Placeholder

รักบ้านเรา (2551/2008) รักบ้านเรา (ละครเทิดพระเกียรติ) เป็นละครโทรทัศน์แนว การอยู่ร่วมกับครอบครัวและสังคมอย่างมีความสุข บทประพันธ์ของ บทโทรทัศน์โดย กำกับการแสดงโดย สราวุธ วิเชียรสาร ผลิตโดย บริษัท ทูแฮนส์ จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์–ศุกร์ เวลา 19.00 - 19.45 น. ทาง สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี นำแสดงโดย ศรราม เทพพิทักษ์, ลภัสรดา ช่วยเกื้อ, ภูริ หิรัญพฤกษ์, อลิชา หิรัญพฤกษ์ และนักแสดงชั้นนำอีกมากมาย เริ่มตอนแรกวันที่ พ.ศ. 2551–พ.ศ. 2551

คลื่นฝันวันรัก (2551/2008) ย่านชุมชนแห่งหนึ่งในตลาด มะเดี่ยว เด็กหนุ่มอารมณ์ดีมาดกวน ลูกชายสุดที่รักของ แม่นวล แม่ค้าแผงขายผัก ด้วยความรักในเสียงเพลง หน้าที่ในตลาดของ มะเดี่ยว คือดีเจที่คอยเปิดเพลงให้เหล่าแม่ค้าและชาวบ้านที่มาเดินซื้อของ แถมยังช่วยโฆษณาสรรพคุณสินค้าของแต่ละร้ายให้ขายดีอีกต่างหาก ทุกคนเห็นว่า มะเดี่ยว เหมาะกับงาน ดีเจ เพราะลีลาจ้อหน้าไมค์นั้นแสนจะเพลินหูดีแท้ โดยเฉพาะ ตังเม แฟนคลับตัวแม่ของ มะเดี่ยว ที่เธอทั้งชื่นชอบ และหลงใหลในเสียงเพลงของ มะเดี่ยว ออกนอกหน้า และตั้งตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แต่ก็มีคนหนึ่งที่ฟังแล้วไม่เข้าหูและหงุดหงิดเสมอ เธอคือ ใบหลิว ลูกสาวคนสวยของ เฮียกวง เจ้าของร้านขายข้าวขาหมูรสเลิศ นอกจาก ใบหลิว จะเหม็นขี้หน้า มะเดี่ยว มาตลอด เพราะสองคนเรียนโรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่อนุบาลยันมหาวิทยาลัย เรียกว่าเป็นคู่กัดกันมาตลอด จนคนทั่วตลาดรู้กันดีว่าสองคนนี้อยู่ใกล้กันเมื่อไหร่……….ตลาดแตกแน่ นอน!!! ศึกระหว่าง ใบหลิว กับ มะเดี่ยว ไม่มีข้อสรุปถึงความสมานฉันท์ แถมยังลากเอาเพื่อนซี้ของทั้ง 2 ฝ่าย มาด้วย โดยมี น้ำหนึ่ง สาวหน้าหวานเพื่อนของ ใบหลิว และมี JK หรือ แจ๊ค หนุ่มมาดเท่ห์หัวฟู อินเทรนด์ ดีเจประจำซุปเปอร์มาเกตเพื่อนซี้ปึ๊กสุดๆของ มะเดี่ยว แต่แค่นั้นยังไม่พอเมื่อ ตังเม สาวสวยหมวยอึ๋ม ลูกสาวเจ้าของแผงขายผลไม้ ที่แอบปลื้มมะเดี่ยว ยังคอยผสมโรงเล่นงาน ใบหลิว ด้วย เพราะหมั่นไส้ที่ ใบหลิว ชอบมาหาเรื่อง มะเดี่ยว หนึ่งเดียวในดวงใจของเธอ แต่แล้ววันหนึ่ง มะเดี่ยว กับ ใบหลิว ก็แทบอกแตกตาย เมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้ว แม่นวล กับ เฮียกวง แอบบำรุงต้นรักด้วยกัน และ ใบหลิว กับ มะเดี่ยว ก็ไม่สามารถกีดกันความรักของพ่อ และแม่ได้ เมื่อแม่นวลยืนยันว่าจะแต่งงานกับ เฮียกวง ทำให้ มะเดี่ยว ย้ายเขามาอยู่ในบ้านของ ใบหลิว ต่อหน้าพ่อแม่ทำเป็นพี่น้องรักกันดี แต่ลับหลังสองคนยังเปิดศึกกันอยู่ตลอด มะเดี่ยว ได้มารู้ว่า ใบหลิว นั้นชอบ และคลั่งไคล้เป็นแฟนตัวยงของ ดีเจ.มัต ดีเจหนุ่มหล่อมาดแมนแห่งคลื่น JEED FM. (จี๊ด เอฟเอ็ม) แถมยังดีใจเนื้อเต้นเมื่อเธอตอบคำถามได้สิทธิ์ไปร่วมกิจกรรมกับ ดีเจ.มัต ทำให้ มะเดี่ยว เริ่มวางแผนการหักหน้ายายตัวร้าย ใบหลิว และคิดหาหนทางแกล้งเธอต่างๆ นานา ทันทีที่แอบรู้ความลับมาว่า ใบหลิว แพ้กุ้ง ทำให้ มะเดี่ยว แกล้งหลอกล่อ ใบหลิว ให้กินกุ้งจนเกิดอาการแพ้ ดีเจ.มัต เป็นห่วง ใบหลิว เลยให้ไปนั่งพัก ใบหลิว เกรงใจ ดีเจมัต เพราะได้จับคู่ทำกิจกรรมร่วมกันเลยพยายามฝืน แต่เมื่อ ใบหลิว จมน้ำหายไป ทั้ง มะเดี่ยว และ ดีเจ.มัต ต่างก็ตกใจ และช่วยกันงมหาตัว ใบหลิว สุดท้ายคนที่ช่วย ใบหลิว ขึ้นมาได้ก็คือ ดีเจ.มัต โดยที่ มะเดี่ยว ได้แต่ยืนดูด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้ ใบหลิว ได้รับอันตรายจนเกือบถึงชีวิต ความรู้สึกผิด บวกความสับสนลึกๆ ในจิตใจที่มีต่อ ใบหลิว ทำให้ มะเดี่ยว ตัดสินใจออกจากบ้าน และออกตามความฝันของเขาซะที…คือการเป็น ดีเจ โดยมีคู่ซี้ แจ๊ค ที่ขอติดสอยห้อยตาม เพื่อน มะเดี่ยว กอดคอมาตายด้วยกันด่านหน้า มะเดี่ยว กับ แจ๊ค ตระเวนหางานทำทุกๆ ที่ จนมาได้งานขายสินค้า จึงช่วยกันเรียกลูกค้าด้วยการ จัดเป็นบูธ เปิดเพลง และบรรยายสรรพคุณของสินค้าอย่างมันสุดๆ งานนี้ทำให้ มะเดี่ยว ได้เจอกับ มนตรา (มิ้นท์) และ คุณกอบสุข ซึ่งเป็นพ่อของเธอ และเป็นถึงผู้บริหารของคลื่น JEED FM. อีกด้วย ด้าน กอบสุข สนใจ และเล็งเห็นแวว ความสามารถของ มะเดี่ยว กับ แจ๊ค จึงชักชวนให้ไปเป็นดีเจที่คลื่น หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็สามารถทำความฝันของตนให้สำเร็จ และเป็นจริงได้ เมื่อทั้ง มะเดี่ยว กับ แจ๊ค ได้แจ้งเกิดเป็นดีเจ ชื่อดังสมใจ ส่วนทางด้าน ใบหลิว กับ ดีเจมัต หลังเกิดเรื่องที่งานกิจกรรมดีเจ ทำให้ทั้งคู่เริ่มสนิทสนมกันเรื่อยมา ในขณะที่ ดีเจมัต เองก็มีความสนิทสนม และคุ้นเคยกับ มิ้นท์ อยู่ก่อนในฐานะลูกสาวเจ้าของคลื่น จนกระทั่งได้มีโอกาสแนะนำให้ มิ้นท์ รู้ได้จักกับ ใบหลิว และ มินท์ ยังชักชวน ใบหลิว ให้เข้ามาทำงานในฝ่ายการตลาดด้วยกันที่คลื่น โดยที่ไม่มีใครรู้ว่า มะเดี่ยว กับ แจ๊ค ก็เป็นดีเจอยู่ที่นี่เช่นกัน มิ้นท์ ดีใจมากที่เพื่อนใหม่ของเธอได้มาร่วมงานด้วยกันทั้งหมด แต่เรื่องราวความรักของพวกเขา และเธอกับวุ่นวาย โกลาหล ผิดฝา ผิดคู่ แบบไม่มีทีท่าจะลงเอยได้ง่ายๆ เมื่อจู่ๆ ดีเจมัต ที่ ใบหลิว แอบชื่นชอบมาโดยตลอดนั้นกลับเป็นฝ่ายบอกรักเธอ และขอคบด้วย ทำให้ ใบหลิว หันมาเป็นแม่สื่อแม่ชักให้ มะเดี่ยว กับ มิ้นท์ คบหากัน จน น้ำหนึ่ง กับ แจ๊ค เริ่มจับสังเกต ความผิดปกติของ ใบหลิว ได้เลยพยายามถามเค้นว่าตกลง ใบหลิว หึง มะเดี่ยว รึเปล่า ใบหลิว ปฏิเสธเป็นตายว่าเธอเพียงน้องสาวของ มะเดี่ยว เท่านั้น กระทั่ง ดีเจ.มัต มาขอ ใบหลิว แต่งงาน ส่วน มะเดี่ยว ก็ไปบอกรัก มิ้นท์ แต่ น้ำหนึ่ง กับ แจ๊ค ต่างหากที่เริ่มมองเกมส์ความรักของเพื่อนสนิทของแต่ละคนออกว่าที่จริงต่าง ฝ่ายต่างกำลังโกหกหัวใจตัวเองอยู่ และในระหว่างที่ มะเดี่ยว กับ แจ๊ค จัดรายการด้วยกันช่วงหนึ่ง แจ๊ค ดันทำงานผิดพลาดอย่างไม่ตั้งใจทำให้สัญญาณออกอากาศดับต้องเสียเวลาแก้ไขอยู่ นาน ทำให้ แจ๊ค โดนปลดออกจากรายการ แต่ มะเดี่ยว กลับเป็นฝ่ายออกรับแทนด้วยการลาออก ทำให้ มะเดี่ยว ได้กลับบ้านไปหา แม่นวล กับเฮียกวง กราบเท้าขอโทษแม่ที่ออกจากบ้านไป แม่นวลไม่โกรธลูกเพราะรู้ว่าอย่างน้อยลูกก็ได้ไปทำตามความฝัน ก่อนที่จะไปหา พี่วิทยา ดีเจรุ่นเก๋าผู้เปรียบเสมือนครูของ มะเดี่ยว จนทำให้ มะเดี่ยว ได้เริ่มต้นอาชีพดีเจอีกครั้ง ในรายการ เพื่อนสยาม ที่นอกจากจะสร้างเสียงเพลงมอบความสุขแก่ผู้ฟัง แล้วยังรับคำปรึกษา ปัญหา ร้องทุกของชาวบ้านต่างๆ นานาอีกด้วย มะเดี่ยว กับ พี่วิทยา ได้รับฟังปัญหาของบรรดาแม่ค้าในตลาดที่กำลังจะถูกไล่ที่โดย เสี่ยกำธร นักธุรกิจนายทุนที่จะเข้ามายึดตลาดเอาที่ไปขายต่อทำห้างขายส่งขนาดใหญ่ มะเดี่ยว กับ พี่วิทยา เอาเวลามาทุ่มเทให้กับการเป็นกระบอกเสียงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาตีแผ่ จนหลายครั้งที่มะเดี่ยว และ พี่วิทยา ถูกข่มขู่จากพวกของ เสี่ยกำธร ให้ระวังชีวิตไว้ ส่วน มิ้นท์ หลังรู้ความจริงจึงคิดช่วยให้ ใบหลิว ปรับความเข้าใจกับ มะเดี่ยว และออกอุบายให้ทั้งคู่ได้เจอกันแต่ก่อนที่ ใบหลิว จะไปถึง มะเดี่ยว และพี่วิทยา ถูกคนร้ายซึ่งเป็นคนของเสี่ยกำธร ลอบยิง อาการสาหัส ใบหลิว ทั้งตกใจ และเสียใจอย่างมาก จึงเข้ามาช่วยดูแล มะเดี่ยว จนหายดี มิ้นท์ ชวนให้ มะเดี่ยว กลับไปจัดรายการด้วยกันที่กรุงเทพฯ แต่ มะเดี่ยว ปฏิเสธเพราะต้องการสานต่องานของ พี่วิทยา ด้วยเป็นจัดรายการที่สถานี ซึ่งแน่นอน ใบหลิว เองก็ขออยู่ที่นี่เพื่อช่วยงาน มะเดี่ยว และทั้งคู่ก็กลับมาเป็นคู่กัดกันอีกครั้ง หาเรื่องทะเลาะกันได้ทุกเรื่อง และทุกวันไม่ต่างจากเมื่อก่อน ส่วน แจ๊ค ขออยู่ช่วยงานที่นี่ด้วยเพื่อช่วยเป็นไม้กัน ไม่ให้สองคนนั้นตีกันตายโดยมี น้ำหนึ่ง ที่เริ่มรู้ตัวว่าหลงเสน่ห์หนุ่มหัวฟู อยู่ช่วยด้วยอีกคน ในขณะที่ มิ้นท์ เดินทางกลับมากรุงเทพฯ เพื่อดูแลใจกัน และกันกับ ดีเจมัต เส้นทางการไล่ล่าหาความฝัน และกลเกมความรักของพวกเขาและเธอ จะลงเอยอย่างไร ร่วมหาคำตอบได้ ใน คลื่นฝัน…วันรัก

อุบัติรักข้ามขอบฟ้า (2551/2008) ไมค์ หนุ่มน้อยลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังประเทศไทยเพื่อตามหาแม่ โดยที่ตัวเองไม่ได้เตรียมตัวและมีความรู้ความเข้าใจอะไรเกี่ยวกับประเทศไทยเลยแม้แต่น้อย กอล์ฟ หนุ่มน้อยชาวไทย รักธรรมชาติ มีอดีตฝังใจกับการสูญเสียพ่อไปจากการเก็บกู้ซากปะการัง ด้วยความเป็นคนนิสัยแข็งกระด้าง ทำให้กอล์ฟมักจะไม่ยอมลงให้กับใครง่าย ๆ ซึ่งคู่ปรับคนสำคัญของกอล์ฟก็คือ เปิ้ล ผู้ซึ่งคลั่งไคล้วัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นชีวิตจิตใจ เป็นเจ้าของและผู้ดูแลอพาร์ทเมนท์ที่กอล์ฟเช่าอยู่ และเพราะการมาประเทศไทยโดยไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ทำให้ไมค์ต้องเจอะเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดมากมาย รวมถึงโชคชะตาที่เล่นตลกจนทำให้ไมค์ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกับ แพท สาวที่ทำงานเป็นผู้ประสานงานบริษัทโฆษณา ผู้ซึ่งใช้ชีวิตยามว่างอยู่ในโลกไซเบอร์ สังคมอินเทอร์เน็ตและไดอารี่ออนไลน์ ทั้ง 4 คน ไมค์, กอล์ฟ, เปิ้ล และ แพท ได้มาเจอะเจอและรู้จักกัน ผ่านเหตุการณ์ชุลมุนและบังเอิญ เหตุการณ์ต่าง ๆ ก่อความชุลมุนจนถึงขั้นที่ทำให้ทั้ง 4 คน จำเป็นต้องมาอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน นั่นก็คืออพาร์ทเม้นท์ของเปิ้ล ทำให้ทั้ง 4 ได้รู้จักเรียนรู้และเกิดความใกล้ชิดผูกพันกันมากขึ้น...มากขึ้น การได้โคจรมาเจอกันของสองหนุ่มและสองสาว ก่อความรู้สึกดี ๆ ที่เรียกว่า ความรัก แม้จะเกิดอาการผิดฝาผิดตัวกันอยู่เนือง ๆ กว่าจะเรียนรู้หัวใจตัวเองกันได้ว่าใครรักใคร ใครชอบใคร ก็ทำให้เกิดเหตุการณ์ชุลมุน ไปจนถึงขั้นวุ่นวาย (หัวใจ) แต่ก็ทำให้แต่ละคนได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่าง ไทยกับญี่ปุ่นกันโดยไม่รู้ตัว และภายใต้ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน ระหว่างกอล์ฟและไมค์นั้น ทั้งคู่ไม่ได้รู้ระแคะระคายเลยว่า แม่ที่ไมค์ตามหาอยู่จริง ๆ แล้วก็คือแม่ของกอล์ฟด้วยนั่นเอง ทั้งคู่เป็นลูกแม่เดียวกันและด้วยความไม่รู้ จึงทำให้ทั้งคู่เกิดปัญหาจนเกือบทำให้พี่น้องต้องเกือบผิดใจกัน เรื่องวุ่น ๆ ของความผูกพันระหว่าง เพื่อน พี่น้อง และคนรัก ที่อุบัติขึ้นท่ามกลางการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความประทับใจในวัฒนธรรมไทยและญี่ปุ่น จะดำเนินและจบลงอย่างไร ติดตามหาคำตอบได้ใน ละครรัก โรแมนติก แฝงแง่คิดให้กับวัยรุ่นไทยในยุคที่โลกหมุนเร็วกว่าวัฒนธรรม ใน "อุบัติรัก ข้ามขอบฟ้า"

บ้านนี้มีรัก 2549-2559

บ้านนี้มีรัก (2549/2006) รัก ลูกชายคนกลาง และก็เป็นเหมือนตัวกลางของบ้านที่แสนจะอบอุ่น และด้วยความที่เป็นลูกคนกลางนี่แหละ ที่ทำให้รักต้องรับกรรมทุกสถานการณ์ เพราะไม่ว่าคนในบ้านจะมีปัญหาอะไร ทุกคนต่างพุ่งมาปรึกษา และให้รักแก้ปัญหาเป็นคนแรกเสมอ และตัวสร้างปัญหาประจำบ้านคือ น้องชายวัยคะนอง ลิงค์ หนุ่มมหาวิทยาลัยปี 1 ที่กวนบาทาทุกสถานการณ์ ปากเสีย ขี้โม้ ไม่มีกาลเทศะ ผู้ที่พร้อมจะพาปัญหาเข้ามาในบ้านตลอดเวลา นอกจากรักจะต้องรับศึกคือ ลิงค์น้องชายตัวแสบแล้ว รักยังต้องเจอกับ ริน พี่สาวจอมโวยวายปากร้าย ที่มีสามีไม่เอาไหน และไม่ได้เรื่องอย่าง แฮงค์ กับ มิค หลานชายขี้สงสัย ที่ไม่เชื่อใจใครนอกจากรัก แต่ก็มักจะโดนสอนอะไรผิดๆ จากลิงค์เสมอๆ แต่รักเองก็ยังมี แม่ คนแก่ที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง คิดไปเองว่ายังสวยไม่สร่าง ที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน เป็นที่พึ่งในยามที่ท้อแท้ สกล คนสวนจอมซุ่มซ่าม เฟอะฟะเป็นที่สุด เพ็ญ สาวใช้ช่างสอดรู้สอดเห็น ผู้ที่เห็นเรื่องของคนอื่นเป็นเหมือนเรื่องของตัวเอง และยังมีผู้มาแวะเวียนสร้างสีสันให้กับครอบครัวนี้ เบญ แฟนของรัก สาวน้อยจอมจับผิดคิดมาก แต่ปากหวาน เป็นแฟนกับรักตั้งแต่มัธยม เจี๊ยบ เพื่อนร่วมงานของรัก ที่ชอบเข้ามาวุ่นวายในบ้าน เพราะคิดว่าบ้านเพื่อนก็เหมือนบ้านตัวเอง

หนึ่งมิตรชิดใกล้

หนึ่งมิตรชิดใกล้ (2549/2006) เรื่องของคู่กัดคู่หนึ่งในออฟฟิศที่ผลิตรายการทางคลื่นวิทยุ รวมมิตรเรดิโอ ฝ่ายแรกคือ "แก้มบุ๋ม" (อรจิรา แหลมวิไล) สาวนักเรียนนอกจบใหม่ที่ได้รับมอบหมายให้มาบริหารบริษัทของครอบครัว ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือ "นาย" (ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์) ผู้จัดการทั่วไป ซึ่งเป็นหัวแรงหลักในการผลิตรายการวิทยุแห่งนี้ ทั้งแก้ม และ นาย ไม่ได้เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก ทั้งสองเคยเรียนอยู่ห้องเดียวกันสมัยมัธยม โดยนายจะเป็นเด็กนั่งหลังห้อง เป็นนักกีฬาและเดือนประจำโรงเรียน ส่วนแก้มเป็นเด็กสาวที่ตั้งใจเรียน หน้าตกกระ ใส่เหล็กดัดฟัน นั่งอยู่หน้าห้อง ด้วยความที่เป็นคนคนละแบบจึงทำให้เกิดการเขม่นกัน อีกทั้งแต่ละคนยังเคยทำให้ต่างฝ่ายต่างขายหน้ากัน จึงเป็นความไม่ถูกโฉลกที่ฝังใจกันมานาน ไม่เพียงแต่ทะเลาะกันในออฟฟิศเท่านั้น เรื่องราวยิ่งวุ่นไปอีก เมื่อแก้มย้ายเข้าไปอยู่คอนโดห้องตรงข้ามกับนาย ทั้งคู่จึงกลายเป็นคู่กัดทั้งในออฟฟิศและที่บ้าน เวลาที่ทั้งสองคนกัดกันจะเหมือนคนที่ทันกัน ภาษามวยเรียกว่ามวยถูกคู่ คือไม่มีใครยอมใคร จนบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า สองคนนี้จะมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน แต่นั่นคงเป็นได้แค่ความคิดเท่านั้น เพราะความจริงแล้วทั้งสองต่างก็มีแฟนกันอยู่แล้ว "วี" (ตรีพล พรมสุวรรณ) นักธุรกิจไฮโซเป็นแฟนที่แสนดีจะคอยดูแลแก้มบุ๋มตลอดวเลา ส่วน "อ้อแอ้" (เมย์ เฟื่องอารมณ์) คือแฟนสาวของนาย นิสัยขี้อ้อน รักและเชื่อฟังทุกอย่างที่นายบอก และนอกจากคนทั้ง 4 คนแล้ว ออฟฟิศแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยคนที่ต่างแบบต่างสไตล์มารวมตัวกันแบบไม่น่าเชื่อว่าจะมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้ ซึ่งพอมารวมตัวกันแล้วกลับเกิดเป็นส่วนผสมที่น่าสนใจอย่างคาดไม่ถึง "ป้าอุษา" (พิสมัย วิไลศักดิ์) ผู้ก่อตั้งคลื่นวิทยุแห่งนี้ แม้ว่าจะวางมือให้หลานสาวมาบริหารแล้ว แต่แกก็ยังมาคอยป้วนเปี้ยนที่ออฟฟิศเสมอ โดยมี "ลุงอูฐ" (โย่ง เชิญยิ้ม) ดีเจเก่าแก่ที่ถึงจะหมดไฟในการทำงาน แต่ก็ยังคงสร้างสีสันให้กับคนในออฟฟิศ "จูดี้" ตุ้ยตุ่ย พุทธชาด) ดีเจรุ่นพี่ที่ชอบแทะเล็มเด็กหนุ่มๆ เสมอ โดยเฉพาะกับ "ธนา" (ป๊อบ คำเกษม) ดีเจรุ่นใหม่ที่ทั้งหล่อและเป็นที่หมายปองของสาวๆ รวมทั้ง "โก้" (มารุต ยุปานันท์) น้องชายของแก้มบุ๋มซึ่งเป็นดีเจเหมือนกัน แต่มีนิสัยกระล่อน เจ้าชู้ เอาตัวรอดเก่ง และสุดท้าย "ซัน" (สนธยา ชิตมณี) ฝ่ายประสานงานออฟฟิศ นิสัยดี ขี้เล่น จริงใจ ใสซื่อแบบชาวบ้าน

ในฝัน (2549/2006) เจ้าชายพิรียพงศ์ รัชทายาทแห่งแคว้นพรหมมินทร์ เสด็จไปทรงศึกษาวิชาสำหรับกษัตริย์กับ เจ้าชายโอริสสาวัฒนา หรืออีกพระนามหนึ่งว่า เจ้าชายเสนาบดี ณ แคว้นกุสารัฐ ที่นั่นเจ้าชายพิรียพงศ์ทรงทราบว่า เจ้าหลวงกุสารัฐ ซึ่งทรงพระชราภาพ มีพระธิดาองค์เดียวซึ่งทรงมีพระสิริโฉมงดงามมากคือ เจ้าหญิงรัชทายาท ผู้ซึ่งจะขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากพระราชบิดา เจ้าหญิงเป็นที่หมายปองของเจ้าชายที่เป็นพระญาติพระวงศ์ โดยเฉพาะ เจ้าชายชัยฉัตร ซึ่งจบการทหาร และเจ้าชายบุษกร ผู้ซึ่งศึกษา ณ ประเทศฝรั่งเศส แต่เจ้าหญิงรัชทายาทไม่เคยมีพระเนตรประทานใครอื่นเลย นอกจากเจ้าโอริสสาวัฒนาแต่พระองค์เดียว แม้กระนั้นเจ้าชายโอริสสาวัฒนาก็ไม่เคยแสดงความสนพระทัยในองค์เจ้าหญิง รัชทายาทแม้แต่น้อย เพราะพระองค์สนพระทัยอยู่แต่ภาระและหน้าที่ใน ฐานะเสนาบดีแห่งสมาพันธรัฐ ผู้อยู่เบื้องหลังการปกครองแคว้นกุสารัฐ ซึ่งกำลังระส่ำระสายด้วยการแก่งแย่งอำนาจ โดยฝ่ายของเจ้าชายชัยฉัตรและเจ้าชายบุษกร รวมทั้งขุนนางผู้ใหญ่ที่คิดกบฏ รวมถึงเทวีศุลีพร ที่ราชสำนักกุสารัฐนี่เอง เจ้าชายพิรียพงศ์ทรงเป็นทั้งลูกศิษย์และราชเลขานุการส่วนพระองค์ในเจ้าชายโอ ริสสาวัฒนา ทำให้เจ้าชายพิรียพงศ์ได้ทรงเรียนรู้ถึงพระปรีชาสามารถอันล้ำลึกในการปกครอง ทั้งทางด้านการเมือง การทหาร และการทูตในองค์เจ้าชายโอริสสาวัฒนา ทั้งยังทรงเห็นว่าทรงอุทิศพระวรกายและพระหฤทัยให้แก่หน้าที่เจ้าชายเสนาบดี อย่างเต็มพระกำลัง ทรงเปี่ยมได้ด้วยคุณธรรมและสถิตอยู่ในความยุติธรรม ทำให้ทรงเป็นที่รักและเคารพยำเกรงอย่างยิ่ง ต่อทุกคนที่ประพฤติอยู่ในทำนองครองธรรม และเป็นที่เกลียดชังแก่ทุกคนที่ไม่หวังดีต่อราชบัลลังก์ โดยเฉพาะเจ้าชายบุษกรผู้ทรงวางแผนล้มราชบัลลังก์ร่วมกับ นายพลตรีสุรีเทพ และเทวีศุลีพร สาวผู้มักใหญ่ใฝ่สูง ทำให้เจ้าชายโอริสสาวัฒนาต้องวางแผนรักษาราชบัลลังก์อย่างแยบยล ในช่วงเวลานี้นี่เองที่เจ้าชายพิรียพงศ์ได้ทรงทราบว่า เจ้าชายโอริสสาวัฒนาทรงเป็นสหายวัยเยาว์กับ เจ้าหญิงพรรณพิ ลาศ พระพี่นางของพระองค์ ทั้งคู่ได้ทรงเขียนจดหมายโต้ตอบสื่อสารกันเป็นนิตย์ไม่ขาดระยะ และมักทรงปรึกษาหารือส่วนพระองค์และราชการอยู่เสมอ จนมิตรภาพระหว่างทั้งสองพระองค์กลายเป็นความรักซึ่งฝังรากลึกในพระราชหฤทัย ของสองพระองค์ เจ้าหญิงรัชทายาทก็ได้เสด็จมาปรึกษากับเจ้าชายพิรียพงศ์หลายครั้ง ในความที่ทรงน้อยพระทัยในเจ้าชายโอริสสาวัฒนา เลยทำให้เจ้าชายพิรียพงศ์ทรงสงสารและเห็นพระทัยเจ้าหญิงรัชทายาท จนเกิดเป็นความรักโดยไม่รู้พระองค์ เมื่อมีการประชุมสภาเพื่อเลือกราชทูตไปทำสันถวไมตรีกับประเทศยุโรป เจ้า ชายโอริสสาวัฒนาทรงแสดงท่าทีอย่างชัดเจนในการสนับสนุนเจ้าชายชัยฉัตร เพราะทรงมีคุณลักษณะเหมาะสมกว่าเจ้าชายองค์ใด จนในที่ประชุมเห็นชอบอย่างเอกฉันท์ ทำให้เจ้าชายบุษกรผู้หวังในตำแหน่งนั้นไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ส่วนเจ้าชายชัยฉัตรจึงหันมาสวามิภักดิ์ต่อเจ้าชายโอริสสาวัฒนาอย่างไม่แคลง พระทัยอีกต่อไป สร้างความแค้นใจต่อเจ้าชายบุษกรมากยิ่งขึ้น ในระหว่างนั้นเองที่แคว้นพรหมมินทร์ เจ้าชายโสภณา แห่งแคว้นสาละวัณได้เสด็จประพาสแคว้นพรหมมินทร์ เจ้าหญิงพรรณพิลาศได้ทรงอักษรมาถวายเจ้าชายโอริสสาวัฒนาว่า เจ้าชายโสภณาทรงเป็นเจ้าชายรูปงาม แถมยังโปรดปรานศิลปะเช่นเดียวกับเจ้าหญิง และเจ้าชายยังสนพระทัยเจ้าหญิงอย่างสังเกตได้ชัด เหตุการณ์นี้จึงทำให้เจ้าชายโอริสสาวัฒนาทรงหนักพระทัย ด้วยเกรงว่าความรักจะหลุดลอย ต่อมาเจ้าหลวงกุสารัฐก็ทรงประชวร มีรับสั่งให้เจ้าชายโอริสสาวัฒนาอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงรัชทายาท แต่เจ้าชายโอริสสาวัฒนาทรงปฏิเสธและแสดงความเห็นว่า เจ้าชายพิรียพงศ์มีคุณสมบัตินานัปการคู่ควรกับเจ้าหญิงรัชทายาท ซึ่งเจ้าหลวงกุสารัฐก็ต้องยินยอมตามความประสงค์นั้น สร้างความเสียพระทัยต่อเจ้าหญิงรัชทายาทเป็นอย่างยิ่ง เจ้าชายโอริสสาวัฒนาก็ทรงทูลลาเสด็จไปยังแคว้นพรหมมินทร์เป็นการด่วน เพื่อกีดกันเจ้าหญิงพรรณพิลาสกับเจ้าชายโสภณา เจ้าชายพิรียพงศ์จึงมีโอกาสใกล้ชิดเจ้าหญิงรัชทายาทและเริ่มรู้ใจกัน ที่แคว้นพรหมมินทร์ ท่ามกลางงานเลี้ยงอำลาเจ้าชายโสภณา ข้าหลวงมาทูลเจ้าหญิงพรรณพิลาศว่ามีผู้มาขอเฝ้า ในคืนนั้นเองพระสหายที่รักกันยิ่งก็ได้พบกัน หลังจากทรงจากกันมานานถึงสิบกว่าปี ทั้งสองพระองค์รำลึกถึงวันวานจนสัมพันธภาพลึกซึ้งและหวานชื่นเกินกว่าคำ บรรยาย รุ่ง ขึ้นก่อนเจ้าชายโสภณาจะเสด็จกลับทรงขอเจ้าหญิงพรรณพิลาศทรงเป็นราชินีแห่ง แคว้นสาละวัน แต่เจ้าหญิงทรงปฏิเสธได้อย่างชาญฉลาด เจ้าชายโสภณาเสด็จจากไปด้วยความเสียพระทัย ที่แคว้นพรหมมินทร์เจ้าชายโอริสสาวัฒนาได้เข้าเฝ้าเจ้าหลวงพรหมมินทร์ ทูลข่าวเรื่องงานวิวาห์ของเจ้าชายพิรียพงศ์ และทูลขออภิเษกกับเจ้าหญิงพรรณพิลาศ ซึ่งเจ้าหลวงทรงตอบรับด้วยดี เมื่อเจ้าชายโอริสสาวัฒนาเสด็จกลับกุสารัฐ มรุต ราชองครักษ์ก็ทูลว่ามีการก่อกบฏซ่องสุมกันอยู่ในชนบท เจ้าชายโอริสสาวัฒนาจึงขอเข้าเฝ้าเจ้าหลวงกุสารัฐขอพระราชทานอำนาจให้เจ้า หญิงรัชทายาททรงประกาศกฎอัยการศึกปราบปรามกบฏ ซึ่งคาดว่าเป็นเจ้าชายบุษกรและพรรคพวก แล้วเจ้าชายโอริสสาวัฒนา, เจ้าชายพิรียพงศ์ และมรุตก็ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านที่มีสายรายงานว่าเป็นแหล่งซ่องสุม มี การต่อสู้เกิดขึ้นจนมรุตได้รับบาดเจ็บ แต่เจ้าชายบุษกรและพรรคพวกหนีไปได้ และตั้งพระทัยที่จะอาฆาตเจ้าชายโอริสสาวัฒนาถึงชีวิต เจ้าชายชัยฉัตรซึ่งเสด็จยุโรปทรงทราบเรื่องกบฏ ก็รีบกลับกุสารัฐและพร้อมที่จะเป็นกำลังปราบปรามกบฏในครั้งนี้ ในฐานะที่ทรงเป็นชายชาติทหาร แล้ววันอภิเษกของเจ้าหญิงรัชทายาทและเจ้าชายพิรียพงศ์ก็มาถึง เจ้าหลวงแห่งพรหมมินทร์และพระมเหสีเสด็จมาร่วมงาน เพื่อทรงปรึกษาเรื่องวันอภิเษกของเจ้าชายโอริสสาวัฒนาและเจ้าหญิงพรรณพิลา ศต่อสภาสมาพันธรัฐ ซึ่งทุกฝ่ายก็เห็นชอบให้จัดงานขึ้นต่อจากงานอภิเษกของเจ้าหญิงรัชทายาทกับ เจ้าชายพิรียพงศ์ งานอภิเษกของเจ้าหญิงรัชทายาทและเจ้าชายพิรียพงศ์ในครั้งนี้จัดให้มีการ เฉลิมฉลองอย่างมโหฬารรวมทั้งงานซ้อมรบ เจ้าหญิงรัชทายาททรงทำใจเรียนรู้ที่จะรักเจ้าชายพิรียพงศ์ และเจ้า ชายก็ทรงรักเจ้าหญิงแบบพระชายาแทนที่พระองค์จะทรงรักแบบพระสหายเช่นเดิม ในงานซ้อมรบที่จัดขึ้นในวันอภิเษกนั่นเองขณะที่เจ้าชายโอริสสาวัฒนาทรงม้าไป เก็บดอกหยาดฝน อันเป็นดอกไม้ประจำพระองค์เจ้าหญิงพรรณพิลาศ เจ้าชายบุษกรก็ใช้พระแสงปืนสังหารเจ้าชายโอริสสาวัฒนาสิ้นพระชนม์ลงต่อหน้า เจ้าชายพิรียพงศ์และมรุต เจ้าชายชัยฉัตรตามหาตัวคนร้ายอย่างบ้าคลั่ง จนในที่สุดก็สังหารเจ้าชายบุษกรอย่างเหี้ยมโหดสมกับบาปกรรมที่ทรงก่อไว้ เจ้าหลวง พรหมมินทร์เสด็จกลับแคว้นและนำข่าวร้ายมาบอกแก่พระธิดา เจ้าหญิงพรรณพิลาศทรงโศกเศร้าอาดูรสุดจะพรรณนา แต่แล้วก็ทรงพบว่า “สิ่งต่างๆ ที่เราเห็นอยู่นั้นไม่คงทนแน่นอน สิ่งที่เราประสบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พอลืมตาขึ้นก็หายไปหมด เหมือนเป็นในฝันนั่นเอง”

2+1 แกร่งเกินพิกัด (2548/2005) แทน กับ วิน เป็นพี่น้องต่างมารดา แทนเป็นพี่เพราะมีอายุมากกว่าวิน แต่หลังจากที่พ่อกับแม่ของวินตาย ( แม่วินเป็นเมียน้อย ) แม่ของแทนก็รับวินและ ปอ น้องสาวของวินอีกคนมาเลี้ยงพร้อมกัน เพราะแม่ของแทนรักวินกับปอเหมือนลูกของเธอคนหนึ่ง เลยทำให้แทนกับวินที่เป็นผู้ชายเหมือนกันสนิทกันมาก แทนเป็นพี่ที่เสียสละเพื่อน้องตลอดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับวิน แทนจะคอยปกป้องน้องชายของเขาเสมอ ในขณะที่วินก็รักเคารพแทนและมีแทนเป็นแบบอย่างในชีวิต แทนเป็นคนเรียนเก่งมีอนาคต ส่วนวินออกแนวห้าวๆ ลุยๆ แทนยังมีเพื่อนรักอีกคนคือ โอม ซึ่งเป็นนักเรียนอาชีวะ ฐานะที่บ้านยากจน แถมโดนไล่ออกจากโรงเรียนเพราะดันไปอยู่ในเหตุการณ์ที่มีการตีกัน โอมเลยต้องไปเป็นช่างซ่อมในอู่รถของพ่อเลี้ยงซึ่งมีอาชีพเป็นโจรขโมยรถ โอมมักมีปัญหากับพ่อเลี้ยง เพราะเวลาพ่อเลี้ยงเมาทีไรก็มักซ้อมแม่โอมทุกครั้ง โอม, วิน, แทน จึงหาทางแก้เผ็ดเล่นงานพ่อเลี้ยงของโอม โอมมีคนรักอยู่แล้วคือ มีนา เป็นลูกสาวของนายตำรวจใหญ่ในกรมอีก มีนาเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมทั้งฐานะทางบ้านและอนาคต แต่ถึงมีนากับโอมจะต่างกัน มีนาก็รักโอมเพราะรู้ว่าเนื้อแท้ของโอมแล้วโอมเป็นคนดี ในขณะที่วินก็แอบหลงรักมีนามาตลอดตั้งแต่เจอกับมีนาครั้งแรก แต่เพราะโอมรักกับมีนาอยู่ก่อนแล้ว วินจึงได้แต่เก็บซ่อนความรู้สึกที่มีต่อมีนาไว้อย่างเงียบๆ ชีวิตของ 3 หนุ่ม แทน,วิน,โอม ต่างมีความสุขกันอยู่ได้ไม่นาน เมหนึ่งวินไปมีเรื่องกับพวกแก๊งค์รถซิ่งเข้าจนเกิดทะเลาะวิวาท วินเข้าไปแย่งมีดกับ จอร์จ จนเกิดพลาดแทงโดนจอร์จจนเข้าขั้วหัวใจ ซึ่งจอร์จเป็นลูกชายของผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นที่แม้แต่ตำรวจยังต้องเกรงใจ วินตกใจทำอะไรไม่ถูก แทนที่ตามมาช่วยน้องจึงตัดสินใจออกรับแทนน้องว่าเขาเป็นคนลงมือเอง ทำให้แทนต้องหนีจากการตามจับของตำรวจและผู้อิทธิพลท้องถิ่นที่จะเอาเรื่องแทนให้ถึงที่สุด แทนหนีการตามล่าของทั้งสองฝ่ายไปภาคเหนือ ขณะที่แทนกำลังจะเอาชีวิตไม่รอด แทนได้รับความช่วยเหลือจาก เหมย จนหายดี แทนตอบแทนบุญคุณของเหมยด้วยการช่วยทำงานในบ้านของเหมยทุกอย่าง ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นทำให้แทนกับเหมยมีความรักต่อกัน แต่ก็ไม่ใช่แทนคนเดียวที่รักเหมย เพราะมีผู้มีอิทธิพลละแวกบ้านเหมยมาติดพันด้วย แทนจึงตัดสินใจพาเหมยหนีมาอยู่กรุงเทพด้วยกัน ระหว่างนั้นเองโอมมีปัญหากับพ่อเลี้ยง ถึงขนาดโอมถูกป้ายความผิดว่าเป็นคนขโมยรถ โอมเจ็บใจจึงอยากไปเคลียร์ปัญหาให้จบๆ แต่แล้วโอมพลาดท่ายิงพ่อเลี้ยงตาย โอมโดนตำรวจล่าตัวจนหนีหัวซุกหัวซุน ทำให้โอมต้องตัดขาดจากมีนา เพราะเขารู้ตัวว่าชีวิตของเขาไม่คู่ควรกับมีนาอีกแล้ว มีนาเสียใจที่โอมตัดความสัมพันธ์ ส่วนวินพยายามสืบหาแทนเพื่อให้รู้ว่าไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนแต่ก็มีแต่ข่าวเงียบ วินกับแม่จึงคิดว่าแทนตายไปแล้ว วินเสียใจที่ช่วยอะไรแทนไม่ได้เลย แม่กับมีนาจึงคอยให้กำลังใจวินให้ต่อสู้อย่ายอมแพ้ วินจึงได้สติสัญญากับแม่และมีนา ว่าเขาจะใช้ความยุติธรรมจัดการกับคนเลวให้สิ้นซาก วินกับมีนาไปสอบเป็นตำรวจ ส่วนมีนาก็รู้ว่าโอมเข้าไปเกี่ยวข้องกับพวกมาเฟีย มีนาต้องการช่วยให้โอมหลุดพ้นจากพวกนั้นเพราะเธอยังรักเขาอยู่ แต่โอมกลับปฏิเสธการช่วยเหลือจากมีนา วินเลยเป็นคนปลอบใจและให้กำลนาลุกขึ้นสู้ วันหนึ่งบ้านวินถูกลอบวางระเบิดจนแม่ตายในกองเพลิง โอมพยายามมาบอกวิน แต่วินกลับมาเห็นโอมอยู่ในเหตุการณ์พอดีจึงคิดว่าโอมเป็นคนทำ วินโกรธแค้นโอมมากพยายามตามล่าโอมเพื่อเอาตัวมาลงโทษ แทนหนีเข้ามากรุงเทพกับเหมยก็ต้องอยู่แบบลำบาก เพราะหนีการตามล่าอย่างไม่หยุดยั้งของตำรวจและผู้มีอิทธิพล แทนรู้เรื่องที่แม่ตายก็เสียใจ แต่แทนไม่สามารถกลับไปหาวินได้ เพราะเวลานี้วินได้รับคำสั่งให้จับแทนและโอมพร้อมกันแล้ว และแล้วเวลาแห่งการตัดสินก็มาถึง เมื่อวินตามล่าจนแทนกับโอมไม่มีทางหนีต่อไปอีก ทั้ง 3 หนุ่มต้องเผชิญหน้ากันอีกครั้ง นอกจากปืนแล้วระหว่าพวกเขามีคำว่า พี่....น้อง...เพื่อน ขั้นกลาง และมีคำว่า ความรัก...หน้าที่....ความเสียสละ...และความถูกต้อง...อยู่ตรงหน้า สุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น? ติดตามชมได้ในละคร 2+1 แกร่งเกินพิกัด

เทพธิดาโรงงาน (2548/2005) นทนา คำวงศ์ หรืออ้อย สาวอีสานบ้านนาต้องลาลุงเกิดพ่อบังเกิดเกล้ามุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ พร้อมด้วยติ๊กเพื่อนซี้ เพื่อเข้ามาทำงานในโรงงานทอผ้ามหาทรัพย์สมบูรณ์ ตามคำชักชวนและการช่วยเหลือของบุญเติมเพื่อนบ้านที่เข้าไปทำงานอยู่ก่อนแล้ว อ้อย, ติ๊ก เดินทางจากบ้านเกิดสู่เมืองหลวงเป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยความหวังที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม ท่ามกลางความเสียใจของออดที่หลงรักอ้อยมานาน แต่อ้อยไม่สนใจเพราะออดชอบอวดเบ่งเป็นนักเลงโตด้วยถือว่าตัวเองเป็นลูก ผู้ใหญ่บ้าน หากแต่วันแรกของการเดินทางมาสมัครงาน อ้อยกับติ๊กก็ต้องมีเรื่องกับมิจฉาชีพที่มาล่อลวงเอากระเป๋าของเธอไป แต่เผอิญปกรณ์และบุญเติมมาช่วยไว้ได้ก่อน และก็เกิดเป็นรักแรกพบระหว่างปกรณ์กับอ้อย ความสนิทสนมของทั้งคู่เริ่มต้น เมื่อปกรณ์ลูกชายเจ้าของโรงงานมหาทรัพย์สมบูรณ์ปลอมตัวเข้ามาสมัครงานเป็น พนักงานโรงงานพร้อมกันกับอ้อย โดยมีเสกสรรค์ผู้เป็นพ่อรู้เห็นและช่วยปิดบังรังสิมาผู้เป็นภรรยา เพื่อหวังจะให้ลูกชายได้เรียนรู้และสัมผัสชีวิตของพนักงานในโรงงาน หลังจากที่เรียนจบกลับมาจากต่างประเทศ หลังจากได้งานเรียบร้อยบุญเติมพาอ้อยกับติ๊กมาฝากฝังกับป้าทองจันทร์คนงาน เก่าแก่ของโรงงาน และหาห้องเช่าให้เสร็จสรรพ ทำให้อ้อยกับติ๊กได้เพื่อนใหม่เป็นสาวโรงงานเดียวกัน คือสาวและเอื้อง ทั้งหมดถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น รวมทั้งแป้นโชเฟอร์รถสองแถวด้วยเช่นกันที่หลงรักอ้อยตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ เห็นหน้า แป้นเดินหน้าจีบอ้อยอย่างมั่นใจในความหล่อของตัวเอง ทำให้มีเรื่องกับบุญเติมที่คอยขัดจังหวะแป้นอยู่เสมอ แต่ถึงแป้นจะเพียรพยายามอย่างไรก็ไม่เป็นผล เพราะอ้อยรู้สึกกับแป้นแค่เพื่อนเท่านั้น แป้นยอมรับอย่างผิดหวัง แต่ก็ยังพยายามทำดีโดยแอบหวังว่าสักวันอ้อยอาจจะเห็นใจเขาขึ้นมาบ้าง ปกรณ์มาทำงานในโรงงานในฐานนะนายหนู มีคนรู้เห็นแค่คมคนขับรถและเสกสรรค์ คมทำหน้าที่เป็นประธานอย่างสุขใจและคอยดูแลปกรณ์ไปในตัวเวลาถูกลอยชายหัว หน้าคนงานใช้งานหนัก

พี่น้อง 2 เลือด (2548/2005) ภาคี นิสิตวิศวกรรมศาสตร์ เป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ภาคีอาศัยอยู่กับแม่ เพ็ญสุดา แม่ค้าขายขนมไทยในบ้านเช่าหลังเล็กๆ ในชุมชนแห่งหนึ่ง ภาคีต้องทำงานพิเศษทุกอย่างเพื่อให้มีรายได้มาแบ่งเบาภาระของแม่ ภาคีไม่เคยเห็นหน้าพ่อ รู้เพียงว่าเป็นคนรวยและทอดทิ้งแม่ให้ต้องตกระกำลำบาก ทำให้เขาเกลียดพ่อและปฏิเสธที่จะรับรู้เรื่องราวของชายคนนี้ ภาคีมีเพื่อนสนิทชื่อ นรินทร์ และน้องสาวชื่อ นงนภัส ทั้งสองคอยช่วยเหลือภาคีเสมอมา ทำให้ภาคีรู้สึกรักสองคนนี้มากไม่ต่างจากพี่น้องแท้ๆ แต่นงนภัสนั้นกลับแอบชอบภาคี ภาคีหลงรัก เกลียวแก้ว ดาวเด่นคณะอักษรศาสตร์ทันทีที่เห็น แต่เธอมีแฟนแล้วซึ่งก็คือ ภูวนาท นิสิตคณะเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในมหาวิทยาลัย เป็นลูกชายคนโตของ ภควัฒน์ และ รำไพพรรณ ประธานบริษัทพีแอนด์พีพร็อพเพอร์ตี้ ทำให้ภูวนาทดูจเหนือกว่าภาคีทุกประการและด้วยความเป็นคนอบอุ่น ทำให้ภูวนาทเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนและหนึ่งในนั้นก็คือพิมพ์จันทร์ ลูกสาวคนเดียวของ คุณหญิงพิมพ์มาดา ติดตามต่อได้ใน พี่น้องสองเลือด

ตีลังกาท้าฝัน (2547/2004) เรื่องราวความรัก ความสนุกสนาน แนว Romantic - Comedy ของวัยรุ่น มหาลัย 3 คู่ ที่มีบรรยากาศของการแข่งขันตะกร้อ และ เชียร์ลีดเป็นแบ็คกราวน์ โดยมีความรักระหว่างหนุ่มสาว ความรักของเพื่อนร่วมทีม ร่วมมหาลัยและพ่อแม่เป็นแกนหลัก เริ่มเรื่องที่พระเอก ต้องย้ายเขามาอยู่ที่บ้านหลังเล็กของนาเอก เนื่องจากพี่สาวนางเอกแต่งงานกับ พี่ชายพระเอก พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายอยากให้พระเอก ซึ่งเป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ จะได ้มีที่พัก ไม่ต้องเช่าหอ และที่สำคัญ พี่ชายจะได้ดูแลพระเอกอย่างใกล้ชิด ขณะที่พระเอกและนางเอก ต่างไม่เต็มใจ นัก แต่อยู่ในสภาพจำยอม เพราะเกรงใจอยู่ ที่มหาวิทยาลัย ชมรมตะกร้อที่พระเอกสังกัด กำลังจะปิดตัวเพราะไม่มีผลงานมาเลยตลอดหลายปี แข่งที่ไหนก็แพ้ตลอด จนอธิการบดีคาดโทษ ถ้าไม่ชนะจะยุบชมรม และยกห้องให้ชมรมเชียร์ของนางเอก รุ่นพี่ปี แปด ก็มายัดตำแหน่ง ประธานชมรมให้พระเอก เพราะตัวเองต้องรีบเรียนให้จบ ก่อนถูกรีไทน์ เมื่อไม่มีงบ ประมาณ ไม่มีผลงาน ไม่มีสมาชิก ไม่มีแม้แต่ นักกีฬา พระเอกจำเป็นต้องรณรงค์ให้คนทั้งมหาวิทยาลัย หันมา สนใจกีฬาตะกร้อด้วยการแอบถ่ายรูปหนุ่มๆ หน้าตาดีหล่อจัด สาวกรี๊ด อย่างนักรักบี้ กดนตรี มาทำโปสเตอร์รับ สมัครสมาชิก บังเอิญโปสเตอร์ดังกล่าวเกิดไปสะดุดตาแมวมอง ของบริษัท เครื่องกีฬา อยากเข้ามาเป็นสปอนเซอร์ ให้ชมรมนี้ เพราะกีฬาตะกร้อกำลังเป็นที่นิยมตามกระแสนิยมไทยของรัฐบาล จนมีการ จัดแข่งขันลีกต่างๆ ทั่วไทย จึงอยากจ้างหนุ่มๆ ในโปสเตอร์ที่พระเอกทำเป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมเงินสนับสนุนชมรม ก้อนใหญ่ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องรีบจัดการแข่งขันในเร็ววัน เพื่อให้เจ้านายดูตัวก่อนอนุมัติงบให้ พระเอกจึงต้องไปหว่านล้อม อ้อนวอน ขอร้อง แกมบังคับให้หนุ่มๆ ที่ไม่เป็นเลย มาหัดตะกร้อ หัดอย่างไรก็ไม่เก่งสักที แต่สาวกรี๊ดมาก จนได้ฉายาว่า "ตะกร้อนายแบบ" เพราะ หน้าตาดีมาก พระเอกจะเอาตัวรอดอย่างไร ไม่ให้สปอนเซอร์ถอนตัว ให้นายแบบจำเป็น เล่นต่อไปให้ชนะ ให้ชมรมไม่ถูกยุบ ไม่ให ้แพ้ชมรมเชียร์ของนางเอก ฝั่งนางเอก มีเรื่องแพท คุณหนูไฮโซ และ การไปแข่งเชียร์ระดับประเทศอีกเส้น เรื่องดำเนินไปสักระยะ นายแบบทั้งหลายเริ่มถอนตัว เพราะแข่งอย่างไรก็ไม่มีทางชนะ ชมรมต้นสังกัด ก็เรียก ตัวกลับไปซ้อมทุกวัน ชมรมตะกร้อกำลังจะแย่อีกครั้ง จู่ๆ ก็มีเด็กสาวหน้าตาดี อาสาเข้ามาเป็นผู้จัดการทีม เพราะชอบพระเอก หนุ่มๆ นักตะกร้อจำเป็น เห็นผู้จัดการทีมสวยจัด เริ่มเปลี่ยนใจอยากกลับมาช่วนชมรมตะกร้อ อีกครั้ง แต่จะพูดกับชมรมต้นสังกัดอย่างไร เรื่องสนุกๆ จการตกกระไดพลอยโจน เริ่มขึ้นแล้ว

สี่แผ่นดิน (2546/2003) พลอยเกิดในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บิดาของ พลอย ชื่อ พระยาพิพิธ ฯ มารดา ชื่อ แช่ม เป็นเอกภรรยาของพระยาพิพิธ ฯ แต่ไม่ใช่ฐานะคุณหญิง เพราะคุณหญิงท่าน ชื่อ เอื้อม เป็นคนอัมพวา ได้กลับไปอยู่บ้านเดิมของท่านเสียตั้งแต่ก่อนพลอยเกิด เหลืออยู่แต่บุตรของคุณหญิง 3 คน อยู่ในบ้าน คือ คุณอุ่น พี่สาวใหญ่ อายุ 19 ปี คุณชิดพี่ชายคนรอง อายุ 16 ปี คุณเชย พี่สาวคนเล็กแต่แก่กว่าพลอย 2 ปี พลอยมีพี่ชายร่วมมารดาหนึ่งคน ชื่อ เพิ่ม อายุ 12 ปี และมีน้องสาวคนละมารดาซึ่งเกิดจากแวว ภรรยาคนรองจาก แม่แช่ม ชื่อ หวาน อายุ 8 ปี ในบรรดาพี่น้องร่วมบิดา พลอยจะคุ้นเคยกับคุณเชยเป็นพิเศษ เพราะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ส่วนคุณอุ่นพี่สาวใหญ่นั้น พลอยเห็นว่าเป็นผู้ที่น่าเกรงขาม เพราะเธออยู่บนตึกร่วมกับเจ้าคุณพ่อ ซึ่งเจ้าคุณพ่อก็ไว้วางใจว่าเป็นลูกสาวใหญ่ จึงให้ถือกุญแจแต่ผู้เดียว และจัดการกับการจับจ่ายใช้สอยทุกอย่างภายในบ้าน ส่วนคุณชิดและพ่อเพิ่ม พลอยเกือบจะไม่รู้จักเสียเลยเพราะคุณชิดไม่ค่อยอยู่บ้าน และพ่อเพิ่มนั้นดูจะสวามิภักดิ์คุณชิดมากกว่าพี่น้องคนอื่น ซึ่งพ่อเพิ่มต้องแอบไปมาหาสู่มิให้แม่แช่มเห็นเพราะถ้าแม่แช่มรู้ทีไรเป็นเฆี่ยนทุกที ส่วนหวานน้องคนละแม่ยังเด็กเกินไปที่พลอยจะให้ความสนใจเจ้าคุณพ่อได้ปลูกเรือนหลังหนึ่งให้แม่แช่มกับลูก ๆ อยู่ใกล้กับตัวตึกในบริเวณบ้าน มีบ่าวซึ่งแม่แช่มช่วยมาไว้ใช้ทำงานบ้านต่าง ๆ ชื่อ นางพิศ ตั้งแต่พลอยจำความได้จนถึงอายุ 10 ขวบ พลอยมีความรู้สึกว่า แม่และคุณอุ่นมีเรื่องตึง ๆ กันอยู่เสมอ ซึ่งก่อนที่แม่พลอยจะออกจากบ้าน พลอยสังเกตเห็นว่ามีความตึงเครียดระหว่างแม่และคุณอุ่นมากกว่าปกติ จนกระทั่งคืนหนึ่งแม่ได้เข้ามาปลุกพลอยแล้วบอกว่าจะเอาพลอยไปถวายตัวกับเสด็จ ส่วนพ่อเพิ่มเจ้าคุณพ่อไม่ยอมให้เอาไป คืนนั้นแม่เก็บของอยู่กับนางพิศทั้งคืน พอรุ่งสางแม่ให้นางพิศขนของไปไว้ที่ศาลาท่าน้ำ และให้พลอยไปกราบลาเจ้าคุณพ่อ เมื่อพลอยลาเจ้าคุณพ่อเสร็จแล้วก็เดินมาที่ศาลาท่าน้ำ เพื่อลงเรือโดยมีพ่อเพิ่มนั่งร้องไห้อยู่ที่ศาลาท่าน้ำ พอเรือแล่นออกไป พลอยก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสิ่งต่าง ๆ ที่เห็น จนกระทั่งมาถึงที่ท่าพระ แม่แช่มก็พาพลอยขึ้นจากเรือแล้วเดินเลาะกำแพงวังไปสักครู่หนึ่งก็เลี้ยวเข้าประตูชั้นนอก พลอยนั้นตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น เพราะภายในบริเวณวังนั้นเต็มไปด้วยตึกใหญ่โตมหึมา ผู้คนยักเยียดเบียดเสียดกันตลอด แล้วเดินเลาะกำแพงวังไปจนของที่วางขายก็มีมากมาย พอมาถึงกำแพงสูงทึบอีกชั้นหนึ่ง จะมีประตูบานใหญ่เปิดกว้างอยู่ คนที่เดินเข้าออกประตูล้วนเป็นผู้หญิงทั้งสิ้น แม่แช่มเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปข้างในแล้ว แต่พลอยเดินข้ามธรณีประตูด้วยความพะว้าพะวัง จึงทำให้เท้าที่ก้าวออกไปยืนอยู่บนธรณีประตู พลอยตกใจมากวิ่งร้องไห้ไปหาแม่แช่ม แม่แช่มจึงพาพลอยไปกราบที่ธรณีประตูเสียก็หมดเรื่องพลอยได้รู้มาทีหลังว่า หญิงที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูวังและดูแลความสงบเรียบร้อยในวังนั้น ชาววังทั่วไปเรียกกันว่า "โขลน" แม่แช่มพาพลอยเดินไปเรื่อย ๆ ผ่านที่ต่าง ๆ มากมาย ในที่สุดก็มาถึงตำหนักของเสด็จ แม่จะพาพลอยไปหาคุณสายก่อน ซึ่งเป็นข้าหลวงก้นตำหนักของเสด็จคุณสายเป็นข้าหลวงตั้งแต่เสด็จท่านยังทรงพระเยาว์ เสด็จจึงมอบให้คุณสายช่วยดูแลกิจการส่วนพระองค์ทุกอย่าง และดูแลว่ากล่าวข้าหลวงทุกคนในตำหนัก เมื่อพลอยได้พบกับคุณสายแล้ว พลอยก็รู้สึกว่าคุณสายเป็นคนใจดีมาก ไม่ถือตัวว่าเป็นคนโปรดของเสด็จ และยังคอยช่วยเหลือข้าหลวงตำหนักเดียวกันเสมอ คุณสายหาข้าวหาปลาให้แม่แช่มกับพลอยกิน แล้วคุณสายก็จัดการเย็บกระทงดอกไม้เพื่อให้พลอยนำไปถวายตัวกับเสด็จ เมื่อพลอยถวายตัวกับเสด็จเสร็จแล้ว คุณสายก็แนะนำให้พลอยรู้จักกับช้อย ซึ่งเป็นหลานของคุณสาย ช้อยอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับพลอย ช้อยเป็นลูกของพี่ชายของคุณสาย ชื่อ นพ มียศเป็นคุณหลวง แม่ของช้อย ชื่อ ชั้น ช้อยมีพี่ชายอยู่หนึ่งคน ชื่อ เนื่อง ช้อยนั้นเป็นเด็กที่ซุกซนและมีเพื่อนฝูงมาก พลอยจึงเข้ากับช้อยได้ดีทีเดียว พลอยอยู่ในวังได้หลายวันแล้ว ก็ได้รับความรู้ใหม่ ๆ ได้เห็นของใหม่ ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด คุณสายให้พลอยเรียนหนังสือพร้อมกับช้อย และคุณสายก็ได้สอนทำสิ่งต่าง ๆ ให้เสมอ เช่น การเจี่ยนหมากจีบพลูยาว ใส่เชี่ยนหมากเสวยของเสด็จ ตลอดจนดูแลเครื่องทรงต่าง ๆ ตอนกลางคืน คุณสายให้พลอยไปถวายงานพัดเสด็จตามปกติตอนกลางวันเป็นเวลาว่าง นอกจากคุณสายจะมีอะไรมาให้ทำเป็นพิเศษหรืออารมณ์ไม่ดี ซึ่งตอนกลางวันเป็นเวลาที่พลอยจะได้ติดตามช้อยออกไปเที่ยวนอกตำหนักไปหาเพื่อนฝูงหรือวิ่งเล่น ช้อยช่วยทำให้พลอยคลายเหงาและช่วยชักนำสิ่งที่น่าสนใจต่าง ๆ มาให้พบเห็นหรือได้รู้จักอยู่เสมอ ในที่สุดวันที่พลอยเฝ้าคอยด้วยความประหวั่นใจก็มาถึง เมื่อแม่แช่มจะออกจากวังและได้ทูลลาเสด็จแล้ว พลอยเสียใจอย่างมาก แต่เสด็จก็ทรงเมตตาพลอย ฝากให้คุณสายช่วยดูแลพลอย นอกจากนี้ยังมีช้อยที่คอยอยู่เป็นเพื่อนพลอย ทำให้พลอยรู้สึกดีขึ้น ในวันหนึ่งช้อยได้ชวนพลอยออกไปหาพ่อและพี่ชายของช้อย ซึ่งจะมาเยี่ยมทุกวันพระกลางเดือน ทำให้พลอยรู้สึกรักและผูกพันกับครอบครัวของช้อยไปโดยไม่รู้ตัว วันหนึ่งแม่แช่มได้มาเยี่ยมพลอยถึงในวังพร้อมกับของฝากมากมาย แม่บอกว่าแม่กำลังทำการค้าขายอยู่ที่ฉะเชิงเทรากับญาติห่าง ๆ ชื่อ ฉิม และต่อมาพลอย ก็รู้มาว่า แม่แช่มได้แต่งงานกับพ่อฉิมแล้ว ซึ่งแม่ก็ได้ตั้งท้องแล้ว คุณสายได้พาพลอยไปหาเจ้าคุณพ่อ เพื่อคุยเรื่องงานโกนจุกของพลอยที่เสด็จทรงเมตตาโกนจุกประทานให้ ซึ่งเจ้าคุณพ่อก็ไม่ได้ขัดข้องงานโกนจุกนั้นจะจัดขึ้นที่บ้านของช้อย และทั้งพลอยและช้อยก็ได้โกนจุกพร้อมกัน เจ้าคุณพ่อของพลอยก็มาร่วมงานนี้ด้วย งานโกนจุกนั้นผ่านไปได้ด้วยดี เมื่อคุณสาย พลอย และช้อย เดินทางกลับจากบ้านช้อยมาถึงตำหนักของเสด็จ เสด็จก็มีรับสั่งให้คุณสายขึ้นไปเฝ้าบนตำหนักทันที เสด็จจึงบอกเรื่องที่แม่แช่มตายแล้วที่ฉะเชิงเทรา และมอบภาระให้คุณสายเป็นผู้บอกพลอยให้ทราบ ห้าปีให้หลังจากวันที่แม่แช่มตาย พลอยก็ยังอยู่ที่ตำหนักของเสด็จ พลอยอายุได้ 15 ปีเศษแล้ว นับว่าเป็นสาวเต็มตัว และถ้าใครเห็นก็ต้องชมว่าสวยเกินที่คาดไว้ ส่วนช้อยเมื่อเป็นสาวแล้วก็ไม่ได้ทำให้นิสัยของช้อยเปลี่ยนไปได้เลย ช้อยยังคงเป็นคนสนุกสนานร่าเริง และมีความคิดเป็นของตนเองอย่างแต่ก่อน ซึ่งทั้งพลอยและช้อยได้สละความเป็นเด็กย่างเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์ การที่พลอยสนิทสนมกับช้อย ทำให้พลอยนั้นสนิทกับครอบครัวของช้อยด้วย พี่เนื่องซึ่งเป็นพี่ชายของช้อยได้หลงรักพลอยเข้า จึงทำให้พี่เนื่องมักจะตามพ่อนพมาเยี่ยมช้อยกับพลอย เมื่อพี่เนื่องเรียนทหารจบ พี่เนื่องจึงเปิดเผยความรู้สึกที่มีกับพลอยทำให้พลอยเขินอายไม่กล้าที่จะเจอหน้าพี่เนื่องอีก พลอยหลบหน้าพี่เนื่องอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งพี่เนื่องถูกส่งตัวไปรับราชการที่นครสวรรค์ ทำให้พลอยยอมออกมาพบพี่เนื่องเพื่อร่ำลา พลอยจึงเตรียมผ้าแพรเพลาะที่พลอยเคยห่มนอนให้พี่เนื่อง ซึ่งพี่เนื่องได้ให้สัญญากับพลอยว่าจะกลับมาแต่งงานกับพลอย นอกจากครอบครัวของช้อยแล้ว ญาติของพลอยที่ยังติดต่อกับพลอยอยู่ก็คือพ่อเพิ่ม ซึ่งตอนนี้ได้รับราชการอยู่ที่กรมพระคลัง หอรัษฎากรพิพัฒน์ และคุณเชยซึ่งหลังจากที่พี่เนื่องไปนครสวรรค์ได้ไม่กี่วัน คุณเชยก็แวะมาเยี่ยมพลอยที่วัง ซึ่งขณะนั้นในพระบรมมหาราชวังก็จัดให้มีงานขึ้นที่สวนศิวาลัยพอดี ซึ่งงานนี้ได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เพราะพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับจากประพาสยุโรป การจัดงานจึงเป็นไปตามแบบฝรั่ง พลอยจึงพาคุณเชยไปเที่ยวงานที่สวนศิวาลัย และในงานนี้เองทำให้พลอยได้พบกับ คุณเปรม ซึ่งคุณเปรมก็แอบมองพลอยตลอดเวลาจนทำให้พลอยรู้สึกไม่พอใจ หลังจากวันนั้นคุณเปรมก็ได้สืบเรื่องราวของพลอย จนรู้ว่าพลอยเป็นลูกสาวของพระยาพิพิธฯ มีพี่ชายก็คือ พ่อเพิ่ม คุณเปรมได้ทำความรู้จักกับพ่อเพิ่มจนกลายเป็นเพื่อนกัน ซึ่งพ่อเพิ่มพยายามจะแนะนำคุณเปรมให้กับพลอย แต่พลอยปฏิเสธและไม่สนใจ จนกระทั่งวันหนึ่ง พลอยได้รับข่าวของพี่เนื่องมาว่า พี่เนื่องกำลังจะแต่งงานกับสมบุญ ลูกสาวแม่ค้าขายข้าวแกง พลอยรู้สึกเสียใจมาก แต่ก็สามารถทำใจได้ คุณเปรมได้พ่อเพิ่มช่วยเป็นพ่อสื่อให้ แต่พลอยก็ยังไม่สนใจคุณเปรม คุณเปรมจึงเข้าหาทางผู้ใหญ่ โดยให้พ่อเพิ่มพาไปเที่ยวที่บ้าน จึงได้พบกับพระยาพิพิธฯเจ้าคุณพ่อของพลอย และได้พูดคุยกันอย่างถูกคอ หลังจากนั้นไม่นานคุณอานุ้ยซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ของคุณเปรมก็ได้มาทาบทามสู่ขอพลอยจากเจ้าคุณพ่อ ซึ่งท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธคุณเปรม และนำเรื่องมาปรึกษากับคุณสายให้คุณสายไปทูลถามเสด็จ เสด็จก็ทรงอนุญาต แต่พลอยนั้นกลับปฏิเสธการแต่งงาน เพราะไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี พลอยจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาช้อย ซึ่งช้อยนั้นอยากให้พลอยแต่งงานตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ เพราะช้อยเห็นว่าคุณเปรมนั้นรักพลอยจริง ๆ และอีกอย่างก็เพื่อให้พี่เนื่องรู้ว่า พลอยก็ไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอกด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ จึงทำให้พลอยตัดสินใจยอมแต่งงานกับคุณเปรมตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ เมื่อพลอยแต่งงานกับคุณเปรมแล้ว ก็ได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านคลองพ่อยมซึ่งเป็นบ้านของคุณเปรม วันหนึ่งคุณเปรมพาพลอยไปพบกับตาอ้น ซึ่งเป็นลูกชายของคุณเปรมที่เกิดกับบ่าวในบ้านพลอยไม่ได้คิดโกรธคุณเปรมเลย และยังกลับนึกรักและเอ็นดูตาอ้น พลอยจึงขอคุณเปรมรับตาอ้นเป็นลูกของตน พลอยได้เลี้ยงดูตาอ้นเสมือนลูกของพลอยคนหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานพลอยก็ตั้งท้องตาอั้น ซึ่งเป็นผู้ชายและเป็นลูกคนแรกของพลอย แต่หลังจากพลอยคลอดตาอั้นได้ไม่นาน เจ้าคุณพ่อก็ตาย เมื่อสิ้นเจ้าคุณพ่อแล้ว คุณเชยก็ทนอยู่กับคุณอุ่นที่บ้านคลองบางหลวงไม่ได้ จึงตัดสินใจหนีตามหลวงโอสถไป ทำให้พลอยรู้สึกไม่สบายใจเลย เพราะเป็นห่วงคุณเชยเมื่อเสร็จงานศพของเจ้าคุณพ่อแล้ว พลอยจึงพาตาอั้นเข้าวังเพื่อไปถวายตัวต่อเสด็จ และขอประทานชื่อ เสด็จนั้นทรงตั้งชื่อให้ตาอั้นว่า ประพันธ์ พลอยจึงตั้งชื่อให้ตาอ้นว่า ประพนธ์ พอตาอั้นอายุได้ขวบกว่า ๆ พลอยก็ตั้งท้องลูกคนที่สอง แต่ช่วงที่พลอยตั้งท้องลูกคนที่สองอยู่นั้น พระเจ้าอยู่หัวก็ประชวรและเสด็จสวรรคตในเวลาต่อมา ห้าปีต่อมา เมื่อตาอ้นอายุได้ 7 ขวบ ตาอั้นอายุได้ 5 ขวบ และตาอ๊อดลูกชายคนที่สองของพลอยอายุได้ 3 ขวบ พลอยก็คลอดลูกคนที่สาม เป็นผู้หญิงและตั้งชื่อว่า ประไพ ในช่วงนั้นก็มีเหตุการสำคัญคือสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ตัวพลอยเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรมาก นอกจากที่ว่าเป็นเรื่อง “ฝรั่งรบกัน” ที่ทำให้ข้าวของแพง หลังจากนั้นวันหนึ่ง คุณอุ่นซึ่งไม่ได้ติดต่อกันตั้งแต่พ่อของพลอยเสียก็มีขอความช่วยเหลือ พลอยจึงรับปากช่วยเหลืออีกทั้งเสนอให้คุณอุ่นย้ายมาอยู่ด้วยกันทำให้คุณอุ่นซึ้งในน้ำใจและความไม่อาฆาตพยาบาทของพลอยมากจนถึงกับร้องไห้ สองปีต่อมาคุณเปรมก็ส่งอั้นและอ๊อดไปเรียนนอก ส่วนอ้นอยากเรียนทหารจึงไปเรียนโรงเรียนทหาร จากนั้นพลอยก็ได้แต่นั่งคอยที่จะรับจดหมายจากลูก ๆ ในช่วงราชการใหม่นี้พลอยก็ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง คุณเปรมนั้นแต่งตัวพิธีพิถันกว่าที่เคยในรัชกาลก่อน และมาวันหนึ่งก็ได้มาบอกให้พลอยไว้ผมยาว เพราะในหลวงท่านโปรด และต่อมาก็บอกให้แม่พลอยนุ่งผ้าซิ่นแทนผ้าโจงกระเบน ทำให้พลอยไม่กล้าออกจากบ้านอยู่นาน จากนั้นไม่กี่ปี ตาอั้นก็เรียนจบ และกำลังจะกลับมาบ้าน ส่วนตาอ้นนั้นออกเป็นทหารต้องไปประจำหัวเมืองต่างจังหวัด แต่พลอยก็ต้องตกใจเมื่อตาอั้นกลับมาจริง ๆ พร้อมกันภรรยาแหม่มชื่อ ลูซิลล์ หลังจากนั้นในหลวงก็ประชวรอยู่ไม่นาน และเสด็จสวรรคตในที่สุด หลังจากรัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคต คุณเปรมก็ล้มป่วยอยู่หลายวัน และความสนใจต่อสิ่งต่าง ๆ ความกระหายที่เป็นแรงผลักดันของชีวิตก็ลดน้อยลง จนพลอยต้องเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายชักชวนให้คุณเปรมสนใจสิ่งต่าง ๆ ผ่านไปไม่นาน ตาอ๊อดก็เรียนจบกลับมาเมืองไทย และไม่นานคุณเปรมก็ออกจากราชการ หลังจากนั้นก็เป็นคนหงุดหงิดง่าย สิ่งที่คุณเปรมพอจะสนใจอยู่อย่างเดียวก็คือการขี่ม้า และมาวันหนึ่งคุณเปรมก็ตกม้าและเสียชีวิตลง ตั้งแต่ที่ตาอั้นกลับมาก็มีความคิดอย่างหนึ่งที่ทำให้แม่พลอยตกใจ ซึ่งก็คือความคิดเกี่ยวกับบ้านเมืองของตาอั้น ซึ่งก็คือความคิดเสรีนิยมและเกี่ยวกับการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ได้ไปเรียนรู้ตอนไปเรียนเมืองนอก ในช่วงนั้นผู้คนก็ต่างพูดกันเรื่องเกี่ยวกับคำทำนายที่ว่าพระมหากษัตริย์จะสิ้นพระราชอำนาจ หลังจากนั้นไม่นาน ประเทศไทยก็ได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พอเปลี่ยนการปกครองได้สองเดือนเศษ ตาอ้นก็กลับมาเยี่ยมบ้าน และก็มีเรื่องให้พลอยกลุ้มใจ เพราะตาอ้นนั้นมีความเห็นตรงข้ามกับการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองอย่างรุนแรง และคิดว่าตาอั้นเป็นพวกกบฏ ไม่มีความจงรักภักดี จนถึงกับทำให้สองพี่น้องทะเลาะกันใหญ่โตและไม่คุยกัน จากนั้นไม่นาน ตาอ้นก็ไปรบร่วมกับฝ่ายที่ต่อต้านคณะราษฎร และถูกจับ เป็นนักโทษประหาร และรัชกาลที่ 7 ก็สละราชสมบัติ ประไพหมั้นกับคุณเสวีซึ่งเป็นเพื่อนของตาอั้น และแต่งงานกัน หลังจากนั้นตาอ้นก็ถูกส่งตัวไปอยู่เกาะตะรุเตา ตาอ๊อดก็ถูกกดดันโดยพี่น้องทำให้ต้องออกไปทำงานรับราชการ แต่ก็ทำอยู่ได้ไม่นานแล้วก็ลาออก แล้วจึงตัดสินใจไปทำงานที่เหมืองกับเพื่อนที่ปักษ์ใต้ จากนั้นไม่นาน ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง แต่พลอยก็ยังไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว จนกระทั่งวันหนึ่งที่ทหารญี่ปุ่นเริ่มเข้ามาในเมืองไทย เมืองไทยจึงเจรจาและตกลงเป็นฝ่ายญี่ปุ่น อยู่มาวันหนึ่ง รัฐบาลก็ได้ออกกฎให้ทุกคนใส่หมวกเวลาออกจากบ้าน และห้ามกินหมากพลู รวมทั้งให้เริ่มมีการกล่าวคำว่า สวัสดี เป็นคำทักทาย และใช้คำว่า ฉัน ท่าน จ๊ะ จ๋า เมื่อพูดกับคนอื่น โดยบอกว่าเป็นการมี วัฒนธรรม เพื่อให้ชาติเจริญ ต่อมาไม่นาน พลอยก็ได้รู้ว่าตาอั้นไปมีเมียแล้วชื่อสมใจ และมีลูกสองคนคือแอ๊ดและแอ๊วโดยที่ไม่กล้าบอกแม่พลอยเพราะกลัวแม่จะไม่ถูกใจ แม่พลอยจึงดีใจและรีบไปรับหลานและลูกสะใภ้มาอยู่ที่บ้าน แต่พอมาอยู่บ้านก็อยู่อย่างสงบได้เพียงไม่นานก็เริ่มมีเครื่องบินมาทิ้งระเบิด ทำใหบ้านของแม่พลอยต้องขุดหลุมหลบภัยและต้องคอยระวังตื่นมากลางดึกและไปหลบในหลุมเมื่อได้ยินเสียงเครื่องบิน จนมาครั้งหนึ่งที่พลอยหลบอยู่ในหลุมและรู้สึกถึงความสั้นสะเทือนรุนแรงมาก เมื่อพอพลอยออกมาจากหลุมแล้วก็ได้เห็นว่าบ้านของพลอยเองได้โดนระเบิดเข้าเสียแล้ว จากนั้นพลอยจึงต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านคลองบางหลวงซึ่งเป็นบ้านเกิด พอย้ายบ้านมาได้ไม่นานพลอยก็ได้ข่าวว่าตาอ๊อดเจ็บหนักด้วยโรคมาลาเรีย ตาอ้นที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวจึงไปอยู่ดูแลตาอ๊อดและยังไม่ได้กลับบ้าน จากนั้นไม่นานตาอ้นก็กลับมาบ้านพร้อมกลับข่าวร้ายว่าตาอ๊อดได้ตายเสียแล้ว อ้นจึงตัดสินใจบวชให้แก่อ๊อด หลังจากนั้นพลอยก็เจ็บอยู่นานหลายเดือน จนกระทั่ง รัชกาลที่ 8 สวรรคตอย่างกะทันหัน เมื่อได้ทราบข่าวการสวรรคตพลอยก็สิ้นใจไปดุจใบไม้แก่ที่ร่วงโรยหลุดลอยไปกับสายน้ำในคลองบางหลวง ผู้เขียนได้ขมวดปมตรงท้ายว่าสี่แผ่นดินนั้นช่างเป็นเวลาที่ยาวนานเหลือเกินชีวิตพลอยได้ผ่านสิ่งต่าง ๆ มานานานัปการและมากพอแล้วที่จะลาจากโลกนี้ไปเพราะเครื่องยึดเหนี่ยวจิดใจคือองค์พระมหากษัตริย์ได้เสด็จสวรรคตไปอย่างกะทันหัน ติดตามชมละคร สี่แผ่นดิน

ขอหมอนใบนั้นที่เธอฝันยามหนุน (2546/2003) วายุ ภูบาลบริรักษ์ หรือ ล่องจุ๊น ( พนมกร ตังทัตสวัสดิ์ ) เป็นลูกชายคนกลางของครอบครัวที่พ่อ ( มนตรี เจนอักษร ) ไม่เคยให้ความสนใจใยดีเลยแม้แต่น้อย ก็เพราะพ่อคิดว่าล่องจุ๊นเกิดมาเป็นตัวซวยของครอบครัว ทำให้พ่อต้องขาดทุนกับธุรกิจถมที่ ซึ่งต่างจากพี่น้องอีก 2 คนนั้นคือ พี่ถม ( ตรีพล พรมสุวรรณ ) พี่ชายคนโต เป็นคนที่เรียบร้อย เรียนเก่ง และว่าง่าย ส่วนอีกคนหนึ่งคือ กี้ ( กิตติ บุลสถาพร ) เป็นน้องคนสุดท้อง เป็นเด็กที่ซนและดื้อ ช่างประจบเอาใจ ทั้ง 2 จึงถูกยกย่อง ชื่นชมและได้รับความรักจากผู้เป็นพ่อ ผิดกับจุ๊นที่ได้รับความรักความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่ และมีแม่เป็นที่พึ่งในยามที่จุ๊นมีปัญหา จนมาถึงวันหนึ่งครอบครัวของจุ๊นได้เปลี่ยนไปเมื่อพ่อมีรายได้จากบริษัทรับเหมาก่อสร้างเป็นกอบเป็นกำ พ่อก็พาผู้หญิงคนใหม่เข้ามาในบ้าน ทำให้แม่ทนไม่ไหวจึงหนีออกจากบ้านโดยพาจุ๊นไปด้วย และทิ้งลูกอีก 2 คนไว้เบื้องหลัง แม่พาจุ๊นไปอยู่อาศัยกับน้าจุรี หรือ อาอี๊จู ( โฉมฉาย ฉัตรวิไล ) ซึ่งอยู่กับอาเตี๋ย ( กล้วย เชิญยิ้ม ) สามี ทั้งคู่มีอาชีพขายหมูในตลาด ทั้ง 2 คนต่างให้ความช่วยเหลือแม่และจุ๊นเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่ อาหารการกิน รวมถึงโรงเรียนที่อาอี๊จูพาจุ๊นไปเข้าเรียนที่โรงเรียนเทศบาลใกล้บ้าน นอกจากนี้จุ๊นยังมีหน้าที่ประจำด้วยคือ การเป็นผู้ช่วยอาเตี๋ยเลี้ยงหมู ซึ่งเป็นชีวิตที่จุ๊นชอบและสนุกสนานมาก แต่แล้ววันหนึ่งหมูที่จุ๊นเลี้ยงไว้ถูกตะขาบกัดตายหมดเล้า ทำให้จุ๊นเริ่มกลับไปคิดว่าตัวเองเป็นตัวซวยอย่างที่พ่อบอกไว้หรือไม่!!! หลังจากนั้นไม่นาน แม่ของจุ๊นลงทุนขายข้าวแกงโดยได้รับความช่วยเหลือจากอาอี๊ กิจการของแม่ประสบความสำเร็จจนต้องย้ายไปเช่าห้องแถวที่ท้ายตลาด ส่วนอาอี๊ก็เปลี่ยนอาชีพมาขายเครื่องก่อสร้างที่ตึกริมถนน และด้วยสิ่งนี้เองทำให้จุ๊นได้พบกับผู้เป็นพ่ออีกครั้งหนึ่ง เมื่อจุ๊นนำสิ่งก่อสร้างที่ร้านอาอี๊ไปส่งพ่อ ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างสะพานที่กำแพงแสน ซึ่งพ่อก็ยังพูดจาดูถูกจุ๊นและแม่อยู่เหมือนเคย ทำให้จุ๊นคอยหลีกเลี่ยงการไปร้านของอาอี๊ จนกระทั่งวันหนึ่งครอบครัวของอาอี๊ถูกโจรปล้นฆ่าทั้งบ้าน กอปรกับทั้งที่พ่อคอยพูดจาถากถางจุ๊น ว่าจุ๊นเป็นตัวซวยที่นำครอบครัวของอาอี๊ไปสู่จุดจบ และนั่นก็เป็นเหตุการณ์ที่จุ๊นจดจำและเสียใจไปจนวันตาย แต่ในช่วงเวลาอันเลวร้ายนั้นจุ๊นยังมี นิจ ( ศุลีพร ตันตระกูล ) เพื่อนหญิงต่างโรงเรียนคอยให้กำลังใจจุ๊นมาโดยตลอด แต่ก็ถูกทางบ้านของนิจคอยขัดขวางกีดกันเพียงเพราะว่าจุ๊นเป็นคนไทย และยังมีอาเฮียเสือ ( คชา ปานเอม ) พี่ชายของนิจที่เกลียดจุ๊นมาก ๆ เพียงเพราะว่าจุ๊นเป็นลูกแม่ค้าขายข้าวแกงจน ๆ จึงยกพวกมารุมซ้อมจุ๊นจนปางตาย แต่ที่ทำให้จุ๊นเสียใจมากที่สุดนั้นก็คือ จักรยานเสือหมอบคันงามที่แม่ซื้อให้ และเคยมีความหลังอันหวานชื่นกับนิจต้องพังทะลายลงไป พร้อมกับมิตรภาพที่ดีระหว่างนิจและจุ๊น หลังจากเรื่องนิจจบลงก็มีเรื่องที่จุ๊นต้องเผชิญอีก นั่นคือนายทองเส็ง ( ทัตพงษ์ พงษ์ทัต ) ช่างตัดผมที่เข้ามาพัวพันกับแม่ ซึ่งจุ๊นไม่พอใจมาก จนมาวันหนึ่งจุ๊นขาดความอดทนนำมีดชายธงเสียบเข้าที่ท้องของนายทองเส็ง เพราะว่าจุ๊นทนเห็นภาพที่นายทองเส็งซ้อมแม่เพื่อที่จะเอาเงินไปเล่นการพนันไม่ได้ และด้วยเหตุนี้เองทำให้จุ๊นจำต้องจากอกแม่ไปที่อื่น ซึ่งจุ๊นก็ได้สัญญากับแม่ว่าจะรีบเรียนให้จบ จุ๊นหนีเข้ากรุงเทพฯ กับไอ้นก ( กีรติ เทพธัญญ์ ) เพื่อนสมัยเรียนด้วยกัน โดยอาศัยติดมากับรถขายผัก แต่ก่อนที่จุ๊นจะจัดการกับเรื่องเรียนอย่างที่ได้ตั้งในไว้ ไอ้นกก็ก่อเรื่องขึ้นเป็นเหตุให้จุ๊นต้องเข้าไปนอนในห้องขังแทน แต่ทว่าพอตำรวจสอบสวนเรื่องนี้แล้วก็ปล่อยจุ๊นออกมาเพราะว่าจุ๊นไม่มีความผิด โดยที่จุ๊นโทรหาพ่อให้มารับตัวและก็ไม่อยากให้แม่เศร้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น จากนั้นพ่อก็พาจุ๊นมาอยู่ที่บ้านโดยให้พักอยู่บ้านพักคนงาน แต่ก็ยังมีความเหินห่างเกิดขึ้นในบรรดาพี่น้อง เนื่องมาจากพ่อใส่ร้ายแม่ว่าแม่หนีตามผู้ชายไป และเมื่อมาถึงวันเปิดเรียน จุ๊นก็เกือบจะมีเรื่องขึ้นอีกครั้งจากการปะทะคารมกับครูใหญ่ผู้เข้มงวด ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่มักเรียกว่า "ป๋า" และที่นี่เองก็ทำให้จุ๊นได้พบกับเพื่อนรุ่นพี่ชื่อ ประเวศน์ หรือ แปะ( คริตโตเฟอร์ ชอนวอชิงตัน ) ที่ทำให้ชีวิตของจุ๊นเปลี่ยนไปจากที่พ่อมักจะบอกว่าจุ๊นเป็นตัวซวย แต่สำหรับแปะแล้ว จุ๊นคือตัวนำโชคของเค้า เพราะเมื่ออยู่กับจุ๊นเค้าเล่นการพนันชนะทุกครั้ง และก็เป็นเพราะเพื่อนคนนี้เองที่ทำให้จุ๊นได้พบกับแตงกวา ( พิมพ์มาดา บริรักษ์ศุภกร ) ซึ่งจุ๊นก็เริ่มสนใจเธอทันที เพราะเธอจะกลายมาเป็นผู้ที่มีความหมายต่อชีวิตจุ๊นเป็นอย่างมาก อาทิตย์ใหม่ของการเรียน จุ๊นออกไปเรียนตามปกติ แต่โชคร้ายที่วันนี้เกิดเรื่องชกต่อยกันรุนแรงระหว่างจุ๊นกับบุ้ง ทำให้จุ๊นถูกป๋าเฆี่ยนตีตามกฎของโรงเรียน และในเย็นวันเดียวกันจุ๊นก็ไม่สบายเนื่องมาจากบาดแผล และถูกฤทธิ์แดดเผา โชคดีที่จุ๊นยังมีป้าเจียดและพี่ถมคอยดูแล แต่สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นนั่นคือการที่ได้รู้เห็นว่าผู้หญิงคนใหม่ของพ่อ ชื่อตุ๊กตา ( ไอริณ ศรีแกล้ว ) แอบมีชู้ โดยที่จุ๊นไม่สามารถบอกใครได้เลย แม้แต่กระทั่งพ่อ!!! จากนั้นไม่นานจุ๊นก็ได้ข่าวว่าพ่อประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ จุ๊นจึงรีบรุดไปดู แต่สิ่งที่จุ๊นได้รับกลับมาคือความเฉยชาที่ได้จากพ่อ ทำให้จุ๊นรู้สึกว่าสำหรับตัวเองแล้วก็คือตัวซวยของพ่ออยู่ตลอดเวลา จุ๊นจึงตัดสินใจหมกตัวอยู่ในห้องโดยมีวิทยุเป็นเพื่อน ซึ่งจุ๊นได้หมุนคลื่นที่แตงกวาจัด จึงได้รู้ว่าที่โรงเรียนของแตงกวาจะมีการฉายหนังรอบการกุศล และเมื่อวันงานมาถึงจุ๊นได้พบแตงกวา ซึ่งทั้งสองก็ยิ้มให้อันอย่างเป็นมิตร แต่อย่างไรก็ตามจุ๊นก็ยังหนีความซวยไปไม่พ้น เมื่องานที่จัดขึ้นเกิดการชกต่อยกันจนทำให้งานต้องล้มเลิกไปกลางคัน ยิ่งไปกว่านั้นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็คือ นายกี้ จึงทำให้จุ๊นต้องเข้าไปช่วย และด้วยเหตุการณ์นี้เองทำให้จุ๊นรู้ว่าพ่อรักลูกทุกคนเท่ากัน เพราะว่าพ่อเรียกหาทนายเริงชัยมาเพื่อหาหลักฐานว่านายกี้ไม่ได้เป็นต้นเหตุ และพ่อก็ไม่อยากต้องการจะให้ลูกคนใดคนหนึ่งต้องเข้าไปนอนในห้องขัง จุ๊นจึงช่วยพ่อหาหลักฐานโดยการโทรศัพท์ไปหาแตงกวาผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดมาเป็นพยาน เมื่อจุ๊นกลับมาถึงบ้านก็พบว่าแปะรออยู่พร้อมกับข่าวดีว่า ป๋าให้กลับเข้าไปเรียนได้ตามปกติในเทอมหน้า โดยที่จุ๊นจะต้องลาออกก่อน และแปะก็ส่งโทรเลขที่บอกว่าแม่เจ็บหนัก ให้รีบกลับนครปฐมด่วน เมื่อจุ๊นได้รับโทรเลขดังกล่าวก็รีบรุดไปหาแม่ โดยมีพี่ถมและพ่อไปด้วย ส่วนนายทองเส็งนั้นก็ยอมแลกอิสรภาพของแม่ด้วยเงินสี่หมื่นบาท และจากนั้นครอบครัวของจุ๊นก็กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง

เดชแม่ยาย (2542/1999) อันแม่ยายนั้น ก็เปรียบเสมือนแม่ทัพ การรู้จุดอ่อนของแม่ทัพ ย่อมสามารถโจมตีกองทัพได้… หาก “เดชแม่ยาย” ก็มากเหลือล้น แต่เมื่อรักลูกสาว…สิ่งใดจะมาขัดขวางฤาก็หาไม่…แม้แต่แม่ยาย! ความรักความห่วงใยที่แม่มีต่อลูก ด้วยแม่หนูใหญ่ก็อายุมากขึ้นทุกวัน ยังไม่มีวี่แววว่าจะลงหลักปักฐานกับใครได้ ความร้อนรุ่มจึงสุมอกคุณนายมะปราง ด้วยอยากให้ลูกมีหลักมีฐาน…แต่ฐานนั้นหลักนั้นต้องดีและมั่นคง คุณนายมะปรางวาดคุณสมบัติลูกเขยไว้แล้วอย่างครบถ้วน ต้องดีพร้อมทุกกๆ อย่าง โดยเฉพาะเรื่องทรัพย์ศฤงคาร เพราะคุณนายถือสุภาษิตที่ว่า “ความมีทรัพย์ เป็นลาภอันประเสริฐ” “วีรชาติ” หนุ่มผู้ก้าวเข้ามาพร้อมด้วยความหวังอันเปี่ยมล้นของคุณนายมะปราง…ที่ พิจารณาคุณสมบัติแล้ว…ไฟเขียวให้ หากใครจะรู้บ้างว่า…ว่าที่แม่ยายกำลังคิดอะไร? และกำลังมีแผนอะไรอยู่? เดชแม่ยาย อีกบทประพันธ์หนึ่งที่ กนกเรขา สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเรียกเสียงหัวเราะ และให้แง่คิดในการดำเนินชีวิตคู่ ในคนสองคนหากจะดำเนินชีวิตร่วมกันนั้น เป็นสิ่งไม่ยาก หากมีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องความดกลาหลย่อมเกิดขึ้น “แม่ยาย” ไม่ใช่ของเล่นและลบหลู่ได้ ยิ่งเป็นแม่ยายอย่างคุณนายมะปราง ที่ทำให้ว่าที่ลูกเขยอย่างนายกุงเกงลายต้องตามเหลี่ยมคูให้ทัน ซึ่งบทสรุปยังไม่สามารถบอกได้ว่า… ระหว่างเล่ห์กลของแม่ยาย และความลื่นไหลของลูกเขย ใครจะเหลี่ยมจัดกว่าใคร? แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เพียงเพื่อ “กันเกรา” คุณหนูใหญ่ที่เป็นดวงตาดวงใจของพ่อแม่ และเป็นสิ่งเดียวที่นายกุงเกงลายปรารถนา…ดวงตาสีมรกตคู่นั้น และแววแห่งความรู้เท่าทัน ติดตรึงมิรู้ลืม ทำให้วีชาติมีกำลังใจที่จะฝ่าด่านแม่ยายเข้าไปหา! แม่ยาย…ทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกสาวได้สิ่งที่ดีที่สุด ลูกเขย…ถือสุภาษิตที่ว่า ถ้าทำให้แม่ยายรักซะอย่าง เส้นทางรักย่อมราบเรียบยังกะทางด่วนแน่นอน หากทุกอย่างจะเป็นเช่นไร “กันเกรา” คนเดียวเท่านั้นที่รู้คำตอบ! รัก…ย่อมมีอุปสรรค หากรักแท้…ก็ไม่ยากที่จะฝ่าฟันอุปสรรคนั้น!

โรงแรมผี (2541/1998) ณ โรงแรมบางละมุง ชลบุรี ซึ่งตั้งอยู่ริมชายทะเล โรงแรมนี้เปิดดำเนินกิจการแบบครอบครัว มีนายปั้น เป็นเจ้าของและผู้จัดการ มีนายเปลี้ยง น้องชายเป็นรองผู้จัดการ มีนายปริญญา ลูกชายเป็นสมุห์บัญชีและปัทมา ลูกสาวเป็นแคชเชียร์ของโรงแรม... แล้วในคืนฝนตกหนักคืนหนึ่ง โรงแรมแห่งนี้ก็ได้ต้อนรับแขกผู้มาพักคือ เฉิดโฉมที่หนีจากนายปราโมทย์ สามีเพื่อจะเข้ากรุงเทพฯ แต่ฝนตกหนักก่อน ก็เลยแวะเข้าพักที่โรงแรม ระหว่างนั้นนายปราโมทย์ก็ตามมาทันและขอคืนดี แต่เฉิดโฉมไม่ยอมกลับบ้าน จึงเกิดปากเสียงจะทำร้ายกัน เฉิดโฉมจึงขอร้องให้นายปั้นผู้จัดการโรงแรมช่วยเหลือ ซึ่งทำให้นายปราโมทย์โกรธและพูดขู่จะฆ่าเฉิดโฉมทิ้งแล้วก็กลับไป คืนนั้นเอง เฉิดโฉมก็ถูกฆ่าตายในห้องพักหมายเลข 1 ซึ่งผู้กองชิงชัย นายตำรวจเจ้าของคดีตรวจพบว่า เธอตายเพราะตกใจจนช็อคและมีร่องรอยของการบีบคอ ไม่มีบาดแผลอื่นใดและยังพบรอยเท้าของคนข้างซ้ายพิการอยู่บนพื้นห้อง จึงสันนิษฐานว่า คนร้ายต้องมาจากภายนอกและสงสัยว่า จะเป็นนายปราโมทย์ที่ปลอมตัวมาฆ่าเฉิดโฉมตามคำขู่ จากนั้น เสี่ยเพ้งและวิไลสาวคู่ขาที่มาพักโรงแรม ก็ถูกฆ่าตายในลักษณะเดียวกันอีกที่ห้องพักหมายเลข 1 ส่วนเงินที่เสี่ยเพ้งพกติดตัวมาเป็นหมื่น ๆ กลับไปอยู่ที่ห้องของนายปั้น ทำให้นายเปลืองคิดว่า พี่ชายของตนเป็นคนฆ่าเสี่ยเพ้งหวังจะเอาเงิน แต่เมื่อพูดคุยกันจนเข้าใจแล้ว ทั้งสองคนจึงตัดสินใจนำเงินของเสี่ยเพ้งทั้งหมดไปทิ้งทะเลเพื่อตัดปัญหา แต่พอรุ่งเช้า เงินทั้งหมดก็ลอยกลับมากระจัดกระจายอยู่บนชายหาดหน้าโรงแรมอีก ผู้กองชิงชัยจึงสรุปว่า คนร้ายฆ่าเสี่ยเพ้งแล้วขโมยเงินหนีลงเรือไป แต่เกิดเรือล่ม เมื่อเกิดเหตุร้ายต่าง ๆ ก็ทำให้นายปั้นเริ่มวิตกว่า จะไม่มีใครมาพักที่โรงแรมแห่งนี้ นายปริญญาจึงอาสาจัดงานรื่นเริงงานปาร์ตี้เพื่อให้ดูสนุกสนาน โดยเรียก วิสูตร เพื่อนเก่าที่เป็นนายช่างและ มยุรี คนรักของปริญญาให้มาร่วมงานนี้ด้วย นายปราโมทย์จึงได้ปลอมตัวเข้ามาในงาน แล้วลอบเข้าไปบีบคอปัทมาขณะหลับที่ห้องนอน แต่เสียงร้องของปัทมา ก็ทำให้วิสูตรและคนอื่น ๆ มาช่วยปัทมาไว้ได้ทัน นายปราโมทย์อ้างว่า ที่ทำไปก็เพราะต้องการแก้แค้นทุกคนที่ฆ่าเฉิดโฉมเพื่อหวังชิงทรัพย์ แต่ผู้กองชิงชัยได้บอกความจริงให้รู้ว่า คนอื่นเป็นคนฆ่า เรื่องจึงยุติลง นายปั้นจึงเชิญนายปราโมทย์เข้าพักที่โรงแรมเป็นการตอบแทน แต่ในคืนนั้นนายปราโมทย์ถูกฆ่าตายไปอีกคนหนึ่ง โดยศพนายปราโมทย์ไปอยู่ที่ห้องนายปั้น สร้างความปวดหัวให้แก่ผู้กองชิงชัยเป็นอย่างมาก คืนต่อมา นายปั้นก็ถูกวิญญาณผีร้ายเข้าสิง แล้วบังคับให้ไปฆ่ามุยรี ระหว่างลงมือบีบคอฆ่า ปริญญาก็มาช่วยไว้ได้ทัน มยุรีเล่าให้ฟังว่า ขณะเกิดเหตุหน้าคนร้ายเหมือนผีมี 2 ใบหน้าสลับกัน หน้าหนึ่งเป็นคนแก่แต่งชุดโบราณ แต่อีกหน้าหนึ่งจะเหมือนนายปั้น ที่สำคัญเวลาเดินจะมีขาข้างซ้ายพิการ แต่เมื่อไปดูนายปั้นที่ห้องพัก ก็เห็นนอนหลับอยู่ตามปกติ ทุกคนจึงกลับไป ครั้นนายปั้นเข้านอนต่อ วิญญาณผีร้ายก็มาเข้าสิงนายปั้นอีก คราวนี้บังคับให้ไปฆ่าคนงานในโรงแรม แต่วิสูตรซึ่งได้ยินเสียงร้องก็ลงมาเห็นพอดี นายปั้นจึงวิ่งหลบหนีไป แต่วิ่งเหมือนคนขาพิการ แล้วก็ขับรถออกจากโรงแรมไป ตำรวจจึงตามไล่ล่า ระหว่างทาง รถนายปั้นเสียหลักพลิกตกเขาถึงแก่ความตาย ศพนายปั้นถูกนำไปเก็บไว้ที่โรงพยาบาล แต่เมื่อลูก ๆ ทราบเรื่อง จะมาขอรับศพ พยาบาลก็บอกให้ฟังว่า ศพนายปั้นได้ลืมตาขึ้น พยาบาลตกใจเป็นล้ม ฟื้นมาอีกทีศพก็หายไปแล้ว แล้วความจริงก็ปรากฏขึ้นมาว่า การฆาตกรรมต่าง ๆ ในโรงแรมนั้น เกิดจากการกระทำของวิญญาณผีร้ายที่ชื่อ หลวงนฤบาลบุรีรักษ์ ซึ่งมีความอาฆาตเคียดแค้นนายปั้นมาตั้งแต่สมัยที่นายปั้นยังเป็นคนสนิทของเขา เพราะนายปั้นไปแอบพาสารภีเมียน้อยของหลวงนฤบาลฯ หนีไปอยู่กินและมีบุตรด้วยกัน จนกระทั่งหลวงนฤบาลฯ ถึงแก่ความตาย แต่ก่อนตายหลวงนฤบาลฯ ได้ยกตึกหลังหนึ่งให้แก่สารภีเป็นมรดก แล้วต่อมานายปั้นกับสารภี ก็ได้เอาตึกหลังนั้นมาดัดแปลงทำเป็นโรงแรมแห่งนี้ เมื่อทุกคนทราบเรื่องก็กลัว แล้วคืนนั้นวิญญาณของนายปั้นก็ได้มาเข้าฝันปริญญาบอกวิธีกำจัดวิญญาณผีร้าย โดยให้ปริญญาไปตามหาพระพุทธรูปแก้วที่เคยอยู่ประจำในโรงแรมกลับคืนมา วิญญาณผีร้ายก็จะเข้ามาในโรงแรมไม่ได้ แต่ปริญญาก็ตามหาพระพุทธรูปไม่พบเพราะมีการให้ต่อ ๆ กันไป ระหว่างนั้น วิญญาณหลวงนฤบาลฯ ก็ยังคงอาละวาด ทำให้คนงานของวิสูตรที่มาก่อสร้างโรงแรมตายไปและยังสะกดจิตให้มยุรีไปผูกคอตาย หลอกให้ปัทมาไปถ้ำค้างคาวเพื่อจะฆ่าทิ้ง แต่ทั้งสองคนก็รอดมาได้เพราะปริญญากับวิสูตรช่วยไว้ได้ทัน วิญญาณหลวงนฤบาลฯ จึงเข้าสิงนายเปลื้องแล้วบังคับให้ไปฆ่าป้าชื่น ป้าของมยุรีที่มาพักโรงแรม เมื่อฆ่าเสร็จก็หนีไป ทุกคนบอกกับผู้กองชิงชัยว่า นายเปลื้องเป็นคนฆ่า แต่เชื่อว่าเป็นเพราะผีร้ายเข้าสิงให้ทำ ขอให้ตำรวจอย่าเพิ่งทำอันตรายนายเปลื้อง แต่เมื่อนายเปลื้องกลับมาเพื่อมอบตัว วิญญาณหลวงนฤบาลฯ ก็เข้าสิงอีก แล้วบังคับให้นายเปลื้องต่อสู้ ยิงกับตำรวจจนถูกตำรวจยิงตาย และเมื่อยังไม่ได้พระพุทธรูปแก้วกลับคืน วิสูตรกับปริญญาจึงไปปรึกษาหมอผีและได้รับคำแนะนำว่า ให้ไปจัดการขุดศพของหลวงนฤบาลฯ ที่ยังไม่เผาเอาขึ้นมาสะกดวิญญาณไว้ก่อน แต่เมื่อไปถึงป่าช้าก็พบว่า ในหลุมศพที่ขุดขึ้นมานั้น ไม่มีศพหลวงนฤบาลฯ แต่กลายเป็นศพนายปั้นที่หายไป แล้ววิญญาณหลวงนฤบาลฯ ก็อาละวาดจนทั้งสองคนต้องรีบกลับโรงแรม เมื่อไปถึงก็พบว่า ปัทมากับมยุรีหายไป ระหว่างนั้น นายเพิ่มคนเก่าแก่ของหลวงนฤบาลฯ ก็ส่งจดหมายมาบอกว่า แท้จริงแล้ว ศพหลวงนฤบาลฯ ถูกย้ายมาเก็บไว้ที่ห้องใต้ดินของโรงแรมแห่งนี้เพื่อหวังจะแก้แค้นครอบครัวนี้ ทุกคนจึงคิดว่า ปัทมากับมยุรีจะต้องถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินของโรงแรม จึงช่วยกันค้นหาทางเข้าห้องใต้ดิน เมื่อค้นพบ ก็เป็นเวลาที่วิญญาณหลวงนฤบาลฯ กำลังอาละวาดเล่นงานสองสาวอยู่ พอเห็นว่า ทุกคนมากันพร้อมหน้า วิญญาณหลวงนฤบาลฯ ก็แสดงอิทธิฤทธิ์ให้ตึกเกิดสั่นสะเทือนจะถล่มลงมาเพื่อฆ่าทุกคน ระหว่างนั้น ไอ้น้อย บ๋อยโรงแรมก็เอาห่อผ้าใส่ของชิ้นหนึ่งลงมาให้ บอกว่า มีคนฝากมาให้ เมื่อวิสูตรคลี่ผ้าออกดู ก็พบว่า ข้างในเป็นพระพุทธรูปแก้วที่หายไปนั่นเอง ทันใดนั้นเมื่อปรากฏพระพุทธรูปเต็มองค์ ตึกก็หยุดสั่นสะเทือน ลมพายุก็หยุดพัด แล้วจึงค่อย ๆ ปรากฏร่างของหลวงนฤบาลฯ ออกมา แต่เมื่อวิญญาณร้ายเห็นพระพุทธรูปแก้ว ก็ตกใจ วิสูตรเป็นผู้ถือพระพุทธรูปแก้ว โดยให้ทุกคนช่วยกันตั้งจิตอธิษฐาน...แล้วอำนาจแห่งธรรมะก็บันดาลให้เกิดเป็นแสงสีประกายรุ้ง สาดส่องไปกระทบยังร่างหลวงนฤบาลฯ เกิดเป็นไฟลุกท่วมตัวหลวงนฤบาลฯ ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด แล้วร่างค่อย ๆ มอดไหม้กลายเป็นผงธุลีสิ้นฤทธิ์ไป เหตุร้ายในโรงแรมแห่งนี้ก็สงบลง