ภาพยนตร์เสียงศรีกรุง
พญาน้อยชมตลาด (2478/1935) พญาน้อย ราชบุตรของพระเจ้าช้างเผือกมีอุปนิสัยชอบเอาแต่ใจตนเอง เป็นที่กลุ้มใจของพระราชบิดา จึงจัดการอุปภิเษกแต่พญาน้อยก็ยังไม่เลิกนิสัย วันหนึ่ง มะโดด กับ มะดวด มหาดเล็กคู่ใจของพญาน้อยมาถวายรายงานว่าพบสาวงามและเชิญพญาน้อยไปทอดพระเนตร พญาน้อยจึงทำทีเป็นเสด็จเยี่ยมทุกข์สุขของราษฎร เมื่อไปถึงตลาดท้ายเมืองตะเกิง พญาน้อยตรงดิ่งไปยังร้านแป้งน้ำมัน ซึ่ง เม้ยเจิง เป็นเจ้าของและพยายามเกี้ยวพาราสี แต่เม้ยเจิงมีสามีแล้วชื่อ มะเทิ่ง เมื่อเม้ยเจิงปฏิเสธหนักเข้า พญาน้อยผู้เอาแต่ใจจึงข่มขู่ว่าจะทำร้ายมะเทิ่งหากเม้ยเจิงไม่ยอมเป็นสนมเอก เม้ยเจิงจึงต้องตามพญาน้อยเข้าวัง พญาน้อยนำเม้ยเจิงแอบไว้ในห้องหนึ่งและให้คนหว่านล้อมเม้ยเจิง แต่นางก็เอาแต่ร้องไห้รำพันถึงสามีมะดวด กับ มะโดด แนะนำให้พญาน้อยจูบเม้ยเจิง ปรากฏว่าได้ผลดีเกินคาด เม้ยเจิงลืมมะเทิ่งเสียสิ้น ขนาดมะเทิ่งถวายฎีกาต่อพระเจ้าช้างเผือก เม้ยเจิงก็กลับให้การว่าตามพญาน้อยมาโดยสมัครใจ มะเทิ่งจึงต้องกลับบ้านทั้งน้ำตาพร้อมเงินค่าทำขวัญ 50 ชั่ง ปล่อยให้เม้ยเจิงมีความสุขกับพญาน้อย
สัตตหีบ (2478/1935) เรื่องราวเกิดขึ้นที่ตำบลสัตหีบ สันต์ ชาญชล หนุ่มประมง สมัครรักใคร่อยู่กับ นวล มิ่งทรัพย์ ลูกสาวของนายเพิ่ม วันหนึ่ง สันต์หาปลาได้มากกว่าปรกติจึงเกิดครึ้มใจชวน ชัย เชาว์งาม เพื่อนรักไปเลี้ยงฉลองกันที่ตลาด จำเพาะพอดี เดช ผู้คุมแห่งคุกสัตหีบซึ่งเบื้องหลังประกอบการทุจริต ได้พาลูกน้องอันธพาลมากินเหล้าในร้านเดียวกันนี้ ก็เกิดเขม่นกันขึ้นจนหวุดหวิดมีเรื่องชกต่อย ระหว่างทางกลับ สันต์พบนวลกำลังรีบไปตลาดเพื่อตามหมอมารักษาพ่อที่ล้มเจ็บ สันต์จึงอาสาอยู่เฝ้านายเพิ่มที่บ้าน ลูกน้องของเดชเห็นนวลก็ทำกิริยากักขฬะ นวลเห็นท่าไม่ดีรีบเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่เดชไม่ยอมลดราวาศอก ปาน เพื่อนของสันต์ผ่านมาเห็นเข้า จึงรีบไปเรียกสันต์ให้มาช่วยนวล ที่สุดก็ไม่พ้นมีเรื่องชกต่อยกัน พอดีมีทหารเรือเดินผ่านมา สันต์กับปาน และลูกน้องของเดชบางส่วนจึงถูกจับขังคุกเป็นเวลา 1 เดือน เดชใช้อภิสิทธิ์ในการเป็นผู้คุม ลงโทษสันต์กับปานให้ทำงานหนักกว่านักโทษคนอื่นๆ หนำซ้ำยังตามรังแกนวลจนนวลรำคาญใจ ตัดสินใจหนีไปอยู่ที่อื่น แต่ถูกลูกน้องของเดชฉุดระหว่างทาง เป็นเวลาเดียวกับที่เรือนจำ นักโทษกำลังเฮโลกันแหกคุก เพราะผู้คุมเอาแต่ละเลยหน้าที่มัวแต่ไปก่อกรรม สันต์กับเพื่อนช่วยกันควบคุมสถานการณ์ กระทั่งเหล่าทหารเรือกระจายกันไปตามนักโทษ สันต์จึงขอออกไปช่วยนวลให้รอดพ้นจากอิทธิพลของเดช
เลือดทหารไทย (2478/1935) นาวาตรี หลวงสหะนาวิน ผู้บังคับหมวดหน่วยรบประจำเรือรบหลวงสุโขทัย นำทัพประลองยุทธใหญ่ทางทะเลจึงได้รับคำสั่งเลื่อนยศพร้อมกับคนอื่นๆ คืนวันรุ่งขึ้น ได้มีงานเลี้ยงบนเรือรบหลวงสุโขทัย หลวงสหะนาวินได้พบ พาณี นรกุล น้องสาวของ เรือเอกปรีชา นรกุล ก็รู้สึกหลงรัก เช่นเดียวกับ พันตรีหลวงกฤษณะสงคราม เพื่อนสนิท หลวงสหะนาวินจึงหลีกทางให้ จนกระทั่งประเทศไทยเข้าสู่ภาวะสงครามรัฐบาลได้อนุมัติให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการตามยุทธศาสตร์ตามแผนป้องกันพระราชอาณาจักร ที่ พลโทพระยานรกุล ร่างขึ้น แต่ขณะนั้นเองมีกลุ่มคนคิดขายชาตินำโดย วิญญู เป็นหัวหน้า ต้องการขโมยร่างแผนป้องกันพระราชอาณาจักร จึงให้อุดมกับเฉลิมลอบไปขโมยในงานวันเกิดพระยานรกุลที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันต่อมา เมื่อถึงวันงาน อุดมลอบเข้าไปขโมยร่างแผนป้องกันพระราชอาณาจักรในบ้านพระยานรกุลสำเร็จ แต่ขณะที่กำลังปีนลงมาจากตึก หลวงกฤษณะมาเห็นเข้าจึงยิงอุดมเสียชีวิต เฉลิมซึ่งคอยดูต้นทางอยู่รีบวิ่งไปฉวยแผนป้องกันพระราชอาณาจักรและหลบหนีไปได้ หลวงกฤษณะถูกเรียกเข้าประจำกรมด่วน เนื่องจากรัฐบาลประกาศสงครามแล้ว นายเรือเอกปรีชาจึงเสียสละออกรับแทนว่าตนเป็นผู้ยิงอุดมเสียชีวิต หลวงกฤษณะจึงได้ไปปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติ หลังจากนั้นตำรวจก็ได้รับแจ้งว่าร่างแผนป้องกันพระราชอาณาจักรหายไป เมื่อสอบปากคำ นงลักษณ์ ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุ ตำรวจจึงรีบไปดักรอผู้ต้องสงสัยที่สถานเบียร์ฮอลล์ "โอดี" และจับวิญญูและเฉลิมพร้อมของกลางได้ นายเรือเอกปรีชาจึงได้รับการปล่อยตัวไปเป็นผู้บังคับหมู่เรือยามฝั่ง กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศไทยเคลื่อนทัพสู่สนามรบ และได้ชัยชนะกลับมา
เมืองแม่หม้าย (2478/1935) เกสร กับ กำจร สองเพื่อนรักนักเสี่ยงโชคกำลังตกอับถึงขีดสุด แม้แต่ค่าเช่าบ้านก็ยังค้าง นายสุดใจ ถึงสามเดือน ทั้งสองจึงปลอมตัวเป็นหญิงเพื่อเดินทางไปแสวงโชคยังเมืองแม่หม้ายดินแดนลึกลับที่มีแต่ผู้หญิง ระหว่างทางต้องผจญอุปสรรคมากมายแต่ก็รอดพ้นได้จนสามารถมาถึงเมืองแม่หม้าย ทหารเมืองค้นตัวเกสรกับกำจรและอธิบายว่า ก่อนจะเข้ามาอยู่ในเมืองนี้ ทุกคนต้องเข้าพิธีเสี่ยงน้ำสาบานว่าจะซื่อตรงต่อพระจันทร์ ผู้เป็นพระสามีของชาวเมือง หากพระจันทร์โปรดผู้ใดก็จะตั้งครรภ์ ทั้งสองกลัวความแตก จึงโกหกนางพญาว่าเป็นหมอดูและดูดวงชะตาให้นางพญา เมื่อหลอกล่อถามนางพญาจนรู้ว่านางเองก็ต้องการให้มีผู้ชายเข้ามาอยู่ในเมืองจึงเปิดเผยตน นางพญาซึ่งต้องการผู้ชายให้มาอยู่ในเมืองอยู่แล้ว จึงออกคำสั่งห้ามประหารชีวิตสองหนุ่ม แต่มีข้อแม้ว่าเกสรกับกำจรต้องอยู่ที่เมืองแม่หม้ายตลอดไป
เรื่องย่อ : ใครเป็นบ้า (2471/1928) มีเนื้อเรื่องยอกย้อนซับซ้อนกัน เพื่อให้ผู้ดูวินิจฉัยเอาเองว่า ฝ่ายใดเป็นบ้า...นัยว่าจะทำให้ผู้ดูหัวเราะขบขันได้ตลอดเวลา...เพียงแต่ดูบางตอนในเรื่องนี้ เชื่อกันว่าคงจะเป็นเรื่องสนุก เช่นตอนมีผู้แต่งตัวชอบกลมาลูบหัวสุนักข์แล้วสุนักข์กลายเป็นคน ๆ กลายเป็นสุนักข์ ฯลฯ ดำเนินเค้าเงื่อนคมขำ ผู้ดูนึกขบขันตลอดเวลา ทำให้อดนึกถึงปัญหาในเบื้องต้นไม่ได้ว่า ใครจะเป็นบ้ากันแน่ ครั้นมาในตอนท้าย ผู้ที่เป็นบ้ากลับกลายมาเป็นผู้ที่เราไม่เคยนึกเคยฝัน นับว่าเป็นเรื่องตลก ที่น่าฟังดีที่สุดเรื่องหนึ่ง ผู้แสดงทุกคนแสดงบทบาทได้อย่างสนิทสนม ไม่เก้อเขิน ทั้งการแต่งตัวก็เรียบร้อย ไม่ขะมุกขะมอมเช่นก่อนๆ ไฟสว่างดีเห็นภาพชัดเจน ถ้าจะกล่าวถึงผู้แสดง เป็นพิเศษโดยเฉพาะ ก็คือนางสาวแพน เรืองนนท์ คนทั้งสองนี้จะแสดงบทบาทให้ท่านเห็นความชำนิชำนาญในทางนาฏศาสตร์มาเป็นอย่างดี และทั้งจะได้เห็นรูปโฉมของ นางสาวแพน เรืองนนท์ ว่ามีความงดงามสมกับชื่อ เสียงอันโด่งดังของเจ้าหล่อนเพียงไร นอกจากนี้มีผู้ควรกล่าวด้วยอีกคนหนึ่งก็คือ นางจรวย ลีละชาติ ได้แสดงร่วมในเรื่องนี้ด้วย ท่านจะได้เห็นความชำนาญในการขับรถของเจ้าหล่อน และรูปร่างหน้าตาอย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้ท่านหายความประหลาดใจ ในความโลดโผน และ คุณสมบัติของเจ้าหล่อน (ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวันศรีกรุง มิถุนายน พ.ศ. 2471)
เรื่องย่อ : ใครดีใครได้ (2470/1927) ร้อยเอกกริส แห่งราชนาวี รักอยู่กับนางเอกของเรื่องซึ่งเป็นบุตรสาวของท่านเจ้าคุณ นางเอกมีชายหนุ่มมาหมายปองมากเพราะความเป็นคนรูปสวยคนหนึ่งที่หมายปองคือ นายเลียบ โลหมุข นักเลงพนันเจ้าคุณนั้นเป็นคนชอบเล่นการพนัน แล้วก็เป็นหนี้นายเลียบ นายเลียบพยายามเร่งรัดหนี้ และเสนอว่าหากไม่ชำระหนี้ ต้องให้ลูกสาวแต่งงานกับตน ที่สุดร้อยเอกกริสต้องวางแผนแข่งพนันชกมวยกับนายเลียบ โดยมีข้อแม้ว่าหากนายเลียบชนะ นางเอกจะต้องแต่งงานกับเขา แต่หากนายเลียบแพ้ก็เป็นอันปลดหนี้ นายร้อยเอกสู้อย่างสามารถบนเวทีผืนผ้าใบเพื่อเอาชนะคู่แข่งและเพื่อสมรัก
เรื่องย่อ : โชคสองชั้น (2470/1927) นายกมล มาโนช (มานพ ประภารักษ์) พระเอกของเรื่อง เป็นนายอำเภอหัวเมืองฝ่ายเหนือ ได้รับมอบหมายให้ลงมาสืบจับผู้ร้ายคนหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ในกรุงเทพ นายกมลเข้ามาพักอยู่ที่บ้านพระยาพิชัย (อุทัย อินทร์วงศ์) และมีหลานชื่อว่า นางสาววลี ลาวัณยลักษณ์ (หม่อมหลวงสุดจิตตร์ อิศรางกูร) ซึ่งทั้งสองได้พบรักกันโดยเร็ว แต่นายวิง ธงสี (มงคล สุมนนัฏ) ซึ่งหมายปองนางสาววลีอยู่แล้วและชอบไปมาหาสู่พระยาพิชัยเป็นเนือง ๆ และนายวิงคนนี้ก็คือคนร้ายที่นายกมลกำลังสืบจับอยู่นั่นเอง นายวิงไหวตัวทันเรื่องที่นายกมลตามคนร้าย จากนั้นนายวิงก็วางแผนร้ายโดยส่งพรรคพวกลูกสมุนเข้ามาทำร้ายนายกมล แต่นายกมลมีความชำนาญในการระวังภัยจากโจรจึงต่อกรขัดขวางกำลังได้ จนนายวิงและพรรคพวกต้องหลบหนีไป นายกมลไล่ตามจับแต่เกิดหลงทาง นายวิงได้วกกลับมาที่บ้านพระยาพิชัยและจับนางสาววลีไป แต่นายกมลมีเชาวน์ที่ดี เข้าใจว่าเป็นแผนลวง จึงวกกลับบ้านพระยาพิชัยและได้พบนายวิง นายกมลจึงตามล่านายวิงไปจนสุดทางและเกิดการต่อสู้ขึ้น จนกระทั่งตำรวจที่พระยาพิชัยโทรไปแจ้งมาสมทบร่วมจับนายวิงและสมุนได้ทันเวลา นายวิงจึงถูกตำรวจจับเข้าตะราง ส่วนนายกมลมีโชคสองชั้น นอกจากจะจับผู้ร้ายได้แล้วยังได้นางสาววลีมาเป็นภรรยาอีกด้วย