บางระจัน ๒ (2553/2010) ภายหลังวีรกรรมของกลุ่มนักรบบ้านระจัน ที่ร่วมกันต่อสู้กับกองทัพพม่าจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต แม้จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ แต่เรื่องราวของพวกเขากลับกลายเป็นตำนานแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง ปลุกให้ชาวบ้านผู้กล้าอีกหลายคนทิ้งจอบ เสียม มาจับดาบสู้กับพม่า หลายหมู่บ้านลุกขึ้นต่อต้านการรุกรานจากพม่าด้วยกำลังอันน้อยนิด แม้ว่าอยุธยาเมืองหลวงจะอ่อนแอจากความแตกแยก แต่ชาวบ้านตัวเล็กๆกลับพยายามยืนหยัดต่อสู้เพื่อผืนแผ่นดินบ้านเกิด ทำให้การเคลื่อนทัพของพม่าเต็มไปด้วยอุปสรรค โดยการนำของพระอาจารย์ธรรมโชติกลุ่มผู้กล้าชุมเขานางบวชรวมตัวกันขึ้นมาเป็นนักรบผ้าประเจียด คอยซุ่มโจมตี และปล้นสะดมกองทัพพม่าเพื่อปลดปล่อยเชลยคนไทยหลายร้อยคน จากที่เคยเป็นเสี้ยนหนามเล็กๆ นอกสายตา สุกี้แม่ทัพพม่าประกาศล่าหัวกลุ่มนักรบผ้าประเจียด แม้ว่าต้องฆ่าคนไทยจนหมดทุกหมู่บ้านก็ตาม ทหารพม่าเริ่มไล่ฆ่าชาวบ้านทุกคนเพื่อบีบให้นักรบผ้าประเจียดยอมมอบตัว แม้ว่าชาวบ้านบางคนจะยอมสละแม้กระทั่งชีวิตก็ไม่ยอมเผยความลับ แต่ก็มีบางคนเพียงแค่เงินทอง และลาภยศก็เปิดปากมันได้ สุกี้นำทัพเข้าปิดล้อมที่ซ่อนของกองทัพนักรบผ้าประเจียดได้ในที่สุด หากไม่มีความช่วยเหลือจากอยุธยา และไม่มีปาฏิหาริย์จากฟ้า เลือดของคนไทยจะไหลนองพื้นแผ่นดินเกิดอีกครั้ง กลุ่มกำลังนักรบผ้าประเจียดเพียงไม่กี่ร้อย ยกดาบขึ้นโห่ร้องก่อนเข้าประจันบานกองทัพนับพันของพม่า วันนี้ตำนานบ้านระจันกำลังจะถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยวิญญาณและเลือดเนื้อของคนไทย เสียงประดาบและเสียงโห่ร้องดังกึกก้อง นี้คืออีกตำนานการต่อสู้เพื่อจะบอกคนไทยทุกคนว่า “ดินทุกก้อน ต้นไม้ทุกต้น สายน้ำทุกสาย หล่อหลอมขึ้นมาจากเลือดและเนื้อของคนไทย จงรักษามันไว้ให้ดี”
ผีตุ๋มติ๋ม (2552/2009) เมื่อ ถนอม (วีรภาพ สุภาพไพบูลย์) ยอดผู้รักษาประตูทีมชาติไทยชุดกำลังจะไปบอลโลก เกิดอุบัติเหตุศีรษะชนเสาประตูในขณะแข่งรอบตัดเชือกกับซาอุดิอาระเบีย จนเสียชีวิต แต่ทางนรกภูมิได้พยายามยื้อร่างของเขาไว้ ในขณะที่ เสงี่ยม (นพดล ทรงแสง) กะเทยไฮโซที่ชีวิตยังไม่ถึงฆาตดันแอบตัดช่องน้อยชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน ครั้นจะกลับไปใช้ร่างเดิม ๆ ก็ถูกเผาไปเสียนี่ เป็นเหตุให้ทางนรกภูมิต้องอาศัยร่างของถนอมให้เป็นที่อาศัยของกะเทยเสงี่ยมไปพลาง ๆ โดยมียมฑูต ดุ๋งดิ๋ง (อนุวรรตน์ ทับวัง) คอยควบคุมดูแล มิให้เสงี่ยมในร่างถนอมทำอะไรไม่ดีไม่งามกับเจ้าของร่างที่เป็นดั่งความหวัง และความฝันของคนไทยทั้งประเทศที่จะได้เข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก แต่ระหว่างนั้นก็มีเรื่องวุ่นวายปนสนุกสนานติดตามมาไม่ขาดสาย ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างถนอมกับ ลดา (พินท์สุดา ตันฑ์ไพเราะห์) ที่เปลี่ยนไป การตามล่า เพื่อกระชากความจริงของนักข่าวจอมแส่อย่าง มิ่งขวัญ (สุเทพ โพธิ์งาม) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมุ่งทำความดี 5 อย่างของเสงี่ยม เพื่อรักษาร่างกายถนอม มิให้เน่าเปื่อย และเกมการแข่งขันที่เข้มข้นในแต่ละนัดที่เหลือของทีมชาติไทย
ก้านกล้วย ๒ (2552/2009) ชัยชนะจากสงครามยุทธหัตถี ก้านกล้วยได้รับการแต่งตั้งเป็น เจ้าพระยาปราบหงสาวดี เป็นช้างทรงที่พระนเรศวรทรงใช้ในการศึกสงครามทุกครั้ง รวมถึงสงครามครั้งใหม่ของกรุงหงสาวดี ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า... แต่...ก่อนที่การเริ่มทัพจะเริ่มขึ้น เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทหารหงสาบุกมาจับชาวบ้านอยุธยาไปเป็นเชลย และได้นำชบาแก้วและลูกแฝดของก้านกล้วยไปด้วย ก้านกล้วย ไม่มีหนทางอื่น นอกจากต้องแอบหลบหนีจากกรุงศรีอยุธยา เพื่อช่วยลูกเมียกลับมาให้เร็วที่สุด ครั้งนี้เขาต้องต่อสู้เพียงลำพังบนดินแดนของศัตรู ต้องเผชิญหน้ากับช้างศึกที่แข็งแกร่งที่สุดอย่าง งานิล พร้อมด้วย อองสา มหาอำมาตย์จอมเวทย์มนตร์ นี่คือ ภารกิจที่ใหญ่หลวงยิ่งกว่าครั้งใด
ท้าชน (2552/2009) ไท ชายหนุ่มที่เพิ่งหลุดจากคดีมาได้ด้วยการวิ่งเต้นของ แทน พี่ชายฝาแฝด แต่เมื่อไทพ้นโทษออกมาได้ เขาพบว่าพี่ชายของเขาบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นโคม่า ไท ได้รับรู้เรื่องราวจาก แป้ง แฟนสาวของแทน ว่าพี่ชายของเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอันตรายบางอย่าง เพราะต้องการหาเงินมาช่วยสู้คดีให้เขา ไท รู้สึกผิดที่มีส่วนในการทำให้พี่ชายต้องเป็นแบบนี้ จึงออกสืบหาข้อมูลว่า เกิดอะไรขึ้นกับแทนกันแน่ ในที่สุด ไท ได้เข้ามาสู่วงการแข่งบาสเถื่อน ซึ่งเป็นเกมการพนันใต้ดินที่มีผู้ทรงอิทธิพลหนุนหลังอยู่ เมื่อไทต้องการรู้ให้ได้ว่าใครหรืออะไรคือต้นเหตุให้ แทน พี่ชายของเขาต้องมานอนไม่ได้สติอย่างที่เป็นอยู่ เขาจึงเข้าร่วมทีม "ไฟร์บอล" ของ เฮียเด่น ที่มี สิงห์ เค อิก และ หมึก อยู่ในทีม ซึ่งกว่าที่ไทจะได้รู้ความจริงทั้งหมด เขาต้องแลกด้วยอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งอาจรวมถึง "ชีวิต" ของเขาเองด้วย
ดรีมทีม (2551/2008) โค้ชทีมฟุตบอล กีฬาสุดเท่ห์อยู่แท้ ๆ โค้ชเบิร์ด (เกียรติ กิจเจริญ) กลับถูก ครูหนูเล็ก (ศกลรัตน์ วรอุไร) ชักชวนแกมบังคับ ให้ช่วยมาเป็นโค้ชชักเย่อเด็กอนุบาล ลงแข่งกีฬาอนุบาลแห่งชาติ ครั้งที่ 18 "หัวแก้ว" (กฤษฎา ชนะภัยเจริญสุข) รวมเพื่อน ๆ ตั้งทีมดรีมทีม เพื่อแข่งชักเย่อ คุณพ่อของหัวแก้ว (อัมรินทร์ นิติพน) คุณพ่อรุ่นใหม่ งานต้องทำ แต่อยากให้ลูกชายแข็งแรง จึงผลักดันให้เล่นกีฬาเต็มที่ "เป๊ะ" (ธนทัต ขวัญไสวธรรม) กับคุณแม่ยุคใหม่ (ภัทรวรินทร์ ทิมกุล) ทำงานเลี้ยงลูกลำพัง แม่ไม่ค่อยมีเวลาให้กับเป๊ะมากนัก ความหวังของเป๊ะคือ อยากให้แม่มาดูตัวเองแข่งชักเย่อ "เซน 1" (สรรภวัต สุระเกรียงศักดิ์) ร่างตุ้ยนุ้ย หน้าตาน่าหยิก มีหม่าม้า (เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์) ผลักดันสุดฤทธิ์ ให้เซน 1 เป็นหัวหน้าทีม จ้ำม่ำแรงดีแบบนี้ ทำไม๊ ทำไม ไม่ได้เป็นหัวหน้าทีม ส่วน เซน 2 (ธนกร เมธาวุฒิกีรติ) คุณพ่อเป็นด็อกเตอร์ความรู้เยอะ (คมสัน นันทจิต) นักวิทยาศาสตร์ไอคิวสูง พกเอาความเป็นเลิศทุกด้านมาให้ เซน 2 ไม่เว้นแม้กระทั่งแข่งชักเย่อ ก็ห้ามแพ้ ภูมิ (ภูริ สรีระศาสตร์) รูปร่างผอมบาง หน้าตาดูขี้โรค ลูกของคู่ผัวเมียพูดมาก (ศรีพรรณ บุนนาค และ ธรธร สิริพันธ์วราภรณ์) ภูมิเป็นเด็กหัวอ่อน ว่าง่าย ใครบอกให้เป็นอะไรก็เป็น แม่บอกเป็นอีสุกอีใส ภูมิก็เป็น แต่พอเพื่อนบอกเป็นเอดส์ ภูมิก็ว่า ภูมิเป็น! "อะตอม" (ธนพล บุญเจริญสุข) หล่อใสหัวหยิก เรี่ยวแรงดี แต่ตื่นเต้นเป็นไม่ได้ ขี้แตกทุกที คุณพ่อของอะตอม (เอกราช เก่งทุกทาง) ต้องเตรียมกางเกงไว้ให้เปลี่ยนเสมอ เสียอย่างเดียว มักเป็นกางเกงสีแดง สะดุดตาตัวเก่ง แก๊งส์ดรีมทีม กองหลังร่วมด้วยหัวหน้าทีม ริชชี่ (ศุภโชติ รัชวรพงศ์) เจ็ส (เจษฎาพร บุญสอน) จุ้ย (พชธกร ธนพัฒนากุล) และสตางค์ (อัจฉริยะ อุปการดี) แต่แล้วเส้นบาง ๆ คั่นระหว่าง ฮีโร่ กับ ตัวสำรอง เกิดขึ้น เพราะกติกาแข่งขันกำหนดนักกีฬาไว้เพียง 9 คน หมายถึง 1 ใน 10 ของ ดรีมทีม ต้องนั่งเก้าอี้สำรอง! พ่อแม่ของเด็ก ๆ ต่างก็ลุ้นสุดโก่ง โค้ชเบิร์ด จะตัดสินใจอย่างไร?? ครูหนูเล็ก จะตอบคำถามเหล่าผู้ปกครองอย่างไร? ทั้งโค้ช ครู พ่อแม่ กองเชียร์ฝากคาดหวังกันซะเต็มเหนี่ยว เชียร์กันเต็มสตรีม ไว้กับ 2แขนเล็ก ๆ ของ ดรีมทีม อายุ 5 ขวบเนี้ยนะ! ใคร (ฟ่ะ) ว่ากีฬามีแพ้ มีชนะ
สียามา (2551/2008) พ.ศ. 2307 ในสมัยกรมขุนอนุรักษ์มนตรี แห่งบ้านพูลหลวง ในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นข่วงภาวะสงครามไทยและพม่า ผู้รุกรานยกทัพ มุ่งตัดกำลังกรุงศรีอยุธยาจากทุกด้าน ด้านหนึ่ง มังมหานรธา เป็นแม่ทัพ ตีหัวเมืองทางทวาย กาญจนบุรี สุพรรณบุรี เข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา อีกด้านหนึ่ง เนเมียวสีหบดี เป็นแม่ทัพ ตีหัวเมืองทางเหนือ เรื่อยมาทางใต้เพื่อเข้าตีโอบล้อมกรุงศรีอยุธยา บ้าน สียามา ที่เคยสงบสุข จึงอยู่ในภาวะสงครามเช่นกัน ผู้กล้าแห่งบ้านสียามา ต่อสู้กับผู้รุกรานที่เดินทัพหลงออกนอกเส้นทาง แต่ในระหว่างการต่อสู้ จู่ ๆ รถยนต์ของ อาณา, โบ๊ต และ กิ๊ฟ นั่งอยู่ในรถยนต์ หลงเข้ามาในระหว่างการต่อสู้ ทั้งหมดตกใจกับสิ่งที่เกิด จึงขับรถยนต์หนีเข้าไปหมู่บ้านสียามา พวกเขานำความสามารถเข้าช่วยเหลือหมู่บ้านสียามา
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๒ ประกาศอิสรภาพ

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๒ ประกาศอิสรภาพ (2550/2007) พ.ศ. 2114 “สมเด็จพระมหาธรรมราชา” ซึ่งพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยาสืบต่อจากพระมหินทราธิราชได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นอุปราชครองเมืองพิษณุโลก เมื่อพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสวรรคตในปี พ.ศ. 2124 “พระเจ้านันทบุเรง” ขึ้นเสวยราชย์สืบแทน และสถาปนาพระโอรส “มังสามเกียด” ขึ้นเป็น “พระมหาอุปราชา” รัชทายาท ในการนี้เจ้าเมืองประเทศราชทั้งหลายต้องมาร่วมแสดงความสวามิภักดิ์ รวมถึงพระมหาธรรมราชาและสมเด็จพระนเรศวรด้วย ในขณะที่เจ้าฟ้าเมืองคังไม่ได้เสด็จมาร่วมพระราชพิธีสำคัญครั้งนี้ เป็นเหตุให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงทรงมอบหมายให้พระมหาอุปราชา, พระราชนัดดา “นัดจินหน่อง” พระโอรสเจ้าเมืองตองอู, และสมเด็จพระนเรศวรช่วยกันเข้าตีเมืองคัง แต่พระมหาอุปราชากลับสั่งให้สมเด็จพระนเรศวรเข้าตีเป็นทัพสุดท้าย ด้วยความมั่นใจว่าทัพของพระองค์และนัดจินหน่องจะประสบความสำเร็จ แต่ปรากฏว่าสมเด็จพระนเรศวรทรงมีชัยชนะในศึกเมืองคังนี้ สามารถจับตัวเจ้าฟ้าเมืองคังและพระธิดา “เลอขิ่น” กลับมาได้ รัชทายาทหงสาวดีและราชนิกูลฝ่ายพม่าซึ่งเป็นคู่ปรับกันมาตั้งแต่เยาว์วัยจึงขุ่นเคืองอาฆาตสมเด็จพระนเรศวรเป็นทวีคูณ ต่อมาเมื่อเกิดศึกอังวะ พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงให้สมเด็จพระนเรศวรนำทัพมาช่วยรบ แต่พระมหาอุปราชากลับใช้โอกาสนี้วางแผนลอบปลงพระชนม์ ในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรทรงยั้งทัพอยู่ ณ เมืองแครง แต่ข่าวการลอบปลงพระชนม์ได้ล่วงรู้ถึงสมเด็จพระนเรศวรผ่านทางพระมหาเถรคันฉ่อง สมเด็จพระนเรศวรจึงถือเหตุการลอบปลงพระชนม์ในการประกาศอิสรภาพตัดสัมพันธไมตรีกับหงสาวดี และกวาดต้อนชาวไทยชาวมอญกลับคืนพระนคร ฝ่ายหงสาวดีเมื่อทราบว่าการลอบปลงพระชนม์ไม่สำเร็จจึงให้นายทัพสุระกำมาเร่งนำทัพออกติดตามทัพของสมเด็จพระนเรศวร ในที่สุดก็ทัพหงสาวดีก็ตามมาถึงในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรและไพร่พลกำลังข้ามแม่น้ำ และศึกครั้งนี้สมเด็จพระนเศวรทรงใช้พระแสงปืนต้นยิงข้ามแม่น้ำสะโตงถูกแม่ทัพสุระกำมาตายบนคอช้าง ทัพพม่าจึงล่าถอยกลับไป

สู้นี้เพื่อเธอ (Sumolah) (2550/2007) "อาฟฟลิน" ชายหนุ่มซึ่งอ่อนแอ แต่เมื่อเกิดความรักแท้ ทำให้เขาได้รับแรงบันดาลใจ พยายามทำทุกสิ่งเพื่อคนที่เขารัก เพื่อจุดหมายที่คาดหวังไว้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการร่วมทุนถ่ายทำถึง 3 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น, มาเลเซียและประเทศไทย และเปิดฉายที่มาเลเซีย และญี่ปุ่น เป็นที่เรียบร้อย เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬาประจำชาติของประเทศญี่ปุ่น นำมาร้อยเรียงเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนที่ท้อแท้ สิ้นหวัง
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๑ องค์ประกันหงสา

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๑ องค์ประกันหงสา (2550/2007) พุทธศักราช 2106 “พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง” ทรงกรีฑาทัพเข้าตีราชอาณาจักรอยุธยาทางด่านระแหงแขวงเมืองตาก ทัพพม่ารามัญซึ่งมีรี้พลเหลือคณานับได้เข้ายึดครองหัวเมืองฝ่ายเหนือของราชอาณาจักรอยุธยาอันมีเมืองพิษณุโลกเป็นประหนึ่งเมืองราชธานีได้เป็นผลสำเร็จ ครั้งนั้น “สมเด็จพระมหาธรรมราชา” (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) พระราชบิดาของ “สมเด็จพระนเรศวร” หรือ “พระองค์ดำ” (ปรัชฌา สนั่นวัฒนานนท์) ซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินครองเมืองพิษณุโลกจำต้องยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนองเพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตอาณาประชาราษฎร์มิให้ต้องมีภยันตรายและจำต้องยอมร่วมกระบวนทัพพม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยา ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหา จักรพรรดิเจ้าแผ่นดินอยุธยาทรงยอมเจรจาหย่าศึกกับพม่ารามัญ และยอมถวายช้างเผือก 4 เชือก ทั้งให้สมเด็จพระราเมศวรราชโอรสโดยเสด็จพระเจ้าบุเรงนองไปประทับยังนครหงสาวดีตามพระประสงค์ของกษัตริย์พม่า ข้างสมเด็จพระมหาธรรมราชาซึ่งได้ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนองก็ได้ถวายสมเด็จพระนเรศวรราชโอรสองค์โตให้ไปเป็นองค์ประกันประทับยังหงสาประเทศเฉกเช่นกัน ครั้งนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้เพียง 9 ชันษา สมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นที่รักใคร่ของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองประดุจพระราชบุตรร่วมสายสันตติวงศ์ ด้วยองค์ยุพราชอยุธยาทรงมีพระปรีชาสามารถด้านพิชัยยุทธ ทั้งยังองอาจกล้าหาญสบพระทัยกษัตริย์พม่าซึ่งก็ทรงเป็นนักการทหาร นิยมผู้มีคุณสมบัติเป็นนักรบเยี่ยงพระองค์ พระเจ้าบุเรงนองทรงมีสายพระเนตรยาวไกล แลเห็นว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอุษาคเนย์ประเทศ จึงทรงคิดใคร่ปลูกฝังให้สมเด็จพระนเรศวรผูกพระทัยรักแผ่นดินหงสา เพื่อจะได้อาศัยพระองค์เป็นผู้สืบอำนาจอุปถัมภ์ค้ำชูราชอาณาจักรซึ่งพระองค์ทรงสถาปนาขึ้นด้วยความยากลำบาก เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระเจ้าบุเรงนองนั้นหาได้วางพระทัยในพระราชโอรสคือ “มังเอิน – พระเจ้านันทบุเรง” (จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์) และพระราชนัดดา “มังสามเกียด” (โชติ บัวสุวรรณ) นัก ถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขโดยตรง ด้วยทรงเล็งเห็นว่าราชนิกุลทั้งสองพระองค์นั้นหาได้เป็นผู้ทรงคุณธรรมอันจะน้อมนำเป็นพื้นฐานให้เติบใหญ่เป็นบูรพกษัตริย์ ปกป้องครองแผ่นดินที่พระองค์ทรงสร้างและทำนุบำรุงมาด้วยกำลังสติปัญญาและความรักใคร่หวงแหน เหตุทั้งนี้เป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงและราชโอรสมังสามเกียดขัดพระทัย ทั้งผูกจิตริษยาสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองกว่าราชนิกุลข้างพม่าทั้งหลายทั้งสิ้น พระเจ้าบุเรงนองทรงโปรดให้ “พระมหาเถรคันฉ่อง” (สรพงษ์ ชาตรี) พระรามัญผู้มากด้วยวิทยาคุณและเจนจบในตำราพิชัยสงครามเป็นพระอาจารย์ถ่ายทอดศิลปะวิทยาการแก่สมเด็จพระนเรศวร นับแต่เริ่มเข้าประทับในหงสานครยังผลให้ยุพราชอยุธยาเชี่ยวชาญการยุทธ กลช้าง กลม้า กลศึก ทั้งข้างอยุธยาและข้างพม่ารามัญหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ข้อได้เปรียบตามกล่าวเป็นเสมือนทุนทางปัญญาอันส่งผลให้สมเด็จพระนเรศวรสามารถกอบกู้เอกราช แก้ทางศึกจนมีชัยเหนือพม่ารามัญในภายภาคหน้า พุทธศักราช 2112 ปรากฏข่าวระบือไปถึงหงสาวดีว่าหัวเมืองพิษณุโลกฝ่ายเหนือแลกรุงศรีอยุธยาราชธานีฝ่ายใต้ของราชอาณาจักรสยามครั้งนั้นเกิดขัดแย้งปีนเกลียวกัน เหตุเนื่องมาจาก “สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ” (ศรัณยู วงศ์กระจ่าง) เจ้าแผ่นดินอยุธยาเสด็จออกผนวช แลสถาปนา “สมเด็จพระมหินทร์” (สันติสุข พรหมศิริ) ราชโอรสองค์รองขึ้นเสวยราชสมบัติสืบแทน สมเด็จพระมหินทร์ทรงคลางแคลงพระทัยในความจงรักภักดีของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแต่ครั้งสงครามชิงช้างเผือกในปีพุทธศักราช 2106 ขณะที่เจ้าแผ่นดินพิษณุโลกก็หาได้ยำเกรงสมเด็จพระมหินทร์เช่นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อเห็นการใดมิควรก็บังคับบัญชาให้สมเด็จพระมหินทร์ปฏิบัติตามพระประสงค์จนเป็นที่ขุ่นเคืองพระราชหฤทัยกษัตริย์อยุธยาพระองค์ใหม่ถึงกับหันไปสมคบกับ “สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช” (รอน บรรจงสร้าง) พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาวร่วมกันแต่งกลเข้าตีเมืองพิษณุโลก แต่กระทำการมิสำเร็จพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเห็นเชิงสบโอกาสก็ยกทัพใหญ่เข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีกคำรบ ครั้งนั้นสมเด็จพระนเรศวรร่วมโดยเสด็จมากับทัพหงสาแต่หาได้ตามพระเจ้าบุเรงนองลงมาล้อมกรุงศรีอยุธยา ทรงประทับอยู่เพียงเมืองพิษณุโลก มีเพียงสมเด็จพระมหาธรรมราชาโดยเสด็จกษัตริย์หงสาลงมาล้อมกรุงด้วยตั้งพระทัยจะเกลี้ยกล่อมให้สมเด็จพระมหินทร์ยอมสวามิภักดิ์พระเจ้าบุเรงนอง เพราะเล็งเห็นว่าอยุธยายากจะต่อรบเอาชัยทัพพม่ารามัญซึ่งมีกำลังไพร่พลเหนือกว่าได้ หากขัดขืนต่อรบจะได้ยากแก่สมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎร์ ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงลาผนวชมาบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง แต่อยู่ได้มิช้านานก็เสด็จสวรรคตเสียระหว่างศึกพุทธศักราช 2112 มะเส็งศก วันอาทิตย์ เดือน 9 แรม 11 ค่ำ กรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ข้างสมเด็จพระนเรศวรซึ่งประทับอยู่ยั้งยังนครพิษณุโลกแต่ต้นศึก หาได้ทรงเห็นงามหรือคิดครั่นคร้ามอ่อนน้อมต่อหงสา ถึงจะทรงรู้ซึ้งว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชบิดามิได้คิดคดเป็นกบฏต่อแผ่นดิน แต่ก็หาได้เห็นด้วยกับการอ่อนข้อสวามิภักดิ์พม่ารามัญ น้ำพระทัยอันมั่นคงเด็ดเดี่ยวนั้น ถึงแม้จะมิได้แพร่งพรายถึงพระกรรณพระเจ้าบุเรงนอง แต่ก็ประจักษ์อยู่ในหมู่ข้าราชบริพารใกล้ชิดผู้รักและหวงแหนในเอกราชของแผ่นดินจึงพากันนิยมในน้ำพระทัย แลพร้อมใจถวายความจงรักภักดีแต่นั้นมา ครั้นเสร็จศึกอยุธยาพุทธศักราช 2112 สมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงถวาย “พระสุพรรณกัลยา” (เกรซ มหาดำรงค์กุล) พระพี่นางสมเด็จพระนเรศวรแก่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง แลขอตัวสมเด็จพระนเรศวรไว้ช่วยราชการข้างอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรจึงประทับยั้งอยู่ยังเมืองพิษณุโลก สืบต่อมาครั้นลุปีพุทธศักราช 2114 สมเด็จพระมหาธรรมราชา ซึ่งพระเจ้าบุเรงนองสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยาสืบต่อจากสมเด็จพระมหินทร์ก็โปรดให้สมเด็จพระนเรศวรเสวยราชย์ครองเมืองพิษณุโลกเป็นใหญ่เหนือหัวเมืองเหนือทั้งปวง เหตุการณ์ข้างพม่า หลังจากพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสิ้นพระชนม์ในปีพุทธศักราช 2124 พระเจ้านันทบุเรงได้ขึ้นเสวยราชสืบต่อและได้สถาปนามังสามเกียดขึ้นเป็นรัชทายาทครองตำแหน่งมหาอุปราชาแห่งราชอาณาจักรหงสาวดี เมื่อแผ่นดินหงสามีอันต้องผลัดมือมาอยู่ในปกครองของพระเจ้านันทบุเรง สัมพันธไมตรีระหว่างอยุธยาและหงสาวดีก็เริ่มสั่นคลอน ด้วยพระเจ้าหงสาวดีพระองค์ใหม่มิได้วางพระทัยในสมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระนเรศวรเองก็หาได้เคารพยำเกรงในบุญบารมีของพระเจ้าแผ่นดินพม่ารามัญเช่นกาลก่อน มิเพียงเท่านั้นสมเด็จพระนเรศวรยังได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถให้เป็นที่ปรากฏครั่นคร้าม ดังคราวนำกำลังทำยุทธนาวีกับพระยาจีนจันตุและศึกเมืองคังเป็นอาทิ พระเจ้านันทบุเรงทรงเกรงว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะเป็นภัยต่อพระราชวงศ์แลแผ่นดินหงสา จึงหาเหตุวางกลศึกหมายจะปลงพระชนม์สมเด็จพระนเรศวรเสียที่เมืองแครง แต่พระมหาเถรคันฉ่องพระราชครูลอบนำแผนประทุษร้ายนั้นมาแจ้งให้ศิษย์รักได้รู้ความ สมเด็จพระนเรศวรจึงถือเป็นเหตุประกาศเอกราช ตัดสัมพันธไมตรีกับหงสาวดี แลกวาดต้อนครัวมอญไทยข้ามแม่น้ำสะโตงกลับคืนพระนคร ซึ่งเป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงเปิดมหายุทธสงครามสั่งทัพเข้ารุกรานราชอาณาจักรอยุธยาสืบแต่นั้นมา

หมากเตะ รีเทิร์นส (2549/2006) พงศ์นรินทร์ อุลิศ (จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม) เคย โค้ชหนุ่มไฟแรงผู้ฝันอยากเห็นทีมไทยไปบอลโลก ยังคงไม่ได้รับโอกาสจากสมาพันธ์ฟุตบอลไทย ร้อนถึง เจ๊มิ่ง (น้อย โพธิ์งาม) น้าสาวบ้าหวยรวยบอลแฟนพันธุ์แท้ทีมไทย แกประกาศลั่นถ้าถูกรางวัลที่ 1 จะทุ่มเงินให้หลานรักพาบอลไทยไปตะลุยบอลโลกให้จงได้ แล้วชะตาก็ลิขิตให้ชีวิตสองน้าหลานผันผวน เมื่อเจ๊มิ่งดันถูกล็อตเตอรีชุดใหญ่จังเบอร์ 192 ล้านบาท แต่สมาพันธ์กลับพลิกลิ้นแต่งตั้งโค้ชบราซิล อ้างเสียบเพื่อชาติ เจ๊มิ่งยัวะจัดจูงมือหลานชายบินลัดฟ้าสู่ประเทศอาวี ลั่นวาจาคราวนี้แหละอาวีจะไปบอลโลก ราชรัฐอาวี ตั้งอยู่ในทะเลจีนใต้ ส่งออกหอยลาย ดำเนินนโยบายเป็นกลาง อาวี เป็นประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรราวแสนคน แต่ติดหนึ่งในสิบประเทศที่คลั่งไคล้ลูกหนังมากที่สุดจากการจัดอันดับประจำปี 2006 ทีมฟุตบอลของพวกเขาถือเป็นสมันน้อยของโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พกสถิติแจกแต้มแหลก ไม่เคยชนะทีมใดเลยในการแข่งขันระดับชาติ แต่เด็กๆ ชาวอาวีก็เช่นเดียวกับเด็กๆ ทั่วโลก นั่นคือ ฝันอยากเห็นทีมชาติตัวเองลงเตะในมหกรรมระดับโลกนี้สักครั้ง
Match Point Match Love เพราะรักครับผม (2548/2005) ท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุของชายหาดพัทยา การแข่งขันวอลเลย์บอลชายหาดรอบชิงชนะเลิศปีนี้ ทำให้หัวใจของผู้ชายคนหนึ่งเปลี่ยนไปตลอดกาล แซนด์ (จิตรกร บุญสอน) หัวโจกแก๊งท้องถิ่นชายหาดพัทยา เด็กหนุ่มเดินดินใช้ชีวิตไปวันๆ จนกระทั่งได้พบ เน็ท (ซาร่า มาลากุล เลน) นักวอลเล่ย์บอลชายหาดดาวรุ่งที่จับคู่ลงแข่งคู่กับ โอปอล (มารีออน อัฟโฟลเทอร์) จนคว้าแชมป์มาหลายทัวร์นาเม้นท์ แซนด์พยายามใกล้ชิดเน็ท แต่เน็ทกลับมีความรู้สึกผูกพันกับ พีท (ศิวัส นฤภัย) โค้ชหนุ่มที่เน็ทมองเห็นเขาเป็นวีรบุรุษมาตั้งแต่เด็ก การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศใกล้เข้ามา ทีมคู่แข่งน่ากลัวของเน็ท คือ เรย์โกะ (รัศมี ทองสิริไพรศรี) แชมป์วอลเล่ย์บอลจากญี่ปุ่นเชื้อสายไทย กับ น้ำหวาน (อภิษฎา เครือคงคา) เรย์โกะไม่เพียงนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่เกมวอลเลย์บอล แต่เรย์โกะยังทำให้ปมความรักที่ผูกมัดพวกเขาทุกๆ คนไว้ ยิ่งพลิกผันมากขึ้นอีก เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของ เจ๊แต๋ว (เจเน็ต เขียว หรือ นงนุช สมบูรณ์) สาวใหญ่เจ้าของบาร์ในพัทยา เจ๊แต๋วเฝ้าดูความเป็นไปในความรักของหนุ่มสาว พร้อมทั้งให้คติเตือนใจน้องๆ ว่า "ความหวังไม่ได้มีให้เราสมหวัง แต่มีให้เราไขว่คว้า"
The King Maker กบฏ ท้าวศรีสุดาจัน (2548/2005) “เฟอร์นานโด เดอ กัมมา” (แกรี สเตร็ช) ทหารรับจ้างหนุ่มจากประเทศโปรตุเกส ออกเดินทางมายังดินแดนในซีกโลกตะวันออกใน ค.ศ 1547 เพื่อแสวงหาความร่ำรวยเฉกเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมชาติอีกหลายคนไปพร้อมกับการติดตามร่องรอยของบุคคลในอดีตที่เคยสังหารพ่อของเขาต่อหน้าต่อตาในขณะที่เขามีอายุเพียง 8 ขวบ ภาพความทรงจำดังกล่าวเป็นที่ติดตาและฝังใจแก่เขาเสมอมา แต่ในระหว่างการเดินเรือเขาพร้อมกับพวกพ้องกลับต้องเผชิญกับเคราะห์ร้ายเมื่อพายุทะเลคลั่งโหมซัดจนทำให้เรือจมลงใต้พื้นมหาสมุทรอินเดียอันกว้างใหญ่ เหลือเพียงเขาคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้จากเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าเขาถูกพ่อค้าทาสชาวอาหรับจับตัวไปยังดินแดนอยุธยาเพื่อขายเป็นทาส กรุงศรีอยุธยาเมื่อราว 458 ปีที่แล้วกล่าวได้ว่าเป็นดินแดนแห่งการค้าขายที่เหล่าอาณาประเทศและผู้คนหลากหลายเชื้อชาติต่างหลั่งไหล่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นชาวตะวันตกไปจนถึงตะวันออกที่ใกล้เคียง แต่ใช่ว่าโชคชะตาของเฟอร์นานโดจะอับโชตเสียทีเดียว เมื่อเขาได้รับการไถ่ตัวให้มีอิสรภาพจาก “มาเรีย” (สิรินยา เบอร์บริดจ์) หญิงสาวชาวโปรตุเกสผู้มีจิตใจงดงามที่เดินทางติดตาม “ฟิลลิปป์” (จอห์น รีส-เดวีส์) บิดาผู้ที่ทำหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างกำแพงเมืองให้กับ “พระชัยราชา” (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) กษัตริยแห่งอยุธยา ต่อมาเมื่อกษัตริย์แห่งลานนาคิดแข็งข้อต่ออยุธยาโดยการส่งศีรษะของผู้ส่งสารมาให้ พระชัยราชาทรงกริ้วเป็นอย่างยิ่งจึงตัดสินใจยกทัพเข้าสู่ศึกสงครามพร้อมกับ “พระมหาจักรพรรดิ” (โอลิเวอร์ พูพาร์ท) พระเชษฐาของพระชัยราชา ส่งผลให้เหล่าพันธมิตรของอยุธยา ไม่ว่าจะเป็นชุมชนโปรตุเกส, ญี่ปุ่นต่างเข้าร่วมทำศึกในครั้งนี้ เฟอร์นานโดเองก็เข้าร่วมรบในฐานะทหารที่มีประสบการณ์ จึงไม่น่าแปลกใจที่ความห้าวหาญในฐานะนักรบของเขาจะสร้างความพึงพอพระทัยแก่องค์กษัตริย์จนพระองค์แต่งตั้งเขาให้เป็นหนึ่งในราชองครักษ์พร้อมกันกับเพื่อนใหม่ชาวไทยผู้อาจหาญนาม “ทอง” (ดอม เหตระกูล) ที่เขาได้มีโอกาสช่วยชีวิตไว้ในสมรภูมิรบ ขณะเดียวกัน “มเหสีสุดาจัน” (ยศวดี หัสดีวิจิตร) ผู้เลอโฉมแต่ร้ายกาจได้วางแผนลอบปลงพระชนม์พระชัยราชาและ “พระยอดฟ้า” (ชาลี ไตรรัตน์) พระโอรสที่เกิดกับตนขึ้น เพื่อที่จะจะปูทางให้ “พันบุตรศรีเทพ” (อัครา อมาตยกุล) ชู้รักของนางขึ้นครองราชย์ โดยมีมือสังหารจากต่างชาติร่วมมือในแผนการร้าย นายทองและเฟอร์นานโดราชองครักษ์ปกป้องกษัตริย์ชนิดถวายหัว และพยายามสืบหาผู้อยู่เบื้องหลังแผนการร้ายในครั้งนี้ ก่อนที่จะพบว่ามีเงื่อนงำบางอย่างเชื่อมโยงมายังฟิลลิปป์พ่อของมาเรีย แต่แล้วโดยที่ไม่มีใครคาดคิด ทั้งสองพบว่าพระมเหสีมีส่วนสำคัญในแผนการครั้งนี้ แต่ก็สายเกินกว่าจะช่วยพระมหากษัตริย์ให้รอดพ้นจากการถูกพระมเหสีวางยาได้ เช่นเดียวกันกับที่พระโอรสซึ่งถูกเหล่าองครักษ์ผู้ของมเหสีปลงพระชนม์ เมื่อกษัตริย์ทรงสวรรคต เฟอร์นานโดกับทองกลายเป็นผู้ถูกกล่าวโทษว่าเป็นผู้เกี่ยวข้อง โดยมาเรียและครอบครัวของทองเองก็ถูกทหารจับตัวไป เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป เตรียมพบกับอีกหนึ่งมุมมองของเรื่องราวจากประวัติศาสตร์ที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องยิ่งใหญ่ระดับฮอลลีวูด “กบฏท้าวศรีสุดาจัน” 20 ต.ค.นี้ ในโรงภาพยนตร์
ซาไก ยูไนเต็ด (2547/2004) เปาตุ๊ (นำแสดงโดย พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) อดีตกรรมการบอลที่กำลังหนีลูกน้องของหัวหน้ากรรมการฟุตบอล แล้วเขาก็กระโดดลงที่ลำธาร และได้ไปสนามกีฬาโดยเห็นเงาะร่วมแข่งขันด้วย เขาสังสัยว่าเขาเค้าคือใครและเขาจึงตามพวกเขาไป โดยเข้าไปในป่า ก่อนที่จะพบเห็นหมู่บ้านเงาะป่ากับหัวหน้าเผ่า ซึ่งกำลังพูดเรื่องในหมู่บ้านกำลังมีโรคระบาด โดยที่ชาวซาไกยังคงมีอาหารป่วยไม่รู้จะรักษาอย่างไรจึงจะหาย ทำให้เขาตัดสินใจให้ซาไกทั้งกลุ่มออกเดินทางที่กรุงเทพมหานคร แต่ซาไกที่ไม่ได้ออกเดินทางนอกป่าที่ไกลมาก ซาไกทั้งกลุ่มจึงตัดสินใจที่จะช่วยเหลือพวกเผ่าเราให้หายป่วยโดยได้รับถ้วยพระราชทานในการแข่งขันฟุตบอลโลกครังนี้ และพวกเขาไปกรุงเทพโดยรถเมล์ เปาตุ๊คอยฝึกซาไกไว้ให้มาแข่งขันทีมซาไกยูไนเต็ดที่เปาตุ๊เคยตั้งชื่อทีมไว้แล้วในจังหวัดยะลา โดยการแข่งขันจะมี มะม่วงเป็นกัปตันทีมของซาไกยูไนเต็ด การแข่งขันของซาไกยูไนเต็ดไม่สำเร็จพอที่จะแข่งขันฟุตบอลตอนนี้ ในตอนกลางคืนกลุ่มซาไกได้เดินทางไปที่ถนนข้าวสารและได้เข้าไปในคลับ ซาไกเกิดอาการแปลกใจที่เห็นโลกภายนอก ในการแข่งขันทีมซาไกยูไนเต็ดแข่งกับสิงห์น้ำเงินแข่งเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จต่อๆกัน และต่อมาทีมซาไกยูไนเต็ดเอาชนะสิงห์น้ำเงินสำเร็จ และสามารถรับถ้วยพระราชทานได้ มะม่วงได้ชนะเลิศในการแข่งขัน และเขาได้รับถ้วยพระราชทาน แก่เปาตุ๊ และมะม่วงได้กอดกับเปาตุ๊ดีใจที่ชนะและเปาตุ๊ก็จากไป ก็กลับไปบ้าน ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง เปาตุ๊ได้เห็นภาพซาไกยูไนเต็ดที่ได้ชัยชนะมาสู่เรา พอเปาตุ๊เห็นคนไม่ดีเห็นแล้วก็เลยหนีไป คนไม่ดีเห็นว่าเขาขึ้นรถไฟไปเลยขึ้น เปาตุ๊ก็รอดชีวิตมาได้ ที่หมู่บ้านซาไกคนในหมู่บ้านซาไกดีใจมากที่ได้กลับมาบ้านเกิด และได้วางถ้วยพระราชทานรอพระอาทิตย์ส่องแสงสว่าง สักพักพระอาทิตย์ก็แสงสว่างไปถึงถ้วย มะม่วงและคนในหมู่บ้าน รวมถึงหัวหน้าเผ่าได้ไหว้พระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นพระบารมีทีมีต่อพสกนิกรไทย และหัวหน้ามะม่วง กับคนทั้งหมู่บ้านได้พบหมอเพื่อจะมารักษาคนที่ติดไข้ทรพิษ โดยสามารถรักษาให้หายได้เป็นปกติ และในหมู่บ้านของกะเหรี่ยง มีพวกชาวกะเหรี่ยงเล่นตะกร้อกันอย่างสนุกสนาน โดยมีชายผู้หนึ่งที่หันหลังให้อยู่ เขาผู้นั้นคือ เปาตุ๊
ขุนศึก (2546/2003) ก่อนวันประกาศอิสรภาพของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั้น พระเจ้าบุเรงนอง วางอุบายหมายลอบปลงพระชนม์ ซึ่งยังความโทมนัสให้แก่สมเด็จพระนเรศวรอย่างมาก เมื่อจาตุรงคบาทนักรบประกบฝีเท้าช้างคนหนึ่งต้องพลีชีพเพื่อพระองค์ในกาลนี้ เสมา ลูกชายช่างตีดาบ ซึ่งเดินทางกลับจากเรียนวิชาดาบกับ อาจารย์ขุน เข้าประลองแข่งขันในการหาจาตุรงคบาทคนใหม่ ด้วยความที่เขามีฝีมือดาบอันโดดเด่น จึงได้รับตำแหน่งครูฝึกทหารในเรือน ขุนราม แต่นั่นถือเป็นการหยามศักดิ์ศรีของ หมู่ขัน นายทหารเอกของกรุงศรี ที่ติดภาระต้องไปประจำการที่ด่านหน้า เขาไม่พอใจในตัวลูกช่างตีดาบคนนี้มาก และรอวันที่จะได้ตัดสินกันอย่างแท้จริง ความแค้นยิ่งทวีคูณมากขึ้น เมื่อเรไร คู่หมั้นของหมู่ขัน เกิดชอบพอกับเสมา หมู่ขันโกรธแค้นมาก จึงจับตัวจำเรียง น้องสาวของเสมาไปเป็นทาสขัดดอก คืนนั้น เสมา พร้อมเพื่อนอีกสองคน ตัดสินใจบุกเรือนหมู่ขัน เพื่อนำตัวจำเรียงกลับมา แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อกลอุบายของหมู่ขัน จนต้องหนีเข้าไปอยู่ในกองโจรของ ขุนรณฤทธิ์พิชัย หมู่ขันสบโอกาส จึงประกาศว่า เสมาเป็นกบฎ ขณะที่อยู่กับพวกกองโจร เสมา และกลุ่มกองโจรช่วยกันสกัดทัพหน้าของพม่าที่บุกเข้ามา ครั้งหนึ่ง เสมา ได้มีโอกาสได้เข้าช่วย พระเอกาทศรถ ในการศึก และได้ลดโทษไปเป็น ตะพุ่น เลี้ยงช้าง ที่นั่น เสมา ได้เรียนรู้ถึงหัวใจของนักรบ เมื่อเขาทราบข่าวการยกทัพครั้งใหญ่ของพม่า เสมาทนเห็นทหารไทยถูกเข่นฆ่าอีกไม่ได้ จึงเข้าไปช่วยในสนามรบ กระทั่งสามารถฆ่าแม่ทัพพม่าลงได้ จึงได้รับความดีความชอบกลับมา และวันแห่งการตัดสินฝีมืออย่างแท้จริงระหว่างเสมา กับหมู่ขันก็มาถึง เมื่อทั้งสองได้ประลองฝีมือต่อหน้าพระที่นั่ง เพื่อหาผู้ที่เหมาะกับตำแหน่งจาตุรงคบาท นักรบประกบฝีเท้าช้างของสมเด็จพระนเรศวร ในการศึกยุทธหัตถีครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างกษัตริย์สองแผ่นดิน
สตรีเหล็ก 2 (2546/2003) หลังจากที่ทีมประสบความสำเร็จ ในการครองแชมป์กีฬาแห่งชาติเมื่อปี (ภาค) ที่แล้ว ก็เกิดการแตกแยกกันของทีม โดยที่ โหน่ง, เอพริล, เมย์, จูน ได้แยกตัวออกไปสร้างทีมวอลเล่ย์บอลกะเทย และมี หน่อง กะเทยน้องใหม่ มาเป็นคู่หูคนใหม่ของโหน่ง ภายใต้สังกัดของสโมสร โดยมี อากู๋ เป็นผู้ดูแลทีม เพราะข้อเสนอและผลประโยชน์ทางธุรกิจต่างๆ ทำให้ทีมของโหน่งเติบโต และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ทีมสตรีเหล็กเดิมที่เหลือ จุง, มล และ ชัย ยังคงเล่นวอลเล่ย์บอลต่อไปทั้ง จนกระทั่งสองทีมได้มาเจอกันอีกครั้ง!

สุริโยไท (2544/2001) เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 สวรรคตในปี พ.ศ. 2072 พระอาทิตยาจึงได้ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนาม สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร ทุกพระองค์เสด็จย้ายจากพิษณุโลกไปประทับ ณ กรุงศรีอยุธยาเมืองหลวง พระเฑียรราชา และ พระสุริโยไท มีโอรสธิดาทั้งสิ้น 5 พระองค์ คือ พระราเมศวร , พระมหินทร, พระบรมดิลก, (พระวิสุทธิ์กษัตริย์) และ พระเทพกษัตรี ประทับอยู่ ณ วังชัย ดำรงอิสริยยศเป็นพระเยาวราช เมื่อสมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูรสวรรคตด้วยโรคไข้ทรพิษ พระไชยราชา ผู้ซึ่งดำรงพระยศเป็นพระอุปราช ควรจะได้สืบสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์ แต่สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูรทรงขอให้ สมเด็จพระรัษฎาธิราชกุมาร พระโอรสวัย 5 พรรษา อันเกิดแต่พระอัครชายา วัย 17 พรรษา เป็นผู้ขึ้นครองราชย์แทน ระหว่างนั้น บ้านเมืองถูกบริหารโดยขุนนางทุจริต ติดสินบนเถลิงอำนาจ โดยเฉพาะ เจ้าพระยายมราช บิดาของพระอัครชายา 5 เดือนให้หลังสมเด็จพระไชยราชาธิราชจึงเข้ายึดราชบัลลังก์ และให้สำเร็จโทษพระรัษฏาธิราช ตามราชประเพณีโบราณ รวมถึงสั่งประหารขุนนางทุจริตทุกคน และทรงขึ้นครองราชย์ แผ่บุญญาธิการ เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไป ทรงออกรบปราบหัวเมืองอยู่เนือง ๆ และได้แต่งตั้งพระเฑียรราชาขึ้นเป็นพระมหาอุปราชา ว่าราชการแทนพระองค์ อยู่ที่กรุงอโยธยา ส่วนพระมเหสีของพระไชยราชา คือ ท้าวศรีสุดาจันทร์ ได้ลักลอบมีความสัมพันธ์กับ ขุนชินราช ผู้ดูแลหอพระ เชื้อราชวงศ์อู่ทองด้วยกัน และได้สมคบคิดกัน ลอบวางยาพิษปลงพระชนม์พระไชยราชา พระยอดฟ้า พระโอรสของพระไชยราชา ที่ประสูติจาก ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ได้ขึ้นครองราชย์แทน ในขณะที่มีพระชนม์เพียง 10 พรรษา แต่ต่อมาไม่นาน ก็ถูกท้าวศรีสุดาจันทร์ปลงพระชนม์อีกองค์หนึ่ง แล้วสถาปนาขุนชินราชขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระวรวงศาธิราช นับตั้งแต่สิ้นรัชกาลพระไชยราชา พระเฑียรราชาก็ได้ผนวชเพื่อเลี่ยงภัย ส่วนพระสุริโยไททรงเตรียมฝึกทหาร โดยมีผู้จงรักภักดี คือ ขุนพิเรนทรเทพ, ขุนอินทรเทพ, หมื่นราชเสน่หานอกราชการ และหลวงศรียศลานตากฟั เฝ้าคุ้มกันภัยให้ ได้ร่วมกันปลงพระชนม์ขุนวรวงศา และท้าวศรีสุดาจันทร์ เสียบหัวประจานไว้ที่วัดแร้ง แล้วอัญเชิญพระเฑียรราชา ให้ลาสิกขาบทขึ้นครองราชย์แทน ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ระหว่างนั้นทางพม่าได้รวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น และแผ่ขยายอำนาจรุกรานไทยภายใต้พระมหากษัตริย์ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ และได้เดินทัพมายังกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2091 เกิดเป็นสงครามยุทธหัตถี ที่ทุ่งมะขามหย่อง ซึ่งเป็นเหตุให้ พระสุริโยไทสิ้นพระชนม์บนคอช้าง เรื่องจบลงด้วยสงครามยุทธหัตถี อันเป็นเรื่องราวความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและความตายของวีรกษัตรีย์ "สุริโยไท" ที่พลีชีพเพื่อรักษาอาณาจักรอยุธยา