สยองขวัญ
เรื่องย่อ : ศพ (2549/2006) บางคนอาจเคยตั้งคำถาม ในขณะที่หลายคนเพียงแค่สงสัย แล้วถ้าเป็นคุณล่ะจะทำอย่างไร เมื่อมองยังร่างที่ปราศจากลมหายใจตรงหน้า ไม่รู้ประวัติ ไม่รู้ที่มา รู้แต่เพียงว่านี่คือร่างกายที่ไร้ชีวิตที่นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 ทุกคนต่างให้ความเคารพในฐานะ “อาจารย์ใหญ่” ครูผู้บริจาคร่างกายเป็นวิทยาทานเพื่อให้กับนักศึกษาแพทย์ทุกคนได้เรียนรู้ถึงความซับซ้อนภายในร่างกายมนุษย์ และนำความรู้ที่ได้จากร่างอาจารย์ไปเป็นประโยชน์ในการรักษาผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับอาจารย์ใหญ่ แต่สำหรับ “ไหม” (ณัทธมนกาญจน์ ศรีนิกรโชติ) แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นประสบการณ์จริงที่ชวนขนลุก ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างที่เธอเข้าเรียนชั่วโมงแรกของวิชากายวิภาคศาสตร์ เมื่อจู่ๆ ร่างของอาจารย์ใหญ่ที่นอนสงบนิ่งก็เงื้อมมือขึ้นมาบีบคอเธอ เหตุการณ์ต่อจากนั้นได้สร้างความหวาดผวามากยิ่งขึ้น เมื่อเธอรู้สึกว่ามีวิญญาณของผู้หญิงที่ไม่รู้จักคอยติดตามเธอไปในทุกที่ ตั้งแต่ชั้นเรียน ห้องน้ำ มุมมืดในห้องพัก รวมทั้งข้างตัวเธอบนเตียงนอนที่บ้าน ในท่ามกลางความสับสน และสถานการณ์ที่กำลังเลวร้ายลง “อาจารย์นายแพทย์ประกิต” (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่แสดงความห่วงใยไหม และตัดสินใจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือลูกศิษย์คนนี้ในทุกวิถีทาง ไหมเริ่มตั้งคำถามและค้นหาคำตอบอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน นั่นคือการค้นหาที่มาของอาจารย์ใหญ่ แต่ดูเหมือนยิ่งสาวยิ่งลึก และมีบางสิ่งที่ซับซ้อนเกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอจะต้านทานไหว บางอย่างที่เกี่ยวพันและเชื่อมโยงถึงผู้หญิงที่ชื่อ “ดาหวัน” กับร่างของอาจารย์ใหญ่ตรงหน้าเธอ ความจริงในด้านมืดที่ชวนขนลุก และเหตุการณ์ที่เลวร้ายในอดีตได้กลับมาหลอกหลอนเธอขึ้นอีกครั้ง…
เรื่องย่อ : โคลิค เด็กเห็นผี (Colic) (2549/2006) คุณเคยรู้จักเด็กหรือมีลูกที่มีอาการอย่างนี้บ้างไหม ร้องไห้เป็นประจำทุกวันและเวลาเดียวกัน ไม่หยุดและรุนแรง ติดต่อกันเป็นเวลานาน ระวัง!!! นั่นคือสัญญาณของความน่ากลัว เตรียมผวากับสิ่งที่จะตามมาหลอกหลอน เมื่อ “แพรพลอย” (พิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์) AE สาวกับ “ป้องภพ” (วิทยา วสุไกรไพศาล) ผู้กำกับหนังโฆษณาหนุ่มไฟแรง ได้ตัดสินใจแต่งงานกันหลังจากที่แพรตั้งท้องโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ทั้งคู่จึงตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตและขยับขยายครอบครัวใหม่ด้วยการย้ายบ้านไปอาศัยอยู่กับแม่และน้าสาวของป้องภพแถบชานเมือง แต่การเริ่มต้นไม่ดีเท่าที่ควรเพราะป้องภพทำแต่งานไม่มีเวลามาสนใจแพรซึ่งกำลังตั้งท้องแก่ขึ้นทุกที ความกดดันต่างๆ จากฝ่ายชายทำให้แพรต้องหันหน้าไปปรึกษาและหาอะไรทำเพื่อลดความเครียดด้วยการวาดภาพประกอบให้กับหนังสือที่ “จีน” (กุณฑีรา สัตตบงกช) เพื่อนสนิทดูแลอยู่ คืนหนึ่งแพรเห็นบ้านน้าเบญซึ่งปลูกอยู่ใกล้ๆ กับบ้านหลังใหญ่ของแม่ป้องภพมีไฟลุกไหม้ จึงเข้าไปดูและพยายามหาทางช่วยน้าเบญออกมา ในขณะที่แพรเองก็เจ็บท้องและกำลังจะคลอดลูกพอดี หลังจากการคลอดลูกกลับมาไม่นาน “น้องปั้น” (ลูก) ก็กลับส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างรุนแรงและน่ากลัว หมอตั้งข้อสงสัยว่าน้องปั้นน่าจะเป็น “โรคโคลิค” ซึ่งเด็กที่เป็นโรคนี้จะร้องไห้อย่างรุนแรงและตรงเวลาเป็นประจำทุกวันโดยไม่สามารถหาสาเหตุและวิธีรักษาได้ แต่โดยปกติโรคนี้จะหายไปเองเมื่อเด็กอายุ 3 ถึง 6 เดือน แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปน้องปั้นก็ยังไม่หายจากโรคโคลิค ปั้นยังคงร้องไห้อย่างรุนแรงทุกวัน และดูเหมือนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ทุกคนในครอบครัวและจีนซึ่งเข้ามาช่วยดูแลน้องปั้นต่างก็พบกับเรื่องราวประหลาดๆ มากมาย ทำไมโรคนี้จึงไม่หายไปจากเด็กคนนี้ ทำไมเรื่องต่างๆ จึงเกิดขึ้นทุกครั้งที่เขาเริ่มร้องไห้ อะไรคือสาเหตุที่แท้จริง ร่วมพิสูจน์ความจริงที่มาพร้อมความหลอนนี้ได้ใน “โคลิค เด็กเห็นผี”
กระสือ วาเลนไทน์ (2549/2006) สิบสี่กุมภาพันธ์ สองพันสี่ร้อยแปดสิบสี่ วันแสนดี วันที่รัก ปักใจสอง หวังให้เธอ เคียงอยู่ เป็นคู่ครอง ไม่หวังปอง สิ่งอื่นใด ในโลกา แต่ชะตา กลับกลั่นแกล้ง ไม่เข้าข้าง จำต้องห่าง ร้างไกล ให้โหยหา ขอจงรอ รอพี่หน่อย นะแก้วตา รอพี่มา กลับใกล้ชิด นิจ…นิรันดร์ ในยุคสมัยที่ “มนุษย์” เมินเรื่อง “นรก-สวรรค์” ไม่สนใจใน “กฎแห่งกรรม” ไม่ศรัทธา “การทำความดี” ไม่ใยดีในเรื่อง “ความรัก” และไม่ปักใจเชื่อว่า “กระสือ” จะมีจริง ผู้กำกับ “ยุทธเลิศ สิปปภาค” จะยำแกนเรื่องทั้งหมด มาให้ได้สัมผัสกันแบบ “ดราม่า” จริงจัง แต่ไม่เจือจางอารมณ์ “ขันพองสยองเกล้า” ที่จะทำให้คุณต้องกลับไปทบทวนคำตอบของ “Do You Believe in Destiny?” กันใหม่อีกหลายตลบ ผ่านการแสดงหนังใหญ่ครั้งแรกของนักแสดงหญิงรุ่นใหม่ “พลอย จินดาโชติ” และนักแสดงชายเจ้าบทบาท “ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์” กับการถ่ายทอดความรักของพยาบาลสาวและภารโรงหนุ่ม ท่ามกลางบรรยากาศโรงพยาบาลเก่าแก่ ที่มีเสียงร่ำลือหนาหูถึง “กระสือสาว” นางหนึ่ง…อยู่บ่อยครั้ง ในภาพยนตร์รักซาบซึ้งชวนสยอง ของยุทธเลิศ “กระสือวาเลนไทน์” 9 กุมภาพันธ์ 2549 แล้วคุณจะซึ้งจนขนหัวลุก ณ โรงพยาบาลเก่าแก่แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ…มีเรื่องราวความรักถือกำเนิดขึ้น พยาบาล “สาว” (พลอย จินดาโชติ) แสนสวยบุคลิกดี ซึ่งถึงแม้ว่าเธอเพิ่งจะย้ายมาประจำการ ณ โรงพยาบาลแห่งนั้นได้ไม่นานนัก แต่เธอก็เป็นที่รักใคร่ชอบพอของเพื่อนร่วมงานทุกคนในโรงพยาบาล ไม่เว้นแม้แต่ภารโรง “หนุ่ม” (ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์) คนซื่อที่ถูกชะตากับพยาบาลสาวตั้งแต่แรกเห็นในวันวาเลนไทน์ของปี 2549 นี้ด้วย “ดอกกุหลาบ” ดอกแรกที่สาวได้รับจากภารโรงหนุ่มโดยบังเอิญในวันแห่งความรักนั้น นำไปสู่จุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ประหลาดและความผูกพันกันอย่างคาดไม่ถึง หรือพรหมลิขิตที่สาวเชื่อมั่นอยู่เสมอจะชักพาให้เธอพบกับความรักครั้งใหม่ หลังจากที่ถูกหักอกกับรักครั้งเก่า จนต้องพกพาความบอบช้ำย้ายเข้ามาทำงาน ณ โรงพยาบาลแห่งนี้…ที่ความรักกำลังดำเนินไป ก่อนหน้านี้สาวมักจะมีอาการประหลาดที่ต้องตื่นขึ้นมาอาเจียนในทุกๆ เช้า และทุกครั้งสิ่งที่เธออาเจียนออกมานั้นดูไม่แตกต่างจากรกเด็กที่เธอเคยเห็นในห้องคลอดเลยสักนิด รวมทั้งเธอยังมีอาการเห็นภาพซ้อนแวบเข้ามาในสมองอย่างไม่มีที่มาที่ไป และภาพที่เห็นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นภาพของโรงพยาบาลแห่งเดียวกันนี้ในยุคสงครามเมื่อกว่าหกสิบปีที่ผ่านมา เท่านั้นไม่พอ สาวยังได้พบกับ “ภาพถ่ายเก่าๆ ใบหนึ่ง” ในกล่องเหล็กซึ่งถูกวางอยู่ในห้องพักของเธอมาเนิ่นนาน ในภาพนั้นเป็นภาพของหนุ่มในชุดทหารสมัยสงครามถ่ายคู่กับเธอในชุดพยาบาลในยุคเดียวกัน และด้านหลังภาพถ่ายเป็นลายมือของหนุ่มที่เขียนถึงเธอ จากข้อความบางอย่าง มันได้บ่งบอกว่าในชาติที่แล้วทั้งสองคนนี้คือคู่รักกัน แต่ยังไม่ทันที่สาวจะนำภาพถ่ายใบนั้นไปให้หนุ่มคลายความเคลือบแคลงสงสัยของเธอลง อุบัติเหตุหนึ่งกลับทำให้หนุ่มกลายเป็นอัมพาต และไม่สามารถสื่อสารใดๆ ได้นอกจากแค่การกะพริบตา หรือเวรกรรมกำลังจะตามมาสนองคู่รักเมื่อชาติที่แล้วคู่นี้อย่างเท่าทัน ขณะเดียวกันในค่ำคืนแห่งความสับสน สาวกลับค้นพบความจริงอันน่าสะพรึงกลัวภายในร่างกายของเธออย่างยากที่เธอจะเชื่อได้…มันคืออะไรกัน หรือเธอเองจะมีส่วนผูกโยงกับ “กระสือสาว” ที่ถูกร่ำลือถึงบ่อยๆ ณ โรงพยาบาลเก่าแก่แห่งนี้…เรื่องราวความรักกำลังจะจบลง
เรื่องย่อ : โคตรเพชฌฆาต (2548/2005) เรื่องราวที่น่าขนพองสยองเกล้ากับความตายที่เป็นปริศนาของคนในหมู่บ้านคลองบางมุด เมื่อสถานที่เงียบสงบร่มเย็น ชาวบ้านใช้ชีวิตอยู่กันตามประสาชาวชนบท แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ประหลาด เมื่อมีชาวบ้านพบศพชายนิรนามมาตายอยู่ที่ริมฝั่งคลอง หลังจากนั้นไม่นานก็มีชาวบ้านหลายคนหายตัวไปอย่างลึกลับ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการค้นหาปริศนาที่ว่าอะไรเป็นสาเหตุของการตายของพวกชาวบ้านและศพนิรนามนั้น กระทั่งได้พบรอยประหลาด ซึ่งรอยประหลาดนั้นคล้ายกับรอยของสัตว์ขนาดใหญ่ เหตุนี้ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่า เจ้ารอยประหลาดนี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์สะเทือนขวัญจนยากที่จะลืมได้ และยังคงอยู่ในความทรงจำของชาวบ้านคลองบางมุดตลอดมา
ชาวบ้านบางมุด จังหวัดชุมพร ต่างร่ำลือถึงจระเข้ที่อาศัยอยู่ในคลองบางมุด อันเป็นสาเหตุของคดีคนหายหลายรายอย่างไร้ร่องรอย สร้างความหวาดกลัวไปทั่วทั้งจังหวัด นายอำเภอ ผู้ใหญ่บ้าน และกำนันเกณท์ลูกบ้านเพื่อออกจัดการกับเจ้าจระเข้ตัวนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครสามารถจัดการกับมันได้ จนเมื่อ "จำนง" นายทหารประจำหน่วยรบชุมพร กลับมาจากราชการ ถูกผู้ใหญ่ขอร้องให้ทางทหารช่วยจัดการปราบจระเข้ตัวนี้ เขาจึงร่วมมือกับนรินทร์และชาวบ้าน ออกตามล่าเพื่อปราบเจ้าจระเข้ยักษ์ เขาต้องพบอุปสรรคมากมาย ทั้งการขัดแย้งกับทางราชการและความดุร้ายของเจ้าจระเข้ยักษ์นี้
นรินทร์ นายตำรวจหนุ่ม ออกตามหาชายคนหนึ่งที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ก่อนจะพบว่าเป็นฝีมือของจระเข้ที่อยู่ในลำคลองอันเป็นสายน้ำแห่งวิถีชีวิตของชาวบางมุด ซึ่งสร้างความน่าสะพรึงกลัวด้วยขนาดอันใหญ่โตและมีรอยด่างที่ลำตัว เขาและเจ้าหน้าที่รวมถึงชาวบ้านจึงต้องร่วมมือกันปราบมันท่ามกลางอุปสรรคมากมาย
เรื่องย่อ : ผวา (2548/2005) "แก้ว" รีบเดินทางกลับบ้านเกิดที่ต่างจังหวัดทันที เมื่อได้รับข่าวว่าก้อย (น้องสาว) เกิดอาการผีเข้า พร้อม ๆ กันกับเพื่อนนักเรียนอีกหลายคน ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง และเพื่อนเมื่อตอนเป็นเด็ก แก้วพยายามหาทางรักษาก้อย โดยได้รับความช่วยเหลือจากหมอดนัย ที่ระบุอาการดังกล่าวเรียกว่า "โรคอุปทานหมู่" ทำให้ขัดกับหลักความเชื่อของคนในหมู่บ้านที่ยังงมงาย กับเรื่องไสยศาสตร์ เหตุการณ์ในอดีตของแก้ว เริ่มย้อนกลับเข้ามาสร้างความน่าสะพรึงกลัวให้กับเธออีกครั้ง หลังจากที่ เธอเคยพยายามหลีกหนีมันไปเป็นเวลานาน ขณะนั้นเองแก้วได้พบกับเพื่อนสนิทในวัยเด็กคนหนึ่ง ที่กลายมาเป็นครูในโรงเรียนของน้องสาว และเธอเป็นคนที่เก็บงำความลับต่าง ๆ เอาไว้ ซึ่งจะช่วย คลี่คลายปมปัญหาเรื่องของเด็กชายที่หายสาบสูญไปในอดีต เมื่อสิ่งที่พวกเธอเคยร่วมกันทำ เอาไว้ ในวัยเด็กได้กลายมาเป็นผลในวัยปัจจุบันอย่างคาดไม่ถึง...