ผีเสื้อและดอกไม้ (2528)

ผีเสื้อและดอกไม้ (2528/1985) ไฟว์สตาร์โปรดักชั่น โดยความร่วมมือของ สำนักงานส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ เสนอ ภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม เพื่อร่วมฉลองปีเยาวชนสากลใต้สุดเขตประเทศไทย ยังมีความรัก การผจญภัยและความใฝ่ฝันของชีวิตเล็กๆ

ฮูยัน เด็กหนุ่มที่ตัดสินใจออกจากการเรียนเพื่อไปทำงานหารายได้ช่วยครอบครัว จนได้ไปเข้าร่วมขบวนการกองทัพมดของเด็กหนุ่มจำนวนมากที่ทำงานขนข้าวขึ้นรถไฟไปขายยังชายแดนมาเลเซีย เป็นผลให้เขาได้เรียนรู้ถึงเรื่องราวของชีวิตและมิตรภาพ

ฮูยัน เป็นเด็กมุสลิมเกิดในครอบครัวที่ฐานะยากจน มีพ่อเป็นกรรมกรรถไฟซึ่งกำลังจะตกงาน มีน้องๆอีก 2 คนในความดูแล ฮูยันต้องออกจากโรงเรียนเพราะไม่มีเงินจ่ายค่ากระดาษสอบทั้งที่เป็นเด็กที่เรียนเก่ง จากนั้นก็ต้องดิ้นรนหาเงินมาจุนเจือครอบครัวด้วยวิธีต่างๆ เริ่มแรกจากเดินขายไอติมก็ไปไม่รอด จนกระทั่งเข้าไปอยู่ในขบวนการกองทัพมดลอบขนข้าวสารข้ามประเทศ ในวัยที่เปรียบเสมือนดอกไม้แรกผลิ ฮูยันกลับต้องเผชิญภยันตรายเสี่ยงภัยต่างๆ ท่ามกลางความขัดแย้ง อาชญากรรมและควันปืนคุกรุ่นในชุมชนที่ยากจนซ้ำซาก

Placeholder
ประชาชนนอก (2524/1981) ภาพยนตร์ที่ได้รับทุนจากสภาคาธอริกแห่งประเทศไทยเพื่อการพัฒนา ที่สะท้อนปัญหาการอพยพของย้ายถิ่นของคนในภาคอีสาน โดยผู้กำกับได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนบทจากอัตชีวประวัติของคนรอบข้าง ใช้เวลาในการทำงานยาวนานกว่า 4 ปี และเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากหน่วยงานของรัฐในการเข้าตรวจสอบในระหว่างการถ่ายทำ หลังจากที่ ประชาชนนอก ออกฉายในปี 2524 ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในกลุ่มนักศึกษา กลุ่มองค์กรเพื่อการพัฒนาต่างๆ นอกจากนี้ยังได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ในประเทศต่างๆ อาทิ ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ฮ่องกง และล่าสุดเมื่อปี 2542 ที่เมืองพูซาน ประเทศเกาหลี
เขยใหม่ปึ๋งปั๋ง (2522)
เขยใหม่ปึ๋งปั๋ง (2522/1979) เรื่องราวของ "กิมธง แซ่เบ้" หนุ่มเชื้อสายจีนพูดไทยไม่ชัด ได้พบรักกับ "วรรัตน์" สาวสวยนักเรียนนอก แม้ทั้งคู่จะรักกันมาก แต่แม่ของวรรัตน์กลับรังเกียจลูกเขยคนจีนคนนี้มาก ทำให้เกิดศึกประทะคารมและประสาทระหว่างลูกเขยและแม่ยายเป็นประจำ ด้านแม่ของวรรัตน์ก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายความรักของคนทั้งสอง
น้ำค้างหยดเดียว (2521)

น้ำค้างหยดเดียว (2521/1978) ข้อความบนใบปิด บริษัทเอแพ็กซ์โปรดักชั่นจำกัด มิใช่เป็นเพียงภาพยนตร์ แต่มันเป็นชีวิต... “น้ำค้างหยดเดียว” สร้างสรรค์ “ความใหม่” เพื่อหนีความจำเจ นิจ อลิษา สุรเดช ชุ่มสิน ด.ช.กริช วงศ์ไทย นันทา ตันสัจจา อำนวยการสร้าง ชูชาติ โตประทีป ถ่ายภาพ สุชาติ วุฒิวิชัย กำกับการแสดง

 
วัยตกกระ (2521)
วัยตกกระ (2521/1978) ความสมบูรณ์พร้อมด้วยเกียรติและทรัพย์สินของครอบครัว ส่งผลให้ นิสา วัฒน์ และ เล็ก สามพี่น้องไม่ได้นึกถึงความกตัญญูต่อมารดาเลยแม้แต่น้อย ทั้งหมดต่างไม่ไยดีต่อแม่ผู้ให้กำเนิด และทำตัวหมางเมินจนเหมือนเป็นเพียงคนแก่ที่เดินผ่านไปผ่านมาภายในบ้าน วันหนึ่งหญิงชราก็มิอาจทนการถูกดูแคลนจากลูกบังเกิดเกล้าได้ จึงตัดสินหนีออกจากบ้านไปโดยไม่บอกกล่าว ความสมบูรณ์พร้อมด้วยเกียรติและทรัพย์สินของครอบครัว มิได้ทำให้ นิสา, วัฒน์ และ เล็ก สามพี่น้องได้คำนึงถึงความกตัญญูต่อมารดาเลยแม้แต่นิด นิสา เอาแต่เป็นสาวสังคมปล่อยให้สามีซึ่งเป็นคนรวยคอยว่าร้ายมารดาเธอ วัฒน์ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็มีท่าทีจะคอรัปชั่นโดยไม่ใส่ใจคำสอนของมารดา ในขณะที่เล็กก็หลงผู้ชายจนโงหัวไม่ขึ้นไม่แยแสแม้กระทั่งคำตักเตือน ซ้ำยังเกรี้ยวกราดใส่มารดาหาว่าเข้ามายุ่งยากกับชีวิต ทั้งหลายทั้งปวงทำให้หญิงชราที่เคยให้กำเนิดเลี้ยงดูลูกรักทั้งสาม ถูกมองข้ามและถูกทอดทิ้งให้กลายเป็นคนแก่ที่เดินผ่านไปผ่านมาภายในบ้าน ดีที่ได้ทรงพลเด็กหนุ่มบ้านใกล้เรือนเคียงคอยเติมเต็มความรู้สึกที่ดีราวกับหลานรัก แต่กระนั้นนางก็มิอาจทนถูกดูแคลนจากลูกบังเกิดเกล้าจึงตัดสินหนีออกจากบ้านไปโดยไม่บอกกล่าว  เหตุนี้จึงทำให้ บุตรและธิดาทั้งสามกลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้ง นิสาออกตามหามารดาอย่างสุดกำลัง วัฒน์ตัดสินใจเลิกสมคบกันคอรัปชั่นกับนายทุนอย่างเด็ดขาด ในขณะที่เล็กก็รู้ซึ้งถึงคำเตือนของมารดาเมื่อผู้ชายของเธอนั้นเป็นเพียงคนหลอกลวงที่ทิ้งเธอไป ทั้งสามออกตามหามารดาพร้อมด้วยการช่วยเหลือจากทรงพล เด็กหนุ่มซึ่งดูจะห่างเหินจากคนบ้านนี้แต่กลับกลายเป็นคนที่เข้าใจมารดาของคนบ้านหลังนี้ที่สุด กระทั่งได้มาพบกับมารดาที่บ้านพักคนชรา ทั้งสามจึงขออโหสิกรรมและวิงวอนให้มารดากลับไปอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง โดยสัญญาว่าเรื่องที่เคยผ่านมาจะไม่มีทางเกิดขึ้นต่อมารดาผู้เป็นที่รักยิ่งอีกแล้ว
7 ซุปเปอร์เปี๊ยก (2521)

7 ซุปเปอร์เปี๊ยก (2521/1978)สักกะ จารุจินดา จงใจสร้างเป็นของขวัญสำหรับเด็ก สุดสนุก ซึ้งซาบประทับใจ "เมตตา" จากนางอิจฉา กลายเป็น ซินเดอเรลล่า โรแมนติค เข้าท่า

ครูระบำพานักเรียนไปเข้าค่ายพักแรมที่หาดยาว ครูระบำปล่อยเด็กๆ ไปเดินเล่น ธงชัยและเพื่อนอีก 6 คน เดินเล่นและไปพบกับบ้านหลังหนึ่ง จึงแอบเข้าไปดูด้วยความซุกซน และได้รู้ว่าเป็นที่หลบซ่อนตัวของพวกโจรขโมยทอง ธงชัยและเพื่อนๆ ช่วยกันวางแผนจนสามารถนำทองกลับมามอบให้ตำรวจสำเร็จ

เมื่อโรงเรียนปิดเทอม ครูระบำ (เมตตา รุ่งรัตน์) กับครูโป้ง (ปัญญา นิ่มเจริญพงษ์) ก็พานักเรียนประมาณ 40 คนไปเที่ยวชายทะเลที่จังหวัดระยอง โดยไปตั้งแค้มป์พักกันเองเพราะต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ต่อมาเด็กกลุ่มหนึ่ง 7 คนซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องก็พากันไปเที่ยวตกปลาหาหอยไกลจากที่พักและไปพบบ้านร้างหลังหนึ่งซึ่งสมัยก่อนเคยเป็นที่พักของทหารอเมริกัน มีป้ายปักหน้าบ้านว่า ห้ามเข้า ผีดุ เด็กๆ ก็เห็นว่าเป็นเรื่องตลกเพราะครูสอนว่า ผีไม่มีในโลก จึงจะพากันเข้าไปพิสูจน์ในบ้านหลังนั้น แต่ก็ถูกชายคนหนึ่งไล่ออกมาก่อน เด็กๆ ก็คิดกันว่า บ้านร้าง แต่มีคนเฝ้า มันต้องมีอะไรสักอย่างที่เป็นเรื่องไม่ดีเหมือนอย่างที่เคยเห็นในหนังทีวี จึงจะแอบเข้าไปดูให้รู้ความจริง แม้ว่าจะมีเด็กๆ บางคนคัดค้าน แต่สุดท้ายก็ตามไปด้วย

พอแอบเข้าไปในบ้านร้าง เด็กๆ ก็ได้ยินฝรั่งคนร้ายพูดถึงเรื่องการนำทองคำแท่งซึ่งปล้นมาจากธนาคารไปแลกกับอาวุธสงคราม ก็รีบไปบอกครูโป้ง แต่ครูโป้งกลับเตือนไม่ให้เข้าไปยุ่งกับที่นั่นเอง พอดีจ่าหงอยผ่านมาเยี่ยมแค้มป์ เด็กๆ ก็เล่าเรื่องให้จ่าหงอยฟัง จ่าหงอยฟังแล้วกลับคิดว่าเด็กๆ เล่าเรื่องจากหนังทีวีให้ฟัง ทำให้เด็กๆ ก็พากันน้อยใจที่ไม่มีใครเชื่อคำพูดตน จึงตกลงกันว่า จะต้องไปเอาทองคำแท่งมาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เด็กๆ อย่างเราพูดจริง จากนั้นก็พากันกลับไปที่บ้านร้างและลอบเข้าไปในห้องใต้ดินและก็นำทองคำแท่งมาใส่ไว้ในเสื้อของจุ๋มจิ๋มเด็กตัวอ้วนๆ แต่ขณะกำลังจะหนีออกมา คนร้ายก็รู้ตัวและจับจุ๋มจิ๋มไว้ เด็กๆ ก็รีบกลับไปบอกครูและตำรวจมาช่วยจุ๋มจิ๋ม คนร้ายรู้ว่า ความลับรั่วไหลและตำรวจกำลังจะมาจึงหลบหนีไป เด็กๆ ก็รอดปลอดภัยกลับมา

อุดมเด็กดี (2505)
อุดมเด็กดี (2505/1962) อุดม มั่นสุจริต เด็กยากจนแต่มีความขยันหมั่นเพียร มีมานะในการทำงานเพื่อเลี้ยงแม่และค่าเช่าที่ดิน ซึ่งหากไม่มีเงินมาจ่ายก็อาจจะเสียม้าที่ชื่อ เจ้าลอยลม มรดกที่พ่อทิ้งไว้ให้ การหาเงินเป็นเรื่องยากลำบากรวมถึงต้องพบกับอุปสรรค และชะลอ รักการค้า เพื่อนขี้เกียจที่ชวนอุดมให้เกียจคร้าน แต่ท้ายสุดด้วยความซื่อสัตย์และขยัน อุดมจึงช่วยแม่ จ่ายค่าเช่าที่ดิน และช่วยให้ชะลอให้หายหลังยาวได้สำเร็จ
แม่ศรีเรือน (2497)
แม่ศรีเรือน (2497/1954) เพราะทนถูกนายจ้างเอาเปรียบเรื่องเงินเดือนไม่ได้ โดม จึงตัดสินใจลาออกจากงานมาเป็นพ่อบ้าน ชไมพร ภรรยาที่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านจึงจำต้องออกไปหางานทำแทนสามี กระทั่งได้งานที่บริษัทสตรีไทยของ คุณนายแช่มช้อย บริษัทที่ออกกฎห้ามพนักงานหญิงมีสามี ชไมพรจึงต้องปิดบังเรื่องโดมไว้เป็นความลับ ความสามารถของชไมพรเป็นที่ปลาบปลื้มของคุณนายแช่มช้อย จึงพยายามจับคู่ชไมพรให้ ชวลิตลูกชาย ฟากโดมก็ได้รู้จักกับ วัทณีย์ ลูกสาวเจ้าของบ้านเช่าที่ตนอาศัยอยู่ ความรักระหว่างโดมกับชไมพรจึงส่อแววเข้าใจผิดเป็นเหตุให้เกิดเรื่องยุ่งๆ ตามมา กระทั่งความลับถูกเปิดเผย ในจังหวะเดียวกับที่ชวลิตและวัทณีย์ดันมาชอบกันโดยบังเอิญ ด้วยความเมตตาชไมพร คุณนายแช่มช้อยจึงยกเลิกกฎ และให้ชไมพรได้ทำงานต่อไป ฝ่ายโดมหลังจากว่างงานมานานก็ได้กลับมาทำงานอีกครั้ง ด้วยความช่วยเหลือจากวัทณีย์ เรื่องจึงจบลงด้วยความสุขสมหวังทุกประการ
พลายมลิวัลย์ (2496)
พลายมลิวัลย์ (2496/1953) ม.จ. สุริยา ผู้มีชาติตระกูลฐานะนักเรียนนอกมีความรู้ ผิดหวังชีวิตในการทำงาน ทําให้เป็นผู้ติดเหล้าขนาดหนัก จนกระทั่งหลงไปอยู่ในป่าไม้ศรีราชาโดยไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร ได้ทํางานเป็นควาญเลี้ยงช้างชื่อ "พลายมลิวัลลิ์" มีความผูกพันกันระหว่างคนกับสัตว์และสัตว์กับคน ในเวลา 2 ปีที่อยู่ในป่าไม้ มีตัวเชื่อมคือเหล้าเถื่อน กินทั้งคนและช้าง การหายไปของ ม.จ. สุริยา ที่มีบุตรชายกับภรรยา (อรพิน) ทําาให้คิดว่าเสียชีวิตไปแล้ว จึงได้แต่งงานใหม่ กับ ม.จ.วรวัฒน์ ภายหลัง 2 ปี ได้นําครอบครัวมาเยี่ยมเยียนดูแลธุรกิจของของครอบครัวที่ศรีราชา ทําให้ลูกชาย (จิ๋ว) และสุริยาได้พบกัน แต่พลายมลิวัลลิ์ที่มีความรักให้กับสุริยา เหมือนสัตว์รักคน เกิดรัก โลภ โกรธ หลง เหมือนปุถุชน จึงดันรถไฟจะให้ทับร่างจิ๋ว ลูกชายที่กําลังเดินทางกลับ พ่อเห็นจึงโดดให้รถไฟทับเพื่อช่วยลูกชาย
ตุ๊กตาจ๋า (2494)
ตุ๊กตาจ๋า (2494/1951) เฉลิม ชลกุล ญาติสนิทปฏิเสธการช่วยเหลือเรื่องเงินทอง อุดม ชายโฉดจึงลักพาตัวตุ๊กตา ลูกสาวของเฉลิมไป แต่อุดมไม่อยากมีภาระ จึงเอาตุ๊กตาไปฝากไว้กับ ละม้าย ญาติซึ่งไม่ชอบขี้หน้าเฉลิม โดยเสนอว่าจะส่งเงินให้ ละม้ายปฏิเสธการช่วยเหลือจึงถูกอุดมฆ่าปิดปาก โจ้ กับ ธร ซึ่งนั่งเลื่อยไม้อยู่แถวนั้น ได้ยินเสียงปืนดังลั่นก็รีบวิ่งไปดูที่มาของเสียง พบศพของละม้ายนอนตายอยู่กลางทาง และมีตุ๊กตานั่งอยู่ข้างๆ ศพโจ้กับธรจึงเก็บตุ๊กตามาเลี้ยงเพราะความสงสาร ด้วยความยากมีเงินทอง โจ้กับธรจึงต้องอาศัยการลักเล็กขโมยน้อยประทังชีวิต 10 ปีผ่านไป ตุ๊กตาเริ่มโตพอจะอ่านออกเขียนได้ ธรก็ใช้ความรู้เท่าที่มีสอนหนังสือให้ตุ๊กตา แล้วโชคชะตาก็พาให้ตุ๊กตาได้พบกับแม่ที่แท้จริง เมื่อธรเกิดไปถูกใจสาวสวยคนหนึ่ง แต่ถูกสาวเจ้าสาดน้ำใส่ อารามเสียหน้าจึงตั้งใจจะไปขโมยของในบ้านของสาวเจ้าเป็นการแก้เผ็ด แต่เมื่อเข้าไปในบ้าน ธรกลับได้เห็นรูปภาพของเด็กหญิงตุ๊กตาใส่กรอบรูปไว้เป็นอย่างดี จึงได้รู้ว่าตุ๊กตาเป็นลูกสาวของบ้านนั้นที่หายตัวไปพร้อม ๆ กับที่รู้ว่าสาวที่ตนแอบชอบนั้นตาบอด เป็นพี่สาวของตุ๊กตา ชื่อว่า ไพริน เมื่อธรแน่ใจจึงเล่าความจริงให้โจ้ฟัง และชวนกันไปทำความรู้จักกับครอบครัวของไพรินในวันต่อมามณี แม่ของไพรินได้เห็นตุ๊กตาก็ถึงกับตะลึงงัน จึงต้อนรับขับสู้แขกแปลกหน้าทั้งสามอย่างไม่มีทีท่ารังเกียจ แต่แล้ววันหนึ่ง อุดมก็มาปรากฏตัวที่บ้านของธรเพื่อข่มขู่จะเอาตัวตุ๊กตา แล้วไปเรียกค่าไถ่จากมณี ธรกับโจ้ปรึกษากันเห็นว่าไม่มีทางออกอื่นนอกจากต้องคืนตุ๊กตาให้ครอบครัวที่แท้จริงเพื่อความปลอดภัยของเด็กน้อย แม้ทั้งสองจะรักตุ๊กตาประดุจลูกในไส้ก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่อุดมนัดหมายจะมารับตุ๊กตา ธรเอาตัวเข้าสู้และยิงอุดมเสียชีวิต แม้ตัวเองจะต้องตายไปด้วยก็ตาม
ใจไทย (2484)
ใจไทย (2484/1941) เป็นภาพยนตร์ที่จัดสร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่กิจการของกรมประชาสงเคราะห์ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2483 กรมประชาสงเคราะห์ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ประกอบด้วย นายแพทย์ยง ชุติมา ขุนสงัดโรคกิตติขุนสอนสุขกิจ และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ไปแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้อพยพที่หนีความทารุณของฝรั่งเศสในอินโดจีน จากตำบลไพลินมาอยู่ที่จังหวัดจันทบุรีและตราด ขุนประสงค์สุขการี ข้าหลวงประจำจังหวัดจันทบุรี เป็นผู้ต้อนรับเจ้าหน้าที่ของกรมประชาสงเคราะห์ และพาข้ามแม่น้ำจันทบุรีไปชมการทำถนนบนเขาเกลือ ทำเสื่อจันทบูรณ์ การทำพลอย พาไปศาลเจ้าตากสิน ศาลากลางจังหวัดซึ่งกำลังแห่โฆษณาฉายภาพยนตร์การกุศลเพื่อหาเงินช่วยผู้อพยพ จากนั้นจึงพาข้ามแม่น้ำจันทบุรีมาขึ้นรถที่ท่าโรงสีกานหลี ไปเยี่ยมเยียนผู้อพยพที่อำเภอมะขาม ผู้อพยพส่วนมากเป็นชาวกุหล่าที่หนีมาจากตำบลไพลิน ขุนประสงค์สุขการีและขุนสงัดโรคกิตติ ตัวแทนเจ้าหน้าที่กรมประชาสงเคราะห์ขึ้นกล่าวปราศรัย ก่อนจะแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้อพยพ และกลับไปยังจังหวัดจันทบุรี เพื่อเยี่ยมเยียนคนงานทำถนนบนเขาเกลือ วันที่ 26 ธันวาคม 2483 นายพันโท ขุนจำนงภูมิเวท รักษาการอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์พร้อมข้าราชการในกรมไปตรวจเยี่ยมราษฎรที่จังหวัดจันทบุรีผู้อพยพ ทหาร และตำรวจในนามของนายกรัฐมนตรี โดยมีนายพันตรีประพันธ์ รองผู้บังคับการทหารม้าปืนใหญ่และข้าราชการจังหวัดจันทบุรีให้การต้อนรับที่ท่าเรือ ค่ำวันนั้นมีการฉายภาพยนตร์ของกรมประชาสงเคราะห์จากนั้นในวันที่ 28 ธันวาคม 2483 กองพลจันทบุรีได้จัดให้มีพิธีเดินผ่านธงชัยเฉลิมพล ที่ค่ายทหาร
รวมไทย (2484)
รวมไทย (2484/1941) บันทึกเหตุการณ์กรณีพิพาทไทย-อินโดจีนของฝรั่งเศส เกียรติประวัติของ ร.พัน 3 หลังจากที่ฝรั่งเศสตอบปฏิเสธรัฐบาลไทยกรณีเรียกร้องดินแดนคืนฝ่ายไทยจึงเริ่มมีการลำเรียงทหารและจัดตั้งองค์การอาสากาชาดเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขพลเมืองไทยตามแนวรบชายฝั่งแม่น้ำโขง แล้วจึงมีการสู่รบทางอากาศที่เมืองนครพนม เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 เป็นชนวนให้เกิดการรบใหญ่ในเวลาต่อมาที่สมรภูมิบ้านพร้าวซึ่งกองทัพบูรพายึดธงชัยเฉลิมพลของข้าศึกได้ กองหน้าฝ่ายไทยได้ยึดดินแดนไปจนถึงบริเวณก่อนประตูศรีโสภณประมาณ 6 กม. ก่อนจะมีการพักรบในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2483 แล้วจึงมีการจัดการเดินสวนสนามฉลองชัย ที่กรุงเทพ ระหว่างพักรบ นายพลตรีหลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมทหารในแนวรบ กองทัพบูรพาและประดับเหรียญชัยสมรภูมิแก่แม่ทัพ นายกอง และนายทหาร หลังจากนั้นเหล่าทหารที่ร่วมรบได้เดินทางกลับกรุงเทพ ท่ามกลางการต้อนรับของมหาชน และสวนสนามฉลองชัยรวมทั้งแสดงอาวุธอันทันสมัยที่ใช้ในการรบคราวนี้ ในวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2484
Placeholder
กินอะไร (2472/1929) เป็นภาพยนตร์แถลงการณ์ของกรมสาธารณสุข ซึ่งได้จัดทำขึ้นเป็นพิเศษเป็นเรื่องแรก มีกำหนดจะนำออกฉายตามโรงภาพยนตร์ต่าง ๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ควรต้องนับว่า เป็นภาพยนตร์แถลงการณ์เชิงภาพข่าวกลายๆ อย่างน่าดูได้เรื่องหนึ่ง ซึ่งทุกท่านควรไปชม เพื่อประดับความรู้รอบตัวให้มากยิ่งขึ้นทางสุขศึกษา ในเรื่องของการ "กินอะไร" เพราะทุกๆ คนจะต้องกินกัน ทุกวัน แต่อะไรจะควรกินและไม่ควรกิน ภาพยนตร์เรื่อง นี้จะบอกคุณประโยชน์ให้ท่านผู้ดูทราบโดยถี่ถ้วน (ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวัน ศรีกรุง 31 ตุลาคม พ.ศ. 2472) กล่าวถึงสวนผัก สกปรกเพราะรดด้วยน้ำอุจจาระ คนมาซื้อผักจากสวนไปขาย พายเรือไปขาย คน ซื้อเรียกซื้อ ไปถึงตลาด ตลาดสกปรก คนมาซื้อ แม่บ้าน อ้วนๆ มาซื้อไปบ้าน บ้านสะอาดแต่ข้างหน้าข้างหลังใน ครัวสกปรก แม่บ้านทำอาหารไม่ได้ล้างผัก ให้สามีและลูกกินกันสองคน รุ่งเช้าสามีปวดท้อง เข้าส้วม ลูกก็เข้าส้วม ส้วมก็ไม่ถูกสุขลักษณะ สองพ่อลูกเป็นอหิวาต์แม่บ้านไป โทรศัพท์เรียกแผนกโรคติดต่อ กรมสาธารณสุข มารับไป โรงพยาบาลกลาง สรุป กินอะไร? คือกินอุจาระนั่นเอง (ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวัน ศรีกรุง หลายวัน ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2472)
ไม่เชื่อน้ำมนต์หมอผี 2470

เรื่องย่อ : ไม่เชื่อน้ำมนต์หมอผี (2470/1927) ไม่เชื่อน้ำมนต์หมอผี เล่าถึงครอบครัวหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ทางจังหวัดธนบุรีตอนเหนือ ตั้งแต่พ่อสมบุญ จิตต์กระด้างยังเชื่อน้ำมนต์หมอผี จนกระทั่งไม่เชื่อน้ำมนต์หมอผี เรื่องมีอยู่ว่า พ่อสมบุญป่วยเรื้อรังเป็นเวลานาน ไม่ยอมทานยารักษาโรคแผนปัจจุบันใดๆ เพราะพ่อสมบุญมีความเชื่อว่าอาการของแกจะทุเลาลงได้ ก็ต่อเมื่อได้รับการเสกเป่าน้ำมนต์เท่านั้น วันหนึ่ง พ่อสมบุญได้ยินกิตติศัพท์ของหมอดั่น ว่าสามารถรักษาผู้เจ็บป่วยหรือถูกผีเข้าได้ พ่อสมบุญจึงให้ลูกชายชื่อ นายสุพินธ์ ไปเชิญหมอดั่นมาตรวจอาการ ก่อนเริ่มพิธี หมอดั่นขอเงินค่าไหว้ครูเป็นเงิน 5 บาทแล้วจึงลงมือปลุกเสกน้ำมนต์ แต่อาการของพ่อสมบุญก็ไม่มีทีท่าจะดีขึ้น จนกระทั่ง แกคิดว่าจะต้องสิ้นชีวิตแน่จึงแจกเงินให้ลูกคนละ 1 บาท เพื่อไปทำบุญอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ตนชอบแล้วให้แผ่กุศลมาให้แก นายสุพินธ์นำเงินไปซื้ออ้อยให้ช้างกิน นายโสพิตร์ให้ทานคนพิการ 10 คน คนละ 10 สตางค์นางสาวสนองบริจาคเงิน 1 บาท แก่สภากาชาดสยามปรากฏว่า พ่อสมบุญเห็นดีงามกับการทำบุญของนางสาวสนอง เพราะยังประโยชน์แก่คนหมู่มาก จึงขอให้ลูกทั้งสามพาไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แพทย์ตรวจพบว่าพ่อสมบุญเป็นโรคลำไส้พิการ ไม่ใช่ถูกคุณไสยแต่อย่างใด อาการป่วยของพ่อสมบุญค่อยๆ หายเป็นปรกติ ทำให้เขาเลื่อมใสในวิธีการแพทย์แผนปัจจุบันเป็นอันมาก ต่อมา หมอดั่นบังเอิญผ่านมาหน้าบ้านพ่อสมบุญ เห็นพ่อสมบุญแข็งแรงดีก็คุยโวโอ้อวดสรรพคุณของตน พ่อสมบุญจึงไล่ตะเพิดพร้อมกับตะโกนว่า "ไอ้เรื่องวิธีรักษาของแกอย่างบ้าๆ ฉันไม่ขอพบขอเห็นอีกแล้ว"

หน้าที่