ยุงร้ายกว่าเสือ 2473
แสงมหาพินาศ (2472)
แสงมหาพินาศ (2472/1929) ภาพยนตร์ไทยที่แสดงอย่างทันตาและทันสมัยที่สุด เป็นเรื่องที่ท่านไม่ควรจะยอมให้ผ่านสายตาไปเสีย เพราะท่านจะได้พบความบันเทิงจากภาพยนตร์ไทยเรื่องนี้เป็นอเนกประการ เป็นต้นว่าภาพรักอันยียวนและหวานจับใจ ภาพการต่อสู้ด้วยหมัด และมีดสั้นอย่างฉกาจฉกรรจ์ ประกอบกับความตลกขบขันของตัวละครบางคน กับท่านจะต้องตื่นใจในเมื่อได้เห็นอภินิหารของ "แสงมหาพินาศ" ที่สามารถทำลายเรือใหญ่ๆ ในกลางมหาสมุทร และ ฯลฯ (ที่มา : หนังสือพิมพ์รายวัน ศรีกรุง ตุลาคม พ.ศ. 2472)
หนุ่มหัวนอก (2472/1929) วันนี้, พรุ่งนี้, และมะรืนนี้, เปนวัน กำหนดฉายภาพยนตร์ไทยเรื่องหนุ่มหัวนอก ซึ่งนายนัด ยวงพานิช เปนเจ้าของ ที่โรงภาพยนตร์ตลาดบำเพ็ญบุญ เชิงสะพานถ่าน พระนคร ภาพยนตร์ไทยเรื่องนี้ เจ้าของ เล่าว่าได้ลงทุนทำถึง 34,000 บาทเศษ สิ้นเวลาทำ 2 ปีกว่า พระเอกนางเอกและตัวประกอบล้วนเปนบุตรธิดาคหบดี แสดงได้สนิทสนมทุกอย่าง เทียมของฝรั่ง เปนเรื่องรักโศก ทำให้ผู้ดูตื่นเต้นยิ่งนัก จึงควรที่มหาชนจะไปชมให้ได้ (ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวัน ศรีกรุง 30 สิงหาคม พ.ศ. 2472)
Placeholder
กินอะไร (2472/1929) เป็นภาพยนตร์แถลงการณ์ของกรมสาธารณสุข ซึ่งได้จัดทำขึ้นเป็นพิเศษเป็นเรื่องแรก มีกำหนดจะนำออกฉายตามโรงภาพยนตร์ต่าง ๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ควรต้องนับว่า เป็นภาพยนตร์แถลงการณ์เชิงภาพข่าวกลายๆ อย่างน่าดูได้เรื่องหนึ่ง ซึ่งทุกท่านควรไปชม เพื่อประดับความรู้รอบตัวให้มากยิ่งขึ้นทางสุขศึกษา ในเรื่องของการ "กินอะไร" เพราะทุกๆ คนจะต้องกินกัน ทุกวัน แต่อะไรจะควรกินและไม่ควรกิน ภาพยนตร์เรื่อง นี้จะบอกคุณประโยชน์ให้ท่านผู้ดูทราบโดยถี่ถ้วน (ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวัน ศรีกรุง 31 ตุลาคม พ.ศ. 2472) กล่าวถึงสวนผัก สกปรกเพราะรดด้วยน้ำอุจจาระ คนมาซื้อผักจากสวนไปขาย พายเรือไปขาย คน ซื้อเรียกซื้อ ไปถึงตลาด ตลาดสกปรก คนมาซื้อ แม่บ้าน อ้วนๆ มาซื้อไปบ้าน บ้านสะอาดแต่ข้างหน้าข้างหลังใน ครัวสกปรก แม่บ้านทำอาหารไม่ได้ล้างผัก ให้สามีและลูกกินกันสองคน รุ่งเช้าสามีปวดท้อง เข้าส้วม ลูกก็เข้าส้วม ส้วมก็ไม่ถูกสุขลักษณะ สองพ่อลูกเป็นอหิวาต์แม่บ้านไป โทรศัพท์เรียกแผนกโรคติดต่อ กรมสาธารณสุข มารับไป โรงพยาบาลกลาง สรุป กินอะไร? คือกินอุจาระนั่นเอง (ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวัน ศรีกรุง หลายวัน ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2472)
เสน่หาตามืด 2471

เรื่องย่อ : เสน่หาตามืด (2471/1928) เชิญท่านไปหัวเราะ!!! นายเทิ้มนาฏะคะยี จอมจำอวดสวดคฤหัสถ์ ลิเก เสภา ละครรำ ละครร้อง ฯลฯ ในภาพยนตร์ตลกไทยเรื่องแรกชิ้นเอกแห่งบูรพาทิศ "เสน่หาตามืด" แสดงร่วมกับนางงามอาบน้ำชาวสยามหมู่ใหญ่ มีการตลกแปลกปลาด เช่น ดำทราย ตกจากเขาสูงศีรษะปักดินไม่ตาย ถูกแทงน่าใจหาย ภาพฝันและหยอกนางเงือกสมัยใหม่ ฯลฯ (ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวันศรีกรุง ธันวาคม พ.ศ. 2471)

กุหลาบขาว 2471

เรื่องย่อ : กุหลาบขาว (2471/1928) เมื่อ ดอกเตอร์วงจีฮี นายแพทย์หนุ่มจากเมืองจีน เดินทางกลับมาหา แป๊ะบุ้นกุ่ย หรือ นางสาวกุหลาบขาว หญิงคนรักพร้อมกับแร่เรเดียม แร่ที่มีคุณสมบัติในการรักษาโรคได้มากมาย จนเป็นที่หมายปองของบรรดาสี่โจรโฉด เพราะแร่เรเดียมนั้นเป็นแร่ที่มีมูลค่ามหาศาล ดีที่วงจีฮีนั้นเก่งในทางหมัดมวยจึงสามารถรักษาแร่ไว้ไม่ให้ตกไปถึงมือเหล่าโจรร้าย แต่กระนั้นแร่เรเดียมก็ยังไม่ปลอดภัยวงจีฮีจึงต้องนำไปเก็บไว้ในเซฟที่ปิดอย่างมิดชิด แต่บรรดาสี่โจรก็ยังล่วงรู้ จึงวางแผนจับตัวกุหลาบขาวมาเป็นตัวประกันพร้อมกับจ้างให้ เอียวโจโง๋ อดีตโจรงัดแงะตัวฉกาจไปทำการปลดเซฟ แต่เพราะวงจีฮีเคยช่วยเหลือหลานชายของเอียวโจโง๋ให้หายจากโรคร้ายเอียวโจโง๋จึงเอ่ยปากให้เบาะแสแก่วงจีฮี วงจีฮีจึงพาตำรวจเข้าตะลุมบอนกับสี่โจร จับตัวพวกมันไปขังคุก และช่วยกุหลาบขาวคนรักไว้ได้สำเร็จ

เลือดแค้น 2471

เรื่องย่อ : เลือดแค้น (2471/1928) เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรก ที่มีความลึกลับ เกี่ยวกับการผจญภัยและการต่อสู้ในเชิงหมัดมวยอย่างน่าตื่นเต้น ถ้าว่าถึงตลกคะนอง ก็เป็นตลกที่ไม่ได้แกล้งให้ตลก เป็นตลกที่อาศัยเกิดจากลักษณะเดิมของตัวผู้แสดงเอง มีตาเชยเตี้ยเป็นต้น ลักษณะของตาเชย ผู้ดูโดยมากที่ไปเที่ยวตำบลบางลำพู คงจะได้เคยเห็น แกเดินชมอากาศอยู่ตามแถวนั้นบ่อยๆ หรือมิฉะนั้นก็แถวหน้าโรงปีนัง ผู้ทำเรื่อง เลือดแค้น ได้ใช้ความระวังหลายประการที่จะไม่ให้เลือดแค้นกลายเป็นเลือดไม่แค้นหรือเลือดจืด มีเหตุผลกินกลืนกันสมเรื่อง ตลอดจนภูมิฐานฐานะของบุคคลและการแต่งตัว ที่จัดให้เหมาะแก่ลักษณะ เหมาะแก่เวลาที่ควรไม่ควร ถ้าจะกล่าวแล้วเรื่อง เลือดแค้น ถึงจะมีข้อที่น่าติอยู่บ้าง แต่ก็เชื่อว่าน้อยที่สุด ท้องเรื่อง เลือดแค้น แสดงถึงน้ำใจของน้องเมียนายทองใบ ที่พยายามแก้แค้นแทนพี่สาวอันเนื่องจากนายทองใบทิ้งพี่สาวและทำทารุณโหดร้ายเมื่อ 20 ปีก่อน จึงตามมาแก้แค้นโดยปลอมตัวเป็นคนลึกลับ ท่านจะได้เห็นการต่อสู้กันบนเรือใบกลางทะเล การต่อสู้ในบ้าน และการต่อสู้ชิงนางกลางทุ่ง การต่อสู้นี้ล้วนไปด้วยหมัดมวยและอาวุธปืน ทุกตอนจะทำให้ท่านรู้สึกพอใจ ในที่สุดท่านจะต้องออกปากว่า "หนังไทยเรื่องนี้ของเขาควรผูกโบว์แดงให้ได้" พูดถึงผู้แสดง มีโดยมากนับว่าใช้บทบาทได้สนิท ผู้ที่ควรได้รับความชมเชยชั้นเยี่ยมของการแสดงในเรื่องก็คือ จรวย วีละเวีย ลีละชาติ นางเอกผู้เป็นตัว "สุลักษณ์" บุตรี เลี้ยงของนายทองใบ จรวยได้วางบทบาทสมแก่เป็นตัวภาพยนตร์ได้ดีจริงๆ ดีจนควรนับได้ว่าอยู่เหนือนางเอกภาพยนตร์ไทยที่ท่านเคยเห็นมา เช่น ยามโกรธ ยามตกใจ ดีใจ ยามออเซาะ เหล่านี้ ชวนให้รู้สึกว่าจรวยไม่มีการเก้อเขินแต่อย่างใดเลย ถัดจากนี้ก็ตัวพระเอกพระรองและตัวประกอบอีก ซึ่งมีบทดีไม่แพ้แม่จรวย นอกจากนั้นยังแสดงการชกต่อยและการขี่ม้าขี่ฬาคล่องแคล่วอย่างน่าชม บางคนสังเกตว่าพยายามเลียนจากบท ฮูด กิ๊บสัน หรือ เคน เมย์นาดไม่ผิดเลย ยังมีผู้แสดงที่ควรได้รับความชมเชยเป็นพิเศษอีกคนหนึ่ง คือ นายไกวัลย์ ซึ่งแสดงเป็นตัวบ้าหรือใบ้ นายคนนี้ เมื่อแสดง "ไม่คิดเลย" ยังมีอาการขวางๆ รีๆ อยู่มาก ครั้น มาแสดงเรื่องนี้กลับมีสภาพเป็นคนละคน การแสดงของนาย ไกวัลย์ในเรื่อง "เลือดแค้น" สกปรกโสมมเหลือกำลัง เสื้อผ้า ขาดกะรุ่งกะริ่งผมเผ้ายาวเหมือนบ้าหอบฟาง เพราะถูกเกณฑ์ให้เป็นคนใบ้เนื่องจากในเรื่องถูกน้องชายโกงสมบัติ ตามสังเกตดูเหมือนนายไกวัลย์จะเลียนแบบ "ลอน ชานีย์" เอา เสียจริงๆ ถึงหากบทจะด้อยกว่าลอน ชานีย์ ก็ยังนับว่าเป็น ลอน ชานีย์ ไทยได้ ไม่อายคนดูทีเดียว ตัวนี้คู่หูกับตาเชยเตี้ย นับว่าเป็นผู้ทำให้เรื่องครึกครื้นมากอยู่ (ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวภาพยนตร์ กรกฎาคม พ.ศ. 2471)

ใครเป็นบ้า 2471

เรื่องย่อ : ใครเป็นบ้า (2471/1928) มีเนื้อเรื่องยอกย้อนซับซ้อนกัน เพื่อให้ผู้ดูวินิจฉัยเอาเองว่า ฝ่ายใดเป็นบ้า...นัยว่าจะทำให้ผู้ดูหัวเราะขบขันได้ตลอดเวลา...เพียงแต่ดูบางตอนในเรื่องนี้ เชื่อกันว่าคงจะเป็นเรื่องสนุก เช่นตอนมีผู้แต่งตัวชอบกลมาลูบหัวสุนักข์แล้วสุนักข์กลายเป็นคน ๆ กลายเป็นสุนักข์ ฯลฯ ดำเนินเค้าเงื่อนคมขำ ผู้ดูนึกขบขันตลอดเวลา ทำให้อดนึกถึงปัญหาในเบื้องต้นไม่ได้ว่า ใครจะเป็นบ้ากันแน่ ครั้นมาในตอนท้าย ผู้ที่เป็นบ้ากลับกลายมาเป็นผู้ที่เราไม่เคยนึกเคยฝัน นับว่าเป็นเรื่องตลก ที่น่าฟังดีที่สุดเรื่องหนึ่ง ผู้แสดงทุกคนแสดงบทบาทได้อย่างสนิทสนม ไม่เก้อเขิน ทั้งการแต่งตัวก็เรียบร้อย ไม่ขะมุกขะมอมเช่นก่อนๆ ไฟสว่างดีเห็นภาพชัดเจน ถ้าจะกล่าวถึงผู้แสดง เป็นพิเศษโดยเฉพาะ ก็คือนางสาวแพน เรืองนนท์ คนทั้งสองนี้จะแสดงบทบาทให้ท่านเห็นความชำนิชำนาญในทางนาฏศาสตร์มาเป็นอย่างดี และทั้งจะได้เห็นรูปโฉมของ นางสาวแพน เรืองนนท์ ว่ามีความงดงามสมกับชื่อ เสียงอันโด่งดังของเจ้าหล่อนเพียงไร นอกจากนี้มีผู้ควรกล่าวด้วยอีกคนหนึ่งก็คือ นางจรวย ลีละชาติ ได้แสดงร่วมในเรื่องนี้ด้วย ท่านจะได้เห็นความชำนาญในการขับรถของเจ้าหล่อน และรูปร่างหน้าตาอย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้ท่านหายความประหลาดใจ ในความโลดโผน และ คุณสมบัติของเจ้าหล่อน (ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวันศรีกรุง มิถุนายน พ.ศ. 2471)

Placeholder

เรื่องย่อ : เทพธิดา (2471/1928) ภาพยนตร์เรื่องนี้ เท่าที่คณะเราได้ ไปชมมาแล้ว รู้สึกว่าดีเป็นพิเศษ เยี่ยมกว่าภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องที่เคยนำออกฉายมาแล้ว การถ่ายได้กระทำ อย่างโลดโผนพิสดาร เช่นเทพธิดาเหาะเหิรเดินอยู่บนนภากาศ เป็นต้น (ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวัน ศรีกรุง มีนาคม พ.ศ. 2471)

กรรมสนองกรรม 2471
เรื่องย่อ : กรรมสนองกรรม (2471/1928) ท้องเรื่องเป็นทำนองรักแกมโศกกับโลดโผน และยังมีวิวงามๆ มาก อย่างเช่นงานถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้า การแข่งควาย การทำน้ำตาล การถีบ กระดานเก็บหอยในทะเล (ที่มา: หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน))
Placeholder
ใครดีใครได้ 2470

เรื่องย่อ : ใครดีใครได้ (2470/1927) ร้อยเอกกริส แห่งราชนาวี รักอยู่กับนางเอกของเรื่องซึ่งเป็นบุตรสาวของท่านเจ้าคุณ นางเอกมีชายหนุ่มมาหมายปองมากเพราะความเป็นคนรูปสวยคนหนึ่งที่หมายปองคือ นายเลียบ โลหมุข นักเลงพนันเจ้าคุณนั้นเป็นคนชอบเล่นการพนัน แล้วก็เป็นหนี้นายเลียบ นายเลียบพยายามเร่งรัดหนี้ และเสนอว่าหากไม่ชำระหนี้ ต้องให้ลูกสาวแต่งงานกับตน ที่สุดร้อยเอกกริสต้องวางแผนแข่งพนันชกมวยกับนายเลียบ โดยมีข้อแม้ว่าหากนายเลียบชนะ นางเอกจะต้องแต่งงานกับเขา แต่หากนายเลียบแพ้ก็เป็นอันปลดหนี้ นายร้อยเอกสู้อย่างสามารถบนเวทีผืนผ้าใบเพื่อเอาชนะคู่แข่งและเพื่อสมรัก

ไม่คิดเลย 2470

เรื่องย่อ : ไม่คิดเลย (2470/1927) พระเศรษฐกิจวิบูลย์ เศรษฐีม่าย มีลูกสาวแสนสวยชื่อ นางสาวประภา หมั้นหมายอยู่กับนายกาหลง บุญชุบ เศรษฐีเหมืองแร่จอมเปิ่น และก็เพราะความเปิ่นนี้เองที่ทำให้นางสาวประภาไม่ผูกสมัครรักใคร่นายกาหลงและพยายามบ่ายเบี่ยงเรื่องการแต่งงาน หารู้ไม่ว่า นายประเสริฐ หลานชายคุณพระหมายจะครอบครองเธออยู่ วันหนึ่งขณะที่นางสาวประภาออกไปขี่ม้าเผอิญเจออุบัติเหตุตกจากหลังม้า ดีที่ได้ นายอำนวย ชายพเนจรช่วยไว้ ครั้นถามไถ่จึงรู้ว่านายอำนวยกำลังตกงาน นางสาวประภาจึงรับนายอำนวยไว้เป็นคนเลี้ยงม้า กระทั่งความใกล้ชิดทำให้ทั้งสองชอบพอกัน นายประเสริฐที่เห็นเหตุการณ์มาโดยตลอดจึงพยายามขัดขวางความรักของทั้งสอง โดยกุแผนขึ้นมาใส่ร้ายให้นายอำนวยกลายเป็นขโมย พร้อมทั้งฉุดตัวนางสาวประภา เมื่อนายอำนวยทราบเรื่องจึงรีบนำความไปบอกนายกาหลง นายกาหลงจึงรีบมาช่วยนางสาวประภาด้วยการตะบันหน้านายประเสริฐลงไปกองกับพื้น ตำรวจจึงสามารถจับผู้ร้ายไว้ได้ นายอำนวยจึงเปิดเผยว่าแท้ที่จริงเขาคือ นายร้อยตำรวจแห่งกองพิเศษปลอมตัวมาจับนายประเสริฐ เพราะนายประเสริฐนั้นสร้างคดีไว้ที่ต่างจังหวัด ทั้งบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับประภามิได้มีอะไรจริงจัง นางสาวประภาจึงกลับมามองเห็นความดีของนายกาหลงและยินดีที่จะแต่งงานกับเขา

ไม่เชื่อน้ำมนต์หมอผี 2470

เรื่องย่อ : ไม่เชื่อน้ำมนต์หมอผี (2470/1927) ไม่เชื่อน้ำมนต์หมอผี เล่าถึงครอบครัวหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ทางจังหวัดธนบุรีตอนเหนือ ตั้งแต่พ่อสมบุญ จิตต์กระด้างยังเชื่อน้ำมนต์หมอผี จนกระทั่งไม่เชื่อน้ำมนต์หมอผี เรื่องมีอยู่ว่า พ่อสมบุญป่วยเรื้อรังเป็นเวลานาน ไม่ยอมทานยารักษาโรคแผนปัจจุบันใดๆ เพราะพ่อสมบุญมีความเชื่อว่าอาการของแกจะทุเลาลงได้ ก็ต่อเมื่อได้รับการเสกเป่าน้ำมนต์เท่านั้น วันหนึ่ง พ่อสมบุญได้ยินกิตติศัพท์ของหมอดั่น ว่าสามารถรักษาผู้เจ็บป่วยหรือถูกผีเข้าได้ พ่อสมบุญจึงให้ลูกชายชื่อ นายสุพินธ์ ไปเชิญหมอดั่นมาตรวจอาการ ก่อนเริ่มพิธี หมอดั่นขอเงินค่าไหว้ครูเป็นเงิน 5 บาทแล้วจึงลงมือปลุกเสกน้ำมนต์ แต่อาการของพ่อสมบุญก็ไม่มีทีท่าจะดีขึ้น จนกระทั่ง แกคิดว่าจะต้องสิ้นชีวิตแน่จึงแจกเงินให้ลูกคนละ 1 บาท เพื่อไปทำบุญอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ตนชอบแล้วให้แผ่กุศลมาให้แก นายสุพินธ์นำเงินไปซื้ออ้อยให้ช้างกิน นายโสพิตร์ให้ทานคนพิการ 10 คน คนละ 10 สตางค์นางสาวสนองบริจาคเงิน 1 บาท แก่สภากาชาดสยามปรากฏว่า พ่อสมบุญเห็นดีงามกับการทำบุญของนางสาวสนอง เพราะยังประโยชน์แก่คนหมู่มาก จึงขอให้ลูกทั้งสามพาไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แพทย์ตรวจพบว่าพ่อสมบุญเป็นโรคลำไส้พิการ ไม่ใช่ถูกคุณไสยแต่อย่างใด อาการป่วยของพ่อสมบุญค่อยๆ หายเป็นปรกติ ทำให้เขาเลื่อมใสในวิธีการแพทย์แผนปัจจุบันเป็นอันมาก ต่อมา หมอดั่นบังเอิญผ่านมาหน้าบ้านพ่อสมบุญ เห็นพ่อสมบุญแข็งแรงดีก็คุยโวโอ้อวดสรรพคุณของตน พ่อสมบุญจึงไล่ตะเพิดพร้อมกับตะโกนว่า "ไอ้เรื่องวิธีรักษาของแกอย่างบ้าๆ ฉันไม่ขอพบขอเห็นอีกแล้ว"

โชคสองชั้น 2470

เรื่องย่อ : โชคสองชั้น (2470/1927) นายกมล มาโนช (มานพ ประภารักษ์) พระเอกของเรื่อง เป็นนายอำเภอหัวเมืองฝ่ายเหนือ ได้รับมอบหมายให้ลงมาสืบจับผู้ร้ายคนหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ในกรุงเทพ นายกมลเข้ามาพักอยู่ที่บ้านพระยาพิชัย (อุทัย อินทร์วงศ์) และมีหลานชื่อว่า นางสาววลี ลาวัณยลักษณ์ (หม่อมหลวงสุดจิตตร์ อิศรางกูร) ซึ่งทั้งสองได้พบรักกันโดยเร็ว แต่นายวิง ธงสี (มงคล สุมนนัฏ) ซึ่งหมายปองนางสาววลีอยู่แล้วและชอบไปมาหาสู่พระยาพิชัยเป็นเนือง ๆ และนายวิงคนนี้ก็คือคนร้ายที่นายกมลกำลังสืบจับอยู่นั่นเอง นายวิงไหวตัวทันเรื่องที่นายกมลตามคนร้าย จากนั้นนายวิงก็วางแผนร้ายโดยส่งพรรคพวกลูกสมุนเข้ามาทำร้ายนายกมล แต่นายกมลมีความชำนาญในการระวังภัยจากโจรจึงต่อกรขัดขวางกำลังได้ จนนายวิงและพรรคพวกต้องหลบหนีไป นายกมลไล่ตามจับแต่เกิดหลงทาง นายวิงได้วกกลับมาที่บ้านพระยาพิชัยและจับนางสาววลีไป แต่นายกมลมีเชาวน์ที่ดี เข้าใจว่าเป็นแผนลวง จึงวกกลับบ้านพระยาพิชัยและได้พบนายวิง นายกมลจึงตามล่านายวิงไปจนสุดทางและเกิดการต่อสู้ขึ้น จนกระทั่งตำรวจที่พระยาพิชัยโทรไปแจ้งมาสมทบร่วมจับนายวิงและสมุนได้ทันเวลา นายวิงจึงถูกตำรวจจับเข้าตะราง ส่วนนายกมลมีโชคสองชั้น นอกจากจะจับผู้ร้ายได้แล้วยังได้นางสาววลีมาเป็นภรรยาอีกด้วย

เชื้อไม่ทิ้งแถว 2470
เรื่องย่อ : เชื้อไม่ทิ้งแถว (2470/1927) เป็นเรื่องสมเหตุสมผล พร้อมไปด้วยคติสอนใจ โลดโผน โศก รัก ตลก คะนอง กับยังมียวดยานเกือบทุกประเภทแสดงประกอบอยู่ในเรื่อง เช่น รถยนต์ รถไฟ เรือยนต์ เรือแข่ง เรือกระฐินหลวง เครื่องบิน ฉวี (พระเอก) ต้องผจญภัยไม่แต่เพียงในเรื่องเท่านั้น แม้แต่นอกเรื่องก็ถูกผจญภัยด้วย ดังข่าวตกเครื่องบินในขณะทำการแสดง ดังปรากฏในข่าวหนังสือพิมพ์ที่เคยลงซู่ซ่ากันมาแล้ว ผู้ที่ได้รับความชมเชยเป็นพิเศษยังมีอีก เช่น เล็ก ซึ่งแสดงเป็นตัวนางลม้าย ภรรยานายสมบุญ (เชงจู) ผู้นี้นับว่าทำหน้าที่แม่ได้สนิทมาก โรคปากมากก็เป็นที่ 1 บูชาพ่อหลานชาย (สนอง) เสียเป็นเทวดา เข้าใกล้ผัวทีใดเป็นมีเรื่องทะเลาะกับผัววันยังค่ำ ทุกสิ่งของแม่ลม้ายไม่มีสิ่งใดที่จะเหลือไว้ให้สงสัยเลยว่าพ่อหลานชายยอดยากของแก เป็นบรมจอมโจรที่จะคอยล้วงตับแกในวันแล้ววันอีก ถ้าผัวคัดค้านถึงเรื่องพ่อหลานชายคนนี้ แม่ลม้ายเป็นแหงคัดค้านเสียจนคอหอยแทบจะระเบิดทีเดียว ในที่สุดนายสมบุญก็ต้องยอมแพ้ตามเคย เพราะทนปากแม่ลม้ายไม่ไหว ยังอีกคนหนึ่งคือ ตุ๊ ซึ่งแสดงเป็นนางผ่อง คนใช้ผู้สัตย์ซื่อของนางเอก นางผ่องคนนี้ไม่แต่เป็นคนใช้ที่ซื่อสัตย์ ยังทำหน้าที่เป็นตัวโจ๊กของเรื่องได้อย่างขบขันมาก ความขบขันของนางผ่องผู้นี้จะเห็นได้คราวหนึ่ง เผอิญไปแอบเห็นนายสาวกำลังกอดกับพระเอก นางผ่องจะเกิดรู้สึกขันอย่างไรไม่ทราบ ถึงกับปล่อยถาดถ้วยกาแฟลงไปกับพื้นดังโครมใหญ่ ยังอีกตอนหนึ่ง อารามตกใจว่าคู่รัก ของนายสาวถูกเจ้าสนั่น ตัวโกงหลอกเอาไป วิ่งกระหืดกระหอบไปบอกนายเสียจน "หางหงษ์" หลุด ความจริง สังขารของนางผ่อง ประกอบกับท่าทางที่แสดง ก็ชวนให้ น่าขันอยู่แล้ว ยิ่งไปทำอาการจูบพระธรณีในขณะที่วิ่งจนนางหางหงษ์หลุด จึงดูอาการคล้ายๆ กับลูกฟักใบเขื่องๆ ตกตุบลงในกองดินอย่างหนักๆ ตอนนี้จะทำให้ท่านผู้ดูถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวทีเดียว เพื่อเป็นหลักฐานแสดงให้ท่านเห็นว่าเรื่อง "เชื้อไม่ทิ้งแถว" เป็นเรื่องควรแก่การทัศนาของท่านเพียงใด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินี ภายหลังเมื่อได้ทอดพระเนตรแล้ว มีพระราชดำรัสชมเชยว่า "เรื่องนี้ของเขาพอดูได้" (ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวภาพยนตร์ พ.ศ. 2470)