October Sonata รักที่รอคอย (2552/2009) เรื่องราวชีวิตรักของสาวโรงงาน แสงจันทร์ (รัชวิน วงศ์วิริยะ) กับหนุ่มซึ่งกำลังจะไปเรียนต่อเมืองนอก รวี (ธนวรรธน์ วรรธนะภูมิ) ที่มาพบกันโดยบังเอิญ ในงานศพพระเอกดัง มิตร ชัยบัญชา เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2513 จากนั้นวันที่ 8 ตุลาคมของทุกปี จึงกลายเป็นวันนัดพบ ณ บังกะโล แสนมุก โฮเต็ล ที่ต่างฝ่ายต่างเฝ้ารอที่จะมาพบกัน โดยมีหนุ่มลูกครึ่งจีน ลิ้ม (พิษณุ นิ่มสกุล) ซึ่งถูกเปรียบเสมือนมือที่สาม เพียงเพราะเขาเห็นเธอแล้วทำความรู้จัก ฝ่ายหนึ่งมองเห็นเป็นเพื่อน เพราะเธอมีเขาอีกคนอยู่ในหัวใจแล้ว ขณะที่อีกฝ่ายถือเป็นรักแรกพบ อีกหนึ่งเรื่องราวของความรักที่จะทำให้เกิดความซาบซึ้ง ที่จะยอมรับและเข้าใจ กับความรักที่มั่นคงของคนทั้ง 3 เหมือนถูกโชคชะตาเล่นตลก สุดที่จะคาดเดา
อีส้ม สมหวัง ชะชะช่า 2552
อีส้ม สมหวัง ชะชะช่า (2552/2009) หากคุณยังจำเรื่องราวความรักของหนุ่มน้อย “สมหวัง” กับ“อีส้ม” แฟนสาวคนสวยจาก “อีส้มสมหวัง” ได้ คุณต้องไม่พลาดติดตามการพิสูจน์รักแท้ของเขาและเธออีกครั้ง ใน“อีส้มสมหวัง ชะชะช่า” ที่คราวนี้เส้นทางความรักของเขาและเธอ ต้องพบกับอุปสรรคต่างๆ นานา ภายหลังจากที่ความรักได้เริ่มก่อตัวใน “อีส้มสมหวัง” ก็ดูเหมือนว่าหนทางความรักระหว่าง ส้ม(สุวนันท์ คงยิ่ง) กับ สมหวัง(ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์) กลับไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เมื่อหัวหน้า ยอดรัก เสียชีวิตไป วงดนตรีก็ยุบ ส้ม และ สมหวัง จึงหอบเอาความหวังมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง เพื่อหวังที่จะสร้างอนาคตร่วมกัน เพราะไม่ใช่เพียงแค่สองชีวิตระหว่างเขากับเธอเท่านั้น แต่มันยังมีบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นบททดสอบความรักในครั้งนี้ เรื่องราวจะเป็นเช่นไรต่อไป หนังรัก หลากอารมณ์ ที่เจือไปด้วยเสียงหัวเราะเรื่องนี้ มีคำตอบรอคุณอยู่ และเพื่อพิสูจน์ฝีมือการกำกับฯของ “โน้ต จูเนียร์” ลูกชายของตลกมากความสามารถ “โน้ต เชิญยิ้ม” และการกลับมาของนักแสดงจากภาคแรกที่ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง เรียกได้ว่าเกือบจะครบเซท ไม่ว่าจะเป็น กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง,เต้-ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์,ค่อม ชวนชื่น,ชมพู่ ก่อนบ่าย และ โน้ต เชิญยิ้ม ที่ยกทีมกันมาร่วมสร้างความสนุกให้กับทุกคนอย่างเต็มที่ รวมไปถึงบทเพลงอันไพเราะจากศิลปินลูกทุ่งชื่อดังอีกมากมาย
สามชุก ขอเพียงโอกาส อีกสักครั้ง (2552/2009) ในปี พ.ศ. 2536 ยาเสพติดแพร่ระบาดอย่างหนักไปทั่วทุกท้องที่ของประเทศ รวมถึงที่โรงเรียนสามชุกรัตนโภคาราม อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เด็กนักเรียน 7 คนที่ชีวิตกำลังอยู่ในวัยสดใส สนุกสนาน มีความฝันและความรัก กลับต้องมาตกนรกทั้งเป็นกับปัญหาที่ดูเหมือนไม่สามารถหาทางออกได้ เรื่องเริ่มจากการที่ วาล (ธีรภัทร์ แย้มศรี) ต้องทำงานพิเศษหลังเลิกเรียนหลายอย่าง เพื่อช่วยคุณแม่แบ่งเบาภาระหนี้สินที่คุณพ่อที่เสียไปแล้วทิ้งไว้ให้ จากนั้น ดำ เพื่อนที่อู่ ก็แนะนำให้ วาล รู้จักยาบ้า ที่จะทำให้ วาล ทำงานได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่เหน็ดเหนื่อย กว่าจะรู้ตัว ชีวิตของ วาล ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของมันอย่างช้าๆ แล้ว วาล ก็กลายเป็นสะพานที่นำยาไปสู่เพื่อนๆ นักเรียนตัวแสบชั้น ม. 5 พัน (พิเชษฎ์พงษ์ โชคประดับ) ยอด (อำนาจ บัวปรอด) เอก (พงศธร ศรีบุญเพ็ง) และรุ่นน้องม.4 ที่สนิทกันอีก 3 คน เทพ (ณัฐชนน ศุภลักษณ์) ปอด (ศุภณัฐ มีสมศักดิ์) และ โบ๊ะ (นวพล เจริญธรรมรักษา) หันมาทดลองยาเสพติดด้วยหลากหลายเหตุผล เทพ ซึ่งที่บ้านมีฐานะที่สุดช่วยออกเงินทุน ทำให้พวก วาล ไม่เคยขาดยา ทุกคนรู้ว่ามันคือสิ่งที่ผิด แต่ก็ไม่สามารถเลิกได้ เรื่องราวลุกลามจนถึงตำรวจ ทุกคนพร้อมจะตราหน้าพวกเขาว่าเป็นเด็กเหลือขอไม่มีอนาคต อาจารย์พินิจ (ปรเมศร์ น้อยอ่ำ) จึงยื่นมือเข้าช่วยเด็กๆ และได้รับรู้ปัญหาทั้งหมด อาจารย์พยายามปรับความคิดของเด็กโดยให้ใช้ปัญญาและให้ยืดอกรับปัญหาต่างๆ รวมทั้งปรับความเข้าใจของชาวบ้านในชุมชนสามชุกไปพร้อมๆ กัน ให้ทุกคนคิดเสียใหม่ว่าปัญหายาเสพติดไม่ได้เป็นความผิดของเด็กฝ่ายเดียว ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ด่าทอโยนความผิดให้กัน อาจารย์พินิจ ขอโอกาสให้เด็กๆ ได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง และรับปากจะทำให้เด็ก 7 คนเลิกยากลับมาเป็นคนดีและอยู่ร่วมในชุมชนอย่างสงบสุขให้ได้ เขาจึงพาเด็กๆ มาอยู่ค่ายประจำที่โรงเรียน ให้เด็กทำกิจกรรมต่างๆ เป็นกิจวัตร ทั้งออกกำลังกาย ปลูกกุหลาบ และทำอาหาร อาจารย์พินิจ ทำได้มากสุดก็แค่ยืนเคียงข้าง และเฝ้ามองวันที่เด็กทั้ง 7 เข้มแข็งพอที่จะก้าวผ่านพ้นมันไปได้ในที่สุด
หนีตามกาลิเลโอ (2552/2009) ปลายศตวรรษที่ 16 เมืองปิซา ประเทศอิตาลี กาลิเลโอ ประกาศผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ของเขาว่า วัตถุ 2 ชิ้นที่มีรูปทรงเดียวกัน และประกอบขึ้นด้วยมวลสารเดียวกัน จะตกถึงพื้นพร้อมกัน แม้จะมีน้ำหนักไม่เท่ากัน อีกทั้งยังประกาศความเชื่อว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล การปฏิบัติตัวขัดแย้งกับศาสนจักรเช่นนี้ ทำให้ กาลิเลโอ ถูกจับขัง สิ้นสูญอิสรภาพ และชีวิตก็ตกระกำลำบากนับจากนั้น ปี 2009 กรุงเทพฯ ประเทศไทย ห่างจากที่เกิดเหตุแรก 1/4 เส้นรอบวงโลก เด็กสาว 2 คนกำลังประสบปัญหาหนักหน่วงที่สุดในชีวิต เชอรี่ (ชุติมา ทีปะนาถ) นักศึกษาชั้นปีสุดท้ายของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ถูกตัดสิทธิ์สอบและต้องพักการเรียนเป็นเวลา 1 ปี ด้วยความผิดที่เจ้าตัวเห็นว่าเล็กน้อย นั่นคือปลอมลายเซ็นอาจารย์ในใบขออนุญาตใช้ห้องเขียนแบบ นุ่น (จรินทร์พร จุนเกียรติ) สาวร่าเริงแสนงอน เคยท้าเลิกกับแฟนหนุ่ม ตั้ม (ธนากร ชินกูล) มาแล้วหลายครั้ง ทว่า ตั้ม เป็นต้องงอนง้อขอคืนดีกับเธออยู่ร่ำไป แต่ครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้ง ตั้ม ตัดสินใจรับคำบอกเลิกของเธอแต่โดยดี ทั้ง นุ่น และ เชอรี่ ต่างรู้สึกอยากหนีไปให้ไกลจากสถานที่เกิดปัญหา จึงจูงมือกันบินข้ามหลายเส้นรุ้งและอีกหลายเส้นแวง ปลดแอกตัวเองจากแรงดึงดูดของชีวิตทันที แผนของทั้งคู่นั้นแสนง่าย มุ่งมั่นทำงานบริกร เพื่อเก็บเงินไปท่องเที่ยวให้มากที่สุด เป้าหมายของพวกเธอคือ 3 เมืองใหญ่แห่งยุโรปอย่าง ลอนดอน ปารีส และเวนิส สถานที่สำคัญๆ ถูกหมุดหมายลงในใจของสองสาว ไม่ว่าจะเป็นสโตนเฮนจ์ ทาวเวอร์บริดจ์ หอไอเฟล พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ โคลอสเซียม เรือกอนโดลา และ หอเอนปิซา ก่อนออกเดินทาง ทั้งคู่ทำสัญญาใจกันไว้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามทิ้งกัน อย่างไรก็ตาม ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องคาดไม่ถึงสารพัด บางครั้งคำสัญญาเป็นมั่นเหมาะก็ถูกสั่นคลอนเสียง่ายๆ เมื่อเจ้าของคำสัญญาอ่อนล้าจากภาระหน้าที่ในชีวิตประจำวัน และบางทีมิตรภาพยาวนานก็แทบถึงกาลแตกหัก ด้วยเหตุผลที่เหมือนจะไม่เป็นเหตุผลว่าเบื่อขี้หน้ากัน นุ่น ยังคาดไม่ถึงอีกด้วยว่า เธอหนี ตั้ม คนหนึ่งไปไกลถึง 1/4 ของโลก เพียงเพื่อจะไปพบความสัมพันธ์ครั้งใหม่กับอีก ตั้ม (เร แม๊คโดแนลด์) ส่วน เชอรี่ ก็คาดไม่ถึงว่าความตั้งใจที่จะออกเดินทางให้หลุดพ้นจากกฎโง่ๆ ของโลก กลับทำให้เธอเรียนรู้ว่า ไม่ว่าจะหนีไปไกลแค่ไหน ทุกคนต่างอยู่บนกฎพื้นฐานข้อเดียวกัน นั่นคือเราไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก เช่นเดียวกับที่โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล
นางไม้ (2552/2009) มุ่งสู่ความสยองของลำเนาแห่งธรรมชาติ ที่จะมอบบทลงโทษอันสาสมให้กับผู้ที่ล่วงเข้ามาในเขตแดนต้องห้ามนี้ ขอเชิญท่านทั้งหลายมาสัมผัสกับความสยองของวิญญาณแห่งป่าใน “นางไม้” ผลงานกำกับการแสดงที่ฉีกแนวทางการทำงานไปจากเดิมๆของผู้กำกับฯมือดี “เป็นเอก รัตนเรื่อง” ที่สำคัญ นี่ยังเป็นการแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกในชีวิตของนักร้องสาวแสนเซ็กซี่ “กิ๊บซี่-วนิดา เติมธนาภรณ์” ที่มาในบทบาทของ เมย์ สาวทันสมัยแต่ออกจะขี้เหงา ที่กำลังไปได้สวยกับธุรกิจส่วนตัวและความรักที่ นพ สามีช่างภาพนิตยสารมอบให้กัยเธอ แต่ดูเหมือนว่าทั้ง เมย์ แล้วก็ นพ มีวิถีชีวิตที่เป็นของคนเมืองทั่วไปที่ใช้ชีวิตหมดไปวันๆโดยไม่ได้คิดอะไร แถมยังปล่อยให้ตัวเองไปมีสัมพันธ์กับชายอื่น แต่แล้วก็ดูเหมือนว่าภายหลังจากที่ นพ เข้าไปถ่ายรูปกลางป่าลึกแล้วพบเจอกับสิ่งเร้นลับบางอย่างเข้า นั่นคืดจุดเริ่มต้นของความสยองขวัญเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด ที่สำคัญมันได้เปลี่ยนให้ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาระหว่าง เมย์ กับ นพ เปลี่ยนไป แต่จะเป็นไปในทิศทางไหน หลายคนที่ได้มีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาแล้ว ต่างก็ยกนิ้วให้กับความสามารถทางการแสดงของ กิ๊บซี่-วนิดา ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าเธอ ไม่ได้มีดีอยู่แค่หน้าตาและความสวย เพราะความสามารถของเธอนั้นก็จัดอยู่ในระดับแถวหน้าเลยก็ว่าได้
ม.3 ปี 4 เรารักนาย (2552/2009) ธีร์ (คณิน บัดติยา) และ นัท (ศุภสิทธิ์ ชินวินิจกุล) หนุ่มน้อยสองพี่น้อง ใช้ชีวิตอยู่บนคอนโดหรูใจกลางเมืองกรุงเทพฯ นัท อยู่ชั้น ม. 3 เป็นคนร่าเริง มีโลกส่วนตัวสูง มักใช้เวลาว่าง MSN กับเพื่อน ๆ โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิงที่ภูเก็ต ซึ่งคุย MSN กันมาตั้งแต่อยู่ ม.1 โดยไม่เคยพบกันเลย ส่วนธีร์เป็นนักศึกษา ทันตแพทย์ปี 4 หนุ่มเจ้าเสน่ห์ผู้ที่ทั้งชีวิตมีแต่ผู้หญิงวิ่งเข้าหา จนตัวเองรู้สึกว่า ความรัก ก็คงมีอยู่แค่นี้ กระทั่งวันหนึ่ง ธีร์เห็นสาวสวยคนหนึ่งกำลังเปลี่ยนยางรถกระบะคันเก่า ๆ โดยไม่มีใครช่วย อยู่คนละฟากถนน จึงรู้ว่า นี่แหละ ซูเปอร์เกิร์ล คนที่เขาค้นหามาชั่วชีวิต จูน (สโรชา วิริยะเมตตากุล) และ แจน (ชลธร ปรัชญารุ่งโรจน์) พี่น้องสองสาวใช้ชีวิตอย่างอบอุ่นอยู่กับ แม่ (เพ็ญพักตร์ ศิริกุล) ในตึกแถวที่เปิดเป็นร้านขายติ่มซำในภูเก็ต จูนเรียนมหาวิทยาลัยปี 4 บุคลิกเป็นสาวห้าวและมีความเป็นผู้นำ คิดเสมอว่าต้องดูแลแม่ และแจน แทนพ่อที่เสียชีวิตไป ส่วนแจนเป็นสาวน้อยแรกแย้ม เรียนชั้น ม.3 สดใส ร่าเริง มองโลกในแง่ดี เนื่องจากเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักของแม่ และพี่สาวที่ดูแลเธอดุจไข่ในหิน กิจกรรมที่แจนชอบมากที่สุดคือการ MSN คุยกับเพื่อน ชีวิตที่เรียบง่ายของ จูน และ แจน ในเมืองภูเก็ต ต้องเปลี่ยนไป เมื่อวันหนึ่ง นัท เพื่อนสนิททาง MSN ของแจนที่คุย MSN กันมาตั้งนานแต่ไม่เคยได้เจอกัน แอบจู่โจมมาปรากฎตัวที่หน้าบ้านของแจน โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า จนทำให้ธีร์ร้อนใจว่านัทจะโดนหลอก เลยตัดสินใจบินมาที่ภูเก็ต เพื่อรับตัวนัทกลับกรุงเทพฯ ทำให้เขาได้พบกับจูน ผู้หญิงที่เขามองเห็นไกล ๆ ในอีกฟากถนน และเฝ้าเพ้อหาเธอมาตลอด แต่การได้มาพบจูนในครั้งนี้ เขากลายเป็นคนที่ดูแย่สุด ๆ ในสายตาของจูน ซ้ำเขายังเป็นต้นเหตุให้เกิดรอยร้าวฉานขึ้นระหว่างนัทกับแจน ธีร์จะแก้ไขสถานการณ์ทั้งหมดอย่างไร ในเมื่อเขามีหน้าที่ต้องเข้าเวรดูแล ป้าแหม่ม (จุรี โอศิริ) คนไข้ในความดูแลของแพทย์ฝึกหัดอย่างเขาทุกเช้าที่กรุงเทพฯ ซึ่งในต่อมา ป้าแหม่มได้กลายเป็นโค้ชความรักให้กับธีร์ แล้วระยะห่างระหว่าง กรุงเทพฯ-ภูเก็ต จะขวางกั้นรักแรกของเขาได้สำเร็จไหม?
5 หัวใจฮีโร่ (2552/2009) เก่งไม่กลัว กลัวไม่กล้า ได้เวลาที่นักสู้ “Power Kids” จะมาแผลงฤทธิ์ ให้เหล่าผู้ใหญ่ต้อง “อึ้ง-ทึ่ง-เสียว” กับภารกิจเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายครั้งล่าสุด เตรียมพบพลังต่อย…ที่ระเบิดทุกความมันส์เป็นทวีคูณ พลังเตะ…ที่ถล่มทลายทุกความท้าทาย และพลังแม่ไม้มวยไทย…ที่สู้ด้วยหัวใจหาญกล้าเกินร้อย ครั้งแรกของปรมาจารย์นักบู๊ระดับโลก “พันนา ฤทธิไกร” และผู้กำกับแอคชั่นระดับฮอลลีวูด “โหน่ง-กฤษณพงศ์ ราชธา” ผนึกกำลังดีไซน์ฉากแอคชั่น โชว์พลังการต่อสู้อย่างสมจริงสุดๆ ใน “หนังแอ็คชั่นเด็ก-เล็กพริกขี้หนู” เรื่อง “5 หัวใจฮีโร่” (Power Kids) ครั้งนี้ “น้องเกรซ-นวรัตน์ เตชะรัตนประเสริฐ” หัวโจกจอมแก่นเซี้ยว ขอควงเด็กชายจอมทะเล้น “น้องมิกซ์-เพทาย วงษ์คำเหลา” มาปล่อยมุขฮาหน้าตายไม่แพ้ “พ่อหม่ำ จ๊กม๊ก” พร้อมผองเพื่อนฮีโร่วัยใสใจเกินร้อยอย่าง “น้องวุฒิ-นันทวุฒิ บุญรับทรัพย์” นักสู้หน้าหล่อรุ่นใหม่ที่บ่มเพาะฝึกฝนฝีไม้ลายมวยมาตลอด 4 ปี เพื่อหนังเรื่องนี้เรื่องเดียว ด้วยลีลาดุเด็ดเผ็ดมันส์จนคุณต้องซี้ด… และนักบู๊หญิงรุ่นเล็ก “น้องแคท ศษิสา จินดามณี” กับคิวบู๊ที่แข็งแกร่งแรงกว่าเดิมหลายเท่า มาเปิดเวทีพะบู๊สุดอหังการ์บนแผ่นฟิล์ม ท้าตัวร้ายข้ามชาติอย่าง “จอห์นนี่ เหงียน” (จาก “ต้มยำกุ้ง”) ด้วยแม่ไม้มวยไทยที่โลกต้องจารึก…อึกทึกทั่วประเทศ 5 มี.ค.นี้ ณ บ้านมวยของ “ครูเล็ก” (อรุณ ภาวิไล) ครูมวยผู้เปรียบเสมือนพ่อแท้ๆ และเป็นผู้สอนแม่ไม้มวยไทยเพื่อใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวให้แก่เหล่าเด็กๆ นักสู้อย่าง “วุธ” (นันทวุฒิ บุญรับทรัพย์), “แคท” (ศษิสา จินดามณี) และ “ป๋อง” (เพทาย วงษ์คำเหลา) ทั้ง 3 คนมีหน้าที่ต้องดูแล “วุ้น” (ดรัตน์ ตันติวิชิตเวช) น้องชายสุดที่รักของวุธซึ่งเป็นโรคหัวใจอยู่ โดยมี “จิ๊บ” (นวรัตน์ เตชะรัตนประเสริฐ) คู่กัดของป๋องคอยเป็นเพื่อนเล่นอีกคนของวุ้น แต่แล้วเหตุการณ์พลิกผันบางอย่างก็เกิดขึ้น เมื่อเด็กน้อยตัวเล็กใจใหญ่ทั้ง 5 คนต้องต่อสู้กับแก๊งอันธพาลอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นทำให้โรคหัวใจของวุ้นเกิดอาการกำเริบขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว และจำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยน “หัวใจ” เป็นการด่วน เป็นเหตุให้ทั้งหมดต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบุกยึดโรงพยาบาลของ “เปดา” (จอห์นนี่ เหงียน) ผู้ก่อการร้ายระดับพระกาฬ…อย่างไม่คาดฝัน การต่อกรอันแสนดุเดือดของเหล่าฮีโร่ตัวน้อยใจเกินร้อยกับผู้ก่อการร้ายใจทมิฬ เพื่อช่วยเหลือทั้งน้องชายและประเทศชาติไปพร้อมๆ กัน…จึงปะทุขึ้น ด้วยมิตรภาพแห่งผองเพื่อน พลังใจที่หาญกล้า และหัวใจที่ยิ่งใหญ่เกินตัวของ “5 ฮีโร่เล็กพริกขี้หนู” เท่านั้นที่จะเอาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้
ความจำสั้น แต่รักฉันยาว (2552/2009) ว่ากันว่า ปลาทอง เป็นสัตว์ที่มีความจำสั้นเพียง 3 วินาที ว่ากันว่า ปลาทอง เป็นสัตว์ไม่มีความรัก เพราะเพียงแค่มันว่ายจากขอบโถด้านหนึ่ง ถึงขอบโถอีกด้านหนึ่ง มันก็จำหน้าปลาสาวที่มันเพิ่งบอกรักไม่ได้ซะแล้ว แต่เพราะคนไม่ใช่ปลาทอง เราจึงลืมความรักกันไม่ได้ง่าย ๆ! "รักที่อยากลืมกลับจำ" เก่ง (อารักษ์ อมรศุภศิริ) กลับมาพบกับ ฝ้าย (ญารินดา บุนนาค) รักครั้งแรกของเขาอีกครั้ง เมื่อเธอพาหมามารักษาที่คลินิกของเขา หลายปีที่ไม่ได้เจอกัน เก่งรู้เพียงว่าฝ้ายแต่งงานไปกับเพื่อนสนิทของเขาและทั้งคู่เพิ่งจะหย่ากัน เก่งลังเลที่จะเริ่มต้นใหม่กับรักครั้งเก่า เขาพยายามตัดใจด้วยการแกล้งทำเป็นไม่เคยรู้จักเธอ เพราะเธอเองก็จำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ "รักที่อยากจำกลับลืม" ป้าสมพิศ (ศันสนีย์ วัฒนานุกูล) กับ ลุงจำรัส (กฤษณ เศรษฐธำรงค์) เป็นคู่รักที่พบกันในชมรมคอมพิวเตอร์เพื่อผู้สูงอายุ ทุก ๆ อาทิตย์ลุงจะขับรถจากสวนที่ชุมพรมาเรียนกับป้าที่กรุงเทพฯ เพียงเพื่อจะได้อยู่ด้วยกันครั้งละสามชั่วโมง นั่นเพราะลูกของป้าไม่เห็นด้วยที่แม่ริมีรักใหม่ในวัยนี้ ทันทีที่รู้ว่าครอบครัวจะย้ายไปเมืองนอก ป้าตัดสินใจฮึดหนีลูกไปหาลุงที่ชุมพร โดยที่ไม่รู้ว่าวันและวัยเป็นอีกแรงที่กำลังพรากทั้งคู่ออกจากกัน เพราะคนไม่ใช่ปลาทอง เราจึงลืมความรักกันไม่ได้ง่าย ๆ และแม้จะรู้ว่ายิ่งจำยิ่งเจ็บ เราก็ยังเลือกที่จะต่อสู้เพื่อมีรักอันยาวนาน
A Moment in June ณ ขณะรัก (2552/2009) ถ้าคุณมี “โอกาสอีกครั้ง” กับ “ความรักที่เคยผิดพลาด” คุณจะใช้ “ชั่วขณะแห่งโอกาส” นั้นเช่นไร “ณ ขณะรัก” (A Moment in June) ดื่มด่ำ ล้ำลึก ซาบซึ้ง ตรึงอารมณ์ กับการค้นหาคำตอบ ณ ห้วงรัก 12 กุมภาพันธ์นี้ ให้ “หัวใจ” ได้รับโอกาสอีกครั้ง ทางเดินแห่งรัก เรื่องราวความรักความสัมพันธ์ของคนหกคนผ่านหนึ่งบทเพลงที่ทำให้ทั้งหมดได้มาพบกัน กับโอกาสครั้งที่สองของความรักที่ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตของพวกเขาที่ดำเนินผ่านเหตุการณ์ 2 ห้วงเวลาแห่งปี 2515 และ 2542 “แม้ชีวิตคู่มันจะเดินต่อไปไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่รักกัน” “ปกรณ์” (ชาคริต แย้มนาม) พบว่าการใช้ชีวิตคู่กับ “พล” (นภัสกร มิตรเอม) ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ ทั้งสองตกลงใจที่จะแยกกันสักพัก ขณะที่พลออกเดินทางเพื่อค้นหาตัวเอง ปกรณ์ก็คร่ำเคร่งกับงานกำกับละครเวทีที่เขารักด้วยหัวใจไม่เป็นสุขนัก กับความไม่แน่ใจในคำสัญญาว่าจะกลับมาเจอกันอีกครั้งที่สถานีรถไฟ… “มีบางสิ่งบางอย่างที่เวลาไม่สามารถทำลายได้” “อรัญญา” (เดือนเต็ม สาลิตุล) กำลังมุ่งหน้าไปหา “กรุง” (สุเชาว์ พงษ์วิไล) ผู้ชายที่เธอมั่นรักเขามาตลอด 30 ปี เธอมีคำถามมากมายที่จะถามเขา แต่เธอก็ไม่รู้ที่จะเริ่มต้นมันอย่างไรดี ขณะที่กรุงจมอยู่กับอดีตรักที่เคยผิดพลาดจนยากที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง… “เราจะบังคับตัวเองได้มั้ย เมื่อเวลาที่ความรักเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว” 2 สัปดาห์ก่อนการแต่งงาน “เจ้าสาว” (สินิทธา บุญยศักดิ์) พบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากใจที่สุด เธอได้ตกหลุมรักกับ “เพื่อนเจ้าบ่าว” (กฤษฎา สุโกศล แคลปป์) ซึ่งมีครอบครัวแล้ว ทั้งคู่จะห้ามใจหักดิบความรู้สึกในรักนี้ได้อย่างไร… พวกเขาและเธอต้องเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมายที่ยากต่อการตัดสินใจ บางคน…เข้าใจและรับ “โอกาสครั้งที่สอง” มาแก้ไขในความรักที่เคยพลาดผิดไปนั้นได้อย่างสวยงาม ขณะที่บางคน…มองข้ามผ่าน และสายเกินไปเมื่อจะย้อนกลับมาไขว่คว้า “โอกาสนั้น” อีกครั้ง…
ฟ้าใส ใจชื่นบาน (2552/2009) เรื่องราวเกี่ยวกับนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 และหลบหนีเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ทราย (ร่มฉัตร ขำศิริ) นักศึกษาสาวที่ต้องการเข้าไปช่วยเพื่อนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถูกกันตัวออกมา เธอได้พบกับ ก้อง (พิชญะ วัชจิตพันธ์) กับพรรคพวก ได้แก่ จอบ (ค่อม ชวนชื่น) เสียม (อ่าง เถิดเทิง) และ คิด (ฝันดี จรรยาธนากร) ที่ปั๊มน้ำมัน วันหนึ่งก้องชวนเพื่อน ๆ เข้าป่าเพราะต้องการหนีจากชีวิตในเมือง หารู้ไม่เลยว่ากำลังเดินทางไปพร้อมกับพวกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก้องได้พบกับทราย ซึ่งบัดนี้กลายเป็น "สหายเม็ดทราย" ไปแล้ว ก้องและพวกจึงจำเป็นต้องแสร้งใช้ชีวิตอยู่ในป่าไปก่อน สหายเม็ดทรายนั้นชื่นชอบ สหายเที่ยง (สุรสิทธิ์ เอี่ยมโอภาสวงศ์) คอมมิวนิสต์หนุ่มผู้มีอุดมการณ์ ซึ่งต่างจากก้องและพรรคพวก และวันหนึ่งที่จอบและเสียมเผลอไปตัดเอาต้นข้าวเพราะคิดว่าเป็นหญ้าจนเหี้ยนหมด ทั้งหมดจึงต้องออกเดินทางไปขอเสบียงจากชาวบ้าน และที่นั่น ทำให้สหายเม็ดทรายได้ล่วงรู้ถึงความจริงว่า ความสุขที่แท้ของคนอยู่ที่ใจ หาใช่อุดมการณ์อะไรไม่
ความสุขของกะทิ (2552/2009) จาก “วรรณกรรมซีไรต์” ที่กุมหัวใจผู้อ่านทั่วประเทศ ลัดฟ้าสู่ระดับโลกด้วยความประทับใจ พร้อมแล้วที่จะมาเติมเต็มและแบ่งปันความสุข ในรูปแบบภาพยนตร์ที่ใครๆ ต่างเฝ้ารอ จากปลายปากกาเขียนบทภาพยนตร์ครั้งแรกของ “งามพรรณ เวชชาชีวะ” เจ้าของบทประพันธ์รางวัลซีไรต์ ครั้งแรกที่คุณจะได้รู้จัก “หนูน้อยกะทิ” โดยกลุ่มผู้สร้างภาพยนตร์น้องใหม่ “ภาพยนตร์ชูใจ” พร้อมทีมนักแสดงและทีมงานเบื้องหลังระดับ “หัวกะทิ” ที่จะเนรมิตจินตนาการจากตัวหนังสือสู่แผ่นฟิล์มอย่างละเมียดอารมณ์ ในภาพยนตร์อิ่มอุ่นใจเรื่อง “ความสุขของกะทิ” เติมเต็มความสุขทุกหัวใจ 8 มกราคม 52 วันไหน ๆ หัวใจก็มีความสุข “ไม่เคยมีใครพูดถึงแม่” “กะทิ” (น้องพลอย-ภัสสร คงมีสุข) เด็กหญิงวัย 9 ขวบ ที่ต้องผ่านประสบการณ์การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด เมื่อ “แม่” (รัชนก แสง-ชูโต) ต้องจากไปก่อนวัยอันควรด้วยโรคร้ายที่มิอาจรักษา กะทิต้องผ่านขั้นตอนความสุขและทุกข์ ความผูกพันและการพลัดพราก ความสมหวังและความสูญเสียที่มากเกินกว่าที่เด็กวัยเดียวกันนี้จะรับไหว “น้ำตาไม่อาจแทนความโศกเศร้าได้” กะทิได้เรียนรู้และตัดสินใจด้วยตัวเองผ่านสิ่งละอันพันละน้อยใน “ลิ้นชักแห่งความทรงจำ” ที่แม่เตรียมไว้ให้ก่อนสิ้นลมหายใจว่าความทุกข์จากการสูญเสียนั้นมิอาจพรากความสุขจากความรักและความผูกพันของแม่ที่มีต่อเธอได้ “อดีตเหมือนเงา บางครั้งทอดนำทางอนาคต” เด็กน้อยเติบโตขึ้นจากประสบการณ์นี้ด้วยความเชื่อมั่นและกำลังใจในการดำรงชีวิตจากบุคคลใกล้ชิด…ผู้ที่เธอรักและรักเธอ ไม่ว่าจะเป็น “ตา” (สะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์) และ “ยาย” (จารุวรรณ ปัญโญภาส) ผู้ที่รักหลานกะทิดุจชีวิต, “น้าฎา” (เข็มอัปสร สิริสุขะ), “น้ากันต์” (กฤษฎา สุโกศล แคลปป์), “ลุงตอง” (ไมเคิล เชาวนาศัย) และ “พี่ทอง” (นิธิศ โค้วสกุล) ที่ต่างเข้ามาสร้างสีสัน แบ่งปันความสุข และเติมเต็มชีวิตให้หนูน้อยกะทิรู้สึกว่า เธอไม่ได้ขาดอะไร และสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้เฉกเช่นเด็กๆ ในวัยเดียวกัน ใครจะรู้ว่า แท้จริงแล้วในความโศกเศร้านี้ ก็มี… “ความสุขจริงแท้อันยิ่งใหญ่” ที่ได้เบ่งบานในหัวใจของ “เด็กหญิงกะทิ” อยู่เช่นกัน “ความสุขของคนรอบข้าง คือความสุขของเราด้วย…ความสุขแบ่งปันกันได้ วันไหนๆ ก็มีความสุข”

กำลังแสดงผลลัพธ์ทั้งหมด 11 รายการ