ภาพยนตร์
ลูกกำพร้า ภาค 2 (2482/1939) "ลูกกำพร้า" ของ ป. อินทรปาลิต ภาค 2 สร้างเสร็จแล้ว ฉายพร้อมกับ "นางนาคพระโขนง ตอนใหม่" ที่เฉลิมบุรี ท่านดูภาค ๑ แล้วต้องดูภาค ๒ ให้ได้
ขุนช้างขุนแผน (2482/1939) ท่านที่สนใจในทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ หาความรู้ประดับประดาจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ดูวิธีไสยศาสตร์ การใช้เวทย์มนต์อาถรรย์ของสมัยยุคนั้นอย่างแปลกประหลาดมหัศจรรย์ใจ ดูการรบของสามพ่อลูกที่ต่างคนต่างมีฤทธิมีเดช ใช้ของวิเศษเข้าประหัศประหารกัน ดูความรักของแม่ที่มีต่อลูก ความรักของแม่นั้นย่อมมีอยู่แก่ลูกเพียงไรแม้จนกระทั่งสิ้นชีวิตไปแล้ว ดูความรักของหนุ่มจ้าวมหาเสน่ห์ชั้นบรมครู ซึ่งพอถูกเสน่ห์ของหญิงเข้าบ้าง เล่นเอาลุ่มหลงงงงวยจนไม่รู้สึกผิดชอบ ถึงกับเกิดเรื่องร้ายใหญ่โตขึ้น เชิญมานั่งหัวเราะกันให้ท้องคัดท้องแข็ง ในตอนขบขันของคนที่ไม่ ชอบเล่นกับผี แต่ว่าผีชอบมาเล่นกับคน เชิญนั่งเบียดกัน จนตัวลีบ ดูเปรตวันทองแผลงเดชอย่างน่ากลัว เชิญท่าน ที่ไม่เคยเห็นเปรต ขอให้ท่านมาทำความรู้จักกับเปรตไว้เสีย เชิญมานั่งขำๆ ดูพระไวยเกี้ยวแม่ อย่างจวนๆหวิดๆ จะเข้าด้ายเข้าเข็มนั้นทีเดียว (ที่มา: นิตยสารประมวลภาพยนตร์ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2482)
ลูกทุ่ง (2482/1939) ณ ลุ่มน้ำท่าจีน จังหวัดสาลี อันเป็นเขตกสิกรรม ครอบครัวของพ่อชมดำรงชีพด้วยการทำไร่ไถนามาหลายชั่วอายุคน พ่อชมมีลูกชายด้วยกันอยู่สองคน คือ ช่วย คนพี่คิดจะเจริญรอยตามพ่อ สืบทอดอาชีพกสิกร แต่ ชู คนน้องมักใหญ่ใฝ่สูงอยากจะเป็นขุนนางท่ามกลางเสียงคัดค้านของพ่อชม ชูจึงต้องดิ้นรนหาทางได้เล่าเรียนด้วยตัวเอง และโชคชะตาก็เข้าข้างชู เมื่อวันหนึ่ง ขุนกสิกิจเดินทางมายังจังหวัดสาลีเผอิญถูกตาต้องใจชูเข้า เพราะตัวเองมีแต่ลูกสาวไม่มีลูกชาย จึงขอรับอุปการะชูให้ได้เข้าเรียนที่กรุงเทพ หลายปีผ่านไป ชูไต่เต้าจนได้เป็นนายอำเภอสมอย่างที่หวัง ไม่เพียงแต่หน้าที่การงานจะก้าวหน้า เรื่องของหัวใจก็กำลังปลูกต้นรักอยู่กับ ผจง ลูกสาวสุดสวยของขุนกสิกิจนั่นเอง ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเหตุให้ชูต้องกลับยังบ้านเกิด เนื่องจากขุนกสิกิจได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยากสิกิจมาประจำอยู่ที่จังหวัดสาลี บัดนี้ ดำ กับ แจ๋ว เพื่อนเล่นในวัยเด็กของชูผันตัวไปเป็นอันธพาลปล้นทรัพย์ชาวบ้าน เป็นที่เดือดร้อนนัก ร้อนถึงหน้าที่ของนายอำเภอที่ต้องบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ชาวบ้าน แต่นายอำเภอชูกลับแสดงท่าทีเจ้ายศเจ้าอย่าง เป็นเหตุให้ชาวบ้านต่างพากันเกลียดชัง ดีที่ช่วยคอยช่วยเหลือไกล่เกลี่ย ช่วยจึงเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน รวมทั้งพระยากสิกิจกับผจงลูกสาวที่เกิดหลงใหลได้ปลื้มในตัวช่วย เพราะนับถือคนประกอบอาชีพกสิกรรมอันเป็นกระดูกสันหลังของชาติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อช่วยรู้ว่าผจงเริ่มมีใจให้ จึงเริ่มไว้ตัว ด้วยรู้ว่าน้องชายสมัครใจรักผู้หญิงคนนี้ และแล้วเหตุร้ายก็เกิดขึ้น เมื่อแจ๋ววางแผนออกปล้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ช่วยจึงปลอมตัวเป็นโจรเพื่อเกลี้ยกล่อมให้แจ๋วกลับใจ เคราะห์ร้ายครานี้ ตำรวจก็สืบทราบแผนการเช่นกัน จึงนำกำลังล้อมจับ ช่วยจึงติดร่างแหไปด้วย ผจงไปขอร้องให้แจ๋วช่วยบอกความจริงกับตำรวจ แจ๋วซึ่งสำนึกในบุญคุณของช่วยอยู่แล้วก็ยอมทำตาม ทำให้ช่วยพ้นผิดและได้ครองรักกับผจง ชูจึงได้สำนึกและกลับตัวเป็นข้าราชการดีตั้งแต่นั้นมา
ปิดทองหลังพระ (2482/1939) เจ้าคุณอินทรภักดี ก่อตั้งบริษัทหาของเก่า ชื่อ บริษัทเสาะหาทรัพย์ ไม่จำกัด เป็นงานอดิเรกหลังเกษียณราชการ โดยมีลูกจ้างในบริษัทคือ ไพรัช หลานชายของมนูญ และ ยม ยมนั้นไม่ค่อยลงรอยกับไพรัชด้วยว่าหมายปอง วัฒนา ซึ่งชอบพออยู่กับไพรัช จึงหลอกไพรัชไปเล่นไพ่และโกงไพ่ทำให้ไพรัชเป็นหนี้ยม เพราะรู้ดีว่าบริษัทมีกฎห้ามพนักงานเป็นหนี้ แต่ความจริงแล้ว ยมเป็นหนี้ ฮั่วหยง เจ้าของภัตตาคาร ฮั่วหยงเองใช่ว่าจะเป็นคนมีทรัพย์ ตนเองนั้นก็เป็นหนี้ มะริด เจ้าของสวนมะริดรมณีย์ เมียลับของ อาจารย์สุก หมอดู ซึ่งต้องปิดบังความจริงเพื่อให้เป็นที่น่าเคารพนับถือของชาวบ้าน ยมขู่ให้ไพรัชใช้หนี้แทนตน วัฒนาแอบได้ยินจึงเสนอตัวใช้หนี้แทนไพรัชด้วยการเป็นนางบำเรอของสวนมะริดรมณีย์ หลังจากนั้น ไพรัชกับยมได้รับมอบหมายให้ไปแสวงหาของเก่าในป่าทางภาคเหนือ เป็นเวลาเดียวกับที่รัฐบาลออกกฎหมายจับกุมนักต้มตุ๋นซึ่งปลอมตัวเป็นหมอดูอาจารย์สุกจึงหลบหนีไปกบดานในป่าทางภาคเหนือเช่นกัน ไพรัชออกไปหาของเก่าในป่า เผอิญพบอาจารย์สุกอาจารย์สุกตกใจรีบวิ่งหนีก็บังเอิญไปเตะแผ่นหินเข้า ทั้งสองจึงนำแผ่นหินกลับมายังที่พัก เมื่อได้คุยกับไพรัชและยมอาจารย์สุกจึงได้รู้ว่านโยบายจับกุมหมอดูเป็นเรื่องเท็จ จึงลากลับกรุงเทพฯ ยมออกอุบายให้ไพรัชออกไปเสาะหาของเก่าต่อทั้งๆ ที่ไพรัชป่วยจากพิษไข้ป่า เป็นเหตุให้ไพรัชพลัดตกจากหลังม้าและหายสาบสูญไป ยมหัวไวจึงหนีกลับกรุงเทพฯ แอบอ้างว่าตนเป็นผู้พบแผ่นหินศิลาจารึก มิหนำซ้ำยังใส่ความไพรัชว่าหนีงาน และฉวยโอกาสสู่ขอมยุรี แต่มยุรีรู้ว่ายมเป็นคนชั่วร้าย จึงไม่อยากแต่งงานด้วย ในวันนั้นเอง ไพรัชเดินทางกลับจากภาคเหนือมาพบมนูญตามที่นัดหมาย และเพิ่งได้รู้ว่า บัดนี้วัฒนาตกเป็นนางบำเรอของยมแล้ว ยมยื่นข้อเสนอว่าจะปล่อยวัฒนาก็ได้แต่ไพรัชต้องยอมรับว่าขัดคำสั่งและหนีงาน และบังคับให้พูดว่าผู้ที่ค้นพบศิลาจารึกคือนายยม ไพรัชจำใจยอมรับข้อเสนอ ครั้นถึงกำหนดวันที่เจ้าคุณนัดยมมาฟังเรื่องที่ขอมยุรีแต่งงานมนูญได้พาตัวอาจารย์สุกมาเป็นพยานว่ายมเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด ยมจำนนต่อหลักฐาน มยุรีจึงช่วยจัดการให้ไพรัชและวัฒนาเข้าใจกันได้ในที่สุด
สนิมในใจ (2481/1938) “พรานบูรพ์” ร่วมมือร่วมใจ “ทิดเขียว” สร้างภาพยนตร์ไทย เรื่อง สนิมในใจ พรานบูรพ์แต่งเรื่อง-เพลง ทิดเขียว พากย์ไทย จวงจันทร์ จันทคณา กํากับการแสดง ไม่อยากจะคุยถึงความวิเศษของ “สนิมในใจ” ว่า ดีเพียงไหน ! แต่อยากจะชี้ให้ท่านเห็นว่า “จวงจันทร์” ผู้ทําหน้าที่เป็นผู้กํากับการลือนามครั้ง “อ้ายค่อม มากํากับการเรื่องนี้ และสมรรถภาพของ “ทิดเขียว” ที่ท่านชอบมาแล้ว! ฉายที่ ศาลาเฉลิมกรุง วันที่ ๔-๕-๖ ธันวาคม
อ้ายค่อม (2481/1938) ค่อม อาศัยอยู่กับแม่สองคน ตอนเป็นเด็กด้วยความเมาของพ่อ ทำให้บ้านไฟไหม้เสียชีวิตในกองเพลิง คำ ซึ่งเป็นมารดาอุ้มค่อมแล้วโดดลงจากหน้าต่างได้ทัน เป็นสาเหตุทำให้ค่อมกลายเป็นคนพิการหลังค่อม แม่คำก็มาเจ็บออดๆ แอดๆ ค่อมจึงต้องออกหางานทำ วันหนึ่งค่อมเห็นคณะละครศรีเมืองตระเวนมาแสดง และได้รู้จักกับ เย็น ลูกสาวเจ้าของคณะละคร ซึ่งไม่มีทีท่ารังเกียจค่อมและมอบตุ๊กตาให้ ค่อมมุ่งมั่นที่จะหางานทำเพื่อเลี้ยงแม่ จึงไปขอทำงานกับ แนม ที่คณะละครศรีเมือง แนมเห็นความผิดปรกติของร่างกายของค่อมก็เกิดเวทนา จึงให้ค่อมเป็นผู้โปรยใบไม้ประกอบฉาก ในยามว่าง ค่อมมักจะแอบไปเล่นเปียโนเพลงที่แม่กล่อมตอนเป็นเด็ก วันหนึ่ง วิทย์ ผู้กำกับการละครเวทีได้ยินจึงนำไปแต่งเป็นเพลงในละครเรื่องใหม่ ขณะนั้นคณะละครบรรเทองไทยกำลังหาทางโค่นล้มละครศรีเมืองเนื่องจากดังกว่า โดยวางแผนฉุดเย็นซึ่งเป็นนางเอกละคร ค่อมกำลังนั่งรถขนฉาก ผ่านไปเห็นจึงรีบไปช่วยเย็นไว้ได้ เย็นจึงเชิญค่อมมาทานอาหารค่ำที่บ้านเป็นการตอบแทน คืนนั้น ค่อมบรรจงแต่งตัวไปอย่างดี แต่เมื่อก้าวเข้าไปในบ้าน ได้ยินเสียงของวิทย์กับเย็นร้องเพลงคลอกันอย่างมีความสุข จึงนึกเจียมตัวขึ้นมา แล้วกลับไปบ้าน ปรากฏว่าแม่คำอาการทรุดหนัก ค่อมอยู่พยาบาลแม่ทั้งคืนอาการก็ไม่ดีขึ้น จึงไปยังคณะละครเพื่อขอลางาน แต่ไม่ทันที่จะพูดอะไร แนมก็ให้ค่อมรีบไปปฏิบัติหน้าที่ ค่อมพะวงเพราะเป็นห่วงแม่ แล้วให้น้อยใจโชคชะตา จึงเหม่อลอยจนพลัดตกจากนั่งร้าน ก่อนตายค่อมได้ขอร้องเย็นเป็นครั้งสุดท้าย ให้ช่วยขับกล่อมดวงวิญญาณเขาด้วยน้ำเสียงอันไพเราะของเย็น
วันเพ็ญ (2481/1938) เรื่องราวชีวิตของ พิศดาร ทนายความหนุ่มโสด ซึ่งจับได้ว่า สุดา หญิงที่จะแต่งงานด้วยในอีก 7 วันข้างหน้าไม่ได้รักเขาจริง พิศดารผิดหวังในความรัก เดินเหม่อลอยมาจนถึงถนนพญาไท จึงได้พบกับเด็กสาวอายุ 14 ปี นั่งร้องไห้อยู่เดียวดาย พิศดารเข้าไปพูดคุยกับเด็กสาวจนได้รู้ว่าเธอชื่อ วันเพ็ญ พ่อของวันเพ็ญฝากเธอไว้กับป้าที่ลพบุรีก่อนไปทำงานที่ประเทศจีน แต่ไม่เคยส่งข่าวกลับมา และสาเหตุที่เธอหนีออกจากบ้านก็เพราะป้ากำลังจะจับเธอแต่งงานกับหนุ่มชาวจีนที่เธอไม่ได้รักวันเพ็ญจึงหนีมาที่กรุงเทพ พิศดารสงสารจึงชวนเธอไปอยู่ด้วย และส่งเสียให้เรียนหนังสือจนโตเป็นสาว ท่ามกลางคำครหาว่าพิศดารเลี้ยงวันเพ็ญเอาไว้เป็นภรรยา อยู่มาวันหนึ่ง พ่อของวันเพ็ญกลับมารับเธอไปอยู่ด้วยกันที่ญี่ปุ่น พิศดารจึงต้องอยู่คนเดียวอย่างเงียบเหงาและทนทุกข์กับโรคนัยน์ตา ผ่านไปปีเศษวันเพ็ญกลับมายังกรุงเทพ จึงรีบตรงไปหาพิศดาร แต่บัดนี้พิศดารไม่สามารถมองเห็นวันเพ็ญได้อีกแล้ว
ตื่นเขย (2481/1938) อำนวย คล่องเชิงค้า เป็นพนักงานอุตสาหกรรมน้ำตาลไทยมีภรรยาชื่อ ลัดดา วันหนึ่งเขาได้รับมอบหมายให้ไปเจรจาการค้ากับ พระทวีผลกสิกรรม ผู้เป็นเอเย่นต์ขายน้ำตาลที่โคราช แต่ดันไปตกหลุมรัก ลออ ลูกสาวของพระทวีผลฯ ถึงขั้นอยากจะแต่งงาน ระหว่างที่ยังเจรจางานอยู่ที่โคราช เจ้านายได้ส่งโทรเลขให้อำนวยไปเจรจาการค้ากับ พระยาพิชัยพานิชย์ที่อุบล อำนวยก็ไปตกหลุมรัก บุญเกื้อ บุตรีพระยาพิชัยฯ อีก ด้านพระทวีผลฯ กับภรรยายังไม่ค่อยเชื่อถือในตัวอำนวยนัก ด้วยข้อที่ว่าอำนวยนั้นโอ้อวดว่ามีบ้านช่องใหญ่โต จึงพากันมาพิสูจน์ที่กรุงเทพ อำนวยร้อนใจกลัวความแตก จึงไปขอยืมบ้าน สันต์ เกลอเก่าตบตาพระทวีผลฯ ชั่วคราว หารู้ไม่ว่าสันต์เป็นหลานชายของพระทวีผลฯ ขณะเดียวกัน ครอบครัวของพระยาพิชัยฯ ก็กำลังเดินทางมาดูบ้านของว่าที่ลูกเขยด้วยความตื่นเต้นพระยาพิชัยฯ ได้พบกับพระทวีผลฯ ที่บ้านซึ่งอำนวยหลอกว่าเป็นของตน เมื่อได้พูดคุยกันจึงได้รู้ว่าพระทวีผลฯหมายมั่นให้ลออได้แต่งงานกับอำนวย พระยาพิชัยฯจึงเป็นฝ่ายลากลับ จีบ สาวใช้ของสันต์สุดจะทนกับพฤติกรรมเจ้าชู้ของอำนวยจึงไปฟ้องลัดดา ลัดดาจึงแกล้งมาสมัครงานเป็นคนใช้ของพระทวีผลฯ นับวันก็ยิ่งใกล้ถึงวันแต่งงานของลออกับอำนวย ลัดดาเจ็บใจสามีจึงจ้างวาน ปริก ให้มาประกาศความเป็นภรรยากลางงานอำนวยปฏิเสธพัลวัน แต่สุดท้ายก็จำนนด้วยหลักฐาน เมื่อลัดดาประกาศตัวว่าเป็นเมียของอำนวยตัวจริง พระทวีผลฯ จึงอดได้ลูกเขย
จ๊ะเอ๋ (2481/1938) เรื่องจ๊ะเอ๋เป็นหนังสั้น ที่ฉายก่อนการฉายภาพยนตร์เรื่อง ตื่นเขย ซึ่งสมัยนั้นจะเรียกว่า “หนังประกอบ” (Supporter) และเป็นหนังไทยเรื่องแรก ที่ใช้ สุนัขไทย เข้ามาแสดงด้วย
แม่สื่อสาว (2481/1938) เพราะบริษัทสบู่ตราหอยของ นายวาณิชย์ คล่องการค้า กับ วิไล น้องสาว มีท่าทีจะเจ๊งบรรดาหุ้นส่วนเฮโลกันมาทวงเงิน วาณิชย์กับวิไลจึงใช้ความกะล่อนหาวิธีต้มตุ๋นหุ้นส่วน ให้ยังทำมาค้าขายกับตนแบบขอไปที กระทั่งวาณิชย์นึกขึ้นได้ว่าตนยังมีคนรู้จักที่ชื่อ นายหน่ำ ท่องเที่ยว เศรษฐีบ้านนอกที่เคยบอกว่าอยากให้ตนหาสาวชาวกรุงมาแลกกับเงินจำนวนมากโขวาณิชย์และวิไลจึงรุดหน้าไปหานายหน่ำเพื่อทำการตกลง วิไลทำหน้าที่แม่สื่อสาว เสนอชื่อ คุณนายจำปาภักดีกุล เศรษฐีนีม่ายบ้าผู้ชาย สาวใหญ่ที่วิไลรู้จัก ทว่าทุกอย่างกลับตาลปัตร เพราะนายหน่ำดันมาตกหลุมรักวิไล ส่วนคุณนายจำปาก็ดันมาคลั่งไคล้วาณิชย์ ครั้นทุกอย่างคลี่คลาย บทสรุปจึงกลายเป็นว่านายหน่ำก็ได้ครองรักกับวิไลสมใจ ส่วนคุณนายจำปาก็ยอมอุทิศทั้งเงินและหัวใจให้วาณิชย์ บริษัทสบู่ตราหอยจึงรอดพ้นจากการล่มจม
หวานใจนายเรือ (2481/1938) ร.ท. เกษม ยุทธนาวิน ร.น. กับ ร.ต.ชลัชชาญนาวี ร.น. ต้องเดินทางไปฝึกยิงปืนป้อม ณ สถานีฝึกสัตหีบชั่วคราว วันหนึ่ง ขณะที่เกษมกับชลัชเดินเล่นที่ชายหาด ได้ยินเสียงร้องเพลงของหญิงสาว จึงเดินตามหาเสียงนั้น บังเอิญเห็นคนร้ายกำลังฉุดคร่าหญิงเจ้าของเสียง ทั้งสองจึงเข้าไปช่วย และโดนแทงบาดเจ็บ ชายชราคนหนึ่งวิ่งเข้ามาช่วย และพาเกษมไปทำแผลที่บ้าน จึงได้ทราบว่าหญิงสาวนั้นชื่อเพลินใจ อาศัยอยู่กับพ่อคือ พร เพียงสองคน พวกที่เข้ามาทำร้ายตนนั้นคือสมุนของ ทองอ่อน ซึ่งต้องการลายแทงขุมทรัพย์โจรสลัดที่พรครอบครอง จึงมักส่งสมุนมากลั่นแกล้งสองพ่อลูกอยู่เสมอ เกษมติดใจในน้ำเสียงของเพลินใจจึงเสนอให้เพลินใจไปเรียนร้องเพลงที่กรุงเทพ เพื่อให้เพลินใจพ้นน้ำมือของทองอ่อน โดยให้อาศัยอยู่ที่บ้าน พระยาพัศดุนาวา-การ ผู้เป็นบิดาของตน พรมีสีหน้าตกใจเมื่อได้ยินชื่อพระยาพัศดุฯ แต่ก็กำชับบุตรสาวให้อยู่ในโอวาทของท่าน ส่วนตัวเกษมเองต้องฝึกงานอยู่ที่สัตหีบต่อ เพลินใจตั้งใจเรียนร้องเพลงเป็นอย่างดีจนได้สมญานามว่า นักร้องเสียงทอง และเป็นที่หมายปองของ ประกอบ บุตรบุญธรรมของพระยาพัศดุฯ ไม่นาน เกษมก็กลับมารับราชการที่กรุงเทพฯ และเริ่มสนิทสนมกับเพลินใจมากขึ้นทำให้ พิศมัย คู่หมั้นของเกษมเกิดความหึงหวง ทองอ่อนสมคบกับ เถ้าแก่เลี่ยงฮง แซ่อึ้ง เจ้าของเรือตังเก ตามหาขุมทรัพย์โจรสลัด พรเริ่มกังวลว่าทองอ่อนจะรู้ที่ซ่อน จึงปรึกษา ทองต่อ น้องภรรยา ให้ไปเยี่ยมเพลินใจที่บ้านพระยาพัศดุฯ แทน และเล่าความหลังว่าหลังจากภรรยาเสียชีวิตได้ฝาก ประกอบ ลูกชายให้พระยาพัศดุฯ เลี้ยงดู และได้แอบซ่อนสมุดข่อยลายแทงขุมทรัพย์ในห้องเครื่องลายครามที่บ้านพระยาพัศดุฯ เมื่อทองต่อเดินทางมาพักที่บ้านพระยาพัศดุฯ ก็พยายามหาโอกาสขโมยสมุดข่อยแต่โดนประกอบจับได้ จึงต้องบอกความจริงว่าประกอบกับเพลินใจมีความเกี่ยวดองกันและรีบลากลับสัตหีบ พิสมัยร้องขอให้ คุณนายแจ่ม มารดา เร่งรัดการแต่งงานของตนกับเกษม พระยาพัศดุฯ จำต้องแบ่งรับแบ่งสู้ยอมตกลง เพลินใจกลับมาจากเรียนร้องเพลงเผอิญได้ยินสองแม่ลูกกล่าวดูถูกเหยียดหยามตนเอง บังเกิดเป็นความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจึงเก็บข้าวของกลับมาหาบิดาที่สัตหีบ จากนั้น พร เพลินใจ และทองต่อก็เริ่มออกตามหาขุมทรัพย์ จนในที่สุดก็พบหีบสมบัติบรรจุเพชรนิลจินดาและทองคำมากมายทองอ่อนซึ่งสะกดรอยตามมาจึงแย่งชิงสมบัติไป เกษม ชลัช และประกอบนำเจ้าหน้าที่ไล่ตามทองอ่อนจนทัน เกิดการปะทะกันแต่ก็จับกุมทองอ่อนกับพวกได้สำเร็จ
ขุนช้างขุนแผน ภาค 4 ตอน ขุนช้างกินเลี้ยง-สร้อยฟ้าทำเสน่ห์ (2481/1938) สมเด็จพระพันวัสสา ประทานสร้อยฟ้า และ ศรีมาลา แก่ พระไวย ในคืนเลี้ยงฉลองการแต่งงาน วันทองกับขุนช้างมาร่วมงานด้วย ขุนช้างดื่มเหล้าเมามาย ร้องรำทำเพลงเป็นที่น่าหนวกหู และด้วยความมึนเมาจึงคะนองปากกล่าวคำหยาบคายต่อพระไวยเป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน ขุนช้างสู้ไม่ได้ไปฟ้องพระพันวัสสา พระพันวัสสาไต่สวนได้ความว่าขุนช้างเป็นฝ่ายผิด จึงสั่งจำคุกขุนช้าง ต่อมาพระไวยไปลักพาตัวนางวันทองมาให้ขุนแผน ขุนช้างถวายฎีกาแด่พระพันวัสสา เมื่อไต่สวนหาคนผิดไม่ได้ จึงให้วันทองตัดสินใจว่าจะอยู่กับขุนช้างหรือขุนแผน วันทองสองใจเกิดลังเลตอบไม่ได้ พระพันวัสสาจึงรับสั่งให้นำวันทองไปตัดหัว ที่บ้านพระไวย สร้อยฟ้ากับศรีมาลาตบตีกันไม่เว้นแต่ละวัน จนกระทั่งพระไวยทนการกระทำของสร้อยฟ้าไม่ไหวจึงสั่งเฆี่ยนสร้อยฟ้า สร้อยฟ้าเสียใจและเคียดแค้นศรีมาลามากขึ้นกว่าเดิม จึงไปหาทิดขวาดให้ช่วยทำเสน่ห์ให้