สลัดตาเดียวกับเด็ก 200 ตา (2551/2008) ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยความลับที่ใครต่อใครเฝ้าค้นหา เด็ก 9 คนได้พลัดตกจากเรือสำราญมาติดอยู่บนเกาะกลางทะเล ท่ามกลางความเวิ้งว้างของมหาสมุทรที่เด็ก ๆ ต้องมาดำรงชีวิตเพียงลำพัง ทั้งหาอาหารประทังชีวิต ก่อไฟแก้หนาว หรือกระทั่งต่อเรือเพื่อกลับบ้านพวกเขาก็ได้พบกับโจรสลัดในตำนานที่ล่องเรือมาหาสมบัติที่เกาะนี้ เด็ก ๆ ทั้ง 9 ได้รับการ ช่วยเหลือจากโจรสลัด และพวกเขาก็ได้ช่วยเหล่าโจรสลัดไขปริศนาจากลายแทงจนรู้ที่ซ่อนของสมบัติ แต่ก่อนที่การผจญภัยค้นหาสมบัติจะเริ่มขึ้น ทั้งหมดก็ถูกขัดขวางจากอริเก่าของโจรสลัดจนต้องเกิดการต่อสู้เกิดขึ้น แต่สิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายก็คือ การช่วยเหลือจากสัตว์ในตำนาน ทั้งปูยักษ์ ปลาหมึกยักษ์ เต่ายักษ์ แต่การต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นยังไง เหล่าโจรสลัดและเด็ก ๆ จะเป็นฝ่ายชนะหรือไม่ ต้องติดตามชมใน "สลัดตาเดียวกับเด็ก 200 ตา"
ก่อนบ่าย เดอะ มูฟวี่ ตอน : รักนะ…พ่อต๊ะติ๊งโหน่ง

ก่อนบ่าย เดอะ มูฟวี่ ตอน : รักนะ...พ่อต๊ะติ๊งโหน่ง (2550/2007) กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ท่ามกลางไอหมอกในอ้อมอกขุนเขาเขียวชะอุ่มเหนือสุดแดนสยาม ยังมีสามหนุ่ม เด๋อทูบี (ที่ไม่ใช่ดีทูบี) นามว่า ทีป้อ (ศุภณัฐ เฉลิมชัยเจริญกิจ) หล่อซา (ชูเกียรติ เอี่ยมสุข) หม่าจู (สมชาติ ทรงกลด) เป็นขวัญใจของคนในหมู่บ้าน และแล้วกามเทพก็หลบร้อนขึ้นดอยไปแผลงศรไปปักอกทั้งสามเด๋อ เมื่อได้เจอะกับสามสาวเมืองกรุง หนึ่งในนั้นคือ แอนนี่ (อเล็กซานดร้า สติเบิร์ท) ทีป้อถึงกับอุทานเรียกชื่อเธอว่า คุงด่อม้า สวยจาง (แปลให้ คุณดอกไม้สวยจัง) แถวบ้านเรียกว่าตกหลุมรักแบบจังเบอร์ และอุบัติเหตุรักต่าง ๆ ก็พาให้ทีป้อคิดไปไกล หารู้ไม่ว่าตัวเองรักเขาข้างเดียว ฮือ ๆ แต่ช่วงเวลาความสุขช่างแสนสั้น แอนนี่ต้องกลับกรุงเทพไปพร้อมความเข้าใจผิดบางอย่าง ทีป้อและแก๊งสามเด๋อจึงต้องลงดอยเข้าสู่เมืองกรุง เพื่อปฏิบัติการภารกิจที่มีชื่อว่า ตามหาดอกไม้ใจดอย ยังไงละทีนี้ เมืองกรุงออกจะกว้างใหญ่ สามเด๋อเลยเซ่อซ่าไปเจอเรื่องราวอลวนและผู้คนมากมาย ทั้งหมู่บ้านประหลาดที่มีแต่ผู้คนเพี้ยน ๆ กะเทยร่างใหญ่ใจนักเลง คนหน้าเหลี่ยมที่สั่งอาหารชื่อแปลก ๆ แถมยังต้องขี่รถไฟฟ้าถูกตามล่าทั่วเมืองอีกต่างหาก พอได้เจอคุณดอกไม้สมใจก็อกหักดังเป๊าะ เพราะสาวเจ้าดันมี ภคิณ (ตระการ พันธุมเลิศรุจี) เป็นเจ้าของแล้ว ซึ่งภคิณกำลังคิดร้ายกับคุณดอกไม้อยู่ งานเข้าแล้วสิ งานนี้ทีป้อกับแก็งสามเด๋อจะสามารถปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จหรือไม่

ฅนไฟบิน

ฅนไฟบิน (2549/2006) ปี พ.ศ. 2398 เป็นต้นมาได้เกิดอาชีพ “นายฮ้อย” ขึ้นมา เพราะประเทศต้องการทำนาเพื่อนำข้าวส่งออกต่างประเทศ เหล่ากลุ่มนายฮ้อยเหล่านี้ต้อนควายเพื่อมาขายยังกรุงเทพฯ นายฮ้อยบางกลุ่มก็เป็นโจรแฝงมาเพื่อปล้นควายและฆ่าชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนโดยทางการมิได้เข้าช่วยเหลือแต่อย่างใด หนำซ้ำ “พระยาแหว่ง” (ลีโอ พุฒ-พุฒิพงศ์ ศรีวัฒน์) ยังต้องการให้ฆ่าควายให้หมดอีกด้วยเพื่อจะได้ขายรถไถฝรั่งให้กับประชาชนใช้แทนควาย กลุ่มนายฮ้อยโจรเหล่านี้ต้องเผชิญกับ “โจรบั้งไฟ“ (ชูพงษ์ ช่างปรุง) ผู้ออกปล้นด้วยเหตุผล 2 ประการคือ ช่วยเหลือชาวบ้านผู้ทุกข์ยาก และที่สำคัญหาคนที่ฆ่าพ่อแม่ของตน จนกระทั่งเจอกับ “นายฮ้อยสิงห์” (สามารถ พยัคฆ์อรุณ) และเชื่อมั่นว่าเป็นคนฆ่าพ่อแม่ของตนจริงๆ ในขณะที่พระยาแหว่งจ้างโจรปล้นฆ่านายฮ้อยได้หมด แต่กลับไม่สามารถฆ่านายฮ้อยสิงห์คนที่ไม่เคยแพ้ใครได้ พระยาแหว่งจึงวางแผนหลอกใช้โจรบั้งไฟและ “ปอบดำ” (พันนา ฤทธิไกร) ผู้ลึกลับและมีความแค้นอยู่กับนายฮ้อยสิงห์มานาน จึงตกลงใจช่วยเหลือโดยทันที ทั้งพระยาแหว่งและโจรบั้งไฟต่างก็หลงรัก “อีสาว” (กัญญาภัค สุวรรกูฏ) ลูกสาวคนเดียวของปอบดำ แต่ปอบดำก็ไม่ยอมให้ใครได้อีสาวไปครอง… “นายฮ้อยสิงห์” ยังไม่รู้ว่าตนเองถูกปองร้าย… ชีวิตของ “อีสาว” ยังมีความลึกลับที่ยังไม่เปิดเผย… “โจรบั้งไฟ” และ “พระยาแหว่ง” ยังไม่รู้ความลับของ “ปอบดำ” แต่ทั้งสามก็ต้องร่วมมือกันเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของแต่ละคน…

สุดสาคร (2549/2006) การพบกันระหว่างสุดสาคร กับ ม้านิลมังกร นั่นหมายถึงการจากลาจาก พระเจ้าตา และ แม่นางเงือก และหมายถึงการเริ่มต้นสู่การผจญภัยที่เหนือจินตนาการ เพื่อเดินทางตามหา พระอภัยมณี ผู้เป็นบิดา ไปสู่ดินแดนที่สุดสาครไม่เคยรู้จัก ในขณะเดียวกันทางฝ่าย พระอภัยมณี กับ นางสุวรรณมาลี และสินสมุทร เกิดเรืออับปางลงกลางทะเล นางสุวรรณมาลี กับสินสมุทรลอยคออยู่กลางทะเลและถูกโจรสลัดนามว่า สุหรั่ง จับตัวไว้ หากแต่สินสมุทรผู้มีพลังอำนาจ ได้ปราบโจรสลัดเสียสิ้น สมุนของโจรจึงกลับใจมาช่วยสินสมุทรตามหาผู้เป็นบิดาที่พลัดหลง ส่วนพระอภัยมณี ลอยตามน้ำไปสู่เมืองลังกาและถูกอุศเรนจับไว้เป็นตัวประกันในการทำศึกกับศรีสุวรรณเจ้าเมืองรมจักรผู้เป็นน้องของพระอภัยมณี การผจญภัยของสุดสาครถึงคราวเข้าตาจนอีกครั้งเมื่อพบกับ ชีเปลือย ที่ลวง สุดสาครว่าจะถ่ายทอดวิชาข้ามทะเลน้ำกรดให้ เมื่อหลงเชื่อ ชีเปลือยจึงชิงเอาไม้เท้ากายสิทธ์กับม้านิลมังกรมุ่งหน้าสู่เมืองการเวก และทำให้สุดสาครต้องตกลงไปในก้นเหว ม้านิลมังกรได้จังหวะระหว่างที่ ชีเปลือย เสวยสุขอยู่ในเมืองการเวกนั้น หลบหนีออกมทาช่วยสุดสาคร และด้วยบุญญาธิการสุดสาครจึงรอดตายและขี่ม้านิลมังกรกลับมาเมืองการเวกเพื่อทวงถามความจริงให้กับท้าวสุริโยทัยเจ้าเมืองการเวกและชาวเมือง และเมื่อสุดสาครได้ปราบชีเปลือยจนรู้แพ้ชนะแล้ว จึงออกเดินทางไปปราบเหล่าผีเสื้อยักษ์ ที่คอยก่อกวนชาวเมืองที่ต้องเดินทางค้าขายทางสำเภาเรือ ณ เกาะแห่งหนึ่ง สุดสาครได้ออกไปปราบผีเสื้อยักษ์ ร่วมกับเหล่าทหารผู้กล้าเมืองการเวก แต่ในสำเภา เจ้าชายหัสชัย กับ เจ้าหญิงเสาวคนธ์ แอบซ่อนไปด้วย และเมื่อเจ้าหญิงเสาวคนธ์ขึ้นมาจากท้องเรือก็ถูกผีเสื้อยักษ์โฉบเอาตัวไป สุดสาครจึงขี่ม้านิลมังกรเร่งติดตามไปช่วยเหลือ และปราบผีเสื้อยักษ์เสียราบคาบ และนำตัวเจ้าหญิงเสาวคนธ์กลับมาได้อย่างปลอดภัย ฝ่ายกองทัพอุศเรน เดินทางมาถึงจุดนัดหมายพร้อมกับทำการรบกองทัพศรีสุวรรณ การต่อสู้เป็นไปด้วยความดุเดือด ท่ามกลางการสุมดูของสินสมุทร สุวรรณมาลีที่รอเวลาจะเข้าช่วยเหลือ ทางฝ่ายสุดสาครเดินเรือมาถึงเห็นการรบมาแต่ไกล จึงทราบว่าเป็นการรบกันระหว่างท้าวอุศเรนและศรีสุวรรณผู้เป็นน้าของตน สุดสาครไม่รอช้าจึงตรงเข้าช่วยเหลืออย่างกล้าหาญ ขณะเดียวกันสินสมุทรได้จังหวะจึงนำเหล่าสมุนโจรตรงเข้าช่วยรบ จนในที่สุดความปราชัยเป็นของท้าวอุศเรนแห่งเมืองลังกา สุดสาครแนะนำตนเองกับพระอภัยมณีด้วยการนำปิ่นปักผมจากแม่นางเงือกที่ให้ติดตัวไว้ พระอภัยมณีเห็นดังนั้นจึงทราบเรื่องราวเป็นอย่างดี ทั้งหมดได้พบเจอกันด้วยความปิติสุข
ก้านกล้วย (2549/2006) วีรบุรุษผู้มี 4 ขา 2 งา และ 1 งวง ช้างศึกผู้สร้างเกียรติประวัติสูงสุดให้แก่ช้างไทย ในฐานะช้างคู่พระบารมีแห่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อครั้งสงครามยุทธหัตถี ชื่อของเขาคือ “เจ้าพระยาปราบหงสาวดี” หรืออีกนามหนึ่งว่า “ก้านกล้วย” นี่คือเรื่องราวการเติบโตของช้างเชือกหนึ่ง จากลูกช้างซุกซนใช้ชีวิตอิสระอยู่ท่ามกลางป่าลึก แต่แล้วด้วยความอยากรู้เรื่องของพ่อที่หายไปได้นำเขาออกเดินทางสู่การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ผ่านหลากหลายเหตุการณ์ซึ่งให้บทเรียนใหม่ๆ เปลี่ยนให้เขากลายเป็นช้างที่กล้าแกร่งเต็มไปด้วยพละกำลัง ในขณะที่จิตใจกลับอ่อนโยน บรรดาตัวละครต่างๆ ที่เขาได้พบระหว่างการเดินทาง อาทิเช่น “จิ๊ดริด” นกพิราบสื่อสารขี้โม้, “ชบาแก้ว” ช้างสาวผู้น่ารักและแสนงอน, “ติ่งรูและรถถัง” ช้างรุ่นพี่และรุ่นอาซึ่งเขาได้พบในหมู่บ้าน, “บุญเรือง” ช้างศึกแห่งเมืองหลวง และที่สำคัญ “แสงดา” แม่ซึ่งก้านกล้วยจากมา ล้วนเป็นส่วนที่เข้ามาเติมเต็มสร้างสีสันและความสนุกสนาน พร้อมกันนั้นก็ให้บทเรียนต่างๆ ซึ่งเป็นเสมือนการเตรียมความพร้อมให้เขาก้าวสู่การเป็นช้างศึกเชือกสำคัญในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์และการได้พบกับผู้คนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น “สมเด็จพระนเรศวรฯ” มหาราชผู้เกรียงไกรของชาติไทย, “ลุงมะหูด” หัวหน้าครูฝึกช้าง, “มังคุด” เด็กมนุษย์ตัวน้อยผู้บริสุทธิ์สดใส ฯลฯ ยังทำให้ก้านกล้วยได้เรียนรู้ถึงมิตรภาพระหว่างคนและช้างอันนำไปสู่การเสียสละตัวเอง โดยเดินหน้าเข้าสู่สงครามอย่างนักรบผู้กล้า เช่นเดียวกับที่พ่อของเขาเคยทำมาเมื่อครั้งอดีตสุดท้าย ขณะอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบ และต้องเผชิญหน้ากับศัตรูผู้น่าเกรงขามเขาก็ได้รับบทเรียนครั้งสำคัญที่สุด นั่นก็คือการเอาชนะความกลัวในจิตใจตัวเอง เมื่อมีชัยเหนือตัวเองก็ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะทำให้เขาพรั่นพรึงได้อีกต่อไป และจุดนี้เองที่ทำให้เขากลายเป็นช้างผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง แม้จุดหมายแรกคือการตามหาพ่อ แต่ในที่สุดก้านกล้วยกลับได้พบสิ่งที่มีความหมายยิ่งกว่า นั่นก็คือมิตรภาพ ความกล้าหาญ และความเสียสละซึ่งอยู่ในตัวเขาเอง เป็นจิตวิญญาณของพ่อที่อยู่กับเขามายาวนาน และนี่คือบทสรุปที่ล้ำค่ายิ่งสำหรับการเดินทางของเขาในครั้งนี้…
โบอา งูยักษ์ (2549/2006) คุณจะไม่มีวันลืม ความสยองขวัญครั้งใหม่ ที่รอกลืนกินทุกคนอยู่ในความดิบเถื่อนของพงไพร “โบอา งูยักษ์” …ท่ามกลางธรรมชาติแห่งขุนเขาและพงไพร มีบางอย่างเร้นกายภายใต้ป่าลึกนั้นอย่างเงียบๆ… “พนา” ชายหนุ่มที่รักการถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจ เขาชอบเดินทางไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ เพื่อเก็บภาพความสวยงามไว้เป็นที่ระลึก วันหนึ่งพนาได้ไปท่องเที่ยวในป่าแห่งหนึ่งแถวเขตชายแดน ขณะที่เพลิดเพลินกับการเก็บภาพธรรมชาติที่สวยงามอยู่นั้น โดยไม่ทันตั้งตัว เขาโดนบางอย่างลากไปกินอย่างน่าสยดสยอง กลุ่มเพื่อนสนิทของพนาที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คือ “คิน, โก้, เสิด, ก๋อย, สีดา” และ “แพร” แฟนสาวของพนา ทราบข่าวที่พนาหายไปอย่างลึกลับ จึงตัดสินใจที่จะเข้าไปตามหาพนาด้วยตัวของพวกเขาเองในป่า โดยการโดยสารไปกับบอลลูน ด้วยเหตุผลที่ว่าจะได้เห็นวิวด้านล่างของป่าอย่างชัดเจน แต่แล้วพวกเขาก็ต้องมาผจญกับลมพายุฝนรุนแรงจนทำให้บอลลูนตกกลางป่าลึกแห่งหนึ่ง ในค่ำคืนที่ฝนตกกระหน่ำ ทั้งหมดมาหลบฝนที่ใต้รูปปั้นแกะสลักพญานาค ทุกคนประหลาดใจจึงเดินขึ้นไปตามทางบันไดหินจนพบปากถ้ำ ทั้งหมดตัดสินใจเข้าพักแรมในถ้ำลับกลางป่าแห่งนั้น โดยหารู้ไม่ว่าพวกเขาได้ย่างกรายเข้าสู่อันตรายที่ยากจะต้านทานได้ …บางสิ่งกำลังเลื้อยออกจากการแฝงกายภายในถ้ำ เพื่อรับการมาเยือนของแขกผู้ไม่ได้รับเชิญโดยเฉพาะ… “งูยักษ์” ที่อาศัยอยู่ในถ้ำลับนั้น ไม่รีรอที่จะออกมาต้อนรับเหล่าหนุ่มสาวกลุ่มนี้ด้วยการกลืนกินพวกเขาทีละคนๆ ไม่ต่างจากเหยื่ออันโอชะ ผู้รอดตายจากคมเขี้ยวงูยักษ์ของค่ำคืนสยองนั้น จำเป็นต้องกระเสือกกระสนหาทางออกและวิธีทำลายงูยักษ์นั้น ก่อนที่มันจะคืบคลานเข้าใกล้พวกเขาอีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อสุดทางหนี พวกเขาจึงต้องเผชิญหน้าสู้กับมันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน นี่ดูเหมือนจะเป็นทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้พวกเขา…รอดชีวิต
ไพรรีพินาศ ป่ามรณะ (2549/2006) ในปี 2530 คำกอง ลีซอ และ นาซอ (ตอนเด็ก) เดินทาง เข้าไปในป่าพญาเมฆ เพื่อหาขุมทรัพย์ตามที่ลายแทงบอกไว้ แต่ต้องมาเจอกับงูยักษ์ตามไล่ล่า จนทำให้ลีซอที่เป็นพ่อของนาซอเสียชีวิต ด้วยเหตุการณ์ครั้งนี้เอง จึงทำให้นาซอเข้าใจว่าคำกองเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อของตัวเองเสียชีวิต จึงเกิดความเค้นต่อคำกอง ในปี 2547 หมวดวุฒิ (วัชระ ตังคะประเสริฐ) กับพรรคพวกจับนักโทษที่แหกคุกออกมาได้คนหนึ่ง สอบปากคำจนรู้ว่าพวกนักโทษที่เหลือนั้นได้หลบหนีไปทางป่าพญาเมฆ ในปัจจุบันนี้ คำกอง ได้บวชเป็นพระอยู่ในวัดแห่งนึ่งใกล้ ๆ กับป่าพญาเมฆ หมวดวุฒิกับพรรคพวกได้เดินทางมายังวัด เพื่อสอบถามร่องรอยของนักโทษกับหลวงพ่อคำกองผู้เป็นพ่อของหมวดวุฒิ หลวงพ่อคำกองได้ดูรูปถ่ายก็รู้ทันทีว่านักโทษที่อยู่ในรูปนั้นคือ นาซอ (ชลัฏ ณ สงขลา) โจรที่ปล้นฆ่าอันโหดเหี้ยม ลูกชายคนเดียวของลีซอเพื่อนเก่า ในคืนนั้นเองนาซอและพรรคพวกที่แหกคุกออกมา ก็ได้กลับมาฆ่าหลวงพ่อคำกอง และได้แย่งลายแทงสมบัติกับพวงกุญแจของหลวงพ่อไป จากนั้นนาซอและ หนานเมือง (สุรชัย แสงอากาศ) ก็ได้เดินทางเข้าป่าพญาเมฆ เพื่อไปหาขุมทรัพย์ตามที่ลายแทงบอกทันที หมวดวุฒิก็ได้ออกตามล่าพวกนาซอที่หลบหนีเข้าป่าทันทีที่รู้ข่าว โดยมีนายพรานกระเหรี่ยงเป็นคนนำทาง และมีการปะทะกันระหว่างตำรวจและกลุ่มโจร ซึ่งต่างฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย พวกนาซอได้หลบหนีเข้าไปในป่าอาถรรพ์ หมวดวุฒิจึงตามไปแต่นายพรานกระเหรี่ยงไม่กล้าเข้าไป จึงนำข่าวนี้ไปบอกพรานเฒ่าแทน พอ พรานเฒ่า (ประทีป หาญอุดมลาภ) รู้ข่าว ก็รู้สึกเป็นห่วงหมวดวุฒิ จึงได้ออกเดินทางตามไปกับหลานสาวชื่อ กระแต (ณัฐนันท์ จันทรเวช) ด้านพวกนาซอนั้นก็ได้เจอกับ ฝูงต่อพญาเสือ นับแสนตัว รุมทำร้ายจนทำให้ลูกน้องคนหนึ่งเสียชีวิต ทางด้านหมวดวุฒิที่ตามมาติด ๆ นั้นกลับมาเจอ ฝูงตุ๊กเข้ ไล่กัด ด้วยเหตุการณ์ณ์ครั้งนี้เองจึงทำให้ทั้งสองฝ่ายต้อง หนีเข้าไปในป่านารีผล ป่านารีผล ในคืนนี้เองทำให้จ่าวีได้เจอกับพวก นารีผลที่เป็นสาวสวย มาหลอกยั่วยวนให้หลงใหล และหลอกดูดพลังชีวิตจนตาย จ่าหมึกผู้ที่เห็นเหตุการณ์ครั้งนี้ ก็เกือบพลาดท่าเสียทีพวกนารีผล แต่โชคดีที่หมวดวุฒิและพรานเฒ่ามาช่วยไว้ทัน นาซอและพรรคพวกที่เหลือโดนหมวดวุฒิจับได้ แต่ว่าหมวดวุฒิและพรรคพวกนั้นก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และได้รับการช่วยเหลือจากสาวชาวบ้านที่ชื่อว่า สีอ่อน (จิรภัทร์ วงศ์ไพศาลลักษณ์) และ คำแพง (ณัฏฐรี วิบูลย์เลิศ) สีอ่อนและคำแพงนั้นจะคอยช่วยหาสมุนไพรเพื่อมารักษาหมวดวุฒิและพรรคพวก ชาวบ้านในหมู่บ้านของสีอ่อนทำการต้อนรับอย่างดีกับพวกที่สีอ่อนและคำแพงพามา ในคืนนั้นเองพรานเฒ่าได้มอบของสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อคำกองได้ฝากไว้ให้หมวดวุฒิ นั่นก็คือ มีดอาคม กระแตหลานสาวของพรานเฒ่า เริ่มมีความสงสัยกับผู้คนในหมู่บ้านของสีอ่อนว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะว่าเธอได้อ่านสมุดบันทึกของหลวงพ่อคำกองที่ให้เธอมา แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ...ความลับของขุมทรัพย์จากเหรียญกาละกำลังรอวันเปิดเผย... ...อดีต ปัจจุบัน อนาคต เกี่ยวข้อง ต่อเนื่อง และส่งผลถึงกัน... ...การเผชิญหน้ากับความจริง และความตาย ที่รอเขาอยู่เบื้องหลังเหรียญกาละ... ...กลายเป็นที่มาแห่งจุดจบที่คาดไม่ถึง...
Ocean Butterfly ผีเสื้อสมุทร (2549/2006) คนโบราณเตือนไว้ เวลาอายุครบเบญจเพส ให้หนุ่มสาวพึงระวังตัว แต่คงไม่เคยมีใครเตือน "ว่าน" ให้ระวังตัว อย่าเข้าใกล้... ตู้ปลา ในวันเกิดอายุครบ 25 ปีนี้ "ว่าน" (ต้อง ศุภัชญา) สาวเปิ่น เฉิ่ม เบอะเริ่มได้ยินเสียงพูดคุยที่ไม่รู้ที่มา โดยเฉพาะเวลาว่านอยู่ใกล้ตู้ปลา จะว่าว่านอกหักที่ถูกแฟนหนุ่มบอกเลิกก็ไม่น่าจะมีอาการแปลกประหลาดแบบนี้ ว่านตัดสินใจไปไขปริศนาที่ทะเล เพราะท่าทางตัวเองจะอาการหนักขึ้น แต่ว่านจำต้องร่วมเดินทางไปกับ "แทน" (ธันญ์ ธนากร) ช่างภาพถ่ายรูปธรรมชาติ ตั้งแต่เจอกับแทน เวลาว่านมีปัญหายุ่ง ๆ ทีไร แทนก็มักจะปรากฏตัวอยู่คอยช่วยอยู่ใกล้ ๆ เสมอ เมื่อมาถึงทะเล ว่านรู้สึกคุ้นเคยมีอิสระมากขึ้น ได้สัมผัสท้องทะเล ว่านรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งดำน้ำลงไปใต้ทะเลลึก ยิ่งอัศจรรย์ใจเพิ่มขึ้น ว่านค้นพบว่า ตนมีความสามารถพิเศษเวลาอยู่ใต้น้ำ แทนพาว่านมาพักที่เกาะผีเสื้อ แทน เริ่มสังเกตว่า ว่านโตเป็นสาวเต็มตัว ไม่ใช่เด็กเปิ่น เฉิ่มเหมือนที่เคยเห็น ความรู้สึกดี ๆ ระหว่างว่านกับแทนค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น กิตติ (เอ อนันต์) เจ้าของรายการโทรทัศน์ที่วางแผนจัดฉากถ่ายภาพสัตว์ประหลาดใต้ทะเล หวังสร้างให้เป็นข่าวฮือฮา แต่ระหว่างจัดฉากถ่ายทำกลางทะเลอยู่นั้น กล้องถ่ายติดภาพสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดใต้น้ำ กิตติมั่นใจว่าตนพบขุมทรัพย์เข้าให้แล้ว กิตติตั้งใจจะเอาตัวเป็น ๆ ของผีเสื้อสมุทร มาเปิดเผยให้โลกรับรู้ให้ได้ บนเกาะผีเสื้อ ช่วงเวลาที่ความรู้สึกดี ๆ ระหว่างว่านกับ ทนก่อตัวขึ้นที่เกาะผีเสื้อ ว่านได้พบกับ "เฒ่าโล้" (ชาย เมืองสิงห์) ชายชราแห่งท้องทะเล เฒ่าโล้ คล้ายรู้ความลับของว่าน แต่เฒ่าโล้ก็เพียงแต่เตือนว่านว่า ร่างกายว่านจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริงหากโดนน้ำ แทนตัดสินใจจะช่วยว่านค้นหาอาการแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวว่าน แทนไม่รู้เลยว่า ความรักกำลังพาเขาดำดิ่งลงไปสู่ปริศนาลี้ลับแห่งใต้ท้องทะเล
ต้มยำกุ้ง (2548)

The Protector ต้มยำกุ้ง (2548/2005) การเดินทางข้ามโลกของ “ขาม” (จา พนม ยีรัมย์) เด็กหนุ่มบ้านป่าที่ชีวิตต้องพลิกผันโดยเงื้อมมือของผู้มีอิทธิพลระดับประเทศที่ลักพาช้างพลายสองพ่อลูก ซึ่งเด็กหนุ่มและ “พ่อของขาม” (โสรธร รุ่งเรือง) เขารักดั่งชีวิต และมีความมุ่งหมายอันสูงสุดที่จะมอบเป็นคชบาทแด่ในหลวง ไปขาย ณ ประเทศออสเตรเลีย ทางเดียวที่จะช่วยเหลือและรักษาชีวิตของช้างอันเป็นที่รักของเขาได้ นั่นก็คือ การบุกตะลุยถึงถิ่นเสือ โดยการเดินทางข้ามโลก เรื่องไม่ง่ายอย่างใจคิด แม้เขาจะได้รับความช่วยเหลือจาก “จ่ามาร์ค” (หม่ำ จ๊กมก) นายตำรวจไทยและ “ปลา” (บงกช คงมาลัย) สาวไทยที่ถูกหลอกมาขายตัวในซิดนีย์ก็ตาม แต่ที่นั่น เขากลับต้องไปพัวพันกับการไล่ล่าของแก๊งมาเฟียที่นำโดย “มาดามโรส” (จิน ซิง) ที่มีลูกสมุนต่างชาติที่เต็มไปด้วยฝีมือทางการต่อสู้อย่าง “จอห์นนี่” (จอห์นนี่ เหงียน) และ “ทีเค” (นาธาน โจนส์) พร้อมลูกสมุนย่อยที่มีฝีไม้ลายมือทางการต่อสู้เหลือรับอย่าง “คาโปเอร่า” (ลาธีฟ คราวเดอร์) และ “วูซู” (จอน ฟู) อย่างไม่ได้ตั้งใจ ณ วินาทีนี้ การต่อสู้ข้ามชาติเพื่อเอาชีวิตรอดของเด็กหนุ่มและเพื่อนพ้อง ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เพื่อตามหาและช่วยเหลือ พ่อใหญ่ และ ขอน ช้างพ่อลูก ที่เปรียบได้กับญาติพี่น้องของเขา นำไปสู่บททดสอบและการต่อสู้ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาให้โลกได้ล่วงรู้ถึง อานุภาพของ "ไม้มวยไทยโบราณ" ที่หนักหน่วง รุนแรง และยังไม่เคยได้รับการเปิดเผยมาก่อน โดยเฉพาะ "ตำนานมวยคชสาร"

เกิดมาลุย (2547)

เกิดมาลุย (2547/2004) โดยเรื่องราวพูดถึงการเผชิญหน้า กับเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในชีวิต ที่อยู่นอกเหนือจากความควบคุม อันนำมาซึ่งความเป็นความตายของผู้คนจำนวนมาก เมื่อตกอยู่ภายใต้การจับกลุ่มของผู้ก่อการร้าย ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย ที่ตั้งใจสร้างความปั่นป่วนให้กับประเทศไทย พร้อมกับชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งริมชายแดน ที่พวกเขาและเธอตั้งใจนำข้าวของมาบริจาค และช่วยพัฒนาหมู่บ้าน วิธีเดียวที่จะรักษาชีวิตของพวกพ้องและชาวบ้าน คือต้องนำเอาความสามารถเฉพาะตัวทางด้านกีฬาในแต่ละประเภท มาผสมผสานในการต่อสู้ด้วยมือเปล่า โดยมีเงื่อนไขของเวลา ในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นให้ได้

องค์บาก (2546)

องค์บาก (2546/2003) ในประวัติศาสตร์หมู่บ้านหนองประดู่ ที่ยาวนานตั้งแต่ครั้นสมัยสงครามไทยกับพม่า ตำนานของครูดำ ผู้แกร่งกล้าด้วยศิลปะการต่อสู้ คือชายไทยผู้กล้าที่เคยแหวกฝ่ากองทัพพม่า ไปแย่งชิงเอาองค์พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกทหารพม่าบุกมาปล้นสดมภ์ และแย่งชิงไปจากหมู่บ้าน เมื่อคราครั้งกระโน้นได้เป็นผลสำเร็จ จนเกิดปาฏิหาริย์แห่งรอยบาก อยู่บนพระพักตร์ขององค์พระ ว่ากันว่าร่องรอยดังกล่าว คือบาดแผลจากการต่อสู้ ที่เกิดจากอิทธิฤทธิ์ขององค์พระศักดิ์สิทธิ์ ที่รับแทนคมหอกคมดาบ ที่ทหารพม่าถาโถมฟาดฟัน เข้าใส่ร่างของครูดำนั่นเอง ว่ากันว่าความเชื่อดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับครูดำ และผู้คนในหมู่บ้านได้ถูกเล่าขาน สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แต่แล้วองค์บากกลับถูก ดอน (วรรณกิตย์ ศิริพุฒ) อดีตลูกหลานบ้านหนองประดู่ ที่ปัจจุบันหันหน้าเข้าสู่โลกแห่งความชั่วช้าอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งเรื่องของยาเสพติด การพนัน และที่ร้ายแรงที่สุด คือการแอบตัดเศียรองค์พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ไปให้กับนักสะสมวัตถุโบราณ ที่มีจิตใจชั่วช้าในกรุงเทพ ในคืนก่อนงานเฉลิมฉลองงานบุญ ที่ชาวหนองประดู่จัดขึ้น เพื่อเฉลิมฉลองศรัทธาต่อองค์บาก ที่ได้หมุนเวียนมาครบ 24 ปี ส่งผลให้เหตุการณ์ดังกล่าว สร้างความสะเทือนใจ ต่อทุกชีวิตในบ้านหนองประดู่ โดยเฉพาะบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ ที่รอวันนี้มาค่อนชีวิต ราวกับว่านี่คือกงล้อแห่งศรัทธา ที่หมุนเวียนบรรจบมา เพื่อทดสอบในศรัทธาแห่งความความผูกพัน และพลังแห่งความดีงาม ของผู้คนในบ้านหนองประดู่อีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะกับผู้ที่ได้รับการสืบทอดชะตากรรม จากองค์บากโดยตรงอย่าง ทิ้ง (จา พนม ยีรัมย์) เด็กหนุ่มลูกกำพร้า ที่ได้รับการชุบเลี้ยงเติบโต จนมีสายเลือดของบ้านหนองประดู่อย่างข้นคลั่ก รวมทั้งเคล็ดวิชานวอาวุธ (อาวุธที่ก่อเกิดจากอวัยวะสำคัญ ในร่างกายของมนุษย์ทั้ง 9 อันประกอบไปด้วย 1 ศรีษะ 2 หมัดกร้าวแกร่ง 2 แรงกระทุ้งของศอก ตอกย้ำความหนักหน่วงของ 2 เข่า และความคล่องแคล้วว่องไวของ 2 เท้า) ผสมผสานกับศิลปะมวยไทยโบราณ ที่ได้รับการถ่ายทอดจากพระครู หลวงพ่อผู้เป็นดั่งเสาหลัก ที่เคารพนับถือของผู้คนในหมู่บ้านหนองประดู่ ลูกศิษย์คนสำคัญของครูดำ ปูชนียบุคคลที่มีคุณอนันต์ของหมู่บ้าน การเดินทางมุ่งหน้าสู่หนทางแห่งการต่อสู้ การทบทวนจิตวิญญาณแห่งความใฝ่ดี และการเผชิญหน้ากับโลกใหม่ ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ลุ่มหลงนิยมในวัตถุเงินทอง ท่ามกลางแสงสีของเมืองหลวง ที่เต็มไปด้วยความคดโกง หลอกหลวง และแก่งแย่งชิงดี ทิ้งได้พบกับบททดสอบแห่งศรัทธา และภาระรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น อันตรายมากขึ้น โดยมีคนๆ เดียวในเมืองหลวง ที่จะช่วยทิ้งตามหาดอนได้คือ หำแหล่ หรือ ยืนยง (หม่ำ จ๊กหมก) ลูกชายของผู้ใหญ่น้อย อีกหนึ่งลูกหลานบ้านหนองประดู่ ที่ถูกส่งมาเล่าเรียน เพื่อกอบโกยเอาความรู้ นำกลับไปพัฒนาถิ่นเกิด แต่กลับกลายเป็นว่า ทิ้งถูกหำแหล่ ที่บัดนี้เปลี่ยนรูปโฉมเป็น ไอ้ยอร์จ หนุ่มหัวทองไร้ซึ้งหัวจิตหัวใจ หลอกขโมยเอาถุงห่อของมีค่า ที่รวบรวมเอาแบ๊งค์ยี่สิบเก่าๆ เงินเหรียญ และบรรดาทรัพย์สมบัติของผู้เฒ่าผู้แก่ ลูกหลานของบ้านหนองประดู่ ที่รวบรวมให้ทิ้งเพื่อเป็นทุนรอน ในการตามหาองค์บากในเมืองใหญ่ ไปวางเดิมพันในมวยเถื่อนเสียแล้ว เส้นทางในการเสาะหาองค์บาก ดึงเอาทิ้งเข้าไปเกี่ยวข้อง กับชีวิตของผู้คนอันหลากหลายในเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น เง็ก (รุ่งระวี บริจินดากุล) หญิงสาวสู้ชีวิต ที่ถูกความเหลวแหลกของเมืองหลวง กัดกินทั้งร่างกายและจิตใจ, หมวยเล็ก (ภุมวารี ยอดกมล) เด็กสาวแก่นแก้ว ที่งดงามทั้งหน้าตาและจิตใจ, ไอ้เป๋ง (เชษฐวุฒิ วัชรคุณ) นักเลงหัวไม้ หัวโจกของบรรดาจิ๊กโก๋คุมซอย คู่ปรับคนสำคัญของยอร์จ ความเป็นจริงในความหวังที่ไม่เพียงดูริบหรี่ แต่กลับเริ่มไกลห่าง ออกไปจากตัวทิ้งมากขึ้นทุกที เมื่อจิตศรัทธาแห่งความดีงาม จากคนรอบข้างที่มีต่อองค์บาก ค่อยรางเลือนมากยิ่งขึ้น กลับกันกับชักนำให้ทิ้ง ถล้ำเข้าไปสู่วังวนแห่งการต่อสู้ ที่ดูเหมือนจะขัดกับถ้อยคำที่พร่ำสอนจากพระครู เมื่อทิ้งถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง กับเกมการต่อสู้และการไล่ล่า ที่อบอวลไปด้วยความชั่วร้าย จากทั้งคนไทยด้วยกันเองและชาวต่างชาติ และนี่คือจุดเริ่มต้น ของการเดินทางแห่งจิตศรัทธา ที่นำมาซึ่งการต่อสู้ เพื่อพิสูจน์ศักดิ์ศรีของศิลปะการต่อสู้ ที่เรียกขานว่า แม่ไม้มวยไทยโบราณ

The Trek ดงพญาไฟ (2545/2002) กลุ่มสมาชิกชมรมคชบาล ซึ่งศึกษาพันธุ์ช้างเอเชีย พร้อมด้วยนักศึกษาชาวต่างชาติ ที่กำลังสนใจพันธุ์ช้างเอเชีย ออกเดินทางเข้าไปในป่า เพื่อเดินทางตามหาช้างประหลาด ที่ถูกพบโดยบังเอิญ ตามข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์ แต่เส้นทางนี้ก็มีอันตราย เนื่องจากเป็นเส้นทางของชนกลุ่มน้อย ที่มีการลำเลียงขนสารแอมเฟตตามีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตยาบ้า กลุ่มคณะสำรวจเริ่มต้นการเดินทาง จากหมู่บ้านเล็กๆ ในป่าลึก จากการเข้าพบผู้ใหญ่บ้าน เพื่อขอให้ช่วยพูดกับนายพรานผู้ชำนาญป่า เป็นคนนำทาง แต่ได้รับการปฏิเสธ เพราะมีนายพรานหลายคน ที่เข้าไปในป่าแห่งนี้แล้ว ไม่กลับออกมาอีกเลย แต่ทั้งหมดก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ ยังคงยืนกรานที่จะเดินทางเข้าป่าโดยลำพัง เพื่อติดตามหาช้างประหลาดดังกล่าว การเดินทางเข้าไปในป่า โดยไม่มีนายพรานผู้ชำนาญทางเป็นสิ่งที่อันตราย แต่ทั้งหมดก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ ด้วยความหวังที่จะตามหาช้างให้พบ โดยจะต้องผ่านเส้นทางที่อันตราย และยากลำบาก แต่เมื่อเดินทางเข้าไปยังไม่ถึงครึ่งทาง ทั้งหมดก็ต้องตกตะลึง เมื่อเผชิญกับหลุมตะขาบยักษ์ อาศัยอยู่นับร้อยนับพันตัว และก็ต้องพบกับความสูญเสีย เมื่อหนึ่งในคณะเดินทาง ตกลงไปในหลุมตะขาบที่น่าสยดสยอง ส่วนหัวหน้ากลุ่มสมาชิกชมรมคชบาล ที่นำคณะสำรวจเข้าป่า ตั้งใจที่จะค้นหาช้างประหลาดนี้ให้พบ กลับบาดเจ็บสาหัส จนทนพิษบาดแผลไม่ไหว และไม่อยากเป็นภาระของคนอื่นๆ จึงตัดสินใจยิงตัวตายในคืนนั้น กลุ่มคณะสำรวจที่เหลือจำต้องเดินทางต่อ พร้อมด้วยพรานธงที่เดินทางตามมาสมทบ ตามคำขอร้องของผู้ใหญ่บ้านให้ตามเข้ามาดูแล กลุ่มคณะสำรวจนี้จะตัดสินใจเดินทางต่อ หรือกลับออกมาจากป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย..? พวกเขาจะตามหาช้างป่า ที่มีลักษณะประหลาดได้หรือไม่ ? การผจญภัยของพวกเขา ที่จะต้องเดิมพันด้วยการสูญเสีย เพื่อแลกกับความอยู่รอด เรื่องราวของความหวัง มิตรภาพ การผจญภัยในดินแดนเร้นลับ ที่ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไป...

สุริโยไท (2544/2001) เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 สวรรคตในปี พ.ศ. 2072 พระอาทิตยาจึงได้ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนาม สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร ทุกพระองค์เสด็จย้ายจากพิษณุโลกไปประทับ ณ กรุงศรีอยุธยาเมืองหลวง พระเฑียรราชา และ พระสุริโยไท มีโอรสธิดาทั้งสิ้น 5 พระองค์ คือ พระราเมศวร , พระมหินทร, พระบรมดิลก, (พระวิสุทธิ์กษัตริย์) และ พระเทพกษัตรี ประทับอยู่ ณ วังชัย ดำรงอิสริยยศเป็นพระเยาวราช เมื่อสมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูรสวรรคตด้วยโรคไข้ทรพิษ พระไชยราชา ผู้ซึ่งดำรงพระยศเป็นพระอุปราช ควรจะได้สืบสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์ แต่สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูรทรงขอให้ สมเด็จพระรัษฎาธิราชกุมาร พระโอรสวัย 5 พรรษา อันเกิดแต่พระอัครชายา วัย 17 พรรษา เป็นผู้ขึ้นครองราชย์แทน ระหว่างนั้น บ้านเมืองถูกบริหารโดยขุนนางทุจริต ติดสินบนเถลิงอำนาจ โดยเฉพาะ เจ้าพระยายมราช บิดาของพระอัครชายา 5 เดือนให้หลังสมเด็จพระไชยราชาธิราชจึงเข้ายึดราชบัลลังก์ และให้สำเร็จโทษพระรัษฏาธิราช ตามราชประเพณีโบราณ รวมถึงสั่งประหารขุนนางทุจริตทุกคน และทรงขึ้นครองราชย์ แผ่บุญญาธิการ เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไป ทรงออกรบปราบหัวเมืองอยู่เนือง ๆ และได้แต่งตั้งพระเฑียรราชาขึ้นเป็นพระมหาอุปราชา ว่าราชการแทนพระองค์ อยู่ที่กรุงอโยธยา ส่วนพระมเหสีของพระไชยราชา คือ ท้าวศรีสุดาจันทร์ ได้ลักลอบมีความสัมพันธ์กับ ขุนชินราช ผู้ดูแลหอพระ เชื้อราชวงศ์อู่ทองด้วยกัน และได้สมคบคิดกัน ลอบวางยาพิษปลงพระชนม์พระไชยราชา พระยอดฟ้า พระโอรสของพระไชยราชา ที่ประสูติจาก ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ได้ขึ้นครองราชย์แทน ในขณะที่มีพระชนม์เพียง 10 พรรษา แต่ต่อมาไม่นาน ก็ถูกท้าวศรีสุดาจันทร์ปลงพระชนม์อีกองค์หนึ่ง แล้วสถาปนาขุนชินราชขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระวรวงศาธิราช นับตั้งแต่สิ้นรัชกาลพระไชยราชา พระเฑียรราชาก็ได้ผนวชเพื่อเลี่ยงภัย ส่วนพระสุริโยไททรงเตรียมฝึกทหาร โดยมีผู้จงรักภักดี คือ ขุนพิเรนทรเทพ, ขุนอินทรเทพ, หมื่นราชเสน่หานอกราชการ และหลวงศรียศลานตากฟั เฝ้าคุ้มกันภัยให้ ได้ร่วมกันปลงพระชนม์ขุนวรวงศา และท้าวศรีสุดาจันทร์ เสียบหัวประจานไว้ที่วัดแร้ง แล้วอัญเชิญพระเฑียรราชา ให้ลาสิกขาบทขึ้นครองราชย์แทน ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ระหว่างนั้นทางพม่าได้รวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น และแผ่ขยายอำนาจรุกรานไทยภายใต้พระมหากษัตริย์ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ และได้เดินทัพมายังกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2091 เกิดเป็นสงครามยุทธหัตถี ที่ทุ่งมะขามหย่อง ซึ่งเป็นเหตุให้ พระสุริโยไทสิ้นพระชนม์บนคอช้าง เรื่องจบลงด้วยสงครามยุทธหัตถี อันเป็นเรื่องราวความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและความตายของวีรกษัตรีย์ "สุริโยไท" ที่พลีชีพเพื่อรักษาอาณาจักรอยุธยา

๙ พระคุ้มครอง (2544/2001) เด็ก 5 คน กับ หนุ่มสาว อีก 4 คน ที่แตกต่างกันทุกอย่าง แต่ต้องมาร่วมผจญภัยต่อสู้ อยู่ในชะตากรรมเดียวกัน โดยมีพระเครื่อง (ปลอม) เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้กล้าสู้ เพื่อเป้าหมายที่เห็นอยู่ข้างหน้า.. เด็กต่างจังหวัด 5 คน ผู้มีกิจกรรมหลักหลังเลิกเรียน คือแกล้งหญิงโรคประสาท ด้วยความคิดที่ว่า เธอคือผีปอบที่ชาวบ้านเกรงกลัว จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะวิ่งหนีออกมาจากการแกล้งยายผีปอบ ผ่านเข้ามาในอุโมงค์รถไฟ จูน เด็กหญิงคนเดียวในกลุ่มเกิดหกล้ม ขณะที่รถไฟจะพุ่งเข้าชน ยายผีปอบได้พุ่งตัวเข้ามาช่วยชีวิตเด็กหญิงไว้ จนเธอเองต้องถูกรถไฟชนแทน อุบัติเหตุครั้งนี้ ทำให้เด็กๆ รู้สึกผิด ที่ชอบแกล้งยายผีปอบ ซึ่งในระหว่างที่เธอหมดสติอยู่ที่โรงพยาบาล เด็กๆ ตั้งใจจะชดเชย ด้วยการตามหา "ต๋อง" ลูกชายยายปอบ ที่หายสาบสูญไปตั้งแต่เด็กๆ ให้กลับมาหาเธอ "กรุงเทพ ฯ แถวๆ สีลม" นั้นคือ แค่ที่เด็กๆ ได้รู้มาว่า "ต๋อง" น่าจะอยู่ตรงนั้น จากที่ดูในจอภาพยนตร์ เรื่องอิทธิฤทธิ์ ของ "พระเครื่อง" ว่าสามารถป้องกัน อันตรายได้จากอาวุธทุกชนิด ในการไปกรุงเทพ ฯ ครั้งนี้ เด็กๆ จึงต้องการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ติดตัวไปด้วย "พระเครื่อง" (ปลอม) จึงเป็นสิ่งที่คนเล่นกล หลอกให้เด็กๆ เช่าในราคาถูก ซึ่งทำให้พวกเขาฮึกเหิม และมั่นใจ ในการออกไปผจญภัยครั้งสำคัญในชีวิต "กรุงเทพ ฯ ทำไมแสนจะวุ่นวายขนาดนี้ และคนชื่อ ต๋อง ก็ช่างมีมากมายเหลือเกิน" เรื่องราวการตามหา "ต๋อง ลูกยายผีปอบ" จึงเปรียบเสมือนการงมเข็มจากมหาสมุทร ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแรงบันดาล จาก "พระเครื่อง" (ปลอม) ที่เด็กๆ อธิษฐาน หรือความบังเอิญ ณ เมืองที่แสนจะวุ่นวายแห่งนี้ ได้มีคน อีก 4 คน ที่ต้องมาร่วมชะตากรรมเดียวกับพวกเด็กๆ เขา.. ชายหนุ่มใจดี ผู้มีอาชีพเก็บเสื้อจากศพคนตายมาขาย เธอ.. นักร้องสาว ผู้มีชีวิตอยู่กับความอ้างว้าง ชายหนุ่มจอมกระล่อน.. ซึ่งเอายาแก้ปวดหลอกขายเด็กวัยรุ่นว่าเป็น ยาอี และ ..สาววัยรุ่น ที่ใช้ชีวิตสนุกสนานอยู่ในยามราตรี 5 กับ 4 รวมกันเป็น เก้า เลขนำโชค ..ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น สารพัด "ต๋อง" ที่เข้ามาในชีวิต ไม่มีใครซักคนที่เป็นตัวจริง ขบวนการตามหาต๋องเริ่มทำเรื่องเล็กๆ ให้ลุกลามใหญ่โต อันตรายจากเรื่องราวต่างๆ ที่กระทำไปโดยไม่คาดคิด ได้รุมเข้ามาจนถึงวินาทีแห่งเส้นตาย สถานการณ์ที่หมายถึง ชีวิต.. สิ่งเดียวที่คนทั้ง 9 หวังพึ่งพาได้นั้น คือปาฏิหาริย์จาก "พระเครื่อง" (ปลอม) แม้ในที่สุด ทั้งหมดจะได้เจอกับ "ต๋อง" ตัวจริง แต่เขากลับไม่ใช่อย่างที่เด็กคาดไว้... ปาฎิหารย์จาก "เสาร์ห้า" ที่พวกเขาร้องขอจะมีจริงหรือ...??
ลับแล คนมหัศจรรย์ (2540/1997) เรื่องราวของเจ้าหญิงที่ถูกจับตัวมาจากเมืองลับแล เมืองที่มีแต่ผู้คนตัวเล็กเท่าหัวแม่มือมนุษย์ทั่วไป ฮะเมือง และ ดอยปา ทหารของเมืองจึงต้องออกตามหาเจ้าหญิง พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากสองพี่น้อง ต้อย และ ติ่ง โดยมีเงื่อนไขว่าต้องรีบหาเจ้าหญิงให้พบและพาเธอกลับเมืองให้ได้ภายในเจ็ดวัน ก่อนที่ประตูมิติจะปิดลง ในป่าแห่งหนึ่งมีเมืองลึกลับที่ชื่อ "เมืองลับแล" ซ่อนตัวอยู่ ทว่ามีนักล่าสัตว์เข้าไปพบโดยบังเอิญ และด้วยความโลภพวกเขาได้ลักพาตัวเจ้าหญิงแห่งเมืองลับแลออกมา เมืองลับแลจึงส่งทหารออกมาติดตามหาเจ้าหญิงโดยเร็ว เพราะเมื่อชาวลับแลอยู่ในโลกภาพนอกจะมีขนาดร่างกายที่เล็กเท่านิ้วมือและจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงเจ็ดวัน ในระหว่างตามหาเจ้าหญิงพลทหารสองนายนั้นกลับถูกจับโดยเด็กๆ ชาวมนุษย์โดยบังเอิญ แต่เมื่อรับรู้เรื่องราวทั้งหมด พวกเขาก็ร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับเหล่าร้าย และนำตัวเจ้าหญิงกลับมา
กระโปรงบานขาสั้น เทอม 2 ตอนแอบดูบาบีคิว (2537/1994) รุ่งเช้าวันหนึ่ง ครูแก้วตาได้เรียกนักเรียนมาประชุมกันเรื่องเดินทางไปวิจัยแมงปีกเล็กที่อุทยานเขตรักษา พันธุ์สัตว์ป่าดอยอินทนนท์ ใบเฟิร์นชวนแซ็กไปด้วย หลังการเดินทางก็มาถึงอุทยานซึ่งอยู่ในความดูแลของ ดร.ฉลาด ทุกคนสดใสร่าเริงกับบรรยากาศนอกรั้วโรงเรียน แต่พอเช้าทุกคนก็ตกใจเมื่อผ้าและกางเกงในหายไปหมด วิน เขื่อน ไข่ รู้เรื่องราวทำวิจัยของโรงเรียนใบเฟิร์น จึงขับรถตามไปแต่รถเสียกลางทางจึงต้องเดินทางด้วยเท้าแทน เข้าไปในป่าลึกเสบียงตกหล่นหายจึงตัดสินใจยิงสัตว์ แต่กลายเป็นยิงคนป่าร่างแคระกลายเป็นชนวนของความแค้นให้กับเผ่าคนป่า…..ในช่วงเดียวกันใบเฟิร์นและเพื่อนหลงเข้าป่าลึกไปพบคนป่า คนป่าคิดว่าทั้งสอง มีส่วนกับการตายของเพื่อน จึงจับตัวขังไว้ แซ็ก แป๋งและหอม ตามหาแต่ไร้ร่องรอย จนกระทั่งพบคนป่าโดยบังเอิญ และรอดกับมาจึงมาเล่าเรื่องราว ให้ ดร.ฉลาด ครูแก้วตาและเพื่อนๆ ฟังจึงช่วยกันตามหาและช่วยออกมาได้อย่างปลอดภัย หลังจากกลับจากป่า พ่อของใบเฟิร์นก็เข้าใจในตัวแซ็กและยอมให้คบหากัน ส่วนวินหลังจากได้รับความช่วยเหลือจากแซ็กในป่า เขาจึงยอมรับแซ็กในฐานะเพื่อนด้วยความเข้าใจอันดีต่อกัน