อีส้ม สมหวัง (2550/2007) สมหวัง ชายหนุ่มที่หลงใหลในการร้องเพลงและใฝ่ฝันว่าจะเห็น ยอดรัก สลักใจนักร้องที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในประเทศไทย สมหวังจึงได้เข้าสมัครที่วงดนตรีของยอดรัก ซึ่งมีหางเครื่องสุดสวยประจำวงคือ ส้ม สมหวังเริ่มจากงานเล็กๆน้อยๆในวง และเลื่อนขั้นมาเป็นหางเครื่องประจำวง โดยมีส้มค่อยช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้ ต่อมาเขาได้รับโอกาสอย่างไม่คาดคิด เป็นโอกาสที่จะทำให้เขาก้าวขึ้นเป็นนักร้องอย่างเต็มตัว
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๒ ประกาศอิสรภาพ

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๒ ประกาศอิสรภาพ (2550/2007) พ.ศ. 2114 “สมเด็จพระมหาธรรมราชา” ซึ่งพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยาสืบต่อจากพระมหินทราธิราชได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นอุปราชครองเมืองพิษณุโลก เมื่อพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสวรรคตในปี พ.ศ. 2124 “พระเจ้านันทบุเรง” ขึ้นเสวยราชย์สืบแทน และสถาปนาพระโอรส “มังสามเกียด” ขึ้นเป็น “พระมหาอุปราชา” รัชทายาท ในการนี้เจ้าเมืองประเทศราชทั้งหลายต้องมาร่วมแสดงความสวามิภักดิ์ รวมถึงพระมหาธรรมราชาและสมเด็จพระนเรศวรด้วย ในขณะที่เจ้าฟ้าเมืองคังไม่ได้เสด็จมาร่วมพระราชพิธีสำคัญครั้งนี้ เป็นเหตุให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงทรงมอบหมายให้พระมหาอุปราชา, พระราชนัดดา “นัดจินหน่อง” พระโอรสเจ้าเมืองตองอู, และสมเด็จพระนเรศวรช่วยกันเข้าตีเมืองคัง แต่พระมหาอุปราชากลับสั่งให้สมเด็จพระนเรศวรเข้าตีเป็นทัพสุดท้าย ด้วยความมั่นใจว่าทัพของพระองค์และนัดจินหน่องจะประสบความสำเร็จ แต่ปรากฏว่าสมเด็จพระนเรศวรทรงมีชัยชนะในศึกเมืองคังนี้ สามารถจับตัวเจ้าฟ้าเมืองคังและพระธิดา “เลอขิ่น” กลับมาได้ รัชทายาทหงสาวดีและราชนิกูลฝ่ายพม่าซึ่งเป็นคู่ปรับกันมาตั้งแต่เยาว์วัยจึงขุ่นเคืองอาฆาตสมเด็จพระนเรศวรเป็นทวีคูณ ต่อมาเมื่อเกิดศึกอังวะ พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงให้สมเด็จพระนเรศวรนำทัพมาช่วยรบ แต่พระมหาอุปราชากลับใช้โอกาสนี้วางแผนลอบปลงพระชนม์ ในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรทรงยั้งทัพอยู่ ณ เมืองแครง แต่ข่าวการลอบปลงพระชนม์ได้ล่วงรู้ถึงสมเด็จพระนเรศวรผ่านทางพระมหาเถรคันฉ่อง สมเด็จพระนเรศวรจึงถือเหตุการลอบปลงพระชนม์ในการประกาศอิสรภาพตัดสัมพันธไมตรีกับหงสาวดี และกวาดต้อนชาวไทยชาวมอญกลับคืนพระนคร ฝ่ายหงสาวดีเมื่อทราบว่าการลอบปลงพระชนม์ไม่สำเร็จจึงให้นายทัพสุระกำมาเร่งนำทัพออกติดตามทัพของสมเด็จพระนเรศวร ในที่สุดก็ทัพหงสาวดีก็ตามมาถึงในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรและไพร่พลกำลังข้ามแม่น้ำ และศึกครั้งนี้สมเด็จพระนเศวรทรงใช้พระแสงปืนต้นยิงข้ามแม่น้ำสะโตงถูกแม่ทัพสุระกำมาตายบนคอช้าง ทัพพม่าจึงล่าถอยกลับไป

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๑ องค์ประกันหงสา

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๑ องค์ประกันหงสา (2550/2007) พุทธศักราช 2106 “พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง” ทรงกรีฑาทัพเข้าตีราชอาณาจักรอยุธยาทางด่านระแหงแขวงเมืองตาก ทัพพม่ารามัญซึ่งมีรี้พลเหลือคณานับได้เข้ายึดครองหัวเมืองฝ่ายเหนือของราชอาณาจักรอยุธยาอันมีเมืองพิษณุโลกเป็นประหนึ่งเมืองราชธานีได้เป็นผลสำเร็จ ครั้งนั้น “สมเด็จพระมหาธรรมราชา” (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) พระราชบิดาของ “สมเด็จพระนเรศวร” หรือ “พระองค์ดำ” (ปรัชฌา สนั่นวัฒนานนท์) ซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินครองเมืองพิษณุโลกจำต้องยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนองเพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตอาณาประชาราษฎร์มิให้ต้องมีภยันตรายและจำต้องยอมร่วมกระบวนทัพพม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยา ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหา จักรพรรดิเจ้าแผ่นดินอยุธยาทรงยอมเจรจาหย่าศึกกับพม่ารามัญ และยอมถวายช้างเผือก 4 เชือก ทั้งให้สมเด็จพระราเมศวรราชโอรสโดยเสด็จพระเจ้าบุเรงนองไปประทับยังนครหงสาวดีตามพระประสงค์ของกษัตริย์พม่า ข้างสมเด็จพระมหาธรรมราชาซึ่งได้ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนองก็ได้ถวายสมเด็จพระนเรศวรราชโอรสองค์โตให้ไปเป็นองค์ประกันประทับยังหงสาประเทศเฉกเช่นกัน ครั้งนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้เพียง 9 ชันษา สมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นที่รักใคร่ของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองประดุจพระราชบุตรร่วมสายสันตติวงศ์ ด้วยองค์ยุพราชอยุธยาทรงมีพระปรีชาสามารถด้านพิชัยยุทธ ทั้งยังองอาจกล้าหาญสบพระทัยกษัตริย์พม่าซึ่งก็ทรงเป็นนักการทหาร นิยมผู้มีคุณสมบัติเป็นนักรบเยี่ยงพระองค์ พระเจ้าบุเรงนองทรงมีสายพระเนตรยาวไกล แลเห็นว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอุษาคเนย์ประเทศ จึงทรงคิดใคร่ปลูกฝังให้สมเด็จพระนเรศวรผูกพระทัยรักแผ่นดินหงสา เพื่อจะได้อาศัยพระองค์เป็นผู้สืบอำนาจอุปถัมภ์ค้ำชูราชอาณาจักรซึ่งพระองค์ทรงสถาปนาขึ้นด้วยความยากลำบาก เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระเจ้าบุเรงนองนั้นหาได้วางพระทัยในพระราชโอรสคือ “มังเอิน – พระเจ้านันทบุเรง” (จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์) และพระราชนัดดา “มังสามเกียด” (โชติ บัวสุวรรณ) นัก ถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขโดยตรง ด้วยทรงเล็งเห็นว่าราชนิกุลทั้งสองพระองค์นั้นหาได้เป็นผู้ทรงคุณธรรมอันจะน้อมนำเป็นพื้นฐานให้เติบใหญ่เป็นบูรพกษัตริย์ ปกป้องครองแผ่นดินที่พระองค์ทรงสร้างและทำนุบำรุงมาด้วยกำลังสติปัญญาและความรักใคร่หวงแหน เหตุทั้งนี้เป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงและราชโอรสมังสามเกียดขัดพระทัย ทั้งผูกจิตริษยาสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองกว่าราชนิกุลข้างพม่าทั้งหลายทั้งสิ้น พระเจ้าบุเรงนองทรงโปรดให้ “พระมหาเถรคันฉ่อง” (สรพงษ์ ชาตรี) พระรามัญผู้มากด้วยวิทยาคุณและเจนจบในตำราพิชัยสงครามเป็นพระอาจารย์ถ่ายทอดศิลปะวิทยาการแก่สมเด็จพระนเรศวร นับแต่เริ่มเข้าประทับในหงสานครยังผลให้ยุพราชอยุธยาเชี่ยวชาญการยุทธ กลช้าง กลม้า กลศึก ทั้งข้างอยุธยาและข้างพม่ารามัญหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ข้อได้เปรียบตามกล่าวเป็นเสมือนทุนทางปัญญาอันส่งผลให้สมเด็จพระนเรศวรสามารถกอบกู้เอกราช แก้ทางศึกจนมีชัยเหนือพม่ารามัญในภายภาคหน้า พุทธศักราช 2112 ปรากฏข่าวระบือไปถึงหงสาวดีว่าหัวเมืองพิษณุโลกฝ่ายเหนือแลกรุงศรีอยุธยาราชธานีฝ่ายใต้ของราชอาณาจักรสยามครั้งนั้นเกิดขัดแย้งปีนเกลียวกัน เหตุเนื่องมาจาก “สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ” (ศรัณยู วงศ์กระจ่าง) เจ้าแผ่นดินอยุธยาเสด็จออกผนวช แลสถาปนา “สมเด็จพระมหินทร์” (สันติสุข พรหมศิริ) ราชโอรสองค์รองขึ้นเสวยราชสมบัติสืบแทน สมเด็จพระมหินทร์ทรงคลางแคลงพระทัยในความจงรักภักดีของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแต่ครั้งสงครามชิงช้างเผือกในปีพุทธศักราช 2106 ขณะที่เจ้าแผ่นดินพิษณุโลกก็หาได้ยำเกรงสมเด็จพระมหินทร์เช่นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อเห็นการใดมิควรก็บังคับบัญชาให้สมเด็จพระมหินทร์ปฏิบัติตามพระประสงค์จนเป็นที่ขุ่นเคืองพระราชหฤทัยกษัตริย์อยุธยาพระองค์ใหม่ถึงกับหันไปสมคบกับ “สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช” (รอน บรรจงสร้าง) พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาวร่วมกันแต่งกลเข้าตีเมืองพิษณุโลก แต่กระทำการมิสำเร็จพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเห็นเชิงสบโอกาสก็ยกทัพใหญ่เข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีกคำรบ ครั้งนั้นสมเด็จพระนเรศวรร่วมโดยเสด็จมากับทัพหงสาแต่หาได้ตามพระเจ้าบุเรงนองลงมาล้อมกรุงศรีอยุธยา ทรงประทับอยู่เพียงเมืองพิษณุโลก มีเพียงสมเด็จพระมหาธรรมราชาโดยเสด็จกษัตริย์หงสาลงมาล้อมกรุงด้วยตั้งพระทัยจะเกลี้ยกล่อมให้สมเด็จพระมหินทร์ยอมสวามิภักดิ์พระเจ้าบุเรงนอง เพราะเล็งเห็นว่าอยุธยายากจะต่อรบเอาชัยทัพพม่ารามัญซึ่งมีกำลังไพร่พลเหนือกว่าได้ หากขัดขืนต่อรบจะได้ยากแก่สมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎร์ ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงลาผนวชมาบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง แต่อยู่ได้มิช้านานก็เสด็จสวรรคตเสียระหว่างศึกพุทธศักราช 2112 มะเส็งศก วันอาทิตย์ เดือน 9 แรม 11 ค่ำ กรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ข้างสมเด็จพระนเรศวรซึ่งประทับอยู่ยั้งยังนครพิษณุโลกแต่ต้นศึก หาได้ทรงเห็นงามหรือคิดครั่นคร้ามอ่อนน้อมต่อหงสา ถึงจะทรงรู้ซึ้งว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชบิดามิได้คิดคดเป็นกบฏต่อแผ่นดิน แต่ก็หาได้เห็นด้วยกับการอ่อนข้อสวามิภักดิ์พม่ารามัญ น้ำพระทัยอันมั่นคงเด็ดเดี่ยวนั้น ถึงแม้จะมิได้แพร่งพรายถึงพระกรรณพระเจ้าบุเรงนอง แต่ก็ประจักษ์อยู่ในหมู่ข้าราชบริพารใกล้ชิดผู้รักและหวงแหนในเอกราชของแผ่นดินจึงพากันนิยมในน้ำพระทัย แลพร้อมใจถวายความจงรักภักดีแต่นั้นมา ครั้นเสร็จศึกอยุธยาพุทธศักราช 2112 สมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงถวาย “พระสุพรรณกัลยา” (เกรซ มหาดำรงค์กุล) พระพี่นางสมเด็จพระนเรศวรแก่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง แลขอตัวสมเด็จพระนเรศวรไว้ช่วยราชการข้างอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรจึงประทับยั้งอยู่ยังเมืองพิษณุโลก สืบต่อมาครั้นลุปีพุทธศักราช 2114 สมเด็จพระมหาธรรมราชา ซึ่งพระเจ้าบุเรงนองสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยาสืบต่อจากสมเด็จพระมหินทร์ก็โปรดให้สมเด็จพระนเรศวรเสวยราชย์ครองเมืองพิษณุโลกเป็นใหญ่เหนือหัวเมืองเหนือทั้งปวง เหตุการณ์ข้างพม่า หลังจากพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสิ้นพระชนม์ในปีพุทธศักราช 2124 พระเจ้านันทบุเรงได้ขึ้นเสวยราชสืบต่อและได้สถาปนามังสามเกียดขึ้นเป็นรัชทายาทครองตำแหน่งมหาอุปราชาแห่งราชอาณาจักรหงสาวดี เมื่อแผ่นดินหงสามีอันต้องผลัดมือมาอยู่ในปกครองของพระเจ้านันทบุเรง สัมพันธไมตรีระหว่างอยุธยาและหงสาวดีก็เริ่มสั่นคลอน ด้วยพระเจ้าหงสาวดีพระองค์ใหม่มิได้วางพระทัยในสมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระนเรศวรเองก็หาได้เคารพยำเกรงในบุญบารมีของพระเจ้าแผ่นดินพม่ารามัญเช่นกาลก่อน มิเพียงเท่านั้นสมเด็จพระนเรศวรยังได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถให้เป็นที่ปรากฏครั่นคร้าม ดังคราวนำกำลังทำยุทธนาวีกับพระยาจีนจันตุและศึกเมืองคังเป็นอาทิ พระเจ้านันทบุเรงทรงเกรงว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะเป็นภัยต่อพระราชวงศ์แลแผ่นดินหงสา จึงหาเหตุวางกลศึกหมายจะปลงพระชนม์สมเด็จพระนเรศวรเสียที่เมืองแครง แต่พระมหาเถรคันฉ่องพระราชครูลอบนำแผนประทุษร้ายนั้นมาแจ้งให้ศิษย์รักได้รู้ความ สมเด็จพระนเรศวรจึงถือเป็นเหตุประกาศเอกราช ตัดสัมพันธไมตรีกับหงสาวดี แลกวาดต้อนครัวมอญไทยข้ามแม่น้ำสะโตงกลับคืนพระนคร ซึ่งเป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงเปิดมหายุทธสงครามสั่งทัพเข้ารุกรานราชอาณาจักรอยุธยาสืบแต่นั้นมา

เก๋า..เก๋า (2549/2006) พ.ศ. 2512 กรุงเทพฯ ในยุคที่หนุ่มสาววัยทีนเมามายกับแสงไฟดิสโก้ยามค่ำคืน การปรากฏตัวของวงสตริงเครื่องเป่า ผู้ประกาศตัวเป็นคณะปฎิวัติแห่งเสียงเพลงได้พลิกโฉมหน้าวงการไปชนิดที่ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นไปได้ Possible คือวงสตริงคอมโบที่จุดระเบิดความฮิตไปทุกหัวระแหง คอนเสิร์ตของพวกเขามีอานุภาพรุนแรงขนาดปลุกวัยรุ่นให้ลุกจากเตียงเพื่อไปฟังเพลงได้ตั้งแต่ตีสี่ ต๋อย (อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต) นักร้องนำ มีฝีไม้ลายมือในการแปลงเพลงระดับเทพ เพลงฝรั่งไม่ว่าเจ๋งแค่ไหน ต๋อยบิดเป็นเนื้อไทยได้แจ๋วกว่า ฝรั่งร้อง Linda Linda I Love You ต๋อยชงเป็น รินมา รินมา ฉันขอรักเธอเมามาย ฝรั่งแดนซ์ You can ring my bell..ell..ll ต๋อยถอดกางเกงเต้น กาง เกง ลิง ลอย ฟ้า อ้า อ้าา สมาชิกในวงไม่ว่า โบ้ (ปิยะ ศาสตรวาหา) มือกีต้าร์ สอง (จักรพงศ์ สิริริน) มือเบส น๊อต (ยุทธนา ธุวะประดิษฐ์) มือคีย์บอร์ด และ เบ๊ (ธนากร ชินกูล) มือกลอง ต่างสนุกสนานกับชีวิตคนดังนิสัยเสียไปวันๆ Possible ถือมติ ไม่ซ้อม มาสาย เมาเหล้า มั่วคิว และหม้อหญิง โอ้ ชีวิตอะไรมันจะน่าอิจฉาขนาดนี้ พวกเขากำลังจะได้เข้าอัดแผ่นเสียงเพื่อบัญญัติความดังไว้เป็นอมตะ Possible จึงหยิ่งผยองในความเป็นหนึ่งและอารมณ์เสียสุดๆ ที่มีวงน้องใหม่ชื่อ The Impossible ผุดขึ้นมาแย่งความสนใจ กระทั่งวันหนึ่ง Possible ได้รับไมค์เด็กเล่นเป็นของขวัญจากแฟนเพลงลึกลับ ต๋อยและเพื่อนๆ สมาชิกหัวเราะให้กับความคิดบรรเจิดนี้อย่างสนุกสนานและถือมันติดมือขึ้นเวทีไปด้วย แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ในคอนเสิร์ตเปิดโรงภาพยนตร์พระโขนง ซีเนม่า ไมค์สีชมพูหวานจ๋อยอันนั้นส่งพวกเขาข้ามเวลามาปี 2549 พ.ศ.ที่ดนตรีสตริงคอมโบกลายเป็นไดโนเสาร์ และวง Possible สุดมะ มีค่าเท่ากับวงบ่อจี๊ที่ไม่มีใครรู้จัก กรุงเทพฯ ไม่ใช่ที่ทางของพวกเขาอีกต่อไป Possible ต้องรีบหาทางกลับอดีตด่วนจี๋ และวิธีนั้นมีทางเดียวพวกเขาจะต้องระดมแฟนเพลงมารวมตัวกันเล่นดนตรีเพื่อจุดพลังให้ไมค์ทำงานอีกครั้ง แต่ในเมื่อปัจจุบันเทกนิกการแปลงเพลงอันเอกอุกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ ซ้ำร้าย Possible ยังถูกตราหน้าว่าเป็น The Impossible เวอร์ชั่นแผ่นผีเข้าไปอีก แล้วจะให้ Possible เปิดคอนเสิร์ต มันจะเป็นไปได้เหรอเนี่ย
The King Maker กบฏ ท้าวศรีสุดาจัน (2548/2005) “เฟอร์นานโด เดอ กัมมา” (แกรี สเตร็ช) ทหารรับจ้างหนุ่มจากประเทศโปรตุเกส ออกเดินทางมายังดินแดนในซีกโลกตะวันออกใน ค.ศ 1547 เพื่อแสวงหาความร่ำรวยเฉกเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมชาติอีกหลายคนไปพร้อมกับการติดตามร่องรอยของบุคคลในอดีตที่เคยสังหารพ่อของเขาต่อหน้าต่อตาในขณะที่เขามีอายุเพียง 8 ขวบ ภาพความทรงจำดังกล่าวเป็นที่ติดตาและฝังใจแก่เขาเสมอมา แต่ในระหว่างการเดินเรือเขาพร้อมกับพวกพ้องกลับต้องเผชิญกับเคราะห์ร้ายเมื่อพายุทะเลคลั่งโหมซัดจนทำให้เรือจมลงใต้พื้นมหาสมุทรอินเดียอันกว้างใหญ่ เหลือเพียงเขาคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้จากเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าเขาถูกพ่อค้าทาสชาวอาหรับจับตัวไปยังดินแดนอยุธยาเพื่อขายเป็นทาส กรุงศรีอยุธยาเมื่อราว 458 ปีที่แล้วกล่าวได้ว่าเป็นดินแดนแห่งการค้าขายที่เหล่าอาณาประเทศและผู้คนหลากหลายเชื้อชาติต่างหลั่งไหล่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นชาวตะวันตกไปจนถึงตะวันออกที่ใกล้เคียง แต่ใช่ว่าโชคชะตาของเฟอร์นานโดจะอับโชตเสียทีเดียว เมื่อเขาได้รับการไถ่ตัวให้มีอิสรภาพจาก “มาเรีย” (สิรินยา เบอร์บริดจ์) หญิงสาวชาวโปรตุเกสผู้มีจิตใจงดงามที่เดินทางติดตาม “ฟิลลิปป์” (จอห์น รีส-เดวีส์) บิดาผู้ที่ทำหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างกำแพงเมืองให้กับ “พระชัยราชา” (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) กษัตริยแห่งอยุธยา ต่อมาเมื่อกษัตริย์แห่งลานนาคิดแข็งข้อต่ออยุธยาโดยการส่งศีรษะของผู้ส่งสารมาให้ พระชัยราชาทรงกริ้วเป็นอย่างยิ่งจึงตัดสินใจยกทัพเข้าสู่ศึกสงครามพร้อมกับ “พระมหาจักรพรรดิ” (โอลิเวอร์ พูพาร์ท) พระเชษฐาของพระชัยราชา ส่งผลให้เหล่าพันธมิตรของอยุธยา ไม่ว่าจะเป็นชุมชนโปรตุเกส, ญี่ปุ่นต่างเข้าร่วมทำศึกในครั้งนี้ เฟอร์นานโดเองก็เข้าร่วมรบในฐานะทหารที่มีประสบการณ์ จึงไม่น่าแปลกใจที่ความห้าวหาญในฐานะนักรบของเขาจะสร้างความพึงพอพระทัยแก่องค์กษัตริย์จนพระองค์แต่งตั้งเขาให้เป็นหนึ่งในราชองครักษ์พร้อมกันกับเพื่อนใหม่ชาวไทยผู้อาจหาญนาม “ทอง” (ดอม เหตระกูล) ที่เขาได้มีโอกาสช่วยชีวิตไว้ในสมรภูมิรบ ขณะเดียวกัน “มเหสีสุดาจัน” (ยศวดี หัสดีวิจิตร) ผู้เลอโฉมแต่ร้ายกาจได้วางแผนลอบปลงพระชนม์พระชัยราชาและ “พระยอดฟ้า” (ชาลี ไตรรัตน์) พระโอรสที่เกิดกับตนขึ้น เพื่อที่จะจะปูทางให้ “พันบุตรศรีเทพ” (อัครา อมาตยกุล) ชู้รักของนางขึ้นครองราชย์ โดยมีมือสังหารจากต่างชาติร่วมมือในแผนการร้าย นายทองและเฟอร์นานโดราชองครักษ์ปกป้องกษัตริย์ชนิดถวายหัว และพยายามสืบหาผู้อยู่เบื้องหลังแผนการร้ายในครั้งนี้ ก่อนที่จะพบว่ามีเงื่อนงำบางอย่างเชื่อมโยงมายังฟิลลิปป์พ่อของมาเรีย แต่แล้วโดยที่ไม่มีใครคาดคิด ทั้งสองพบว่าพระมเหสีมีส่วนสำคัญในแผนการครั้งนี้ แต่ก็สายเกินกว่าจะช่วยพระมหากษัตริย์ให้รอดพ้นจากการถูกพระมเหสีวางยาได้ เช่นเดียวกันกับที่พระโอรสซึ่งถูกเหล่าองครักษ์ผู้ของมเหสีปลงพระชนม์ เมื่อกษัตริย์ทรงสวรรคต เฟอร์นานโดกับทองกลายเป็นผู้ถูกกล่าวโทษว่าเป็นผู้เกี่ยวข้อง โดยมาเรียและครอบครัวของทองเองก็ถูกทหารจับตัวไป เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป เตรียมพบกับอีกหนึ่งมุมมองของเรื่องราวจากประวัติศาสตร์ที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องยิ่งใหญ่ระดับฮอลลีวูด “กบฏท้าวศรีสุดาจัน” 20 ต.ค.นี้ ในโรงภาพยนตร์
มนต์รักลูกทุ่ง (2548/2005) บุญเย็น (เอกราช สุวรรณภูมิ) ชนะเลิศการประกวดร้องเพลงประจำปี ลุงชื่น (เทพ โพธิ์งาม), แว่น (ยิ่งยง ยอดบัวงาม) และ บุปผา (อาภาพร นครสวรรค์) ต่างพากันดีใจ บุญเย็นได้เข้าไปร้องเพลงในกรุงเทพ เขามาบอกลา คล้าว (นันทวัฒน์ อาศิรพจนกุล) และ ทองกวาว (ลักขณา วัธนวงส์ศิริ) ทั้งคู่ต่างดีใจกับบุญเย็น คล้าวรักอยู่กับทองกวาว แต่กลัวจะไม่สมหวังเพราะคล้าวจน ที่นาก็จำนองกับ จอม (กรุง ศรีวิไล) แต่ทองกวาวยืนยันในรักมั่น คล้าวสัญญาว่าถ้าขายข้าวได้จะไปหมั้นทองกวาว จอมมาทวงหนี้คล้าว คล้าวไม่มีให้ จอมจึงยึดที่นา ทองกวาวจึงเอาเงินที่มีอยู่มาให้คล้าวใช้หนี้ จอมโกรธที่ยึดที่นาของคล้าวไม่ได้ จึงไปต่อว่า ทองก้อน (ไพโรจน์ ใจสิงห์) และ ทับทิม (ดวงชีวัน โกมลเสน) พ่อแม่ของทองกวาว ทองก้อนและทับทิมจึงส่งทองกวาวไปอยู่กับ ป้าทองคำ (น้ำเงิน บุญหนัก) ที่กรุงเทพ โดยให้บุปผาและ หมึก (ตูมตาม เชิญยิ้ม) ไปดูแล ทองกวาวได้รู้จักกับ ธรรมรักษ์ (โอลิเวอร์ บีเวอร์) หลานของป้าทองคำ ซึ่งป้าทองคำหวังจะให้หลานทั้งคู่แต่งงานกัน เพื่อสมบัติจะได้ไม่ตกเป็นของคนอื่น คล้าวเศร้าโศกเสียใจที่น้ำท่วมทุ่งนาข้าวเสียหาย ได้บุญเย็น ลุงชื่น และพวกคอยปลอบ ลุงชื่นบอกบุญเย็นให้ตามหาทองกวาว บุญเย็นพบทองกวาวที่กรุงเทพและบอกเรื่องคล้าว ทองกวาวขอให้บุญเย็นบอกคล้าวให้ไปสู่ขอ ทองกวาวจะได้กลับบ้านซะที คล้าวดีใจไปยืมเงิน หมู่น้อย (เจี๊ยบ เชิญยิ้ม) ซื้อทองสองสลึงไปหมั้น พ่อแม่ทองกวาวไล่ส่ง เรียกค่าสินสอดสิบหมื่น ธรรมรักษ์เสียการพนัน หวังจะหลอกเอาเงินป้าจึงทำเป็นชอบทองกวาว โดยให้เพื่ออนชื่อ ธีระ (โจอี้ บาซู) หัวหน้าวงดนตรีมากันบุปผา ทั้งหมดเดินทางมาบ้านทองกวาว ด้วยความคิดถึงทองกวาวรีบมาหาคล้าว แต่พบอยู่กับ สายใจ (ไอริน จันยดา) ทำให้ทองกวาวเข้าใจผิด ทองกวาวจึงตกลงหมั้นกับธรรมรักษ์ ทองก้อนดีใจรีบไปป่าวประกาศว่า จะหมั้นลูกสาวด้วยเงินและทองมากมาย บุญเย็นพา ฤทัย (ทอฝัน จิตธาราทิต) เมียของธรรมรักษ์มาบ้านทองกวาว ธรรมรักษ์โกรธมาก บอกฤทัยเป็นนักร้องในวงธีระ ฤทัยแกล้งตีสนิทกับคล้าวเพื่อให้ธรรมรักษ์หึง เรื่องจึงแดงออกมา ป้าทองคำไล่ธรรมรักษ์และเมียกลับไป ข่าวการหมั้นของทองกวาวกับธรรมรักษ์ที่ทองก้อนประกาศไปเข้าหู เสือทุม (ฤทธิ์ ลือชา) เสือทุมจึงวางแผนปล้นแต่ไม่ได้อะไร จึงจับตัวทองกวาวและป้าทองคำไปเรียกค่าไถ่ คล้าวและตำรวจตามไปช่วยไว้ ป้าทองคำเป็นเถ้าแก่สู่ขอทองกวาวให้คล้าว ซึ่งพ่อทองก้อนและแม่ทับทิมไม่กล้าปฏิเสธ ทั้งคู่จึงแต่งงานกัน...
ทวารยังหวานอยู่ (2547/2004) ในปี พ.ศ. 2525 ปีแห่งการสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี กรุงเทพฯ สดใส ไร้เดียงสาอยู่กับแฟชั่นสีสันหวานแหวว เสียงเพลงจากวงสตริง และหนังทีวีกำลังภายใน กำลังฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง มือกลองหนุ่ม เบ๊ (กฤษดา สุโกศล แคลปป์) ศิษย์โปรด อาจารย์ตึ่งโป๊ะ (ปราณี กี่บุตร) สำนักกลองเทวดา ที่พยายามฝึกวิชากลองเทวดาให้ถึงขั้นที่ 10 แต่ระหว่างนั้น เขากลับพบว่า ตัวเองตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆ่าคนตาย จนต้องหลบหนีการไล่ล่าของนักสืบมือปราบ ไอ้หูดำ (นิพนธ์ ชัยศิริกุล) ที่มี ซื่อบื้อ (ริชาร์ด ออฟ ไลออน ฮาร์ท) สุนัขดมกลิ่นเป็นผู้ชี้เบาะแส เบ๊พยายามพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองให้ทุกคนรู้ โดยมี ต้น (นันทกา วรวณิชชานันท์) ศิษย์พี่ร่วมสำนักกลองเทวดา คอยให้กำลังใจและช่วยเหลือ จนต้นกับเบ๊เกิดความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ระหว่างหนีเอาตัวรอด เบ๊ได้พบเจอผู้คน และเรื่องราวพลิกผันมากมาย หลายคนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเบ๊ จนกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในยุคนี้
ขุนศึก (2546/2003) ก่อนวันประกาศอิสรภาพของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั้น พระเจ้าบุเรงนอง วางอุบายหมายลอบปลงพระชนม์ ซึ่งยังความโทมนัสให้แก่สมเด็จพระนเรศวรอย่างมาก เมื่อจาตุรงคบาทนักรบประกบฝีเท้าช้างคนหนึ่งต้องพลีชีพเพื่อพระองค์ในกาลนี้ เสมา ลูกชายช่างตีดาบ ซึ่งเดินทางกลับจากเรียนวิชาดาบกับ อาจารย์ขุน เข้าประลองแข่งขันในการหาจาตุรงคบาทคนใหม่ ด้วยความที่เขามีฝีมือดาบอันโดดเด่น จึงได้รับตำแหน่งครูฝึกทหารในเรือน ขุนราม แต่นั่นถือเป็นการหยามศักดิ์ศรีของ หมู่ขัน นายทหารเอกของกรุงศรี ที่ติดภาระต้องไปประจำการที่ด่านหน้า เขาไม่พอใจในตัวลูกช่างตีดาบคนนี้มาก และรอวันที่จะได้ตัดสินกันอย่างแท้จริง ความแค้นยิ่งทวีคูณมากขึ้น เมื่อเรไร คู่หมั้นของหมู่ขัน เกิดชอบพอกับเสมา หมู่ขันโกรธแค้นมาก จึงจับตัวจำเรียง น้องสาวของเสมาไปเป็นทาสขัดดอก คืนนั้น เสมา พร้อมเพื่อนอีกสองคน ตัดสินใจบุกเรือนหมู่ขัน เพื่อนำตัวจำเรียงกลับมา แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อกลอุบายของหมู่ขัน จนต้องหนีเข้าไปอยู่ในกองโจรของ ขุนรณฤทธิ์พิชัย หมู่ขันสบโอกาส จึงประกาศว่า เสมาเป็นกบฎ ขณะที่อยู่กับพวกกองโจร เสมา และกลุ่มกองโจรช่วยกันสกัดทัพหน้าของพม่าที่บุกเข้ามา ครั้งหนึ่ง เสมา ได้มีโอกาสได้เข้าช่วย พระเอกาทศรถ ในการศึก และได้ลดโทษไปเป็น ตะพุ่น เลี้ยงช้าง ที่นั่น เสมา ได้เรียนรู้ถึงหัวใจของนักรบ เมื่อเขาทราบข่าวการยกทัพครั้งใหญ่ของพม่า เสมาทนเห็นทหารไทยถูกเข่นฆ่าอีกไม่ได้ จึงเข้าไปช่วยในสนามรบ กระทั่งสามารถฆ่าแม่ทัพพม่าลงได้ จึงได้รับความดีความชอบกลับมา และวันแห่งการตัดสินฝีมืออย่างแท้จริงระหว่างเสมา กับหมู่ขันก็มาถึง เมื่อทั้งสองได้ประลองฝีมือต่อหน้าพระที่นั่ง เพื่อหาผู้ที่เหมาะกับตำแหน่งจาตุรงคบาท นักรบประกบฝีเท้าช้างของสมเด็จพระนเรศวร ในการศึกยุทธหัตถีครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างกษัตริย์สองแผ่นดิน
มนต์เพลงลูกทุ่งเอฟ.เอ็ม. (2545/2002) มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม. เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2545 ผลงานร่วมสร้างของ สหมงคลฟิล์ม และ ลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม. และเป็นผลงานกำกับเรื่องแรกของบัณฑิต ทองดี โดยเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในประวัติศาสตร์ของวงการเพลงลูกทุ่ง และภาพยนตร์ไทย ที่รวบรวมไว้มากที่สุด ตั้งแต่นักร้อง นักแต่งเพลง นักจัดรายการลูกทุ่งเอฟ.เอ็ม. รวมถึงบุคคลที่อยู่ในวงการเพลงลูกทุ่งไทย กว่า 200 ชีวิต มาแสดงในภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน และบทเพลงทั้งที่กำลังได้รับความนิยมในช่วงนั้นและที่เคยได้รับความนิยมก่อนหน้านั้น กว่า 30 เพลง มาใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ รวมทั้งบทเพลงใหม่ที่แต่งขึ้นโดยเฉพาะอีก 1 เพลง
มนต์รักทรานซิสเตอร์ (2544/2001) เรื่องราวของ "แผน" หนุ่มบ้านนอกที่หลงไหลในการร้องเพลง เขาได้พบรักกับ "สะเดา" และได้แต่งงานกัน ชะตาชีวิตของแผนเริ่มพลิกผันเมื่อสะเดาตั้งท้องได้ห้าเดือนแผนก็โดนเกณฑ์เป็นทหาร ในระหว่างที่เป็นทหารนี้เองที่เขาได้ไปประกวดร้องเพลงและได้รางวัลรองอันดับหนึ่ง นั่นทำให้แผนตัดสินใจครั้งใหญ่ในการตามหาฝันในการเป็นนักร้อง เขาหนีทหารและเข้ากรุงไปฝึกเป็นนักร้องอย่างที่มันฝันใฝ่ แต่แผนคิดไม่ถึงเลยว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล แผน หนุ่มลูกทุ่งที่ใฝ่ฝันจะเป็นนักร้อง แม้จะแต่งงานกับ สะเดา เป็นเรื่องเป็นราวแล้ว แผนก็ยังไม่ล้มเลิกความฝัน มีเสียงวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเล็กซึ่งเป็นของขวัญวันแต่งงานเป็นสิ่งเดียวที่สร้างความบันเทิงให้กับคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามัน เสียงเพลงที่ลอยออกมาจากวิทยุทรานซิสเตอร์อดทำให้แผนหลับตาฝันเห็นตัวเองโด่งดังเป็นนักร้องชื่อดังอย่างคนอื่นเขาไม่ได้ แต่เมื่อสะเดาตั้งท้องเข้าสู่เดือนที่ 5 แผนก็ได้รับหมายเกณฑ์ไปเป็นทหาร และนี่เองชีวิตที่รุ่งโรจน์และร่วงโรยของแผนก็ได้เริ่มต้นขึ้นหลังจากประกวดร้องเพลงได้รางวัลรองอันดับหนึ่ง แผนจึงตัดสินใจหนีทหารเพื่อเป็นนักร้องอย่างจริงจัง แม้จะต้องเป็นเบ๊ประจำวงก็เอา แต่ความอดทนก็มาถึงขีดสุดเมื่อถูกหัวหน้าวงคุกคาม แผนพลั้งมือทำร้ายผู้จัดการจนต้องหนีไปทำงานในไร่อ้อย ดันเกิดความซวยซ้ำซวยซ้อนถึงขั้นติดคุกติดตะรางกว่าจะพ้นโทษ และสิ่งเดียวที่แผนนึกถึงคือใบหน้าอันบริสุทธิ์ของสะเดาเมียรัก ก่อนจะลากสังขารกลับมายังรังรักอันเป็นที่พักใจสุดท้ายของคนชอกช้ำอย่างแผน

สุริโยไท (2544/2001) เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 สวรรคตในปี พ.ศ. 2072 พระอาทิตยาจึงได้ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนาม สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร ทุกพระองค์เสด็จย้ายจากพิษณุโลกไปประทับ ณ กรุงศรีอยุธยาเมืองหลวง พระเฑียรราชา และ พระสุริโยไท มีโอรสธิดาทั้งสิ้น 5 พระองค์ คือ พระราเมศวร , พระมหินทร, พระบรมดิลก, (พระวิสุทธิ์กษัตริย์) และ พระเทพกษัตรี ประทับอยู่ ณ วังชัย ดำรงอิสริยยศเป็นพระเยาวราช เมื่อสมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูรสวรรคตด้วยโรคไข้ทรพิษ พระไชยราชา ผู้ซึ่งดำรงพระยศเป็นพระอุปราช ควรจะได้สืบสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์ แต่สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูรทรงขอให้ สมเด็จพระรัษฎาธิราชกุมาร พระโอรสวัย 5 พรรษา อันเกิดแต่พระอัครชายา วัย 17 พรรษา เป็นผู้ขึ้นครองราชย์แทน ระหว่างนั้น บ้านเมืองถูกบริหารโดยขุนนางทุจริต ติดสินบนเถลิงอำนาจ โดยเฉพาะ เจ้าพระยายมราช บิดาของพระอัครชายา 5 เดือนให้หลังสมเด็จพระไชยราชาธิราชจึงเข้ายึดราชบัลลังก์ และให้สำเร็จโทษพระรัษฏาธิราช ตามราชประเพณีโบราณ รวมถึงสั่งประหารขุนนางทุจริตทุกคน และทรงขึ้นครองราชย์ แผ่บุญญาธิการ เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไป ทรงออกรบปราบหัวเมืองอยู่เนือง ๆ และได้แต่งตั้งพระเฑียรราชาขึ้นเป็นพระมหาอุปราชา ว่าราชการแทนพระองค์ อยู่ที่กรุงอโยธยา ส่วนพระมเหสีของพระไชยราชา คือ ท้าวศรีสุดาจันทร์ ได้ลักลอบมีความสัมพันธ์กับ ขุนชินราช ผู้ดูแลหอพระ เชื้อราชวงศ์อู่ทองด้วยกัน และได้สมคบคิดกัน ลอบวางยาพิษปลงพระชนม์พระไชยราชา พระยอดฟ้า พระโอรสของพระไชยราชา ที่ประสูติจาก ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ได้ขึ้นครองราชย์แทน ในขณะที่มีพระชนม์เพียง 10 พรรษา แต่ต่อมาไม่นาน ก็ถูกท้าวศรีสุดาจันทร์ปลงพระชนม์อีกองค์หนึ่ง แล้วสถาปนาขุนชินราชขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระวรวงศาธิราช นับตั้งแต่สิ้นรัชกาลพระไชยราชา พระเฑียรราชาก็ได้ผนวชเพื่อเลี่ยงภัย ส่วนพระสุริโยไททรงเตรียมฝึกทหาร โดยมีผู้จงรักภักดี คือ ขุนพิเรนทรเทพ, ขุนอินทรเทพ, หมื่นราชเสน่หานอกราชการ และหลวงศรียศลานตากฟั เฝ้าคุ้มกันภัยให้ ได้ร่วมกันปลงพระชนม์ขุนวรวงศา และท้าวศรีสุดาจันทร์ เสียบหัวประจานไว้ที่วัดแร้ง แล้วอัญเชิญพระเฑียรราชา ให้ลาสิกขาบทขึ้นครองราชย์แทน ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ระหว่างนั้นทางพม่าได้รวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น และแผ่ขยายอำนาจรุกรานไทยภายใต้พระมหากษัตริย์ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ และได้เดินทัพมายังกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2091 เกิดเป็นสงครามยุทธหัตถี ที่ทุ่งมะขามหย่อง ซึ่งเป็นเหตุให้ พระสุริโยไทสิ้นพระชนม์บนคอช้าง เรื่องจบลงด้วยสงครามยุทธหัตถี อันเป็นเรื่องราวความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและความตายของวีรกษัตรีย์ "สุริโยไท" ที่พลีชีพเพื่อรักษาอาณาจักรอยุธยา

บางระจัน (2543/2000) ในปีพุทธศักราช 2308 พระเจ้ามังระ กษัตริย์พม่าส่งทัพพม่า 2 ทัพใหญ่บุกกรุงศรีอยุธยา ทัพหนึ่งบุกเข้ามาทางใต้ นำโดย มังมหานรธา อีกทัพหนึ่งเป็นทัพผสมรามัญบุกเข้ามาทางเหนือ นำโดย เนเมียวสีหบดี การบุกของทัพนี้ต้องเจออุปสรรคเป็นรายทาง เพราะต้องพบกับกองกำลังต่อต้านโดยชาวบ้านธรรมดา ๆ ทำให้ต้องเดินทัพล่าช้า โดยชาวบ้านที่แตกระสานซ่านเซ็นมารวมตัวกันที่บ้านระจัน โดยมี พ่อแท่น (ชุมพร เทพพิทักษ์) ผู้อาวุโสที่สุดเป็นแกนนำ ที่บ้านระจันมีชาวบ้านที่มีฝีมือหลายคนรวมตัวกัน เช่น อ้ายจัน (จรัล งามดี) ที่แค้นพม่าที่เมียถูกฆ่าตาย, อ้ายอิน (วินัย ไกรบุตร) พรานขมังธนู ที่เพิ่งอยู่กินกับอีสา (บงกช คงมาลัย) เมียสาว และ อ้ายทองเหม็น (บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์) คนพเนจรผมเผ้ารุงรังที่ไม่มีใครรู้หัวนอนปลายตีน ชอบกินเหล้าเมาพับอยู่ใต้เกวียน และมีหลวงพ่อธรรมโชติ (ธีรยุทธ ปรัชญาบำรุง) ผู้ขมังเวทย์แห่งวัดโพธิ์เก้าต้น เป็นขวัญกำลังใจ ในการรบครั้งหนึ่ง พ่อแท่นได้รับาดเจ็บ อ้ายจันจึงขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ อ้ายจันมีความคิดว่า ทางบ้านบางระจันน่าจะมีปืนใหญ่ใช้ต่อสู้กับพม่า จึงได้ให้ ขุนสรรค์ ร่างใบบอก และให้อ้ายอิน อ้ายเมือง (อรรถกร สุวรรณราช) นำไปแจ้งยังกรุงศรีอยุธยาเพื่อขอยืมปืนใหญ่ หากแต่ทางกรุงศรีอยุธยาไม่ยอมให้ยืม ด้วยเกรงว่าหากบ้านบางระจันพ่ายแก่พม่า พม่าอาจขโมยเอาปืนใหญ่และกระสุนดินดำกลับมาโจมตีพระนครได้ คืนหนึ่ง อ้ายอินได้ละทิ้งเวรยาม แอบพาพรรคพวกไปบุกค่ายของพม่า โดยหารู้ไม่ว่าคืนนั้น ทางพม่าเองก็ได้จัดทัพมาบุกค่ายบางระจันเช่นกัน จากเหตุการณ์นั้นทำให้เกิดความสูญเสียขึ้นในค่ายมากมาย คนหลายคนเสียขวัญ ได้อพยพออกจากค่ายบางระจันไปอยู่กรุงศรีอยุธยา ทำให้ผู้คนในค่ายบางตาลงไป ต่อมา พระยารัตนาธิเบศร์จากกรุงศรีอยุธยาได้มาช่วยชาวบ้านหล่อปืนใหญ่ หากแต่เมื่อหล่อแล้ว ปืนใหญ่กลับแตกร้าว ใช้การไม่ได้ ในขณะเดียวกัน ทางพม่าก็ได้ สุกี้ พระนายกอง (จิรกิตติ์ สุวรรณภาพ) มาเป็นแม่ทัพคนใหม่ในการบุกค่ายบางระจัน ชาวบ้านบางระจันที่เหลือเพียงหยิบมือเดียว ต่างพร้อมใจกันสละชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิด ปืนใหญ่ที่ร้าวทั้งสองกระบอกก็ต้องถูกนำมาใช้ ท้ายที่สุดแล้ว แม้ชาวบ้านบางระจันจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ แต่วีรกรรมที่สร้างไว้ จะคงอยู่ในใจของคนรุ่นหลังสืบไป
อนึ่งคิดถึงพอสังเขป รุ่น 2 (2539/1996) เรื่องราวของกลุ่มเด็กนักเรียนมัธยมปลายที่ต้องมาอยู่ในวงโยธวาฑิตทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ชอบวงโยธวาฑิตเลยเพราะว่ามันล้าสมัย อย่างไรก็ตามนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสนุกสนาน ในมิตรภาพที่พัฒนาจากการเป็นปรปักษ์ของทั้ง 2 กลุ่ม ที่ต้องร่วมกันรักษาศักดิ์ศรีแชมป์โลกวงโยธวาธิตของโรงเรียน ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้ความสมัครสมานสามัคคีกันและกันเหนือสิ่งอื่นใด เริ่มการศึกษาใหม่มานานกว่าสามเดือนแล้ว แต่โรงเรียนชายเจ้าของตำแหน่งวงโยธวาธิตนักเรียนของโลก ก็ยังไม่สามารถหาสมาชิกใหม่ให้วงของตนแทนสมาชิกรุ่นเก่า ซึ่งจบการศึกษาออกไปแล้วกว่าครึ่งวงได้ นักเรียนส่วนใหญ่มุ่งเล่นแต่กีต้าร์ คีย์บอร์ด และกลองชุด ที่สำคัญมีการแบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งฐานะ ชิงดีชิงเด่นตลอดเวลา จนวันหนึ่ง เรื่องราวลุกลามถึงขั้นโต้เถียงและเล่นดนตรีเอะอะข่มกัน จนอาจารย์ต้องเข้ามาสั่งสอน และสั่งห้ามจับเครื่องดนตรีที่เป็นต้นเหตุ และส่งนักเรียนอารมณ์ร้อนทั้งหมดไปอยู่ในความดูแลของครูดนตรี เพื่อเข้าเป็นสมาชิกในวงโยธวาธิตของโรงเรียนต่อไป ทว่ายามลับหลังครู ทั้งสองฝ่ายก็คอยหาเรื่องกลั่นแกล้งกันเป็นประจำ จะมีเพียงสิ่งเดียวที่นักเรียนสองกลุ่มนี้มีความเห็นเหมือนกันคือไม่เต็มใจในการเล่นดนตรีด้วยเครื่องดนตรีของวงโยธวาธิต เพราะเห็นว่ามันเชย อย่างไรก็ตาม นั่นคือจุดเริ่มต้นของความสนุกสนาน ในมิตรภาพที่พัฒนาจากการเป็นปรปักษ์ของทั้ง 2 กลุ่ม ที่ต้องร่วมกันรักษาศักดิ์ศรีแชมป์โลกวงโยธวาธิตของโรงเรียน ซึ่งแน่นอนว่า ต้องใช้ความสมัครสมานสามัคคีกันและกันเหนือสิ่งอื่นใด
เพชฌฆาตเดนสงคราม 2 (2539/1996) ข้อความบนใบปิด เพชรพันนาโปรดัคชั่น เสนอ ยิ่งใหญ่...มันส์ก้องโลก ทุนสร้างกว่า 10 ล้าน เพชฌฆาตเดนสงคราม 2 MISSION HUNTER 2 ชาติชาย รักศิลป พระเอกวัยรุ่น สมภพ วงศ์ก่อ พันนา ฤทธิไกร ดาราอินเตอร์ คริสทอป, โรเบิร์ต คริสต์ติน, โจเซฟ วูร์เทล ธัญลักษณ์ ราชธา, สมชาติ ทินใต้, บรรลุ ศรีแสง, พัฒนพงษ์ ราชธา, จา สุรินทร์, ทอง ชาตรี, ประภาษ ลาดพันนา, วิมล น้ำพอง, เตี้ย แจ่วบอง, ทีมสตั๊นแมนเพชรพันนาโปรดัคชั่น, ทีมยิมนาสติค อ.ป้อม เมืองสุรินทร์, ทีมเทควนโด 138/1 เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ วัตร ผู้ช่วยถ่ายภาพ โหน่ง ผู้ช่วยกำกับ นิต ลายเขียน ที่ปรึกษา โชคชัย เพชรพันนา ดำเนินงานสร้าง อรรถพล สงวนเกียรติ ถ่ายภาพ ธวัชชัย ลัดลอย อำนวยการสร้าง ประพนธ์ เพชรอินทร์ กำกับการแสดง เพชรพันนาโปรดัคชั่น จัดจำหน่าย (ที่มา :Thai Movie Posters)
รำปืนลำเพลิน (2538/1995) ข้อความบนใบปิด ไล้ติ้งเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เสนอ ขุนพลเพลง..นักเลงปืน พบกันท่ามกลาง กลิ่นคาวเลือด..ควันปืน และดงอิทธิพล.. รำปืน..ลำเพลิน ลิขิต เอกมงคล, เฉลิมพล มาลาคำ, ศศิธรโพธิโสภณ, ลักษณ์ อภิชาติ, ยุ้ย ยิ้มสยาม, จ่อย อย่างหนา, ผ่องพรรณ พจน์ชัยกุล, เปี๊ยก ยิ้มสยาม, อ๋อง ซูปเปอร์บ๊องส์, หมู สายันต์, ปั้น ตาปลา, ทวี เคราน้อย, ไอคิว ร้อยแปด สร้างเสนอ ไล้ติ้งเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ภาพนิ่ง มิสเตอร์พั๊งค์ ผู้ช่วยกำกับภาพ นนท์ชัย กำกับบท ป้อม บ้านช่างหล่อ ถ่ายภาพ สถิต กำกับการแสดง สุรพล อุระชื่น (ที่มา :Thai Movie Posters)
เสียงแคนดอกคูน (2536/1993) ข้อความบนใบปิด เขียวสดอินเตอร์กรุ๊พ เสนอ เริงสงกรานต์ ดอกคูนบานแล้ว เสียงแคนผิวแผ่วทั่วทั้งแนวไพร รักของหนุ่มสาวสดใส สุขใดจะเหมือนแม้น เด่นชัย จันทรพันธ์ บทภาพยนตร์-ลำดับภาพ-กำกับการแสดง เสียงแคนดอกคูน ฟัง 9 เพลงเอก ประทับใจ บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ธิดา ธีระรัตน์ ศิริพร อำไพพงษ์ ลุงแนบ สนธิ สมมาตร, ดวงสุดา จันทร์สุข, วุฒิ วรชัย, ไกรสร เรืองศรี, ดาร์กี้ กันตรึมร็อก, ดวงใจ เพชรสุรินทร์, จ่าโทน คนโก้, ศิริประภา สุขสมวัฒน์, แอ้น สุขทอง, ภคินี สุนทรนาค, Mr.Dan Olsen, พล โชกุน, ไวท์ ผดุงการ, แรมโบ้ เทืองช้าง, แต้ม ตุกติก, เทพอรุณ, สัญญลักษณ์ ดอนศรี, เจิด ทานตะวัน, ศิลปินเกียรติยศ ส.ส.วิฑูรย์ วงษ์ไกร ดารารับเชิญ สาววารินทร์, หนุ่มสยาม, หนุ่มโคราช พยุง พยกุล, สุรสีห์ ผาธรรม ที่ปรึกษา อำนาจ ศรีดอกบวบ อำนวยการสร้าง (ที่มา :Thai Movie Posters)