จักรๆ วงศ์ๆ
เรื่องย่อ : แก้วหน้าม้า (2544/2001) นางแก้วหน้าม้าเป็นธิดาสามัญชนชาวเมืองมิถิลา เหตุที่นางมีชื่อเช่นนี้เพราะก่อนตั้งครรภ์ผู้เป็นมารดาได้ฝันว่าเทวดานำแก้วมาให้ พอให้กำเนิดบุตรสาวเลยตั้งชื่อว่า “แก้ว” แต่เนื่องจากใบหน้าเหมือนม้า ชาวบ้านเรียกว่า นางแก้วหน้าม้า นางแก้วนั้นวัยไล่เลี่ยกับพระปิ่นทอง พระโอรสเมืองมิถิลา และมีญาณวิเศษสามารถล่วงรู้ลมฝน จึงเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน เมื่อเก็บว่าวจุฬาได้ นางแก้วดีใจจะเก็บไว้เล่นเอง เมื่อพระปิ่นตามมาขอว่าวคืน นางแก้วขอสัญญากับพระโอรสว่าต้องมารับนางเข้าวังไปเป็นมเหสี พระปิ่นรับปากเพียงเพราะหวังอยากได้ว่าวคืน รออยู่หลายวันไม่เห็นพระปิ่นทองมารับ นางแก้วจึงเล่าเรื่องให้พ่อกับแม่ฟัง และขอให้ไปทวงสัญญา เมื่อพ่อแม่ไปทวงสัญญากับพระปิ่น ท้าวภูวดลกริ้วตรัสให้นำตัวไปประหาร แต่พระนางนันทาได้ทัดทานพร้อมเรียกพระโอรสมาสอบถาม พระปิ่นทองยอมรับว่าสัญญาจะให้มาอยู่กับสุนัข เมื่อพระปิ่นทองสัญญาแล้ว พระนางนันทาสั่งให้ไปรับตัวนางแก้วมาอยู่ในวัง ครั้งไม่มีวอทองมารับสมกับตำแหน่งมเหสี นางแก้วก็ไม่ยอมไป จนในที่สุดนางแก้วได้นั่งในวอทอง พร้อมกับแต่งตัวสวยพริ้ง พอมาถึงวังหลวง ท้าวภูวดลกับพระปิ่นทองเห็นนางแก้วรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด กริยามารยาทกระโดกกระเดกก็ทนไม่ได้ คิดหาทางกำจัดนางแก้ว แต่พระนางนันทานึกเอ็นดู นางแก้วเข้าวังมาไม่นาน ท้าวภูวดลกับพระปิ่นทองหาทางกำจัดนางแก้ว โดยให้นางแก้วไปยกเขาพระสุเมรุมาไว้ในเมืองภายใน 7 วัน หากทำไม่สำเร็จจะต้องได้รับโทษประหาร แต่ถ้าทำได้จะจัดพิธีอภิเษกสมรสกับพระปิ่นทอง นางแก้วออกไปตามป่า เสี่ยงสัตย์อธิษฐานกับเหล่าทวยเทพว่าหากตนเป็นเนื้อคู่ของพระปิ่นทอง ขอให้พบเขาพระสุเมรุ เดินทางต่อไปอีกสามวัน พบพระฤาษีรีบเข้าไปกราบและเล่าเรื่องราวทั้งหมด พระฤาษีมีใจเมตตาจึงช่วยถอดหน้าม้าออกให้ นางแก้วกลายเป็นหญิงที่งดงามโสภา
เรื่องย่อ : สี่ยอดกุมาร (2544/2001) สี่ยอดกุมาร เป็นละครโทรทัศน์แนวนิทานพื้นบ้าน เป็นเรื่องราวของเด็กสี่คนที่มีอาวุธสี่อย่างประจำตัว คือ ตรี คทา จักร สังข์
เรื่องย่อ : พระสุธน-มโนราห์ (2531/1988) เรื่องราวการผจญภัยของพระสุธนในดินแดนอมนุษย์เพื่อตามหากินรี ผู้เป็นที่รัก ซึ่งพลัดพรากจากกัน เพราะคำอธิษฐานในชาติปางก่อน พระสุธนต้องเดินทางบุกฝ่าอันตรายต่างๆ ในดินแดนอมนุษย์ เพื่อตามหามโนราห์ กินรีผู้เป็นมเหสีที่ต้องพลัดพรากจากกันเพราะคำอธิษฐานในชาติปางก่อน ความกล้าและบุญญาธิการนำพาให้ได้อยู่คู่กันอีกครั้ง
เรื่องย่อ : ลูกผู้ชายชื่อไกรทอง (2565/2022) ณ เมืองพิจิตร มีเหตุการณ์จระเข้อาละวาดออกมากินคนที่อยู่ใกล้คลอง วันหนึ่ง พี่น้องคู่หนึ่ง ชื่อนางตะเภาแก้ว ผู้พี่ และนางตะเภาทอง ผู้น้อง ทั้งสองเป็นธิดาของพระพิจิตร อยากที่จะลงไปเล่นน้ำที่คลอง เศรษฐีห้ามแต่สองพี่น้องก็ยังรบเร้าที่จะไปโดยบอกว่ามีพี่เลี้ยงลงไปด้วย เศรษฐีจึงใจอ่อนยอมให้ตะเภาแก้วและตะเภาทองลงไปเล่นน้ำ ในเวลานั้น ชาละวัน ซึ่งกลายร่างเป็นจระเข้ยักษ์นิสัยอันธพาล ได้ออกจากถ้ำอาละวาดล่าหามนุษย์เป็นเหยื่อ สร้างความวุ่นวายไปทั่วเมือง และได้ว่ายน้ำผ่านมาเห็นตะเภาทองที่แม่น้ำแถวบ้านท่านเศรษฐี ก็เกิดความลุ่มหลงทันทีจึงคาบตะเภาทองแล้วดำดิ่งไปยังถ้ำทองด้วยความเหิมลำพอง เมื่อนางตะเภาทองฟื้นขึ้นมา ก็ตกตะลึงในความสวยของถ้ำ และได้เห็นพญาชาละวัน ซึ่งกลายร่างเป็นชายรูปงาม ชาละวันเกี้ยวพาราสีแต่นางไม่สนใจ ชาละวันจึงใช้เวทมนตร์สะกดให้นางหลงรักและยอมเป็นภรรยา เมียของชาละวันคือ วิมาลา และเลื่อมลายวรรณ เห็นก็ไม่พอใจและหึงหวงแต่ก็ห้ามสามีไม่ได้ ท่านเศรษฐีเสียใจมาก จึงประกาศไปว่าใครที่พบศพนางตะเภาทอง และสามารถปราบจระเข้ตัวนี้ได้จะมอบสมบัติของตนเองให้ครึ่งหนึ่ง และจะให้แต่งงานกับนางตะเภาแก้ว แต่ไม่ว่าจะมีผู้มีอาคมอาคมมาปราบชาละวันกี่คน ก็จะตกเป็นเหยื่อให้ชาละวันเอาไปนั่งกินเล่นทุกราย และแล้วก็ได้ ไกรทอง หนุ่มรูปหล่อจากเมืองนนทบุรี ซึ่งได้ร่ำเรียนวิชาการปราบจระเข้จากอาจารย์คง จนมีความเก่งกล้า ฤทธิ์อาคมแกร่ง ได้รับอาสามาปราบชาละวัน
เรื่องย่อ : เทพสามฤดู (2530/1987) ณ นครอุดม มีท้าวตรีภพเป็นเจ้าผู้ครองเมือง มีพระมเหสี 2 พระองค์ คือพระมเหสีมณี และพระมเหสีทัศนีย์ แต่ยังไม่มีพระราชบุตรเพื่อสืบสันตติวงศ์ จึงได้ทำพิธีบวงสรวงต่อพระอิศวรเพื่อขอพระโอรส เมื่อพระอิศวรรับทราบด้วยญาณแล้ว จึงได้ให้มาตุลีไปตามพระพิรุณมาเฝ้า เพื่อเตรียมจุติลงไปยังเมืองมนุษย์ แต่ทว่าพระราหูและนางจินดาเมขลาต้องการเสด็จลงไปด้วย จึงได้ปรึกษากัน โดยพระราหูเสนอให้ทั้ง 3 พระองค์จุติยังเมืองมนุษย์ตามฤดูกาล โดยฤดูร้อนจะเป็นพระราหู ฤดูฝนเป็นพระพิรุณ ฤดูหนาวเป็นนางจินดาเมขลา เวลาผ่านไป 5 ปี พระมเหสีมณีก็ยังไม่มีพระประสูติกาล โหรหลวงนึกได้ว่ายังไม่ได้แก้บน ท้าวตรีภพจึงได้จัดพิธีแก้บน พระอิศวรทราบจึงได้แจ้งให้เทพทั้งสามลงไปจุติยังมนุษย์ เมื่อพระมเหสีมณีมีพระประสูติกาลออกมาเป็นเด็กมีเขี้ยวเหมือนยักษ์ (เนื่องจากเป็นฤดูร้อน) ทำให้ทุกคนแปลกใจว่าทำไมพระโอรสเกิดมาเป็นยักษ์ ท้าวตรีภพจึงสั่งให้นำพระโอรสไปลอยแพ แพของพระโอรสราหู มาเกยอยู่ที่ชายป่าแห่งหนึ่ง คืนนั้น งั่ง ผีกระหังซึ่งถูกขับไล่จากหมู่บ้าน เข้ามาพบพระโอรสราหู จึงหมายจะเอาไปกิน แต่ราหูตื่นขึ้นมาจึงรีบวิ่งหนี จนไปพบกับพระฤๅษีโคดม พระฤๅษีจึงทำการปราบงั่ง โดยโยนสร้อยประคำเข้าไปที่คอ และท่องคาถา "เก้าอี้ จู้จี้ แก้ได้ ใต้ตู้ บู้บี้ มีไข้ ไปป่า ได้เต่า" สร้อยประคำรัดที่คอของงั่งจนต้องยอมแพ้ พระฤๅษีจึงนำราหูกลับไปที่อาศรม ราหูจึงได้ศึกษาวิชาที่อาศรมของพระฤๅษี โดยมีงั่งเป็นพี่เลี้ยง ฝ่ายพระมเหสีมณี หลังจากเสียลูกไป ก็ทรงโทมนัส พระมเหสีทัศนีย์เห็นว่ามณีประสูติพระโอรสเป็นยักษ์ จึงวางแผนทำการใส่ร้ายว่ามณีแอบคบยักษ์ ท้าวตรีภพทรงเชื่อจึงได้เนรเทศมณีออกจากเมือง และต่อมาได้สั่งให้ประหารเสีย แต่มีสัตว์ประหลาดชื่อว่าวิปริตเข้ามาหมายจะเอามณีเป็นเมีย วิปริตจัดการพวกเพชรฆาตจนหมด มณีหนีต่อไปจนพบลิงชื่อนันทเสนและยักษ์ชื่อสุระผัด นันทเสนฆ่าวิปริตตาย สุระผัดกับนันทเสนรบกันเองเพื่อแย่งมณี จนพระฤๅษีโคบุตรต้องมาห้ามศึก โดยให้สู้จนหมดแรง ทั้งสองจึงยอมรับผิดและมาขอโทษพระฤๅษีโคบุตร นันทเสนจึงพาพระฤๅษีโคบุตรไปยังศพของวิปริต พระฤๅษีโคดมจึงทำการรวมร่างของนันทเสนและวิปริตเข้าด้วยกันเพื่อเป็นการไถ่บาป ฝ่ายเทพสามฤดูได้ร่ำเรียนวิชากับพระฤๅษีโคดมจนครบถ้วนแล้วพระฤๅษีได้ขอประทานอาวุธจากพระอิศวร ให้ไว้ใช้ป้องกันตัว พระอิศวรประทานอาวุธคือ กระบองแก้วของพระราหู, พระขรรค์ของพิรุณ และลูกแก้วของจินดาเมขลา จากนั้นเทพสามฤดูจึงออกเดินทางตามที่พระฤๅษีได้แนะนำไว้ ไปพบถ้ำแห่งหนึ่ง ภายในมีสมบัติจำนวนมาก ด้วยความโลภงั่งจึงขนสมบัติออกมา ยักษ์หินที่เฝ้าปากถ้ำจึงออกอาละวาดงั่งกับราหู จนราหูต้องรีบนำสมบัติไปคืน แต่ก่อนจะถึงถ้ำ มีคนธรรพ์ตนหนึ่งรับสมอ้างว่าเป็นสมบัติของเขา ราหูไม่เชื่อจึงสู้กันจนคนธรรพ์หมดสภาพ จากนั้นราหูจึงเอาสมบัติที่ขโมยไปคืน ยักษ์หินจึงหมดฤทธิ์กลับไปที่ปากถ้ำเหมือนเดิม ต่อมาระหว่างเดินทางไปพบกับนันทเสนที่ป่ากล้วย นันทเสนเข้าใจว่ามีใครบินข้ามหัว จึงเข้ารบกับราหูจนถึงขั้นที่พระอิศวรต้องส่งมาตุลีไปห้ามศึก จากนั้นมาตุลีก็ให้ทั้ง 3 ไปยังอาศรมของพระฤๅษีโคบุตร ที่อาศรมของพระฤๅษีโคบุตร มณีได้พบกับจินดาเมขลา จากนั้นทั้งหมดก็กราบลาพระฤๅษีเพื่อเดินทางกลับเมือง โดยพระฤๅษีได้มอบระฆังแก้วเพื่อไว้ใช้เรียกสุระผัดและนันทเสนเวลาเกิดปัญหา ระหว่างทางไปเจอเมืองยักษ์ มีท้าวอนันตวงศ์เป็นผู้ปกครอง มีนางโชตะนาเป็นมเหสี ท้าวอนันตวงศ์ต้องการหาภรรยาใหม่ จึงได้ลักพาตัวมณีกลับไปยังเมืองของตน ทำให้โชตะนาไม่พอใจ ตัดสินใจเดินทางไปหาท้าวจักรวรรดิผู้เป็นพี่ชาย ท้าวจักรวรรดิเดินทางมาเจอจินดาเมขลาก็ต่อสู้กัน ท้าวจักรวรรดิใช้พัดชีวิตพัดให้จินดาเมขลากับงั่งสลบ แล้วพาไปยังเมืองของท้าวอนันตวงศ์ เกิดการสู้กันระหว่างยักษ์ 2 ตน เมื่อเทพทั้งสามเจริญวัยขึ้น พระพิรุณได้ขอองค์เหนือหัวตรีภพไปท่องเที่ยว ครั้นฤดูร้อนพระราหูเดินทางไปยังนครโรมิสัยได้พบกับพระธิดาสุวรรณพรพระธิดาสุวรรณอัมพรพรจึงโยนพวงมาลัยไปให้พระราหู
เรื่องย่อ : เทพสามฤดู (2546/2003) ณ นครอุดม มีท้าวตรีภพเป็นเจ้าผู้ครองเมือง มีพระมเหสี 2 พระองค์ คือพระมเหสีมณี และพระมเหสีทัศนีย์ แต่ยังไม่มีพระราชบุตรเพื่อสืบสันตติวงศ์ จึงได้ทำพิธีบวงสรวงต่อพระอิศวรเพื่อขอพระโอรส เมื่อพระอิศวรรับทราบด้วยญาณแล้ว จึงได้ให้มาตุลีไปตามพระพิรุณมาเฝ้า เพื่อเตรียมจุติลงไปยังเมืองมนุษย์ แต่ทว่าพระราหูและนางจินดาเมขลาต้องการเสด็จลงไปด้วย จึงได้ปรึกษากัน โดยพระราหูเสนอให้ทั้ง 3 พระองค์จุติยังเมืองมนุษย์ตามฤดูกาล โดยฤดูร้อนจะเป็นพระราหู ฤดูฝนเป็นพระพิรุณ ฤดูหนาวเป็นนางจินดาเมขลา เวลาผ่านไป 5 ปี พระมเหสีมณีก็ยังไม่มีพระประสูติกาล โหรหลวงนึกได้ว่ายังไม่ได้แก้บน ท้าวตรีภพจึงได้จัดพิธีแก้บน พระอิศวรทราบจึงได้แจ้งให้เทพทั้งสามลงไปจุติยังมนุษย์ เมื่อพระมเหสีมณีมีพระประสูติกาลออกมาเป็นเด็กมีเขี้ยวเหมือนยักษ์ (เนื่องจากเป็นฤดูร้อน) ทำให้ทุกคนแปลกใจว่าทำไมพระโอรสเกิดมาเป็นยักษ์ ท้าวตรีภพจึงสั่งให้นำพระโอรสไปลอยแพ แพของพระโอรสราหู มาเกยอยู่ที่ชายป่าแห่งหนึ่ง คืนนั้น งั่ง ผีกระหังซึ่งถูกขับไล่จากหมู่บ้าน เข้ามาพบพระโอรสราหู จึงหมายจะเอาไปกิน แต่ราหูตื่นขึ้นมาจึงรีบวิ่งหนี จนไปพบกับพระฤๅษีโคดม พระฤๅษีจึงทำการปราบงั่ง โดยโยนสร้อยประคำเข้าไปที่คอ และท่องคาถา "เก้าอี้ จู้จี้ แก้ได้ ใต้ตู้ บู้บี้ มีไข้ ไปป่า ได้เต่า" สร้อยประคำรัดที่คอของงั่งจนต้องยอมแพ้ พระฤๅษีจึงนำราหูกลับไปที่อาศรม ราหูจึงได้ศึกษาวิชาที่อาศรมของพระฤๅษี โดยมีงั่งเป็นพี่เลี้ยง ฝ่ายพระมเหสีมณี หลังจากเสียลูกไป ก็ทรงโทมนัส พระมเหสีทัศนีย์เห็นว่ามณีประสูติพระโอรสเป็นยักษ์ จึงวางแผนทำการใส่ร้ายว่ามณีแอบคบยักษ์ ท้าวตรีภพทรงเชื่อจึงได้เนรเทศมณีออกจากเมือง และต่อมาได้สั่งให้ประหารเสีย แต่มีสัตว์ประหลาดชื่อว่าวิปริตเข้ามาหมายจะเอามณีเป็นเมีย วิปริตจัดการพวกเพชรฆาตจนหมด มณีหนีต่อไปจนพบลิงชื่อนันทเสนและยักษ์ชื่อสุระผัด นันทเสนฆ่าวิปริตตาย สุระผัดกับนันทเสนรบกันเองเพื่อแย่งมณี จนพระฤๅษีโคบุตรต้องมาห้ามศึก โดยให้สู้จนหมดแรง ทั้งสองจึงยอมรับผิดและมาขอโทษพระฤๅษีโคบุตร นันทเสนจึงพาพระฤๅษีโคบุตรไปยังศพของวิปริต พระฤๅษีโคดมจึงทำการรวมร่างของนันทเสนและวิปริตเข้าด้วยกันเพื่อเป็นการไถ่บาป ฝ่ายเทพสามฤดูได้ร่ำเรียนวิชากับพระฤๅษีโคดมจนครบถ้วนแล้วพระฤๅษีได้ขอประทานอาวุธจากพระอิศวร ให้ไว้ใช้ป้องกันตัว พระอิศวรประทานอาวุธคือ กระบองแก้วของพระราหู, พระขรรค์ของพิรุณ และลูกแก้วของจินดาเมขลา จากนั้นเทพสามฤดูจึงออกเดินทางตามที่พระฤๅษีได้แนะนำไว้ ไปพบถ้ำแห่งหนึ่ง ภายในมีสมบัติจำนวนมาก ด้วยความโลภงั่งจึงขนสมบัติออกมา ยักษ์หินที่เฝ้าปากถ้ำจึงออกอาละวาดงั่งกับราหู จนราหูต้องรีบนำสมบัติไปคืน แต่ก่อนจะถึงถ้ำ มีคนธรรพ์ตนหนึ่งรับสมอ้างว่าเป็นสมบัติของเขา ราหูไม่เชื่อจึงสู้กันจนคนธรรพ์หมดสภาพ จากนั้นราหูจึงเอาสมบัติที่ขโมยไปคืน ยักษ์หินจึงหมดฤทธิ์กลับไปที่ปากถ้ำเหมือนเดิม ต่อมาระหว่างเดินทางไปพบกับนันทเสนที่ป่ากล้วย นันทเสนเข้าใจว่ามีใครบินข้ามหัว จึงเข้ารบกับราหูจนถึงขั้นที่พระอิศวรต้องส่งมาตุลีไปห้ามศึก จากนั้นมาตุลีก็ให้ทั้ง 3 ไปยังอาศรมของพระฤๅษีโคบุตร ที่อาศรมของพระฤๅษีโคบุตร มณีได้พบกับจินดาเมขลา จากนั้นทั้งหมดก็กราบลาพระฤๅษีเพื่อเดินทางกลับเมือง โดยพระฤๅษีได้มอบระฆังแก้วเพื่อไว้ใช้เรียกสุระผัดและนันทเสนเวลาเกิดปัญหา ระหว่างทางไปเจอเมืองยักษ์ มีท้าวอนันตวงศ์เป็นผู้ปกครอง มีนางโชตะนาเป็นมเหสี ท้าวอนันตวงศ์ต้องการหาภรรยาใหม่ จึงได้ลักพาตัวมณีกลับไปยังเมืองของตน ทำให้โชตะนาไม่พอใจ ตัดสินใจเดินทางไปหาท้าวจักรวรรดิผู้เป็นพี่ชาย ท้าวจักรวรรดิเดินทางมาเจอจินดาเมขลาก็ต่อสู้กัน ท้าวจักรวรรดิใช้พัดชีวิตพัดให้จินดาเมขลากับงั่งสลบ แล้วพาไปยังเมืองของท้าวอนันตวงศ์ เกิดการสู้กันระหว่างยักษ์ 2 ตน เมื่อเทพทั้งสามเจริญวัยขึ้น พระพิรุณได้ขอองค์เหนือหัวตรีภพไปท่องเที่ยว ครั้นฤดูร้อนพระราหูเดินทางไปยังนครโรมิสัยได้พบกับพระธิดาสุวรรณพรพระธิดาสุวรรณอัมพรพรจึงโยนพวงมาลัยไปให้พระราหู
เรื่องย่อ : เจ้าหญิงพิกุลทอง (2565/2022) เจ้าหญิงพิกุลทอง เป็นธิดาของ ท้าวสัณนุราช กับพระมเหสีคือ นางพิกุลจันทรา ผู้ครองเมืองสรรพบุรี เมื่อย่างเข้าวัยรุ่นสาว ความงามของนางเป็นที่เลื่องลือว่ายากที่จะหาผู้หญิงคนใดเสมอเหมือนได้ ซึ่งนอกจากเวลาพูดกับใครจะมีดอกพิกุลทองร่วงจากปาก แล้วยังมีเส้นผมที่หอมอีกด้วย วันหนึ่งนางพิกุลทองเกิดร้อนรุ่มกลุ้มอุรา จึงได้ลาท้าวสัณนุราชไปเล่นน้ำกับพระพี่เลี้ยงในลำธาร ท้าวสัณนุราชจึงให้วางตาข่ายและทุ่นไว้รอบท่าน้ำ เพราะโหรทำนายว่านางจะต้องพลัดพรากจากเมือง จะกล่าวถึงพญาแร้งชื่อว่า ท้าวสุบรรณปักษา บินมาเห็นซากสุนัขเน่าลอยมา จึงโฉบนำกลับไปจิกกินใกล้บริเวณที่นางพิกุลทองกับพี่เลี้ยงเล่นน้ำอยู่ นางพิกุลทองได้กลิ่นเหม็นเน่าจึงใช้ให้พี่เลี้ยงไปดูก็พบพญาแร้งกำลังกินซากนั้นอยู่ จึงได้พากันด่าว่าแล้วขับไล่ด้วยคำหยาบช้าต่าง ๆ นานา ฝ่ายท้าวปักษาก็โกรธจัดกล่าวว่า สุนัขเน่านี้คืออาหารของตนอยู่แล้ว นางพิกุลทองเป็นลูกเจ้าท้าวพระยาไม่น่ามากล่าวเจรจาด่าว่าขับไล่ตนเช่นนี้ ว่าแล้วก็บินหนีไป แต่ท้าวปักษีก็ยังคิดจะแก้แค้นนางพิกุลทองให้ได้ จึงออกอุบายแปลงกายเป็นหนุ่มรูปงามไปขออาศัยอยู่ที่กระท่อมท้ายสวนขวัญของเมืองสรรพบุรี แล้วคอยเนรมิตทองคำให้ 2 ตายายใช้จนร่ำรวย โดยบอกว่าตนไปพบตอนขุดเผือกมัน เจ้าหญิงพิกุลทอง อยู่มาวันหนึ่งจึงรบเร้าขอให้ 2 ตายายเข้าไปสู่ขอนางพิกุลทองมาเป็นภรรยา 2 ตายายฟังแล้วหัวใจแทบวาย กล่าวว่าคิดเกินตัวอย่างนี้จะถูกประหารเจ็ดชั่วโคตร ท้าวปักษาแปลงจึงแสร้งทำเป็นตรอมใจใกล้ตาย 2 ตายายจึงจำใจเข้าไปทูลสู่ขอนางพิกุลทองจากท้าวสัณนุราช ท้าวสัณนุราชไได้ทราบความดังกล่าวก็กริ้วจัด กล่าวว่าถ้าคิดว่าหลานชายมีบุญวาสนาจะได้คู่กับนางจริง ให้สร้างสะพานเงินสะพานทองจากท้ายสวนมาถึงพระราชวังภายใน 3 วัน มิเช่นนั้นจะประหารทั้งโคตร 2 ตายายหลังจากกลับมาถึงบ้านแล้วก็นั่งซึม เอาแต่ร้องไห้แล้วต่อว่าท้าวปักษาที่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ตน ครั้นท้าวปักษาได้ทราบเรื่องต้องสร้างสะพานทองแล้วจึงกล่าวปลอบใจว่า ถ้าตนทำไม่เสร็จจะยอมตายแทน 2 ตายายจึงค่อยโล่งใจบ้าง พอตกค่ำท้าวปักษาก็บอกว่าจะขอออกไปทำธุระข้างนอก จากนั้นก็แปลงเป็นพญาแร้งขนาดมหึมาบินกลับไปยังเขานินทะกาลา แล้วเกณฑ์ไพร่พลทั้งหลายให้มาช่วยสร้างสะพานจนแล้วเสร็จ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามชมกันต่อได้ในละคร เจ้าหญิงพิกุลทอง
เรื่องย่อ : แก้วหน้าม้า (2544/2001) นางแก้วหน้าม้าเป็นธิดาสามัญชนชาวเมืองมิถิลา เหตุที่นางมีชื่อเช่นนี้เพราะก่อนตั้งครรภ์ผู้เป็นมารดาได้ฝันว่าเทวดานำแก้วมาให้ พอให้กำเนิดบุตรสาวเลยตั้งชื่อว่า “แก้ว” แต่เนื่องจากใบหน้าเหมือนม้า ชาวบ้านเรียกว่า นางแก้วหน้าม้า นางแก้วนั้นวัยไล่เลี่ยกับพระปิ่นทอง พระโอรสเมืองมิถิลา และมีญาณวิเศษสามารถล่วงรู้ลมฝน จึงเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน เมื่อเก็บว่าวจุฬาได้ นางแก้วดีใจจะเก็บไว้เล่นเอง เมื่อพระปิ่นตามมาขอว่าวคืน นางแก้วขอสัญญากับพระโอรสว่าต้องมารับนางเข้าวังไปเป็นมเหสี พระปิ่นรับปากเพียงเพราะหวังอยากได้ว่าวคืน รออยู่หลายวันไม่เห็นพระปิ่นทองมารับ นางแก้วจึงเล่าเรื่องให้พ่อกับแม่ฟัง และขอให้ไปทวงสัญญา เมื่อพ่อแม่ไปทวงสัญญากับพระปิ่น ท้าวภูวดลกริ้วตรัสให้นำตัวไปประหาร แต่พระนางนันทาได้ทัดทานพร้อมเรียกพระโอรสมาสอบถาม พระปิ่นทองยอมรับว่าสัญญาจะให้มาอยู่กับสุนัข เมื่อพระปิ่นทองสัญญาแล้ว พระนางนันทาสั่งให้ไปรับตัวนางแก้วมาอยู่ในวัง ครั้งไม่มีวอทองมารับสมกับตำแหน่งมเหสี นางแก้วก็ไม่ยอมไป จนในที่สุดนางแก้วได้นั่งในวอทอง พร้อมกับแต่งตัวสวยพริ้ง พอมาถึงวังหลวง ท้าวภูวดลกับพระปิ่นทองเห็นนางแก้วรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด กริยามารยาทกระโดกกระเดกก็ทนไม่ได้ คิดหาทางกำจัดนางแก้ว แต่พระนางนันทานึกเอ็นดู นางแก้วเข้าวังมาไม่นาน ท้าวภูวดลกับพระปิ่นทองหาทางกำจัดนางแก้ว โดยให้นางแก้วไปยกเขาพระสุเมรุมาไว้ในเมืองภายใน 7 วัน หากทำไม่สำเร็จจะต้องได้รับโทษประหาร แต่ถ้าทำได้จะจัดพิธีอภิเษกสมรสกับพระปิ่นทอง นางแก้วออกไปตามป่า เสี่ยงสัตย์อธิษฐานกับเหล่าทวยเทพว่าหากตนเป็นเนื้อคู่ของพระปิ่นทอง ขอให้พบเขาพระสุเมรุ เดินทางต่อไปอีกสามวัน พบพระฤาษีรีบเข้าไปกราบและเล่าเรื่องราวทั้งหมด พระฤาษีมีใจเมตตาจึงช่วยถอดหน้าม้าออกให้ นางแก้วกลายเป็นหญิงที่งดงามโสภา
เรื่องย่อ : นางสิบสอง (2543/2000) นางสิบสอง เป็นนิทานที่สืบต่อกันมาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กสิบสองคนที่ต้องผจญภัยในที่ต่าง ๆ เนื่องจาก นนท์และภรรยาของเขาชื่อ พราหมณี ด้วยความที่ลูกเยอะฐานะทางบ้านจึงค่อย ๆ ตกต่ำลง เงินทองที่เก็บไว้ก็หายไปหมดเนื่องจากต้องเลี้ยงดูลูกสาวทั้งสิบสองคน พ่อของนางสิบสองก็ได้คิดอุบายว่าจะนำลูก ๆ ทั้งสิบสองคนไปปล่อยป่า จนมาเจอกับนางยักษ์สันตราพอดี นางยักษ์พอได้เห็นนางทั้งสิบสองก็เกิดความรักและเอ็นดูเนื่องจากตนจึงนำนางทั้งสิบสองมาเลี้ยงไว้ในวังโดยสั่งให้ทุกคนในเมืองทานตะวันแปลงกายเป็นมนุษย์ให้หมดเนื่องจากกลัวว่านางทั้งสิบสองจะหวาดกลัวและเกลียดตน ส่วนตนเองก็ได้เปลี่ยนชื่อจากสันตราเป็นสันธมาลา ต่อมาเมื่อนางทั้งสิบสองได้รู้ความจริงจึงหนีออกจากเมือง นางยักษ์สันตรากลับเมืองมารู้ว่านางสิบสองได้หนีไป จึงออกตามหาด้วยความอาฆาตแค้น
เรื่องย่อ : พิกุลทอง (2530/1987) เจ้าหญิงพิกุลทอง เป็นธิดาของ "กษัตริย์ยศกานต์" กับพระมเหสี คือ "นางพิกุลจันทรา" ผู้ครองเมืองสรรพบุรี (ต้นฉบับสมุดข่อยเขียนว่าเมือง สันทบุรี) เมื่อย่างเข้าวัยรุ่นสาว ความงามของนางเป็นที่เลื่องลือว่ายากที่จะหาผู้หญิงคนใดเสมอเหมือนได้ ซึ่งนอกจากเวลาพูดกับใครจะมีดอกพิกุลทองร่วงจากปาก แล้วยังมีเส้นผมที่หอมอีกด้วย วันหนึ่งนางพิกุลทองเกิดร้อนรุ่มกลุ้มอุรา จึงได้ลาท้าวสัณนุราชไปเล่นน้ำกับพระพี่เลี้ยงในลำธาร ท้าวสัณนุราชจึงให้วางตาข่ายและทุ่นไว้รอบท่าน้ำ เพราะโหรทำนายว่านางจะต้องพลัดพรากจากเมือง จะกล่าวถึงพญาแร้งชื่อว่า "ท้าวสุบรรณปักษา" บินมาเห็นซากสุนัขเน่าจึงโฉบนำกลับไปจิกกินลอยมาใกล้บริเวณที่นางพิกุลทองกับพี่เลี้ยงเล่นน้ำอยู่ นางพิกุลทองได้กลิ่นเหม็นเน่าจึงใช้ให้พี่เลี้ยงไปดูก็พบพญาแร้งกำลังกินซากนั้นอยู่จึงได้พากันด่าว่าแล้วขับไล่ด้วยคำหยาบช้าต่างๆ นานา ฝ่ายท้าวปักษาก็โกรธจัดกล่าวว่า สุนัขเน่านี้ คือ อาหารของตนอยู่แล้ว นางพิกุลทองเป็นลูกเจ้าท้าวพระยาไม่น่ามากล่าวเจรจาด่าว่าขับไล่ตนเช่นนี้ว่าแล้วก็บินหนีไป แต่ท้าวปักษีก็ยังคิดจะแก้แค้นนางพิกุลทองให้ได้จึงออกอุบายแปลงกายเป็นหนุ่มรูปงามไปขออาศัยอยู่ที่กระท่อมท้ายสวนขวัญของเมืองสรรพบุรี แล้วคอยเนรมิตทองคำให้ 2 ตายายใช้จนร่ำรวย โดยบอกว่าตนไปพบตอนขุดเผือกมัน อยู่มาวันหนึ่งจึงรบเร้าขอให้ 2 ตายายเข้าไปสู่ขอนางพิกุลทองมาเป็นภรรยา 2 ตายายฟังแล้วหัวใจแทบวายกล่าวว่าคิดเกินตัวอย่างนี้จะถูกประหารเจ็ดชั่วโคตร ท้าวปักษาแปลงจึงแสร้งทำเป็นตรอมใจใกล้ตาย 2 ตายายจึงจำใจเข้าไปทูลสู่ขอนางพิกุลทองจากกษัตริย์ยศกานต์ พระองค์ได้ทราบความดังกล่าวก็กริ้วจัด กล่าวว่าถ้าคิดว่าหลานชายมีบุญวาสนาจะได้คู่กับนางจริงใกล้สร้างสะพานเงินสะพานทองจากท้ายสวนมาถึงพระราชวังภายใน 3 วันมิเช่นนั้นจะประหารทั้งโคตร 2 ตายายหลังจากกลับมาถึงบ้านแล้วก็นั่งซึม เอาแต่ร้องไห้แล้วต่อว่าท้าวปักษาที่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ตน ครั้นท้าวปักษาได้ทราบเรื่องต้องสร้างสะพานทองแล้วจึงกล่าวปลอบใจว่าถ้าตนทำไม่เสร็จจะยอมตายแทน 2 ตายายจึงค่อยโล่งใจบ้าง พอตกค่ำท้าวปักษาก็บอกว่าจะขอออกไปทำธุระข้างนอกจากนั้นก็แปลงเป็นพญาแร้งขนาดมหึมาบินกลับไปยังเขานินทะกาลา แล้วเกณฑ์ไพร่พลทั้งหลายให้มาช่วยสร้างสะพานจนแล้วเสร็จ
เรื่องย่อ : เทพสามฤดู (2560/2017) ณ นครอุดม มีท้าวตรีภพเป็นเจ้าผู้ครองเมือง มีพระมเหสี 2 พระองค์ คือพระมเหสีมณี และพระมเหสีทัศนีย์ แต่ยังไม่มีพระราชบุตรเพื่อสืบสันตติวงศ์ จึงได้ทำพิธีบวงสรวงต่อพระอิศวรเพื่อขอพระโอรส เมื่อพระอิศวรรับทราบด้วยญาณแล้ว จึงได้ให้มาตุลีไปตามพระพิรุณมาเฝ้า เพื่อเตรียมจุติลงไปยังเมืองมนุษย์ แต่ทว่าพระราหูและนางจินดาเมขลาต้องการเสด็จลงไปด้วย จึงได้ปรึกษากัน โดยพระราหูเสนอให้ทั้ง 3 พระองค์จุติยังเมืองมนุษย์ตามฤดูกาล โดยฤดูร้อนจะเป็นพระราหู ฤดูฝนเป็นพระพิรุณ ฤดูหนาวเป็นนางจินดาเมขลา เวลาผ่านไป 5 ปี พระมเหสีมณีก็ยังไม่มีพระประสูติกาล โหรหลวงนึกได้ว่ายังไม่ได้แก้บน ท้าวตรีภพจึงได้จัดพิธีแก้บน พระอิศวรทราบจึงได้แจ้งให้เทพทั้งสามลงไปจุติยังมนุษย์ เมื่อพระมเหสีมณีมีพระประสูติกาลออกมาเป็นเด็กมีเขี้ยวเหมือนยักษ์ (เนื่องจากเป็นฤดูร้อน) ทำให้ทุกคนแปลกใจว่าทำไมพระโอรสเกิดมาเป็นยักษ์ ท้าวตรีภพจึงสั่งให้นำพระโอรสไปลอยแพ แพของพระโอรสราหู มาเกยอยู่ที่ชายป่าแห่งหนึ่ง คืนนั้น งั่ง ผีกระหังซึ่งถูกขับไล่จากหมู่บ้าน เข้ามาพบพระโอรสราหู จึงหมายจะเอาไปกิน แต่ราหูตื่นขึ้นมาจึงรีบวิ่งหนี จนไปพบกับพระฤๅษีโคดม พระฤๅษีจึงทำการปราบงั่ง โดยโยนสร้อยประคำเข้าไปที่คอ และท่องคาถา "เก้าอี้ จู้จี้ แก้ได้ ใต้ตู้ บู้บี้ มีไข้ ไปป่า ได้เต่า" สร้อยประคำรัดที่คอของงั่งจนต้องยอมแพ้ พระฤๅษีจึงนำราหูกลับไปที่อาศรม ราหูจึงได้ศึกษาวิชาที่อาศรมของพระฤๅษี โดยมีงั่งเป็นพี่เลี้ยง ฝ่ายพระมเหสีมณี หลังจากเสียลูกไป ก็ทรงโทมนัส พระมเหสีทัศนีย์เห็นว่ามณีประสูติพระโอรสเป็นยักษ์ จึงวางแผนทำการใส่ร้ายว่ามณีแอบคบยักษ์ ท้าวตรีภพทรงเชื่อจึงได้เนรเทศมณีออกจากเมือง และต่อมาได้สั่งให้ประหารเสีย แต่มีสัตว์ประหลาดชื่อว่าวิปริตเข้ามาหมายจะเอามณีเป็นเมีย วิปริตจัดการพวกเพชรฆาตจนหมด มณีหนีต่อไปจนพบลิงชื่อนันทเสนและยักษ์ชื่อสุระผัด นันทเสนฆ่าวิปริตตาย สุระผัดกับนันทเสนรบกันเองเพื่อแย่งมณี จนพระฤๅษีโคบุตรต้องมาห้ามศึก โดยให้สู้จนหมดแรง ทั้งสองจึงยอมรับผิดและมาขอโทษพระฤๅษีโคบุตร นันทเสนจึงพาพระฤๅษีโคบุตรไปยังศพของวิปริต พระฤๅษีโคดมจึงทำการรวมร่างของนันทเสนและวิปริตเข้าด้วยกันเพื่อเป็นการไถ่บาป ฝ่ายเทพสามฤดูได้ร่ำเรียนวิชากับพระฤๅษีโคดมจนครบถ้วนแล้วพระฤๅษีได้ขอประทานอาวุธจากพระอิศวร ให้ไว้ใช้ป้องกันตัว พระอิศวรประทานอาวุธคือ กระบองแก้วของพระราหู, พระขรรค์ของพิรุณ และลูกแก้วของจินดาเมขลา จากนั้นเทพสามฤดูจึงออกเดินทางตามที่พระฤๅษีได้แนะนำไว้ ไปพบถ้ำแห่งหนึ่ง ภายในมีสมบัติจำนวนมาก ด้วยความโลภงั่งจึงขนสมบัติออกมา ยักษ์หินที่เฝ้าปากถ้ำจึงออกอาละวาดงั่งกับราหู จนราหูต้องรีบนำสมบัติไปคืน แต่ก่อนจะถึงถ้ำ มีคนธรรพ์ตนหนึ่งรับสมอ้างว่าเป็นสมบัติของเขา ราหูไม่เชื่อจึงสู้กันจนคนธรรพ์หมดสภาพ จากนั้นราหูจึงเอาสมบัติที่ขโมยไปคืน ยักษ์หินจึงหมดฤทธิ์กลับไปที่ปากถ้ำเหมือนเดิม ต่อมาระหว่างเดินทางไปพบกับนันทเสนที่ป่ากล้วย นันทเสนเข้าใจว่ามีใครบินข้ามหัว จึงเข้ารบกับราหูจนถึงขั้นที่พระอิศวรต้องส่งมาตุลีไปห้ามศึก จากนั้นมาตุลีก็ให้ทั้ง 3 ไปยังอาศรมของพระฤๅษีโคบุตร ที่อาศรมของพระฤๅษีโคบุตร มณีได้พบกับจินดาเมขลา จากนั้นทั้งหมดก็กราบลาพระฤๅษีเพื่อเดินทางกลับเมือง โดยพระฤๅษีได้มอบระฆังแก้วเพื่อไว้ใช้เรียกสุระผัดและนันทเสนเวลาเกิดปัญหา ระหว่างทางไปเจอเมืองยักษ์ มีท้าวอนันตวงศ์เป็นผู้ปกครอง มีนางโชตะนาเป็นมเหสี ท้าวอนันตวงศ์ต้องการหาภรรยาใหม่ จึงได้ลักพาตัวมณีกลับไปยังเมืองของตน ทำให้โชตะนาไม่พอใจ ตัดสินใจเดินทางไปหาท้าวจักรวรรดิผู้เป็นพี่ชาย ท้าวจักรวรรดิเดินทางมาเจอจินดาเมขลาก็ต่อสู้กัน ท้าวจักรวรรดิใช้พัดชีวิตพัดให้จินดาเมขลากับงั่งสลบ แล้วพาไปยังเมืองของท้าวอนันตวงศ์ เกิดการสู้กันระหว่างยักษ์ 2 ตน เมื่อเทพทั้งสามเจริญวัยขึ้น พระพิรุณได้ขอองค์เหนือหัวตรีภพไปท่องเที่ยว ครั้นฤดูร้อนพระราหูเดินทางไปยังนครโรมิสัยได้พบกับพระธิดาสุวรรณพรพระธิดาสุวรรณอัมพรพรจึงโยนพวงมาลัยไปให้พระราหู
เรื่องย่อ : มณีนพเก้า (2539/1996) เป็นเรื่องที่ต้องเกี่ยวข้องกับมณีประจำตัวของเทพทั้ง 9 เพราะสองใน 9 เทพ คือเทพศาสตราและเทพีหยั่งรู้ กระทำผิดกฏสวรรค์คือรักกันและมีบุตร เทพศาสตราจึงต้องนำบุตรที่ชื่อมณีแดงไปให้อสูรเลี้ยง ภายหลังอสูรก็เสี้ยมสอนมณีแดงจนทำให้ โลก-สววรค์-บาดาล ปั่นป่วน จนทำให้เทพทั้งหลายต้องออกมาปราบ
พระอภัยมณี (2514/1971) ละครช่อง 7 ออกอากาศในปี 2514 ผลิตโดยบริษัท ไชโยภาพยนตร์ (บริษัท ไชโยโปรดักชั่นส์ จำกัด) นำแสดงโดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, ปริม ประภาพร, ปัญญาผล บุญชู, รัตนาภรณ์น้อย อินทรกำแหง
เรื่องย่อ : อุทัยเทวี (2560/2017) ณ เมืองบาดาล ธิดาพญานาคหนีมาเที่ยวเมืองมนุษย์และพบรักกับรุกขเทวดาที่สิงสถิตอยู่ใน ต้นไม้ริมสระน้ำ ธิดาพญานาคตั้งครรภ์รอจนคลอดเป็นไข่ฟองหนึ่ง จึงใช้สไบห่อไข่และพ่นพิษคุ้มครองไว้ก่อนแล้วลงกลับไปเมืองบาดาล บังเอิญมีนางคางคกผ่านมาเห็นจึง กินไข่และตายด้วยพิษพญานาค พอดีกับไข่ฟักเป็นเด็กหญิงซึ่งคิดว่านางคางคกเป็นแม่ของตน จึงอาศัยอยู่ในซากคางคกเน่าๆ ตายายสองผัวเมียมาตกปลาพายเรือผ่านมาเห็นเข้าก็ช่วยเลี้ยงดูจนโต ตั้งชื่อให้ว่าอุทัยเทวี อุทัยเทวีได้แต่งงานกับเจ้าชายสุทธราช ซึ่งก่อนแต่ง ตากับยายได้มีข้อกำหนดว่า ต้องสร้างสะพานทองตั้งแต่วัง จนถึงบ้านตายยายแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี อุทัยเทวีจึงเป็นสะใภ้แห่งเมืองหลวง มารดาของเจ้าชายไม่ค่อยชอบอุทัยเทวีนัก จึงหาทางให้ลูกของตนเป็นของคนอื่นไป ซึ่งนั่นคือ เจ้าชายต้องไปแต่งงานกับเจ้าหญิงฉันทนา ซึ่งอุทัยเทวีก็ตามไปด้วยตามสัญญา เจ้าหญิงฉันทนาคิดกำจัดอุทัยเทวีโดยฆ่านางอุทัยเทวี แต่พ่อของอุทัยเทวี ช่วยไว้ จึงบอกว่าให้รอแก้แค้นนางฉันทนาอยู่นอกวัง ต่อมาไม่นานนางฉันทนากลุ้มใจเรื่องผีนางอุทัยเทวีจะมาหลอก หัวจึงหงอก ผมที่เคยดำกลับขาวไปทุกเส้น จึงเอาผ้าพันศีรษะไว้ตลอดเวลา ต่อมานางอุทัยเทวีแปลงกายเป็นแม่ค้าขายขนมแก่ๆผ่านมา ซึ่งผมดำยาวสลวยผิดกับนางฉันทนา นางฉันทนาเห็นเข้าจึง คิดว่ายายแก่คนนี้ก็มีเคล็ดลับในการบำรุงรักษาผมอย่างแน่นอน จึงให้ยายแก่เข้าไปในวัง และให้รักษาผมของตนเองให้ แต่นางอุทัยเทวีก็จะรักษาให้ แต่ต้องยอมให้ทำทุกอย่าง ห้ามถามอะไรทั้งสิ้น นางฉันทนาตกลง จึงนอนลงแล้วนางอุทัยเทวี ก็เอามีดโกนโกนผมนางฉันทนา ออกจนหมด แล้วกรีดศีรษะนางฉันทนาแล้วเอาปลาร้าให้หม้อครอบหัวนางฉันทนาไว้ และห้ามเอาหม้อออกก่อนวันที่ 7 แต่ไม่ถึง นางฉันทนาทนพิษบาดแผลไม่ไหวจึงสิ้นใจตาย เจ้าชายสิทธิราช รู้ดังนั้นจึงกลับไปเมืองของตน ซึ่งก็ยังเห็นอุทัยเทวีอยู่ที่เมืองอยู่ก็ทรงโล่งใจ อุทัยเทวี ได้ครองรักกับเจ้าชายอย่างมีความสุขตราบนานเท่านาน
เจ้าหญิงแตงอ่อน (2523/1980) เป็นละครโทรทัศน์จักรๆวงศ์ๆ ของไทย โดยดัดแปลงบทประพันธ์จากเทพนิยายวัดเกาะ เรื่อง "เจ้าหญิงแตงอ่อน" ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2523 ออกอากาศตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2523 - 28 เมษายน พ.ศ. 2524
เรื่องย่อ : เทพสังวาลย์ (2552/2009) มีเทพทั้งห้าและมีสังวาลห้าสี ครอบครอง คือ สังวาล ขาว แดง เหลือง เขียว และ ดำ เทพศาสตราและเทพีหยั่งรู้ ทำผิดกฎ รักกันและให้กำเนิดบุตรชาย มณีแดง จึงนำ มณีแดงไปให้อสูรเลี้ยงดู ยังโลกมนุษย์ แต่อสูรกลับเลี้ยงมณีแดงให้เป็นคนชั่วร้าย และทำร้ายคนที่เป็นปรปักษ์ ยุยงให้มณีแดงครอบครองทั้งสามภพ ตามล้างฆ่า แสงสุรีย์ โดยมีนาคี ให้ความช่วยเหลือแสงสุรีย์ แต่ แสงสุรีย์กับมณีแดง ยิ่งบาดหมาง เมื่อทั้งสองคนต่างหลงรัก พระธิดารัตนาวดี ซึ่งเป็นชนวนทำให้ มณีแดงและแสงสุรีย์เป็นศัตรูกัน รัตนาวดี ต้องตกเป็นของมณีแดงโดยไม่ได้ยินยอม ทำให้ก่อกำเนิด บุตรชาย ผู้มีเลือดสามภพ คือ สายเลือดเทพ สายเลือดมนุษย์ สายเลือดอสูร และที่สำคัญจะเป็นผู้ทำลายอสูร ทำให้อสูรต้องกำจัด รัตนาวดี และ ลูก มณีแดงเอาตัวเข้าขัดขวางทำให้ได้รับบาดเจ็บ และเลือดในกายของมณีแดงเป็นพิษจากการดื่มเลือดของอสูร ถ้ามณีแดงจะเป็นคนดีเมื่อไร เลือดพิษจะทำลายล้างมณีแดง ก่อนตายมณีแดง แสงสุรีย์ นาคี ร่วมกันกำจัดอสูร รัตนาวดีเลี้ยงดูบุตรชายให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นอย่างมณีแดง โดยมีเทพ คอยดูแล
ขวานฟ้าหน้าดำ (2526/1983) ขวานฟ้าหน้าดำ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชะตากรรมของ "สุทธาเทพ" เทวดาชั้นผู้น้อยซึ่งทำหน้าที่ล้างเท้าให้แก่บรรดาเทวดาผู้มาเข้าเฝ้าพระอิศวรและถูกกลั่นแกล้งเป็นประจำ พระอิศวรจึงได้ประทานขวานฟ้าให้สุทธาเทพใช้เป็นอาวุธป้องกันตัว ทว่าสุทธาเทพกลับใช้อาวุธดังกล่าวเพื่อล้างแค้นและข่มเหงรังแกเทวดาองค์อื่นที่ไม่ยอมสยบต่อตนเอง พระอินทร์ในฐานะผู้ดูแลสรวงสวรรค์จึงใช้ให้พระอาทิตย์ไปปราบสุทธาเทพจนสุทธาเทพพ่ายแพ้และได้รับแผลไหม้เกรียมที่ใบหน้า จากนั้นพระอินทร์จึงสาปซ้ำให้สุทธาเทพจุติลงไปเกิดบนโลกมนุษย์โดยที่ยังคงมีใบหน้าดำไหม้ติดตัวเพื่อชดใช้กรรม ต่อเมื่อทำความดีจนเป็นที่ประจักษ์แล้วเท่านั้นจึงจะกลับมามีใบหน้าปกติตามเดิมและได้ขวานฟ้ากลับคืนไปเป็นสิทธิ์ของตนเองโดยสมบูรณ์ สุทธาเทพได้จุติลงมาเกิดเป็น "ขวาน" ลูกของ "นายอุทัย" กับ "นางสำลี" ผู้มีฐานะยากจน อาศัยอยู่นอกหมู่บ้านแห่งหนึ่งชานเมืองบุรีรมย์ เหตุที่ขวานที่ได้ชื่อนี้เพราะมีขวานฟ้าติดตัวมาตั้งแต่เกิด เมื่อวันแรกเกิดนั้นหมอตำแยได้เห็นขวานมีหน้าดำเป็นแถบผิดจากเด็กธรรมดา ซ้ำยังถูกขวานฟ้าเล่นงานเนื่องจากคิดจะยักยอกขวานฟ้าไปเป็นของตัวเอง หมอตำแยจึงแพร่ข่าวไปว่าขวานเป็นเด็กปีศาจ ทำให้ชาวบ้านต่างเกลียดชังและหวาดกลัวครอบครัวของขวานมาก มีเพียง "ทิดแก้ว" ซึ่งเป็นเพื่อนของนายอุทัยและ "จ้อย" ลูกชายของทิดแก้วเท่านั้น ที่ยังคงคบหาและคอยให้ความช่วยเหลือครอบครัวของขวานอยู่เสมอ แม้จะเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรังเกียจเดียดฉันท์จากสังคมรอบข้าง แต่ขวานก็เป็นเด็กดี มีความอดทนอดกลั้น เชื่อฟังพ่อแม่ ขยันขันแข็งช่วยงานบ้านทุกอย่าง เวลาเห็นใครเดือดร้อนก็พยายามเข้าไปช่วยเหลือเต็มที่ ยามที่ขวานมีภัยถึงชีวิต ขวานฟ้าก็จะลอยมาให้ความช่วยเหลือทุกครั้ง ทั้งยังได้ "เจ้าพ่อเขาเขียว" เทพารักษ์ประจำภูเขาในแถบหมู่บ้านที่ขวานอาศัยอยู่ คอยให้ความช่วยเหลือในยามคับขันอยู่เสมอ ชีวิตของขวานเริ่มตกอยู่ในอันตรายเมื่อขวานได้ช่วยเหลือเศรษฐีคนหนึ่งให้หนีรอดจากการถูก "อำมาตย์แสงเพชร" ขุนนางโฉดผู้ทรงอิทธิพลและมีจิตใจทะเยอทยาน จับตัวไปเรียกค่าไถ่เพื่อใช้เป็นทุนในการก่อกบฏต่อพระเจ้ากรุงบุรีรมย์ และต่อมาขวานได้ช่วยเหลือจ้อยซึ่งถูกลูกชายของอำมาตย์แสงเพชรและเด็กรับใช้รุมทำร้าย จนกลายเป็นว่าทำให้ลูกชายของอำมาตย์แสงเพชรได้รับบาดเจ็บสาหัส ครอบครัวของขวานจึงถูกอำมาตย์แสงเพชรคุกคามอย่างหนัก ทั้งหมดต้องแยกย้ายกันหนีไปอยู่ที่อื่นเพื่อเอาชีวิตรอด ขวานได้ออกเดินทางไปด้วยกันกับจ้อย มุ่งหน้าสู่การผจญภัยเพื่อปราบปรามคนชั่ว อภิบาลคนดี และค้นหาหนทางต่อสู้กับอำมาตย์แสงเพชร เพื่อช่วยเหลือพระเจ้ากรุงบุรีรมย์ให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกอำมาตย์แสงเพชร และเพื่อพาครอบครัวของตนเองกลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอย่างสงบสุขอีกครั้งให้จงได้
เรื่องย่อ : เกราะกายสิทธิ์ (2549/2006) เกราะกายสิทธิ์เรืองฤทธี ทั่วทั้งปฐพีระบือไกล ศัตรูหน้าไหนมาราวี จะโรมรันต่อตีให้แพ้พ่ายไป สะท้านฟ้า ภูผาสะเทือน ย้ำเตือนความยิ่งใหญ่ ธรณีลุกเป็นไฟ ปราบคนชั่วร้ายให้สิ้นชีวี มหัศจรรย์เรืองฤทธา 7 กายาผู้สวมใส่ ประกาศศักดาก้องเกียงไกร จะเสี่ยงภัย เกราะกายสิทธิ์ สัญญาและคำสาปแห่งเกราะกายสิทธิ์ ได้นำพาให้ “ศรุตเทพ” ต้องคำสาปจาก “วิษุวัติ” เทพแห่งขุนเขามาเกิดเป็นโอรสของกษัตริย์ “ศาสตรา” แห่งนครรัตนบุรีเพื่อใช้กรรมลบล้างความผิด
เรื่องย่อ : ขวานฟ้าหน้าดำ (2541/1998) กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสามีภรรยาคู่หนึ่งไม่มีลูกอาศัยอยู่ในกลางป่า ทั้งคู่รู้สึกเหงาและต้องการมีเด็ก ๆ ไว้เป็นเพื่อน ดังนั้นทั้งคู่จึงคิดที่จะไปขอบุตรกับเทวดา แต่ว่าเพื่อนของเขาแนะนำว่าทั้งคู่ควรจะไปขอบุตรกับเจ้าพ่อเขาเขียว พวกเขาปฏิบัติตามคำแนะนำของเพื่อนและเริ่มประกอบพิธี ท่ามกลางควันธูปและเทียนอันฟุ้งตลบ เจ้าพ่อเขาเขียวก็ปรากฏตัวขึ้นโดยเป็นชายร่างเล็กขนาดเท่าตุ๊กตา เจ้าพ่อบอกทั้งคู่ว่าถ้าหากว่าเขาต้องการลูกจริง ๆ แล้วท่านก็จะไปขอเทวดามาให้คนหนึ่งแต่ว่าทั้งคู่จะต้องรักและดูแลเด็กนั้นอย่างดี ไม่ว่าเด็กนั้นจะพิกลพิการ หรือขี้ริ้วขี้เหร่แค่ไหนก็แล้วแต่ ถ้าหากว่าทั้งคู่ตกลงรับปากท่านก็จะนำเด็กมาให้ตามคำขอ หลังจากทั้งคู่ให้สัญญาแล้ว เจ้าพ่อเขาเขียนวก็ขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อเชิญเทวดาองค์หนึ่งมาเกิดเป็นลูกของสองสามีภรรยาคู่นั้น
เรื่องย่อ : ขวานฟ้าหน้าดำ (2562/2019) ขวานฟ้าหน้าดำ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชะตากรรมของ "สุทธาเทพ" เทวดาชั้นผู้น้อยซึ่งทำหน้าที่ล้างเท้าให้แก่บรรดาเทวดาผู้มาเข้าเฝ้าพระอิศวรและถูกกลั่นแกล้งเป็นประจำ พระอิศวรจึงได้ประทานขวานฟ้าให้สุทธาเทพใช้เป็นอาวุธป้องกันตัว ทว่าสุทธาเทพกลับใช้อาวุธดังกล่าวเพื่อล้างแค้นและข่มเหงรังแกเทวดาองค์อื่นที่ไม่ยอมสยบต่อตนเอง พระอินทร์ในฐานะผู้ดูแลสรวงสวรรค์จึงใช้ให้พระอาทิตย์ไปปราบสุทธาเทพจนสุทธาเทพพ่ายแพ้และได้รับแผลไหม้เกรียมที่ใบหน้า จากนั้นพระอินทร์จึงสาปซ้ำให้สุทธาเทพจุติลงไปเกิดบนโลกมนุษย์โดยที่ยังคงมีใบหน้าดำไหม้ติดตัวเพื่อชดใช้กรรม ต่อเมื่อทำความดีจนเป็นที่ประจักษ์แล้วเท่านั้นจึงจะกลับมามีใบหน้าปกติตามเดิมและได้ขวานฟ้ากลับคืนไปเป็นสิทธิ์ของตนเองโดยสมบูรณ์ สุทธาเทพได้จุติลงมาเกิดเป็น "ขวาน" ลูกของ "นายอุทัย" กับ "นางสำลี" ผู้มีฐานะยากจน อาศัยอยู่นอกหมู่บ้านแห่งหนึ่งชานเมืองบุรีรมย์ เหตุที่ขวานที่ได้ชื่อนี้เพราะมีขวานฟ้าติดตัวมาตั้งแต่เกิด เมื่อวันแรกเกิดนั้นหมอตำแยได้เห็นขวานมีหน้าดำเป็นแถบผิดจากเด็กธรรมดา ซ้ำยังถูกขวานฟ้าเล่นงานเนื่องจากคิดจะยักยอกขวานฟ้าไปเป็นของตัวเอง หมอตำแยจึงแพร่ข่าวไปว่าขวานเป็นเด็กปีศาจ ทำให้ชาวบ้านต่างเกลียดชังและหวาดกลัวครอบครัวของขวานมาก มีเพียง "ทิดแก้ว" ซึ่งเป็นเพื่อนของนายอุทัยและ "จ้อย" ลูกชายของทิดแก้วเท่านั้น ที่ยังคงคบหาและคอยให้ความช่วยเหลือครอบครัวของขวานอยู่เสมอ แม้จะเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรังเกียจเดียดฉันท์จากสังคมรอบข้าง แต่ขวานก็เป็นเด็กดี มีความอดทนอดกลั้น เชื่อฟังพ่อแม่ ขยันขันแข็งช่วยงานบ้านทุกอย่าง เวลาเห็นใครเดือดร้อนก็พยายามเข้าไปช่วยเหลือเต็มที่ ยามที่ขวานมีภัยถึงชีวิต ขวานฟ้าก็จะลอยมาให้ความช่วยเหลือทุกครั้ง ทั้งยังได้ "เจ้าพ่อเขาเขียว" เทพารักษ์ประจำภูเขาในแถบหมู่บ้านที่ขวานอาศัยอยู่ คอยให้ความช่วยเหลือในยามคับขันอยู่เสมอ ชีวิตของขวานเริ่มตกอยู่ในอันตรายเมื่อขวานได้ช่วยเหลือเศรษฐีคนหนึ่งให้หนีรอดจากการถูก "อำมาตย์แสงเพชร" ขุนนางโฉดผู้ทรงอิทธิพลและมีจิตใจทะเยอทยาน จับตัวไปเรียกค่าไถ่เพื่อใช้เป็นทุนในการก่อกบฏต่อพระเจ้ากรุงบุรีรมย์ และต่อมาขวานได้ช่วยเหลือจ้อยซึ่งถูกลูกชายของอำมาตย์แสงเพชรและเด็กรับใช้รุมทำร้าย จนกลายเป็นว่าทำให้ลูกชายของอำมาตย์แสงเพชรได้รับบาดเจ็บสาหัส ครอบครัวของขวานจึงถูกอำมาตย์แสงเพชรคุกคามอย่างหนัก ทั้งหมดต้องแยกย้ายกันหนีไปอยู่ที่อื่นเพื่อเอาชีวิตรอด ขวานได้ออกเดินทางไปด้วยกันกับจ้อย มุ่งหน้าสู่การผจญภัยเพื่อปราบปรามคนชั่ว อภิบาลคนดี และค้นหาหนทางต่อสู้กับอำมาตย์แสงเพชร เพื่อช่วยเหลือพระเจ้ากรุงบุรีรมย์ให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกอำมาตย์แสงเพชร และเพื่อพาครอบครัวของตนเองกลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอย่างสงบสุขอีกครั้งให้จงได้
เรื่องย่อ : เทพศิลป์ อินทรจักร (2542/1999) ท้าวจตุรพักตร์ พญายักษ์ผู้ครองเมืองกลางหาว ได้บังอาจเหิมเกริมบุกแดนสวรรค์ ทำลายวิมานของเหล่าเทวดานางฟ้าจนได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว พระสยมภูวญาณผู้เป็นใหญ่จึงได้ส่งให้เทพบุตรตนหนึ่ง พร้อมด้วยจักรแก้วจุติลงไปยังโลกมนุษย์เพื่อปราบท้าวจตุรพักตร์และวงศ์วานยักษ์ให้สิ้นไป นอกจากนี้ ยังได้ส่งให้เทพบุตรจำนวนหนึ่ง จุติตามลงไปเพื่อเป็นทหารเอกช่วยทำศึกกับท้าวจตุรพักตร์ด้วย เทพบุตรและจักรแก้วจุติลงมาเป็นโอรสของกษัตริย์เมืองหนึ่ง เทพบุตรจุติลงมาเป็นโอรสองค์พี่ ได้นามว่า เทพศิลป์ ส่วนจักรแก้วจุติลงมาเป็นโอรสองค์น้อง นามว่า อินทรจักร เมื่อเทพศิลป์และอินทรจักรเจริญวัย พระบิดาก็ได้ส่งไปร่ำเรียนวิชากับพระฤๅษีที่ในป่าลึก และพระฤๅษีได้ทำพิธีขออาวุธจากพระสยมภูวญาณให้แก่สองกุมาร โดยเทพศิลป์ได้ธนูเป็นอาวุธ ส่วนอินทรจักรได้จักรแก้วเป็นอาวุธ ทั้งสองพี่น้องร่ำเรียนวิชากับพระฤๅษีจนเติบโตเป็นหนุ่มก็สำเร็จวิชา หลังจากสองพี่น้องกลับเมืองมาได้ไม่นาน พระสยมภูวญาณก็ได้ประกาศหาผู้ที่สามารถดันเขาพระสุเมรุที่ทรุดเอียงจากการโจมตีของท้าวจตุรพักตร์ให้กลับมาตั้งตรงได้ดังเดิม ซึ่งเทพศิลป์สามารถทำได้สำเร็จ พระสยมภูวญาณจึงได้เสกดอกมณฑาบนสวรรค์ให้เป็นนางงาม นามว่า เทพมณฑา ยกให้เทพศิลป์นำไปเป็นชายา เมื่อท้าวจตุรพักตร์ได้เห็นนางเทพมณฑา ก็เกิดหลงรัก จึงดักชิงไประหว่างทาง ทำให้เทพศิลป์และอินทรจักรต้องร่วมกันทำศึกกับท้าวจตุรพักตร์เพื่อชิงนางเทพมณฑากลับคืนมา เทพศิลป์และอินทรจักรได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าเทพบุตรที่จุติลงมาเป็นทหารเอกในการทำศึก แต่ทั้งสองไม่สามารถปราบท้าวจตุรพักตร์ และตรีพักตร์ผู้เป็นโอรสได้ เนื่องจากทั้งสองได้ถอดดวงใจไปเก็บไว้ในที่ห่างไกล ตราบจนกระทั่ง ที่ซ่อนดวงใจถูกเปิดเผย เทพศิลป์และอินทรจักรจึงสามารถทำลายดวงใจปราบท้าวจตุรพักตร์ลงได้
เรื่องย่อ : ไชยเชษฐ์ (2555/2012) "ท้าวอภัยนุราช" เจ้าเมืองเวสาลี มีพระธิดาองค์หนึ่ง พระนามว่า "นางจำปาทอง" เพราะเมื่อนางร้องไห้จะมีดอกจำปาทองร่วงลงมา ครั้นนางจำปาทองเจริญวัยขึ้น นางได้นำไข่จระเข้จากสระในสวนมาฟักจนเป็นตัวและเลี้ยงจระเข้ไว้ในวัง ครั้นจระเข้เติบใหญ่ขึ้น ก็ดุร้ายตามวิสัยของมัน มันเที่ยวไล่กัดชาวเมืองจนชาวเมืองเดือดร้อนไปทั่ว ท้าวอภัยนุราชทรงขัดเคือง จึงขับไล่นางจำปาทองออกจากเมืองเวสาลี "นางแมว" ซึ่งเป็นแมวที่นางจำปาทองเลี้ยงไว้ได้ติดตามนางไปด้วย นางจำปาทองกับนางแมวเดินซัดเซพเนจรอยู่ในป่า ไปพบยักษ์ตนหนึ่งชื่อ "นนทยักษ์" ซึ่งกำลังจะไปเฝ้า "ท้าวสิงหล" นางตกใจกลัวจึงวิ่งหนีไปพบ "พระฤๅษี" พระฤๅษีช่วยนางไว้ นางจำปาทองกับนางแมวจึงขออาศัยอยู่รับใช้พระฤๅษีในป่านั้น ท้าวสิงหลเป็นยักษ์ครองเมืองสิงหล ไม่มีพระโอรสและพระธิดา คืนหนึ่งท้าวสิงหลบรรเทาหลับและทรงพระสุบินว่า มียักษ์ตนหนึ่งมาจากป่านำดอกจำปามาถวาย ดอกจำปามีสีเหลืองเหมือนทองคำงามยิ่งนัก ท้าวสิงหลจึงทรงให้โหรทำนายพระสุบิน โหรทำนายว่าท้าวสิงหลจะได้พระธิดา วันนั้นนนทยักษ์เข้าเฝ้าท้าวสิงหลและทูลว่าพบหญิงสาวอาศัยอยู่กับพระฤๅษีที่ในป่า ท้าวสิงหลจึงเสด็จไปหาพระฤๅษี และขอนางจำปาทองมาเป็นธิดา ประทานนามว่า "นางสุวิญชา" ฝ่าย "พระไชยเชษฐ์" เป็นโอรสเจ้าเมืองเหมันต์ พระไชยเชษฐ์มีพระสนมอยู่ 7 คน วันหนึ่งพระองค์เสด็จประพาสป่า และหลงทางเข้าไปในสวนเมืองสิงหล นางสุวิญชามาเที่ยวชมสวนพบพระไชยเชษฐ์ จึงนำความทูลให้ท้าวสิงหลทราบ ท้าวสิงหลให้พระไชยเชษฐ์เข้าเฝ้า พระไชยเชษฐ์จึงทูลขอรับราชการในเมืองสิงหล ต่อมามีข้าศึกยกทัพมาตีเมืองสิงหล พระไชยเชษฐ์อาสาสู้ศึกจนชนะ ท้าวสิงหลจึงทรงยกนางสุวิญชาให้เป็นชายาพระไชยเชษฐ์ พระไชยเชษฐ์จึงพานางสุวิญชากลับเมืองเหมันต์ ฝ่ายนางสนมทั้ง 7 คนริษยานางสุวิญชาที่พระไชยเชษฐ์รักนางสุวิญชามากกว่า ครั้นนางสุวิญชาทรงครรภ์จวนจะถึงกำหนดคลอดนางสนมทั้ง 7 คน ก็ออกอุบายว่ามีช้างเผือกอยู่ในป่า พระไชยเชษฐ์จึงออกไปคล้องช้างเผือก ฝ่ายนางสุวิญชาคลอดลูกเป็นกุมารมีศรกับพระขรรค์ติดตัวมาด้วย นางสนมทั้ง 7 คน นำพระกุมารใส่หีบไปฝังที่ใต้ต้นไทรในป่า เทวดาประจำต้นไม้ช่วยชีวิตพระกุมารไว้ เมื่อพระไชยเชษฐ์เสด็จกลับจากคล้องช้างเผือก นางสนมทั้ง 7 คน ทูลว่านางสุวิญชาคลอดลูกเป็นท่อนไม้ พระไชยเชษฐ์จึงขับไล่นางสุวิญชาออกจากเมือง ขณะที่นางสุวิญชาคลอดกุมารนั้น นางแมวแอบเห็นการกระทำของนางสนมทั้ง 7 คน จึงพานางสุวิญชาไปขุดหีบที่ใต้ต้นไทร แล้วพาพระกุมารกลับไปเมืองสิงหล ท้าวสิงหลตั้งชื่อพระกุมารว่า "พระนารายณ์ธิเบศร์" ต่อมาพระไชยเชษฐ์ทรงรู้ความจริงว่านางสุวิญชาถูกใส่ร้าย จึงออกติดตามนางสุวิญชาไปเมืองสิงหลและได้พบพระนารายณ์ธิเบศร์ ซึ่งกำลังประพาศป่ากับพระพี่เลี้ยง พระไชยเชษฐ์เห็นพระนารายณ์ธิเบศร์เป็นเด็กน่ารัก มีหน้าตาคล้ายพระองค์ก็มั่นใจว่าเป็นพระโอรส จึงเข้าไปขออุ้มและเอาขนมนมเนยให้ พระนารายณ์ธิเบศร์โกรธว่าเป็นคนแปลกหน้า จึงไม่ให้จับต้องและไม่ยอมเสวยขนม พระนารายณ์ธิเบศร์โกรธพระไชยเชษฐ์ที่มาจับต้องตัวและจับหัวของพระพี่เลี้ยงของตนจึงใช้ศรธนูหมายจะฆ่าให้ตาย แต่ธนูที่ยิงออกไปนั้นกลับกลายเป็นดอกไม้กระจายเติมพื้นดิน จึงทำให้พระไชยเชษฐ์เกิดความประหลาดใจยิ่งนัก จึงอธิษฐานจิตว่าถ้ากุมารองค์นี้เป็นลูกของตนที่เกิดกับนางสุวิญชาขอให้ธนูที่ยิงออกไปนั้นกลายเป็นอาหาร ทันใดนั้นพระไชยเชษฐ์ก็แผลงศรออกไปและศรธนูที่ยิงออกไปนั้นก็กลายเป็นอาหารมากมายเต็มพื้น จึงทำให้พระไชยเชษฐ์มั่นใจเป็นแน่แท้ว่าเป็นบุตรของตนจริงจัง พระไชยเชษฐ์ทรงไต่ถามพระนารายณ์ธิเบศร์เกี่ยวกับมารดา เพราะทรงจำแหวนที่พระนารายณ์ธิเบศร์สวมได้ พระนารายณ์ธิเบศร์บอกว่านางสุวิญชาเป็นแม่และท้าวสิงหลเป็นพ่อ พระไชยเชษฐ์จึงทรงเล่าเรื่องเดิมให้พระนารายณ์ธิเบศร์ฟัง ทั้ง 2 จึงทราบว่าเป็นพ่อลูกกัน พระนารายณ์ธิเบศร์พาพระไชยเชษฐ์เข้าเฝ้าท้าวสิงหล พระไชยเชษฐ์ขอโทษนางสุวิญชา พระนารายณ์ธิเบศร์ช่วยทูลนางสุวิญชาให้หายโกรธพ่อ นางสุวิญชายกโทษให้ พระไชยเชษฐ์ นางสุวิญชาและพระนารายณ์ธิเบศร์ 3 คนพ่อแม่ลูกจึงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
ไชยเชษฐ์ (2527/1984) "ท้าวอภัยนุราช" เจ้าเมืองเวสาลี มีพระธิดาองค์หนึ่ง พระนามว่า "นางจำปาทอง" เพราะเมื่อนางร้องไห้จะมีดอกจำปาทองร่วงลงมา ครั้นนางจำปาทองเจริญวัยขึ้น นางได้นำไข่จระเข้จากสระในสวนมาฟักจนเป็นตัวและเลี้ยงจระเข้ไว้ในวัง ครั้นจระเข้เติบใหญ่ขึ้น ก็ดุร้ายตามวิสัยของมัน มันเที่ยวไล่กัดชาวเมืองจนชาวเมืองเดือดร้อนไปทั่ว ท้าวอภัยนุราชทรงขัดเคือง จึงขับไล่นางจำปาทองออกจากเมืองเวสาลี "นางแมว" ซึ่งเป็นแมวที่นางจำปาทองเลี้ยงไว้ได้ติดตามนางไปด้วย นางจำปาทองกับนางแมวเดินซัดเซพเนจรอยู่ในป่า ไปพบยักษ์ตนหนึ่งชื่อ "นนทยักษ์" ซึ่งกำลังจะไปเฝ้า "ท้าวสิงหล" นางตกใจกลัวจึงวิ่งหนีไปพบ "พระฤๅษี" พระฤๅษีช่วยนางไว้ นางจำปาทองกับนางแมวจึงขออาศัยอยู่รับใช้พระฤๅษีในป่านั้น ท้าวสิงหลเป็นยักษ์ครองเมืองสิงหล ไม่มีพระโอรสและพระธิดา คืนหนึ่งท้าวสิงหลบรรเทาหลับและทรงพระสุบินว่า มียักษ์ตนหนึ่งมาจากป่านำดอกจำปามาถวาย ดอกจำปามีสีเหลืองเหมือนทองคำงามยิ่งนัก ท้าวสิงหลจึงทรงให้โหรทำนายพระสุบิน โหรทำนายว่าท้าวสิงหลจะได้พระธิดา วันนั้นนนทยักษ์เข้าเฝ้าท้าวสิงหลและทูลว่าพบหญิงสาวอาศัยอยู่กับพระฤๅษีที่ในป่า ท้าวสิงหลจึงเสด็จไปหาพระฤๅษี และขอนางจำปาทองมาเป็นธิดา ประทานนามว่า "นางสุวิญชา" ฝ่าย "พระไชยเชษฐ์" เป็นโอรสเจ้าเมืองเหมันต์ พระไชยเชษฐ์มีพระสนมอยู่ 7 คน วันหนึ่งพระองค์เสด็จประพาสป่า และหลงทางเข้าไปในสวนเมืองสิงหล นางสุวิญชามาเที่ยวชมสวนพบพระไชยเชษฐ์ จึงนำความทูลให้ท้าวสิงหลทราบ ท้าวสิงหลให้พระไชยเชษฐ์เข้าเฝ้า พระไชยเชษฐ์จึงทูลขอรับราชการในเมืองสิงหล ต่อมามีข้าศึกยกทัพมาตีเมืองสิงหล พระไชยเชษฐ์อาสาสู้ศึกจนชนะ ท้าวสิงหลจึงทรงยกนางสุวิญชาให้เป็นชายาพระไชยเชษฐ์ พระไชยเชษฐ์จึงพานางสุวิญชากลับเมืองเหมันต์ ฝ่ายนางสนมทั้ง 7 คนริษยานางสุวิญชาที่พระไชยเชษฐ์รักนางสุวิญชามากกว่า ครั้นนางสุวิญชาทรงครรภ์จวนจะถึงกำหนดคลอดนางสนมทั้ง 7 คน ก็ออกอุบายว่ามีช้างเผือกอยู่ในป่า พระไชยเชษฐ์จึงออกไปคล้องช้างเผือก ฝ่ายนางสุวิญชาคลอดลูกเป็นกุมารมีศรกับพระขรรค์ติดตัวมาด้วย นางสนมทั้ง 7 คน นำพระกุมารใส่หีบไปฝังที่ใต้ต้นไทรในป่า เทวดาประจำต้นไม้ช่วยชีวิตพระกุมารไว้ เมื่อพระไชยเชษฐ์เสด็จกลับจากคล้องช้างเผือก นางสนมทั้ง 7 คน ทูลว่านางสุวิญชาคลอดลูกเป็นท่อนไม้ พระไชยเชษฐ์จึงขับไล่นางสุวิญชาออกจากเมือง ขณะที่นางสุวิญชาคลอดกุมารนั้น นางแมวแอบเห็นการกระทำของนางสนมทั้ง 7 คน จึงพานางสุวิญชาไปขุดหีบที่ใต้ต้นไทร แล้วพาพระกุมารกลับไปเมืองสิงหล ท้าวสิงหลตั้งชื่อพระกุมารว่า "พระนารายณ์ธิเบศร์" ต่อมาพระไชยเชษฐ์ทรงรู้ความจริงว่านางสุวิญชาถูกใส่ร้าย จึงออกติดตามนางสุวิญชาไปเมืองสิงหลและได้พบพระนารายณ์ธิเบศร์ ซึ่งกำลังประพาศป่ากับพระพี่เลี้ยง พระไชยเชษฐ์เห็นพระนารายณ์ธิเบศร์เป็นเด็กน่ารัก มีหน้าตาคล้ายพระองค์ก็มั่นใจว่าเป็นพระโอรส จึงเข้าไปขออุ้มและเอาขนมนมเนยให้ พระนารายณ์ธิเบศร์โกรธว่าเป็นคนแปลกหน้า จึงไม่ให้จับต้องและไม่ยอมเสวยขนม พระนารายณ์ธิเบศร์โกรธพระไชยเชษฐ์ที่มาจับต้องตัวและจับหัวของพระพี่เลี้ยงของตนจึงใช้ศรธนูหมายจะฆ่าให้ตาย แต่ธนูที่ยิงออกไปนั้นกลับกลายเป็นดอกไม้กระจายเติมพื้นดิน จึงทำให้พระไชยเชษฐ์เกิดความประหลาดใจยิ่งนัก จึงอธิษฐานจิตว่าถ้ากุมารองค์นี้เป็นลูกของตนที่เกิดกับนางสุวิญชาขอให้ธนูที่ยิงออกไปนั้นกลายเป็นอาหาร ทันใดนั้นพระไชยเชษฐ์ก็แผลงศรออกไปและศรธนูที่ยิงออกไปนั้นก็กลายเป็นอาหารมากมายเต็มพื้น จึงทำให้พระไชยเชษฐ์มั่นใจเป็นแน่แท้ว่าเป็นบุตรของตนจริงจัง พระไชยเชษฐ์ทรงไต่ถามพระนารายณ์ธิเบศร์เกี่ยวกับมารดา เพราะทรงจำแหวนที่พระนารายณ์ธิเบศร์สวมได้ พระนารายณ์ธิเบศร์บอกว่านางสุวิญชาเป็นแม่และท้าวสิงหลเป็นพ่อ พระไชยเชษฐ์จึงทรงเล่าเรื่องเดิมให้พระนารายณ์ธิเบศร์ฟัง ทั้ง 2 จึงทราบว่าเป็นพ่อลูกกัน พระนารายณ์ธิเบศร์พาพระไชยเชษฐ์เข้าเฝ้าท้าวสิงหล พระไชยเชษฐ์ขอโทษนางสุวิญชา พระนารายณ์ธิเบศร์ช่วยทูลนางสุวิญชาให้หายโกรธพ่อ นางสุวิญชายกโทษให้ พระไชยเชษฐ์ นางสุวิญชาและพระนารายณ์ธิเบศร์ 3 คนพ่อแม่ลูกจึงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
เรื่องย่อ : สังข์ทอง (2550/2007) กาลปางก่อนมี พระเจ้าพรหมทัต (ท้าวยศวิมล) ครองเมืองพรหมนคร (เมืองยศวิมล) พระเจ้าพรหมทัตมีมเหสีสององค์ มเหสีฝ่ายขวาชื่อ พระนางจันทราเทวี (นางจันเทวี) มเหสีฝ่ายซ้ายชื่อ พระนางสุวรรณจัมปากะ (นางจันทา) พระเจ้าพรหมทัตโปรดมเหสีฝ่ายซ้ายมาก ต่อมามเหสีทั้งสองทรงครรภ์ โหรทำนายว่าบุตรของมเหสีฝ่ายขวาเป็นชาย ส่วนมเหสีฝ่ายซ้ายเป็นหญิง พระนางสุวรรณจัมปากะรู้สึกเสียใจที่จะได้ธิดาแทนที่จะเป็นโอรส และเกรงว่าพระนางจันทราเทวีจะได้ดีกว่า จึงใส่ร้ายพระนางจันทราเทวีจนพระเจ้าพรหมทัตหลงเชื่อขับไล่พระนางจันทราเทเวีออกจากพระราชวัง พระนางจันทราเทวีเดินทางด้วยความยากลำบาก เมื่อถึงชายป่านอกเมือง ยายตาสองคนสงสาร จึงชวนให้พักอยู่ด้วย โอรสในครรภ์ของพระนางจันทราเทวีเห็นความยากลำบากของพระมารดา จึงแปลงกายเป็นหอยสังข์เพื่อไม่ให้พระมารดาต้องลำบากเลี้ยงดู เมื่อครบกำหนดคลอด พระนางจันทราเทวีก็คลอดโอรสออกมาเป็นหอยสังข์ ซึ่งพระนางก็รักใคร่ เลี้ยงดูเหมือนลูกมนุษย์ วันหนึ่งพระนางจันทราเทวี ออกจากบ้านไปช่วยตายายเก็บผักหักฟืน ลูกน้อยในหอยสังข์ก็ออกจากรูปหอยสังข์ช่วยปัดกวาดบ้านเรือน และหุงหาอาหารไว้ พอเสร็จก็กลับเข้าไปในรูปหอยสังข์ตามเดิม พระนางจันทราเทวี เมื่อกลับมาก็แปลกใจ ว่าใครมาช่วยทำงาน และเมื่อนางจันทราเทวีออกจากบ้านไป ลูกน้อยในหอยสังข์ก็จะออกมาทำงานบ้านให้เรียบร้อยทุกครั้ง พระนางจันทราเทวีอยากรู้ว่าเป็นใคร วันหนึ่งจึงทำทีออกจากบ้านไปป่าเช่นเคย แต่แล้วก็ย้อยกลับมาที่บ้าน โอรสในหอยสังข์ก็ออกมาทำงานบ้าน พระนางจันทราเทวีเห็นโอรสเป็นมนุษย์ก็ดีใจ จึงทุบหอยสังข์เสีย และกอดโอรสด้วยความยินดี พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า "สังข์ทอง" เมื่อพระเจ้าพรหมทัตรู้ข่าวว่า พระนางจันทราเทวีประสูติพระโอรส ก็ยินดีจะรับพระนางจันทราเทวีกลับ พระนางสุวรรณจัมปากะเทวีริษยาจึงได้เท็จทูลว่า พระโอรสเดิมเป็นหอยสังข์ พระเจ้าพรหมทัตก็หลงเชื่อเกรงจะเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมือง จึงให้อำมาตย์จับพระนางจันทราเทวีและลูกน้อยสังข์ทองใส่แพลอยไป เมื่อแพลอยออกทะเล เกิดพายุใหญ่แพแตก พระนางจันทราเทวีถูกคลื่นซัดลอยไปติดที่ชายหาดเมืองมัทราษฎร์ พระนางก็เดินทางซัดเซพเนจรไปอาศัยบ้านเศรษฐีเมืองมัทราษฎร์ชื่อธนัญชัยเศรษฐี และทำหน้าที่เป็นแม่ครัว ฝ่ายพระสังข์ทองนั้นจมน้ำลงไปยังนาคพิภพ พระยานาคมีจิตสงสารจึงเนรมิตเรือทอง แล้วอุ้มพระสังข์ทองใส่ไว้ในเรือ เรือทองลอยไปถึงเมืองยักษ์ซึ่งนางยักษพันธุรัตปกครองอยู่ นางยักษ์เห็นพระสังข์ทองในเรือทองเกิดความรักใคร่เอ็นดู จึงนำพระสังข์ทองมาเลี้ยงดูในปราสาท และให้พี่เลี้ยงนางนมแปลงร่างเป็นคน เพื่อมิให้พระสังข์ทองหวาดกลัว พระสังข์ทองก็เติบโตอยู่กับนางยักษ์พันธุรัต นางยักษ์พันธุรัตปกติจะต้องออกไปหาสัตว์ป่ากินเป็นอาหาร เมื่อนางออกไปป่าก็จะไปครั้งละสามวันหรือเจ็ดวัน ทุกครั้งที่ไปก็จะสั่งพระสังข์ทองว่า อย่าขึ้นไปเล่นบนปราสาทชั้นบนและในสวน พระสังข์ทองก็เชื่อฟัง แต่เมื่อโตขึ้นก็เกิดความสงสัยอยากรู้ วันหนึ่งเมื่อนางยักษ์พันธุรัตไปป่า พระสังข์ทองก็แอบไปในสวนส่วนที่ห้ามไว้ เห็นกระดูกสัตว์และคนที่นางยักษ์กินเนื้อแล้วทิ้งกระดูกไว้เป็นจำนวนมาก พระสังข์ทองเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ นึกรู้ว่ามารดาเลี้ยงเป็นยักษ์ก็รู้สึกหวาดกลัว และเมื่อเดินต่อไปเห็นบ่อเงินบ่อทองสวยงาม พอพระสังทองเอานิ้วก้อยจุ่มลงไปนิ้วก็กลายเป็นสีทอง พระสังข์ทองจึงลงไปอาบทั้งตัวร่างกาย ก็กลายเป็นสีทองงดงาม แล้วพระสังข์ทองก็ขึ้นไปบนปราสาทชั้นบน เห็นเกราะรูปเงาะป่า เกือกทอง และพระขรรค์ พระสังข์ทองเอาเกราะเงาะป่ามาสวม ก็กลายร่างเป็นเงาะป่า พอใส่เกือกทองก็รู้สึกว่าลอยได้ พระสังข์ทองจึงหยิบพระขรรค์ แล้วเหาะหนีออกจากเมืองยักษ์ และข้ามแม่น้ำไปยังเมืองตักศิลา ตกเย็นจึงพักอยู่ที่ศาลาริมน้ำ ฝ่ายนางยักษ์กลับมาไม่เห็นลูก และขึ้นไปที่ปราสาทชั้นบน เห็นเกราะรูปเงาะป่า เกือกทอง และพระขรรค์หายไป ก็รู้ทันทีว่า พระสังข์ทองรู้ว่าตนเป็นยักษ์แล้วหลบหนีไป นางจึงเหาะตามไป เมื่อถึงฝั่งน้ำเห็นพระสังข์ทองพักอยู่ นางไม่สามารถเหาะข้ามไปได้ จึงร้องไห้ อ้อนวอนให้พระสังข์ทองกลับไป พระสังข์ทองยังหวาดกลัวจึงไม่ยอมกลับ นางพันธุรัตเสียใจจนหัวใจแตกสลาย แต่ก่อนตายนางก็สอนมนต์หาเนื้อหาปลาให้ พระสังข์ทองแล้วนางก็สิ้นใจตาย พระสังข์ทองรู้สึกเสียใจมากหลังจากได้จัดเผาศพนางยักษ์แล้ว พระสังข์ทองก็เหาะเดินทางไปเมืองพาราณสี และได้ไปอาศัยชาวบ้านช่วยเลี้ยงโค พระสังข์ทองตอนนี้รูปร่างเป็นเงาะป่าพวกเด็กเลี้ยงโคก็มาเล่นสนิทสนมกับพระสังข์ทอง ที่เมืองพาราณสีนี้เจ้าเมืองมีธิดา 7 องค์ เจ้าเมืองคิดจะให้พระธิดาทั้ง 7 องค์ได้อภิเษกสมรส จึงมีรับสั่งให้ประกาศแก่เจ้าผู้ครองนครต่างๆ ให้ส่งโอรสมาให้พระธิดาเลือกพระธิดาทั้ง 6 องค์ ก็เลือกได้เจ้าชายที่เหมาะสม แต่พระธิดาองค์สุดท้องชื่อ "รจนา" ไม่ยอมเลือกเจ้าชายองค์ใด เจ้าเมืองพาราณสีทรงกริ้วมากจึงประชดโดยให้อำมาตย์ไปประกาศให้ชายทุกคนในเมือง ให้เข้ามาในวังให้พระราชธิดาเลือก พระสังข์ทองในรูปเงาะป่าก็ถูกเกณฑ์เข้ามาด้วย เมื่อนางรจนาออกมาเลือกคู่ บุญบันดาลให้เห็นรูปทองของพระสังข์ทองแทนที่จะเป็นเงาะป่า นางจึงเลือกเงาะป่า เจ้าเมืองพาราณสีกริ้วมากขับไล่นางรจนาออกไปอยู่นอกเมือง เจ้าเมืองพาราณสีมีความแค้นเคืองเงาะป่าคิดจะกำจัด จึงออกคำสั่งให้เขยทั้ง 6 และเงาะป่า ไปหาเนื้อมาคนละตัว ใครหามาไม่ได้จะถูกประหารชีวิต เงาะป่าเข้าไปในป่าถอดรูปเงาะออกแล้วร่ายมนต์เรียกเนื้อ เนื้อทั้งหลายก็มาอยู่ที่พระสังข์ทอง 6 เขยหาเนื้อทั้งวันก็ไม่ได ้จนกระทั่งมาพบพระสังข์ทอง ซึ่ง 6 เขยคิดว่าเป็นเทวดา 6 เขยจึงขอเนื้อจากพระสังข์ทอง พระสังข์ทองให้โดยขอตัดใบหูคนละหน่อย 6 เขยยอม ทั้งหมดจึงนำเนื้อไปให้เจ้าเมืองพาราณสี เจ้าเมืองพาราณสียังทำร้ายเงาะป่าไม่ได้ก็แค้นใจ จึงมีคำสั่งให้เขยทุกคนหาปลาไปถวาย พระสังข์ทองก็ถอดรูปเงาะป่าแล้วร่ายมนต์เรียกปลา ปลาก็มาออคับคั่งอยู่ที่พระสังข์ทอง 6 เขยหาปลามาไม่ได้ทั้งวัน และเมื่อพบปลามาอออยู่ที่พระสังข์ทองก็กราบไหว้อ้ออนวอนขอปลา พระสังข์ทองยกให้โดยขอตัดปลายจมูกหกเขยคนละหน่อย แล้วหกเขยกับเงาะป่านำปลาไปถวายเจ้าเมืองพาราณสี เจ้าเมืองพาราณสีขัดแค้นใจที่ทำอันตรายเงาะป่าไม่ได้ ก็เฝ้าคิดหาวิธีการอื่นที่จะกำจัดเงาะป่า พระอินทร์บนสวรรค์ทราบถึงการคิดร้ายของเจ้าเมืองพาราณสีต่อเงาะป่าจึงลงมาช่วย โดยเหาะลงมาลอยอยู่หน้าพระที่นั่งของเจ้าเมืองพาราณสี และกล่าวท้าทายว่าให้เจ้าเมืองพาราณสีหาคนดีมีฝีมือเหาะขึ้นมาตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศ ภายใน 7 วัน ถ้าหาไม่ได้ก็จะฆ่าเจ้าเมืองพาราณสี เจ้าเมืองพาราณสีตกใจมาก ให้ 6 เขยและบรรดาเสนาอำมาตย์ช่วยกันหาผู้อาสาเหาะไปตีคลี ทุกคนก็จนปัญญา เจ้าเมืองพาราณสีจึงให้ป่าวประกาศว่าผู้ใดที่สามารถเหาะไปตีคลีกับพระอินทร์บนอากาศได้ จะยกราชสมบัติให้ แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดมาอาสา นางมณฑาเทวีพระมเหสีของเจ้าเมืองพาราณสี จึงแอบไปหานางรจนาและขอให้นางรจนาอ้อนวอนให้เงาะป่าช่วย เงาะป่าสงสารทั้งสองนางจึงรับปาก และในวันที่ 7 เงาะป่าก็ถอดรูปเป็นพระสังข์ทอง ใส่เกือกแก้วเหาะขึ้นไปตีคลีกับพระอินทร์จนชนะ พระอินทร์ก็กลับไปบนสวรรค์ เจ้าเมืองพาราณสีดีพระทัยมากได้ขอโทษพระสังข์ทองและยกราชสมบัติให้ตามสัญญา พระสังข์ทองขอลาไปตามหาพระนางจันทราเทวีก่อน พระสังข์ทองเดินทางไปตามเมืองต่างๆ จนกระทั่งมาถึงเมืองมัทราษฎร์ จึงไปสืบถามที่บ้านธนัญชัยเศรษฐีว่ารู้จักหญิงที่ชื่อจันทราเทวีหรือไม่ ธนัญชัยเศรษฐีบอกว่าไม่รู้จัก แต่ก็เชิญพระสังข์ทองอยู่รับประทานอาหาร พระสังข์ทองสังเกตว่าอาหารมีรสปราณีต ซึ่งผู้ทำจะต้องเป็นผู้ทำอาหารถวายพระเจ้าแผ่นดิน จึงขอพบแม่ครัวและซักถามประวัติ ก็ทราบว่าเป็นพระนางจันทราเทวีจึงดีใจมาก และขอธนัญชัยเศรษฐีที่จะรับพระมารดากลับไป พระสังข์ทองนำพระมารดากลับไปอยู่ที่เมืองพาราณสี พระสังข์ทองปกครองเมืองพาราณสีจนเจริญรุ่งเรือง กิติศัพท์แพร่ไปยังนครอื่นๆ จนถึงเมืองพรหมนคร ชาวเมืองพรหมนครก็อพยพมาอยู่เมืองพาราณสี เสนาอำมาตย์เมืองพรหมนครจึงทูลเสนอพระเจ้าพรหมทัตว่า พระสังข์ทองพระราชโอรสครองเมืองพาราณสี มีความสามารถทำให้รุ่งเรือง จึงเห็นสมควรที่จะอัญเชิญพระสังข์ทองมาครองเมืองพรหมนครเพื่อสร้างความเจริญ พระเจ้าพรหมทัตเมื่อทรงทราบว่าพระโอรสยังมีชีวิตอยู่และมีความสามารถก็ยินดี และสำนึกผิดให้อำมาตย์ผู้ใหญ่ไปเมืองพาราณสีและทูลเชิญพระสังข์ทอง พระนางจันทราเทวี กลับเมืองพรหมนคร พระสังข์ทองสงสารพระบิดา จึงอ้อนวอนพระมารดาให้อภัยพระเจ้าพรหมทัตและเดินทางกลับเมืองพรหมนคร พระเจ้าพรหมทัตก็มอบราชสมบัติให้พระสังข์ทอง ปกครองบ้านเมืองเป็นสุขสืบมา
เรื่องย่อ : พระอภัยมณี (2529/1986) ท้าวสุทัศน์และพระนางประทุมเกสร ผู้ครองกรุงรัตนา มีพระโอรสสององค์ คือ พระอภัยมณี และศรีสุวรรณ ได้รับสั่งให้โอรสทั้งสองไปเรียนศิลปวิทยา ในที่สุดพระอภัยมณีได้เรียนวิชาปี่ ขณะที่ศรีสุวรรณได้เรียนวิชากระบี่กระบอง เมื่อสำเร็จวิชา ก็ได้กลับคืนพระนคร ทว่าพระบิดาทรงกริ้ว ด้วยพระโอรสไปเรียนวิชาชั้นต่ำ ไม่คู่ควรแก่กษัตริย์ จึงไล่ทั้งสองออกจากพระนคร ทั้งสองเดินทางมาถึงชายทะเล ได้พบกับสามพราหมณ์คือ โมรา สานนท์ และวิเชียร ได้สมัครเป็นมิตรกัน แล้วพระอภัยมณีเป่าปี่ให้คนทั้งหมดฟัง ทั้งหมดเคลิบเคลิ้มตามเพลงปี่จนหลับไป เพลงปี่ดังไปถึงนางผีเสื้อสมุทรที่อาศัยอยู่ในทะเล เมื่อตามเสียงปี่มาพบพระอภัยมณีก็หลงรัก จึงลักพาตัวพระอภัยมณีไปอยู่กับนางบนเกาะ แล้วจำแลงร่างเป็นหญิงสาวสวยงาม แม้พระอภัยรู้อยู่ว่านั่นคือนางยักษ์ แต่ก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้ ทั้งสองอยู่กินกันมาจนนางผีเสื้อให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ชื่อว่า สินสมุทร ด้านศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์เมื่อตื่นขึ้นมาไม่พบพระอภัยมณีก็เที่ยวค้นหา จนไปถึงเมืองรมจักรพบศึกติดพัน ศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์ช่วยรบป้องกันเมืองได้ ได้พบนางเกษราธิดาของเจ้าเมือง ต่อมาศรีสุวรรณได้อภิเษกนางเกษรา มีพระธิดาชื่อนางอรุณรัศมี วันหนึ่งสินสมุทรออกไปเที่ยวเล่นเจอพ่อเงือกแม่เงือก จึงจับตัวมาให้พระอภัยดู พ่อเงือกแม่เงือกวอนขอชีวิตโดยเสนอจะพาพระอภัยมณี หนี พระอภัยจึงออกอุบายให้นางผีเสื้อไปถือศีลบนเขาสามวัน ระหว่างนั้นเขาก็พาสินสมุทรหนี พ่อเงือกแม่เงือกพาพระอภัยและสินสมุทรมาเกือบถึงเกาะแก้วพิสดารแล้ว แต่นางผีเสื้อรู้ตัวติดตามมาทัน จับพ่อเงือกแม่เงือกฆ่าเสีย นางเงือกผู้ลูกพาพระอภัยกับสินสมุทรหนีไปจนถึงเกาะแก้วพิสดารได้สำเร็จ บนเกาะนี้มีพระฤๅษีมีฤทธิ์มาก นางผีเสื้อจึงไม่กล้าทำอะไร ทั้งหมดอาศัยอยู่บนเกาะแก้วพิสดาร พระอภัยได้นางเงือกเป็นภรรยา ฝ่ายท้าวสิลราชกับพระนางมณฑา ผู้ครองเมืองเมืองผลึก มีพระธิดาองค์เดียวคือ นางสุวรรณมาลี ทรงเป็นคู่หมั้นอยู่กับอุศเรน เจ้าชายเมืองลังกา วันหนึ่งนางสุวรรณมาลีเกิดนิมิตฝัน โหรทำนายว่าต้องออกเที่ยวทะเลจะได้พบลาภ ทั้งหมดจึงเดินเรือเที่ยวท่องไป แต่เกิดพายุใหญ่พัดเรือไปถึงเกาะนาควาริน คำทำนายของปู่เจ้าทำให้ท้าวสิลราชพากองเรือมุ่งหน้าไปยังเกาะแก้วพิสดาร ได้พบพระอภัยมณีและรับพระอภัยมณีกับสินสมุทรขึ้นเรือไปด้วยเพื่ออาศัยกลับบ้านเมือง แต่เมื่อเรือออกจากเกาะ นางผีเสื้อสมุทรก็มาอาละวาดอีกจนเรือแตก ท้าวสิลราชกับบริวารส่วนใหญ่สิ้นชีพ สินสมุทรพานางสุวรรณมาลีหนีไปได้ พระอภัยมณีเป่าปี่สังหารนางยักษ์ ทั้งหมดแตกกระจายพลัดพรายจากกัน พระอภัยมณีได้รับความช่วยเหลือจากอุศเรน คู่หมั้นของนางสุวรรณมาลี ที่ออกเรือมาตามหาเพราะหายไปนาน ส่วนสินสมุทรกับนางสุวรรณมาลีได้โจรสุหรั่ง โจรสลัดในน่านน้ำนั้นช่วยไว้ได้ แต่โจรคิดทำร้าย สินสมุทรจึงสังหารโจรแล้วครองเรือมาเอง แล้วได้พบศรีสุวรรณที่ออกล่องเรือเที่ยวตามหาพี่ชาย ทั้งหมดเดินทางไปด้วยกันจนมาพบพระอภัยมณีกับอุศเรน สินสมุทรรักนางสุวรรณมาลีอยากได้เป็นแม่ จึงเกิดวิวาทกับอุศเรน พระอภัยมณีไปเมืองผลึกกับนางสุวรรณมาลีและได้ขึ้นครองเมืองแทนท้าวสิลราช อุศเรนแค้นและกลับเมืองลังกายกทัพมาตีเมืองผลึก แต่แพ้อุบายนางวาลีจนสิ้นชีวิต นางละเวงวัณฬาผู้น้องสาวคิดแก้แค้น จึงใช้รูปของตนทำเสน่ห์ส่งไปหัวเมืองต่าง ๆ ให้ยกทัพมาตีเมืองผลึก ด้านเกาะแก้วพิสดาร นางเงือกให้กำเนิดบุตรชื่อ สุดสาคร เป็นเด็กฉลาดแข็งแรง วันหนึ่งสุดสาครจับม้านิลมังกรได้ พระฤๅษีสอนวิชาให้แล้วเล่าเรื่องพระอภัยมณีให้ฟัง สุดสาครออกเดินทางตามหาพระอภัยมณีจนไปถึงเมืองการเวก ระหว่างทางถูกชีเปลือยหลอกขโมยไม้เท้าและม้านิลมังกรไป แต่พระฤๅษีมาช่วยไว้ เมื่อชิงไม้เท้าและม้านิลมังกรคืนมาได้ ก็เข้าเมืองการเวก กษัตริย์เจ้าเมืองรักใคร่เอ็นดูสุดสาคร จึงเลี้ยงดูเป็นโอรสบุญธรรมอยู่ด้วยกันกับนางเสาวคนธ์และหัสไชยพระธิดาและพระโอรส จนเติบใหญ่ สุดสาครคิดออกตามหาพ่อ เจ้าเมืองการเวกจึงจัดกองเรือให้ โดยมีนางเสาวคนธ์และหัสไชยติดตามไปด้วย ทั้งหมดล่องเรือไปถึงเมืองผลึกขณะถูกทัพลังกาและทัพพันธมิตรล้อมเมือง พระอภัยมณี ศรีสุวรรณ สินสมุทร และสุดสาคร ช่วยเมืองผลึกรบจนสามารถเอาชนะทัพอื่น ๆ ได้ พระอภัยมณีได้รูปวาดนางละเวงที่ลงเสน่ห์ทำให้เมืองต่าง ๆ พากันยกมารบเมืองผลึกตามคำขอนางนาง แล้วเกิดต้องมนต์ของนางละเวงเสียเอง พระอภัยยกทัพตามไปตีเมืองลังกา แต่รบกันเท่าใดก็ไม่แพ้ชนะเสียที ต่อมาพระอภัยมณีลอบติดรถนางละเวงเข้าไปในวัง เมื่อนางละเวงได้พบพระอภัยก็ฆ่าไม่ลง กลับหลงรักจนได้เป็นสามีภรรยากัน ส่วนบริวารอื่นของนางละเวงคือนางยุพาผกา รำภาสะหรี และสุลาลีวัน ใช้เสน่ห์กับฝ่ายพระอภัยมณี ได้แก่ ศรีสุวรรณ สินสมุทร และแม้แต่สุดสาครที่ครองตนเป็นฤๅษีก็ต้องมนต์ไปด้วย จนทั้งหมดหลงมัวเมาติดพันอยู่ในลังกาไม่ยอมกลับเมืองผลึก นางสุวรรณมาลีกับอรุณรัศมีและเสาวคนธ์จึงมาตาม แต่ไม่เป็นผล จนต้องให้หัสไชยช่วยแก้เสน่ห์ให้ลุงและเหล่าพี่ กษัตริย์ทั้งหมดยอมสงบศึกต่อกัน แต่นางเสาวคนธ์แค้นสุดสาครจึงหนีไปเมืองวาหุโลม สุดสาครต้องติดตามไปจนภายหลังจึงได้อภิเษกกัน ด้านกรุงรัตนา ท้าวสุทัศน์สิ้นพระชนม์ พระอภัยมณีกับเหล่ากษัตริย์จึงเดินทางไปทำศพ มังคลาบุตรของพระอภัยมณีกับนางละเวงได้ครองเมืองลังกา แต่ถูกบาทหลวงยุแหย่จึงแค้นเคืองเหล่ากษัตริย์ จับตัวนางสุวรรณมาลีและพระญาติมาขังไว้ หัสไชยกับสุดสาครยกทัพมาช่วยแต่ไม่สำเร็จ แม้แต่นางละเวงผู้เป็นมารดาเองก็ห้ามปรามไม่ได้ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณยกทัพตามมาจึงเอาชนะศึกได้ จบศึกแล้วพระอภัยมณีอภิเษกโอรสทั้งหลายให้ครองเมืองต่าง ๆ แล้วออกบวชพร้อมกับนางละเวงและนางสุวรรณมาลี































