แอคชั่น
เรื่องย่อ : โคตรเพชฌฆาต (2548/2005) เรื่องราวที่น่าขนพองสยองเกล้ากับความตายที่เป็นปริศนาของคนในหมู่บ้านคลองบางมุด เมื่อสถานที่เงียบสงบร่มเย็น ชาวบ้านใช้ชีวิตอยู่กันตามประสาชาวชนบท แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ประหลาด เมื่อมีชาวบ้านพบศพชายนิรนามมาตายอยู่ที่ริมฝั่งคลอง หลังจากนั้นไม่นานก็มีชาวบ้านหลายคนหายตัวไปอย่างลึกลับ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการค้นหาปริศนาที่ว่าอะไรเป็นสาเหตุของการตายของพวกชาวบ้านและศพนิรนามนั้น กระทั่งได้พบรอยประหลาด ซึ่งรอยประหลาดนั้นคล้ายกับรอยของสัตว์ขนาดใหญ่ เหตุนี้ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่า เจ้ารอยประหลาดนี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์สะเทือนขวัญจนยากที่จะลืมได้ และยังคงอยู่ในความทรงจำของชาวบ้านคลองบางมุดตลอดมา
ชาวบ้านบางมุด จังหวัดชุมพร ต่างร่ำลือถึงจระเข้ที่อาศัยอยู่ในคลองบางมุด อันเป็นสาเหตุของคดีคนหายหลายรายอย่างไร้ร่องรอย สร้างความหวาดกลัวไปทั่วทั้งจังหวัด นายอำเภอ ผู้ใหญ่บ้าน และกำนันเกณท์ลูกบ้านเพื่อออกจัดการกับเจ้าจระเข้ตัวนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครสามารถจัดการกับมันได้ จนเมื่อ "จำนง" นายทหารประจำหน่วยรบชุมพร กลับมาจากราชการ ถูกผู้ใหญ่ขอร้องให้ทางทหารช่วยจัดการปราบจระเข้ตัวนี้ เขาจึงร่วมมือกับนรินทร์และชาวบ้าน ออกตามล่าเพื่อปราบเจ้าจระเข้ยักษ์ เขาต้องพบอุปสรรคมากมาย ทั้งการขัดแย้งกับทางราชการและความดุร้ายของเจ้าจระเข้ยักษ์นี้
นรินทร์ นายตำรวจหนุ่ม ออกตามหาชายคนหนึ่งที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ก่อนจะพบว่าเป็นฝีมือของจระเข้ที่อยู่ในลำคลองอันเป็นสายน้ำแห่งวิถีชีวิตของชาวบางมุด ซึ่งสร้างความน่าสะพรึงกลัวด้วยขนาดอันใหญ่โตและมีรอยด่างที่ลำตัว เขาและเจ้าหน้าที่รวมถึงชาวบ้านจึงต้องร่วมมือกันปราบมันท่ามกลางอุปสรรคมากมาย
เรื่องย่อ : 7 ประจัญบาน 2 (2548/2005) ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อกองทัพญี่ปุ่นแพร่ขยายอำนาจและอิทธิพล ไปทั่วเอเชียอาคเนย์ ทำให้ทางการไทยมอบหมายงานชิ้นสำคัญผ่านมายัง ผู้กององอาจ (ประกาศิต โบสุวรรณ) ให้เหล่า 7 ประจัญบาน ปฏิบัติภารกิจลับ สำคัญระดับสุดยอดของประเทศ ตรวจสอบพฤติกรรมอันน่าสงสัยของ สุริยะ เอบาต้า (ฮิโระ ซะโนะ) ที่คาดว่าอาจจะเป็นสายลับของทางการญี่ปุ่น ที่มาในคราบของนักธุรกิจที่เดินทางเข้ามาในเมืองไทย แต่กลับกลายเป็นว่า ภารกิจดังกล่าวหาได้สำเร็จลุล่วงง่ายดายอย่างที่คิดไม่ เมื่อผู้นำของ 7 ประจัญบาน อย่าง จ่าดับ จำเปาะ (พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง) กลับพลาดพลั้งทำให้ ผู้พันทีเคดะ (โยโกสุกะ ชิโอยะ) พ่อของสุริยะเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ ทำให้เหล่า 7 ประจัญบานกลายเป็นบุคคลต้องห้าม ที่ นายพลนากามูระ (Masayuk Todoroki) ผู้นำทัพของญี่ปุ่นโกรธแค้น และยื่นคำขาดให้ทางการไทย ส่งตัวจ่าดับและพรรคพวกทั้ง 7 มาสำเร็จโทษประหารชีวิต เป็นเหตุให้ประจัญบานทั้ง 7 ต้องรับมือกับทั้งทางการไทย และเหล่าทหารญี่ปุ่น รวมทั้งกลุ่มมือสังหารที่ถูกส่งตรงมาจากดินแดนอาทิตย์อุทัย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามของ 7 เซียนซามูไร จนต้องระหกระเหินไปร่วมกับกลุ่มพี่น้องไทยจีน ที่ร่วมกันต่อต้านญี่ปุ่น ซึ่งมีหน้าฉากคือคณะนักแสดงงิ้วที่มีชื่อเสียงของเตี่ยตังกวย เกิดเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งใหม่ของ 7 ประจัญบาน ที่ครั้งนี้ต้องทาหน้าขาวแต่งชุดงิ้ว รำพลองตะลุยกองทัพญี่ปุ่น เหินขึ้นฟ้าเผชิญหน้ากับกองบินกามิกาเซ่ของญี่ปุ่น ภายใต้ฉากไฮไลท์สุดอลังการ กับการเนรมิตสะพานข้ามแม่น้ำแควขึ้นมาอีกครั้ง ในฉากไคลแม็กซ์สำคัญ พร้อมทั้งเปิดเผยที่มา ของกางเกงแดงเชือกกล้วยอันลือลั่นของจ่าดับ รวมถึงเรื่องราวความรักครั้งก่อนของจ่าดับที่มีต่อ นางโฉม (อภิรดี ภวภูตานนท์) และตัวละครสุดคลาสสิก ที่เกิดมาแล้วย่อมไม่แคล้วที่อาจจะกลายเป็น 'คู่กรรม' ของกันอย่าง อังศุมาลย์ (มินท์ - อาทิตยา ดิถีเพ็ญ) และ โกโบต้า (ก้อง - อรรฆรัตน์ นิติพน)
เรื่องย่อ : ซุ้มมือปืน (2548/2005) “ซุ้มมือปืน” คือเรื่องราวที่สะท้อนตัวละครที่เกี่ยวข้องในโลกอาชญากร ธุรกิจผิดกฎหมาย อำนาจและอิทธิพลมืด ตัวหนังเองไม่ได้เน้นเรื่องราวไปที่ตัวของมือปืนอย่างเดียว แต่โยงใยไปถึงระบบหรือตัวคนที่เกี่ยวข้องซึ่งล้วนหลากสีสันอาชีพไม่ว่าจะเป็นมือปืนรับจ้าง เจ้าพ่อหรือผู้มีอิทธิพล นักการเมือง และพวกในเครื่องแบบนอกรีตและแตกแถวในสังคมไทย หนังเล่าเรื่องผ่าน “สหายแทนไท” (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) มือปืนรับจ้างอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ที่ผ่านสมรภูมิรบมานักต่อนักจนว่ากันว่าเป็นมือปืนระดับพระกาฬที่หาตัวจับยาก เป้าหมายของเขาแต่ละรายล้วนเป็นผู้มีอิทธิพลในสังคม โดยที่หลายคนอาจไม่เคยคาดขึ้นว่าบ่อยครั้งที่จุดเริ่มต้นของความสูญเสียเลือดเนื้ออาจเกิดจากปมความขัดแย้งเพียงจุดเล็กๆ ที่ขยายผลไปสู่วงกว้างของผู้คนหลากรายระดับชั้นในสังคม ดังเช่นที่กำลังเกิดขึ้นในครั้งนี้ที่เริ่มต้นจากการไม่ลงรอยในเส้นทางธุรกิจระหว่าง “กำนันเบิ้ม” (ธนิตย์ จิตนุกูล) และ “หลีเม้ง” (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) เจ้าพ่อยาเสพติดรายใหญ่ โดยมีตัวกลางคือ “ชบา” (บงกช คงมาลัย) อดีตคนรักกำนันเบิ้ม แม่ม่ายสาวที่หน้าฉากคือเจ้าของบาร์ แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังคือคนจัดหามือปืนให้กับผู้มีอิทธิพล ได้รับว่าจ้างให้ส่งมือปืนชั้นดีไปเก็บขาใหญ่แห่งเยาวราชอย่างหลีเม้ง อันนำไปสู่ปมแห่งความขัดแย้งระหว่างผู้มีอิทธิพลทั้งในและนอกเครื่องแบบ ซึ่งเกี่ยวพันและโยงใยไปสู่ “เสธ.สุพงศ์” (สมภพ เบญจาธิกูล) อีกหนึ่งตัวหมากสำคัญในโลกแห่งอำนาจและอิทธิพลมืด โดยมี “อิฐ อัมพวา” (ศรัณยู วงษ์กระจ่าง) อดีตทหารหนุ่มอนาคตไกลผู้ผันตัวเข้าสู่วงจรอุบาทว์ และเป็นศัตรูต่างขั้วอุดมการณ์ของสหายแทนไทมาก่อนหน้า ทุกความเคลื่อนไหวของบรรดาเจ้าพ่อทั้งหลายล้วนตกอยู่ในสายตาของ “สารวัตรชาติ” (สันติสุข พรหมศิริ) ตำรวจฝีมือดีที่มีภารกิจในการกวาดล้างงานนอกระบบทุกรูปแบบ ซึ่งเขาจะเป็นผู้ที่จัดการให้วงจรอุบาทว์เหล่านี้หมดสิ้นไปหรือเลือกที่จะให้โลกของอาชญากรรมที่เต็มไปด้วยอำนาจและเงินตราดังกล่าวคงอยู่ และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของ “ซุ้มมือปืน” ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นใครหรืออยู่ชนชั้นใดของสังคมก็ไม่มีสิทธิ์หลีกเลี่ยงวงจรดังกล่าวที่ค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่วิธีแห่งการดำรงอยู่ของคุณโดยไม่รู้ตัวดังเช่นที่เกิดขึ้นกับ “ไอ้น้อย” (ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์) เด็กหนุ่มนักดนตรีที่ชะตากรรมต้องกับเลือดและความตาย…
เกิดมาลุย (2547/2004) โดยเรื่องราวพูดถึงการเผชิญหน้า กับเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในชีวิต ที่อยู่นอกเหนือจากความควบคุม อันนำมาซึ่งความเป็นความตายของผู้คนจำนวนมาก เมื่อตกอยู่ภายใต้การจับกลุ่มของผู้ก่อการร้าย ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย ที่ตั้งใจสร้างความปั่นป่วนให้กับประเทศไทย พร้อมกับชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งริมชายแดน ที่พวกเขาและเธอตั้งใจนำข้าวของมาบริจาค และช่วยพัฒนาหมู่บ้าน วิธีเดียวที่จะรักษาชีวิตของพวกพ้องและชาวบ้าน คือต้องนำเอาความสามารถเฉพาะตัวทางด้านกีฬาในแต่ละประเภท มาผสมผสานในการต่อสู้ด้วยมือเปล่า โดยมีเงื่อนไขของเวลา ในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นให้ได้
บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม (2547/2004) ปฏิบัติการพิสูจน์ศักดิ์ศรีความเป็น “บอดี้การ์ดมือ 1” แห่งยุคเริ่มต้นขึ้นเมื่อ “วงศ์คม” (หม่ำ จ๊กม๊ก) บอดี้การ์ดหนุ่มผู้เคร่งขรึมซึ่งสืบทอดสายเลือดมาจากตระกูลบอดี้การ์ดอันเลื่องชื่อ แน่นอนว่าความยำเกรงในระดับฝีมือและความสามารถเฉพาะตัวได้รับการยอมรับผ่านภารกิจและหน้าที่ในการปกป้องและอารักขา “เพชรพันธการ” ตระกูลอภิอัครมหาเศรษฐีอันดับ 1 แห่งเอเชียมาหลายชั่วอายุคน จนกระทั่งบทบาทและหน้าที่การเป็นบอดี้การ์ดมือ 1 ของเขาได้ถูกท้าทายขึ้นในระหว่างภารกิจอารักขา “ท่านโชติ เพชรพันธการ” (หงา คาราวาน) อภิอัครมหาเศรษฐีอันดับ 1 แห่งเอเชียที่กำลังอยู่ในระหว่างพิธีเซ็นสัญญาธุรกิจหมื่นล้านกับบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านธุรกิจไอทีของอเมริกา เมื่อกลุ่มบุคคลลึกลับซึ่งนำโดย “อาทิตย์” (ยิ่งยง ยอดบัวงาม) พร้อมเหล่ามือสังหารระดับพระกาฬ (ซึ่งประกอบไปด้วย “เอ๋ จารชน, เต๋อ เชิญยิ้ม, อาแปะ เถิดเทิง และ จเร เชิญยิ้ม” เหล่านักแสดงตลกชื่อดังของเมืองไทยกับการพลิกบทบาทสุดเข้มครั้งสำคัญ) ได้ก่อปฏิบัติการลอบสังหารที่แสนอุกอาจและเต็มไปด้วยความแยบยลหมายปลิดชีวิตท่านโชติ เพชรพันธการ แต่ก็ไม่ได้เล็ดรอดสายตาบอดี้การ์ดมือ 1 อย่างวงศ์คม กลับกันได้นำเอาปฏิภาณไหวพริบและความสามารถเฉพาะตัวที่มีอยู่อย่างเต็มพิกัดช่วยเหลือและปกป้องเจ้านายของตนได้สำเร็จ พร้อมเสนอให้ยกเลิกการเซ็นสัญญาธุรกิจหมื่นล้านออกไป เพราะอาจะจะเผชิญกับอันตรายถึงชีวิตจากสิ่งที่ดักรออยู่ข้างหน้า เพียงทว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่อยู่นอกเหนือจากความสามารถของเขาโดยสิ้นเชิง นั่นคือความดื้อดึงในการยืนยันที่จะเซ็นสัญญาต่อไปจากเจ้านายของตนนั่นเอง โดยที่ไม่มีใครคาดคิดภารกิจสำคัญที่สมาชิกในตระกูลบอดี้การ์ดต่างสืบทอดต่อเนื่องกันมากำลังจะจบลงในเงื้อมมือของวงศ์คมนั่นเอง เมื่อเขาไม่สามารถปกปักอารักขาชีวิตเจ้านายของเขา ท่านโชติอภิอัครมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งเอเชียถูกลอบสังหารในที่สุด โดยศัตรูที่เขาไม่อาจลืมได้ตลอดชีวิต เป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่ผู้ภักดีอย่างวงศ์คมไม่อาจยกโทษและให้อภัยในสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ได้ เขาจำยอมต้องถอนตัวจากการเป็นบอดี้การ์ดประจำตระกูลเพชรพันธการ แต่ทว่าถูก “คุณหญิงรัตนา” (อรัญญา นามวงศ์) ภรรยาของท่านโชติห้ามเอาไว้ ด้าน “ชายชล เพชรพันธการ” (ท็อป-พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร) ทายาทคนเดียวของท่านโชติ คุณหญิงรัตนาและตระกูลเพชรพันธการโกรธแค้นและหมดความเชื่อถือในตัววงศ์คม ปฏิเสธความห่วงใยที่แสนซื่อสัตย์จากบอดี้การ์ดประจำตระกูลอีกต่อไป โดยหันไปพึ่งบอดี้การ์ดรองบ่อนที่ไม่เพียงไร้น้ำยาและเต็มไปด้วยความฉ้อฉล จนเกือบเสียชีวิตจากแผนการเด็ดชีพทายาทเพชรพันธการระลอกสองของเหล่ามือสังหารที่เด็ดชีพบิดาของตน เมื่อไม่มีคนคุ้มครอง เรื่องราวทุกอย่างกลับพลิกผัน ชายชลลืมนึกไปว่าเป้าหมายต่อไปของพวกมันก็คือตนนั่นเอง แผนการโค่นอัครมหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจมหาศาลเพื่อผลประโยชน์ที่ไม่อาจประมาณค่าได้จึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสิ่งที่เขาต้องเผชิญล้วนเต็มไปด้วยภยันตรายล้อมอยู่รอบด้านเกินกว่าเด็กหนุ่มธรรมดาๆ อย่างเขาจะรับมือไหว ชายชลรอดชีวิตและหลบหนีจากการถูกตามล่าอย่างหวุดหวิดโดยบอดี้การ์ดทุกคนที่ปกป้องชีวิตของตนต่างเสียชีวิตหมด โดยได้ครอบครัวของ “ป๊อก” (แอร์-ภุมวารี ยอดกมล) เด็กสาวจิตใจงามให้ความช่วยเหลือและให้ที่พัก โดยที่ไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มที่น่าสงสารที่เธอช่วยเหลือนั้นคือทายาทของอัครมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดแห่งเอเชีย ถึงแม้ว่าชีวิตของป๊อกจะแวดล้อมไปด้วยภาพที่ไม่น่าประทับใจเท่าไรนักสำหรับชายชล โดยเฉพาะ “แม่แจ่ม” (อาภาพร นครสวรรค์) ของป๊อกที่ไม่ต่างอะไรจากมิจฉาชีพในคราบของนักร้องคาเฟ่ที่มีเทคนิคในการหลอกสั่งอาหารจากบรรดานักเที่ยวไปวันๆ แต่จริง ๆ แล้วก็เพื่อเลี้ยงปากท้องครอบครัวของตน แต่ชายชลกลับมองป๊อกและสมาชิกในครอบครัวอย่างเข้าใจซึ่งทำให้ชายชลได้รู้จักกับชีวิตอีกด้านหนึ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน ชายหนุ่มแทบลืมเรื่องเลวร้ายที่ผ่านมาถ้าเผอิญว่าเหล่าศัตรูตัวฉกาจ บรรดามือสังหาร และเหล่านักฆ่าระดับพระกาฬที่ถูกส่งตรงมาเด็ดชีพเขาโดยเฉพาะไม่ออกตามล่าสังหารเขาอีกครั้ง ด้วยความสามารถและไหวพริบอันเฉียบแหลม มีเพียงคนเดียวที่จะแก้ไขสถานการณ์อันเลวร้ายและช่วยชีวิตทายาทที่เหลืออยู่ของตระกูลเพชรพันธการ จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากเขาคนนี้ คนที่กลับมาเพื่อไถ่บาปและแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิตซึ่งไม่มีวันลืมเลือน เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีความเป็นที่สุดแห่งบอดี้การ์ดอันดับ 1 นาม “วงศ์คม” เจ้าของฉายา “บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม”
องค์บาก (2546/2003) ในประวัติศาสตร์หมู่บ้านหนองประดู่ ที่ยาวนานตั้งแต่ครั้นสมัยสงครามไทยกับพม่า ตำนานของครูดำ ผู้แกร่งกล้าด้วยศิลปะการต่อสู้ คือชายไทยผู้กล้าที่เคยแหวกฝ่ากองทัพพม่า ไปแย่งชิงเอาองค์พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกทหารพม่าบุกมาปล้นสดมภ์ และแย่งชิงไปจากหมู่บ้าน เมื่อคราครั้งกระโน้นได้เป็นผลสำเร็จ จนเกิดปาฏิหาริย์แห่งรอยบาก อยู่บนพระพักตร์ขององค์พระ ว่ากันว่าร่องรอยดังกล่าว คือบาดแผลจากการต่อสู้ ที่เกิดจากอิทธิฤทธิ์ขององค์พระศักดิ์สิทธิ์ ที่รับแทนคมหอกคมดาบ ที่ทหารพม่าถาโถมฟาดฟัน เข้าใส่ร่างของครูดำนั่นเอง ว่ากันว่าความเชื่อดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับครูดำ และผู้คนในหมู่บ้านได้ถูกเล่าขาน สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แต่แล้วองค์บากกลับถูก ดอน (วรรณกิตย์ ศิริพุฒ) อดีตลูกหลานบ้านหนองประดู่ ที่ปัจจุบันหันหน้าเข้าสู่โลกแห่งความชั่วช้าอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งเรื่องของยาเสพติด การพนัน และที่ร้ายแรงที่สุด คือการแอบตัดเศียรองค์พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ไปให้กับนักสะสมวัตถุโบราณ ที่มีจิตใจชั่วช้าในกรุงเทพ ในคืนก่อนงานเฉลิมฉลองงานบุญ ที่ชาวหนองประดู่จัดขึ้น เพื่อเฉลิมฉลองศรัทธาต่อองค์บาก ที่ได้หมุนเวียนมาครบ 24 ปี ส่งผลให้เหตุการณ์ดังกล่าว สร้างความสะเทือนใจ ต่อทุกชีวิตในบ้านหนองประดู่ โดยเฉพาะบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ ที่รอวันนี้มาค่อนชีวิต ราวกับว่านี่คือกงล้อแห่งศรัทธา ที่หมุนเวียนบรรจบมา เพื่อทดสอบในศรัทธาแห่งความความผูกพัน และพลังแห่งความดีงาม ของผู้คนในบ้านหนองประดู่อีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะกับผู้ที่ได้รับการสืบทอดชะตากรรม จากองค์บากโดยตรงอย่าง ทิ้ง (จา พนม ยีรัมย์) เด็กหนุ่มลูกกำพร้า ที่ได้รับการชุบเลี้ยงเติบโต จนมีสายเลือดของบ้านหนองประดู่อย่างข้นคลั่ก รวมทั้งเคล็ดวิชานวอาวุธ (อาวุธที่ก่อเกิดจากอวัยวะสำคัญ ในร่างกายของมนุษย์ทั้ง 9 อันประกอบไปด้วย 1 ศรีษะ 2 หมัดกร้าวแกร่ง 2 แรงกระทุ้งของศอก ตอกย้ำความหนักหน่วงของ 2 เข่า และความคล่องแคล้วว่องไวของ 2 เท้า) ผสมผสานกับศิลปะมวยไทยโบราณ ที่ได้รับการถ่ายทอดจากพระครู หลวงพ่อผู้เป็นดั่งเสาหลัก ที่เคารพนับถือของผู้คนในหมู่บ้านหนองประดู่ ลูกศิษย์คนสำคัญของครูดำ ปูชนียบุคคลที่มีคุณอนันต์ของหมู่บ้าน การเดินทางมุ่งหน้าสู่หนทางแห่งการต่อสู้ การทบทวนจิตวิญญาณแห่งความใฝ่ดี และการเผชิญหน้ากับโลกใหม่ ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ลุ่มหลงนิยมในวัตถุเงินทอง ท่ามกลางแสงสีของเมืองหลวง ที่เต็มไปด้วยความคดโกง หลอกหลวง และแก่งแย่งชิงดี ทิ้งได้พบกับบททดสอบแห่งศรัทธา และภาระรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น อันตรายมากขึ้น โดยมีคนๆ เดียวในเมืองหลวง ที่จะช่วยทิ้งตามหาดอนได้คือ หำแหล่ หรือ ยืนยง (หม่ำ จ๊กหมก) ลูกชายของผู้ใหญ่น้อย อีกหนึ่งลูกหลานบ้านหนองประดู่ ที่ถูกส่งมาเล่าเรียน เพื่อกอบโกยเอาความรู้ นำกลับไปพัฒนาถิ่นเกิด แต่กลับกลายเป็นว่า ทิ้งถูกหำแหล่ ที่บัดนี้เปลี่ยนรูปโฉมเป็น ไอ้ยอร์จ หนุ่มหัวทองไร้ซึ้งหัวจิตหัวใจ หลอกขโมยเอาถุงห่อของมีค่า ที่รวบรวมเอาแบ๊งค์ยี่สิบเก่าๆ เงินเหรียญ และบรรดาทรัพย์สมบัติของผู้เฒ่าผู้แก่ ลูกหลานของบ้านหนองประดู่ ที่รวบรวมให้ทิ้งเพื่อเป็นทุนรอน ในการตามหาองค์บากในเมืองใหญ่ ไปวางเดิมพันในมวยเถื่อนเสียแล้ว เส้นทางในการเสาะหาองค์บาก ดึงเอาทิ้งเข้าไปเกี่ยวข้อง กับชีวิตของผู้คนอันหลากหลายในเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น เง็ก (รุ่งระวี บริจินดากุล) หญิงสาวสู้ชีวิต ที่ถูกความเหลวแหลกของเมืองหลวง กัดกินทั้งร่างกายและจิตใจ, หมวยเล็ก (ภุมวารี ยอดกมล) เด็กสาวแก่นแก้ว ที่งดงามทั้งหน้าตาและจิตใจ, ไอ้เป๋ง (เชษฐวุฒิ วัชรคุณ) นักเลงหัวไม้ หัวโจกของบรรดาจิ๊กโก๋คุมซอย คู่ปรับคนสำคัญของยอร์จ ความเป็นจริงในความหวังที่ไม่เพียงดูริบหรี่ แต่กลับเริ่มไกลห่าง ออกไปจากตัวทิ้งมากขึ้นทุกที เมื่อจิตศรัทธาแห่งความดีงาม จากคนรอบข้างที่มีต่อองค์บาก ค่อยรางเลือนมากยิ่งขึ้น กลับกันกับชักนำให้ทิ้ง ถล้ำเข้าไปสู่วังวนแห่งการต่อสู้ ที่ดูเหมือนจะขัดกับถ้อยคำที่พร่ำสอนจากพระครู เมื่อทิ้งถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง กับเกมการต่อสู้และการไล่ล่า ที่อบอวลไปด้วยความชั่วร้าย จากทั้งคนไทยด้วยกันเองและชาวต่างชาติ และนี่คือจุดเริ่มต้น ของการเดินทางแห่งจิตศรัทธา ที่นำมาซึ่งการต่อสู้ เพื่อพิสูจน์ศักดิ์ศรีของศิลปะการต่อสู้ ที่เรียกขานว่า แม่ไม้มวยไทยโบราณ
เรื่องย่อ : พรางชมพู กะเทยประจัญบาน (2545/2002) บนสมรภูมิสู้รบเดือดของชนกลุ่มน้อย บริเวณรอยต่อชายแดนไทย ...ความขัดแย้งจนเลือดพล่าน ผสานความฮาแตก ระเบิดขึ้นเมื่อเครื่องบินลำหนึ่ง ร่วงลงอย่างไม่คาดฝัน ปล่อย 6 กะเทยผู้รอดชีวิต ให้จิตตกระหกระเหิน สะเทินน้ำสะเทินบกอยู่กลางป่า ร้อนถึงทหารนอกราชการ ต้องรับภารกิจไม่ธรรมดา ด้วยการบุกป่าฝ่าดง ข้ามเขตสู้รบ เข้าไปช่วยพวกเธอ ให้รอดกลับบ้านเกิดได้โดยสวัสดิภาพ ผู้กองหนุ่มไฟแรง ผู้กองสมพงษ์ (พุฒิชัย อมาตยกุล) รับหน้าที่นำหน่วยทหารเฉพาะกิจครั้งนี้ เพื่อออกปฏิบัติการอันแสนจะไร้สาระ ในสายตาของ จ่าเริง (สรพงษ์ ชาตรี) ทหารรุ่นดึก ผู้จงเกลียดจงชังสาวประเภทสองเข้าไส้ โดยมี หมู่ปกรณ์ (โกวิทย์ วัฒนกุล) เป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในหน่วย เหล่าทหารหาญมาดแมนทั้งหมด ต้องเปิดฉากเจรจาต่อรอง ขอแลกตัว 6 กะเทยไทยใจกระตู้วู้ ที่จับพลัดจับผลูตกเป็นเชลยของชนกลุ่มน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะอันไม่จำเป็น แต่แล้วแผนการเกิดผิดพลาด จนลุกลามเป็นเหตุให้เกิดการเข้าใจผิด กับกองกำลังรักษาดินแดนประเทศเพื่อนบ้าน ความปรารถนา ที่จะได้กลับเมืองไทย อย่างสงบสุขของผู้รอดชีวิต กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีกันอย่างดุเดือด ระหว่างทหารหลายฝ่ายหลายชาติที่เกี่ยวข้อง ในเวลาเดียวกับที่ศึกภายนอกดุเดือดสุดขีด ศึกภายในทั้งระหว่างกะเทยด้วยกัน และกะเทยกับทหารก็เริ่มแสบร้อนเผ็ดมันตามไปด้วย เหล่าสาวๆ ที่นำโดย เกษม (เสรี วงษ์มณฑา), สมหญิง (อรนภา กฤษฎี), ชิชา (ธงธง มกจ๊ก) ซึ่งแตกต่างกันทั้งวัย นิสัย และความเลิศเลอเพอร์เฟ็คต์ ของเรือนกาย ก่อวิวาทะแบ่งพวกแบ่งฝ่ายกันเองอย่างไม่วายเว้น สร้างความเหม็นเบื่ออย่างยิ่งยวด แก่จ่าเริงที่เกลียดกะเทย เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ความขัดแย้งจึงยิ่งกลายเป็นจุดบั่นทอน ให้การเดินทางของพวกเขา วุ่นวายยากเย็นขึ้นทุกที การไล่ล่าของชนกลุ่มน้อย ตามติดมากระชั้นชิด บีบคั้นให้ฝ่ายไทย ต้องหลบหนีอย่างชุลมุน มาจนถึงจุดนัดพบ เพียงเพื่อจะได้รู้ความจริงว่า เฮลิค็อปเตอร์ที่ทางการรับปากไว้ ว่าจะส่งมาช่วยนั้น ไม่มีวันมาตามที่พวกเขาคาดหวัง มีแค่คำสั่งง่ายๆ แต่ทำตามยากเหลือร้าย นั่นคือ พวกเขาต้องดิ้นรน หาทางรอดกลับสู่มาตุภูมิกันเอาเอง! แต่ท่ามกลางความขัดแย้งอันสุดป่วนหัวใจนี้.... พวกเขาและพวกเธอ จะเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหญ่กันอย่างไร ที่ไม่เพียงแค่เพื่อรักษาชีวิตอันมีค่าของตัวไว้ แต่ยังเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของทหารห้าว กับสาวประเภทสอง ให้โลกต้องจารึกไว้ด้วย?!!