยู่ในสนาม มินทราไม่อยากหมั้นแต่ขัดแม่ไม่ได้ อยากให้ต้นตาลมางานด้วย ต้นตาลไม่รับปากเพราะเศร้ามากอยากฆ่าตัวตาย มินทราก็ซึมไปเช่นกัน แต่ไม่กล้าแสดงออก

วันงานหมั้นอนาวิลที่ติดหนวดยิ้มแย้มดีใจ มินทราเข้าพิธีตามหน้าที่ เธอพยายามมองหาต้นตาลแต่ไม่พบ จนอนาวิลนึกขำ ทิพเกสรมาแสดงความเป็นเจ้าของอนาวิลในงาน มินทราไม่หึงไม่สนใจ และหลังจากวันนั้นต้นตาลก็ไม่ได้มาทำงานที่บ้านหลายวันจนมินทราคิดถึง ถึงกับยอมไปเยี่ยมคุณหญิงกุลนาถที่บ้าน เพราะอยากไปถามข่าวนายต้นตาลที่บ้านอนาวิล อนาวิลโกหกว่าต้นตาลลาป่วยไม่ได้มาทำงานหลายวันแล้ว มินทรากลัวต้นตาลฆ่าตัวตายจริง ๆ แต่แล้วต้นตาลก็กลับมาทำงานเหมือนเดิม มินทราดีใจแต่ต้องเก็บอาการ

วันแถลงข่าวเปิดตัวละครเวทีการกุศลของสมาคม ได้รับความสนใจจากสื่อเป็นอย่างดี เพราะพระนางในละครกลายเป็นพระนางในชีวิตจริง แต่ทิพเกสร ก็มาแย่งความเด่นและควงอนาวิลแทนมินทรา คุณหญิงเขมิกาช่วยกัน มินทราตอกกลับทิพเกสรให้ถอยไป ต้นตาลขนของดี ๆ แพง ๆ มาให้คุณหญิงเขมิกามากมายเหมือนทิ้งทวนเพราะวันนี้ต้นตาลจะลาออกจากการเป็นคนสวน คุณหญิงเขมิกา ขอให้อยู่ต่อถึงขนาดยอมเพิ่มเงินให้ ต้นตาลก็ไม่สน มินทรามาขอร้องด้วย ต้นตาลก็ยืนยันจะลาออก ด้วยเหตุผลว่าไม่อยากทนเจ็บอีกต่อไป

วันแสดงละครมาถึง ทิพเกสรนั่งคู่กับกษม ทิพเกสรพูดให้กษมร่วมมือเพื่อแย่งคนรักกลับมา แต่กษมไม่ทำตาม เขาพูดให้ทิพเกสรมองคนอื่นบ้าง ทิพเกสรคิดได้ว่ากษมก็น่าสนใจไม่แพ้อนาวิลเช่นกัน...ฉากสุดท้ายอนาวิลโน้มคอมินทราลงมาจูบจริง มินทราตกใจแต่ทำอะไรไม่ได้ แต่เมื่อม่านค่อย ๆ ปิดลง มินทราอาศัยความไวดึงหนวดของอนาวิลออกมาได้ ความลับแตกอนาวิลคือ นายต้นตาล...

คุณหญิงเขมิกา ที่เพิ่งรู้เรื่องเช่นกันก็โกรธแต่ไม่มากเพราะสุดท้ายได้ลูกเขยรวย ส่วนมินทราโกรธจัด ประกาศจะถอนหมั้นไม่ว่าใครจะพูดยังไงก็ไม่เป็นผล อนาวิลมาหาส่งดอกไม้มาขอโทษเธอก็ไม่ยอมพบ อนาวิลคิดแผนประกาศจะหมั้นกับทิพเกสรแทน มินทราตกใจแต่ยังวางฟอร์ม วันหมั้นของอนาวิลกับ ทิพเกสรทุกคนในครอบครัววรโชติ ไปร่วมงาน มินทราไปด้วยทั้งที่ใจเจ็บช้ำ อนาวิลกล่าวว่างานหมั้นนี้จัดขึ้นเพื่อมินทรา เธอจึงรู้ว่าเป็นแผนง้อของชายหนุ่มที่ร่วมมือกับทิพเกสรที่ตอนนี้คบอยู่กับกษม มินทรายอมยกโทษให้ เพราะไม่อยากเสียอนาวิลไปจริง ๆ ลูกตาลก็ต้องลอยแก้ว คู่กันตลอดไป ติดตามชมความสนุกของละคร ลูกตาลลอยแก้ว ได้ทุกวัน เวลา 18.50 น. ทางช่อง 7 สี ละคร ลูกตาลลอยแก้ว เริ่มตอนแรกวันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2559