ภาพยนตร์
ผีเสื้อและดอกไม้ (2528/1985) ไฟว์สตาร์โปรดักชั่น โดยความร่วมมือของ สำนักงานส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ เสนอ ภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม เพื่อร่วมฉลองปีเยาวชนสากลใต้สุดเขตประเทศไทย ยังมีความรัก การผจญภัยและความใฝ่ฝันของชีวิตเล็กๆ
ฮูยัน เด็กหนุ่มที่ตัดสินใจออกจากการเรียนเพื่อไปทำงานหารายได้ช่วยครอบครัว จนได้ไปเข้าร่วมขบวนการกองทัพมดของเด็กหนุ่มจำนวนมากที่ทำงานขนข้าวขึ้นรถไฟไปขายยังชายแดนมาเลเซีย เป็นผลให้เขาได้เรียนรู้ถึงเรื่องราวของชีวิตและมิตรภาพ
ฮูยัน เป็นเด็กมุสลิมเกิดในครอบครัวที่ฐานะยากจน มีพ่อเป็นกรรมกรรถไฟซึ่งกำลังจะตกงาน มีน้องๆอีก 2 คนในความดูแล ฮูยันต้องออกจากโรงเรียนเพราะไม่มีเงินจ่ายค่ากระดาษสอบทั้งที่เป็นเด็กที่เรียนเก่ง จากนั้นก็ต้องดิ้นรนหาเงินมาจุนเจือครอบครัวด้วยวิธีต่างๆ เริ่มแรกจากเดินขายไอติมก็ไปไม่รอด จนกระทั่งเข้าไปอยู่ในขบวนการกองทัพมดลอบขนข้าวสารข้ามประเทศ ในวัยที่เปรียบเสมือนดอกไม้แรกผลิ ฮูยันกลับต้องเผชิญภยันตรายเสี่ยงภัยต่างๆ ท่ามกลางความขัดแย้ง อาชญากรรมและควันปืนคุกรุ่นในชุมชนที่ยากจนซ้ำซาก
น้ำค้างหยดเดียว (2521/1978) ข้อความบนใบปิด บริษัทเอแพ็กซ์โปรดักชั่นจำกัด มิใช่เป็นเพียงภาพยนตร์ แต่มันเป็นชีวิต... “น้ำค้างหยดเดียว” สร้างสรรค์ “ความใหม่” เพื่อหนีความจำเจ นิจ อลิษา สุรเดช ชุ่มสิน ด.ช.กริช วงศ์ไทย นันทา ตันสัจจา อำนวยการสร้าง ชูชาติ โตประทีป ถ่ายภาพ สุชาติ วุฒิวิชัย กำกับการแสดง
7 ซุปเปอร์เปี๊ยก (2521/1978)สักกะ จารุจินดา จงใจสร้างเป็นของขวัญสำหรับเด็ก สุดสนุก ซึ้งซาบประทับใจ "เมตตา" จากนางอิจฉา กลายเป็น ซินเดอเรลล่า โรแมนติค เข้าท่า
ครูระบำพานักเรียนไปเข้าค่ายพักแรมที่หาดยาว ครูระบำปล่อยเด็กๆ ไปเดินเล่น ธงชัยและเพื่อนอีก 6 คน เดินเล่นและไปพบกับบ้านหลังหนึ่ง จึงแอบเข้าไปดูด้วยความซุกซน และได้รู้ว่าเป็นที่หลบซ่อนตัวของพวกโจรขโมยทอง ธงชัยและเพื่อนๆ ช่วยกันวางแผนจนสามารถนำทองกลับมามอบให้ตำรวจสำเร็จ
เมื่อโรงเรียนปิดเทอม ครูระบำ (เมตตา รุ่งรัตน์) กับครูโป้ง (ปัญญา นิ่มเจริญพงษ์) ก็พานักเรียนประมาณ 40 คนไปเที่ยวชายทะเลที่จังหวัดระยอง โดยไปตั้งแค้มป์พักกันเองเพราะต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ต่อมาเด็กกลุ่มหนึ่ง 7 คนซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องก็พากันไปเที่ยวตกปลาหาหอยไกลจากที่พักและไปพบบ้านร้างหลังหนึ่งซึ่งสมัยก่อนเคยเป็นที่พักของทหารอเมริกัน มีป้ายปักหน้าบ้านว่า ห้ามเข้า ผีดุ เด็กๆ ก็เห็นว่าเป็นเรื่องตลกเพราะครูสอนว่า ผีไม่มีในโลก จึงจะพากันเข้าไปพิสูจน์ในบ้านหลังนั้น แต่ก็ถูกชายคนหนึ่งไล่ออกมาก่อน เด็กๆ ก็คิดกันว่า บ้านร้าง แต่มีคนเฝ้า มันต้องมีอะไรสักอย่างที่เป็นเรื่องไม่ดีเหมือนอย่างที่เคยเห็นในหนังทีวี จึงจะแอบเข้าไปดูให้รู้ความจริง แม้ว่าจะมีเด็กๆ บางคนคัดค้าน แต่สุดท้ายก็ตามไปด้วย
พอแอบเข้าไปในบ้านร้าง เด็กๆ ก็ได้ยินฝรั่งคนร้ายพูดถึงเรื่องการนำทองคำแท่งซึ่งปล้นมาจากธนาคารไปแลกกับอาวุธสงคราม ก็รีบไปบอกครูโป้ง แต่ครูโป้งกลับเตือนไม่ให้เข้าไปยุ่งกับที่นั่นเอง พอดีจ่าหงอยผ่านมาเยี่ยมแค้มป์ เด็กๆ ก็เล่าเรื่องให้จ่าหงอยฟัง จ่าหงอยฟังแล้วกลับคิดว่าเด็กๆ เล่าเรื่องจากหนังทีวีให้ฟัง ทำให้เด็กๆ ก็พากันน้อยใจที่ไม่มีใครเชื่อคำพูดตน จึงตกลงกันว่า จะต้องไปเอาทองคำแท่งมาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เด็กๆ อย่างเราพูดจริง จากนั้นก็พากันกลับไปที่บ้านร้างและลอบเข้าไปในห้องใต้ดินและก็นำทองคำแท่งมาใส่ไว้ในเสื้อของจุ๋มจิ๋มเด็กตัวอ้วนๆ แต่ขณะกำลังจะหนีออกมา คนร้ายก็รู้ตัวและจับจุ๋มจิ๋มไว้ เด็กๆ ก็รีบกลับไปบอกครูและตำรวจมาช่วยจุ๋มจิ๋ม คนร้ายรู้ว่า ความลับรั่วไหลและตำรวจกำลังจะมาจึงหลบหนีไป เด็กๆ ก็รอดปลอดภัยกลับมา
เรื่องย่อ : ไม่เชื่อน้ำมนต์หมอผี (2470/1927) ไม่เชื่อน้ำมนต์หมอผี เล่าถึงครอบครัวหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ทางจังหวัดธนบุรีตอนเหนือ ตั้งแต่พ่อสมบุญ จิตต์กระด้างยังเชื่อน้ำมนต์หมอผี จนกระทั่งไม่เชื่อน้ำมนต์หมอผี เรื่องมีอยู่ว่า พ่อสมบุญป่วยเรื้อรังเป็นเวลานาน ไม่ยอมทานยารักษาโรคแผนปัจจุบันใดๆ เพราะพ่อสมบุญมีความเชื่อว่าอาการของแกจะทุเลาลงได้ ก็ต่อเมื่อได้รับการเสกเป่าน้ำมนต์เท่านั้น วันหนึ่ง พ่อสมบุญได้ยินกิตติศัพท์ของหมอดั่น ว่าสามารถรักษาผู้เจ็บป่วยหรือถูกผีเข้าได้ พ่อสมบุญจึงให้ลูกชายชื่อ นายสุพินธ์ ไปเชิญหมอดั่นมาตรวจอาการ ก่อนเริ่มพิธี หมอดั่นขอเงินค่าไหว้ครูเป็นเงิน 5 บาทแล้วจึงลงมือปลุกเสกน้ำมนต์ แต่อาการของพ่อสมบุญก็ไม่มีทีท่าจะดีขึ้น จนกระทั่ง แกคิดว่าจะต้องสิ้นชีวิตแน่จึงแจกเงินให้ลูกคนละ 1 บาท เพื่อไปทำบุญอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ตนชอบแล้วให้แผ่กุศลมาให้แก นายสุพินธ์นำเงินไปซื้ออ้อยให้ช้างกิน นายโสพิตร์ให้ทานคนพิการ 10 คน คนละ 10 สตางค์นางสาวสนองบริจาคเงิน 1 บาท แก่สภากาชาดสยามปรากฏว่า พ่อสมบุญเห็นดีงามกับการทำบุญของนางสาวสนอง เพราะยังประโยชน์แก่คนหมู่มาก จึงขอให้ลูกทั้งสามพาไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แพทย์ตรวจพบว่าพ่อสมบุญเป็นโรคลำไส้พิการ ไม่ใช่ถูกคุณไสยแต่อย่างใด อาการป่วยของพ่อสมบุญค่อยๆ หายเป็นปรกติ ทำให้เขาเลื่อมใสในวิธีการแพทย์แผนปัจจุบันเป็นอันมาก ต่อมา หมอดั่นบังเอิญผ่านมาหน้าบ้านพ่อสมบุญ เห็นพ่อสมบุญแข็งแรงดีก็คุยโวโอ้อวดสรรพคุณของตน พ่อสมบุญจึงไล่ตะเพิดพร้อมกับตะโกนว่า "ไอ้เรื่องวิธีรักษาของแกอย่างบ้าๆ ฉันไม่ขอพบขอเห็นอีกแล้ว"