มาริยานางในเกาะนรก (2495)
มาริยานางในเกาะนรก (2495/1952) เผยชีวิตในค่ายคุมขังตะรุเตา ชีวิตจริง ตัวจริง สถานที่จริง ตื่นเต้น ทารุณ รักโศรก เจ้าคุณศราภัย ในบทบาทจริงของท่านก่อนหนี 1 ชั่วโมง (ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวัน สยามรัฐ 30 กันยายน พ.ศ. 2495)
เจดีย์หัก (2495)
เจดีย์หัก (2495/1952) สมัยกษัตริย์อุทุมพรแห่งอยุธยา พม่าเริ่มนำกำลังรุกรานประเทศ จนในที่สุดก็มาถึงบ้านแป้งและหัวคู พระยาโกษาธิบดี ขุนคลัง กับ เจ้าหญิงสุชาวดี ได้รับคำสั่งให้ตามหา หลวงตาธรรมคง เพื่อหารือเรื่องการซ่อนสมบัติไว้ใต้เจดีย์สี่ทิศ วัดทุ่ง ซึ่งเป็นเจดีย์ประจำหมู่บ้าน หลวงตาธรรมคงเคยมีศิษย์เอกสองคน คือ เพลิง กับ กลอง กลองริษยาเพลิงที่ได้ สไบ เป็นเมีย จึงร่วมมือกับ กำนันเทิ้ม พ่อของตนหาเรื่องใส่ร้ายเพลิง เป็นเหตุให้เพลิงต้องหลบไปกบดานในป่า พระยาโกษาฯ ที่กำลังออกตามหาหลวงตาธรรมคง ถูกพวกพม่าดักปล้นแย่งชิงสมบัติ เคราะห์ดีที่เพลิงผ่านมาช่วยเหลือไว้ เมื่อรู้จุดประสงค์ของพระยาโกษาฯเพลิงก็อาสานำทางไป ระหว่างที่พระยาโกษาฯ หารือกับหลวงตาธรรมคงจู่ๆ ทหารยามก็มาแจ้งว่าเจ้าหญิงสุชาดาถูกลักพาตัวไปทุกคนจึงรีบเดินทางไปช่วย ในขณะที่เพลิงกำลังประดาบกับศัตรูคนหนึ่ง เจ้าหญิงตะโกนให้เพลิงหยุด เพราะจำได้ว่าเขาผู้นั้นคือ หลวงแสนยาณรงค์ ลูกชายของพระยาโกษา ก่อนจะได้รู้ในเวลาต่อมาว่าเป็นไส้ศึกให้ฝ่ายพม่า และแล้วพม่าก็เริ่มย่างกรายเข้ามาใกล้หมู่บ้านเพลิงให้ เตี้ย สมุนเอก ไปแจ้งข่าวให้ชาวบ้านเตรียมตัวบุกค่ายพม่าในเวลาฟ้าสาง ส่วนตนเองจะลอบเข้าไปในค่ายพม่าก่อนเพื่อช่วยหลวงตาธรรมคง พระยาโกษาฯ และสไบที่ถูกจับตัวไป โดยไม่รู้ว่าทั้งสามถูกทรมานจนเสียชีวิตไปแล้ว เมื่อเข้าไปในค่ายพม่าเพลิงจึงตกเป็นเชลยทันที คืนนั้น ขุนพยัคฆ์ภูมิ ทหารเอกแห่งกรุงศรีอยุธยาเข้ามาช่วยเพลิง เมื่อฟ้าสาง เตี้ยนำทัพชาวบ้านโจมตีค่ายพม่าจนแตกร่นไปถึงเจดีย์สี่ทิศ วัดทุ่ง เป็นเวลาเดียวกับที่ อุยตอง กับ มะมังจะ สองหัวหน้าทหารของพม่า กำลังลงไปในอุโมงค์ใต้ดินเพื่อขโมยสมบัติ ทันใดนั้น ก็เกิดแผ่นดินไหว ทำให้เจดีย์หักลงมาทับร่างอุยตองกับมะมังจะจนเสียชีวิต ความสงบสุขจึงกลับมาสู่บ้านแป้งและหัวคูอีกครั้งหนึ่ง
เปนชายต้องสู้ (2495) เป็นชายต้องสู้
เป็นชายต้องสู้ (2495/1952) ภาพยนตร์ไทย ตื่นเต้น ดุเดือด ที่ท่านอยากทราบว่าต้องสู้กับอะไร? ข้าพเจ้าขอเผยว่าต้องสู้กับ "คนตัวผู้" "คนตัวผู้" เป็นอย่างไรท่านจะทราบต่อไป (ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวัน สยามรัฐ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495)
นางสิงห์ (2495/1952) ในยุคที่เมืองไทยเต็มไปด้วยอาชญากรรม นงนุช เสือสาวชื่อกระฉ่อนที่คอยลอบก่อจารกรรมบ้านเศรษฐีในเมืองไปทั่ว ทำให้ทางการต้องส่ง ร้อยตำรวจเอกวิทยา ออกตามสืบสาวหาตัวนงนุชเพื่อนำตัวเธอมารับโทษ แต่นงนุชก็ไหวตัวทันหลบหนีได้ทุกครั้งจนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่นงนุชออกโจรกรรมดันมาปะทะเข้ากับแก๊งของ วิน นายโจรอีกกลุ่มหนึ่ง จังหวะนั้นเองตำรวจก็บุกเข้ามา นงนุชและวินจึงต้องพากันหนีไปพึ่งเจ้านายของวิน แต่ทว่าเจ้านายของวินกลับถูกหักหลังโดย เจ้าสิน โจรมีชื่อ นงนุชและวินจึงต้องหนีไปกบดานกับ เสือจวน ลูกพี่เก่าของวิน แต่ก็มิวายที่เจ้าสินจะตามมาราวีและกล่อมให้เสือจวนแตกคอกับทั้งวินและนงนุช โดยเจ้าสินยุให้เสือจวนเอาตัวนงนุชไปทำเมีย ส่วนตัวเองอาสาเป็นคนเอาสมบัติที่วินขโมยคืนมา แต่เสือจวนมีเล่ห์เหลี่ยมกว่าจึงหักหลังเจ้าสินและหมายจะเอาไปทั้งสมบัติและตัวนงนุช ทำให้เกิดการต่อสู้กันขึ้น ในจังหวะเดียวกับที่ร้อยตำรวจเอกวิทยาพากำลังตำรวจมาล้อมจับ เป็นเหตุให้เหล่าบรรดาโจรทั้งหลายต้องตายในที่เกิดเหตุ ส่วนนงนุชกระเสือกกระสนหนีการจับกุมจากตำรวจ แต่แล้วก็มาพบทางตันจึงยอมมอบตัวไปรับโทษตามกฎหมาย
เจ้าแม่ลานเท (2494/1951) ตำนานของความรัก การรอคอยของหญิงสาวแห่งลานเท อันเป็นตำนานอิงประวัติศาสตร์ทางโบราณคดีที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดอยุธยา (ที่มา: นิตยสารภาพยนตร์สาร มกราคม พ.ศ. 2495)
เมื่อนเรศวรกู้ชาติ (2494)
เมื่อนเรศวรกู้ชาติ (2494/1951) เกร็ดพงศาวดารไทย ตอนอพยพครัวไทยและมอญสวามิภักดิ์จากหงษาวดี สู่เมืองแครง (ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวัน พิมพ์ไทย 1 มกราคม พ.ศ. 2495)
มือพิฆาต (2494/1951) ลึกลับ ตื่นเต้น โลดโผน ไม่ซ้ำแบบใคร (ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวัน พิมพ์ไทย 3 กันยายน พ.ศ. 2494)
เลือดล้างแค้น (2494)
เลือดล้างเลือดแค้น (2494/1951) ... ภาพยนตร์ชีวิต ... สีธรรมชาติ ... ทั้งรัก ทั้งแค้น เสียสละ เสทือนใจยิ่ง เปนงานชิ้นใหม่ยอดเยี่ยมเหมือนกับรวม น้ำผึ้ง, เลือด, หัวเราะ, และน้ำตา, ไว้ในเรื่องเดียวกันอย่างสมบูรณ์!
อ้ายย่ามแดง (2493)

อ้ายย่ามแดง (2493/1950) ภาพยนตร์ไทยแนวแปลก จากชีวิตจริง ที่ลือกันทุกมุมเมือง รัก คติ ตื่นเต้น น่าดู หวาดเสียว

เพลิงอาฆาต (2493)
เพลิงอาฆาต (2493/1950) ชาญและสมัครเปนเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ตราบจนกระทั่งโต เขาทั้งสองก็ยังคบหากัน เปนที่สนิทสนม ศึกษาวิชามาในแขนงเดียวกันและในที่สุดก็มีความเห็นตรงกันในเรื่องของการปลุกเสกชีวิตมนุษย์ที่สิ้นแล้วดังกล่าวเบื้องต้น ซ้ำร้ายกว่านั้น ทั้งชาญและสมัครต่างรักในหญิงคนเดียวกัน เธอคือวัลลภา ธิดาสาวของพระสมบูรณ์ธนทรัพย์ คหบดีผู้มั่งคั่ง วันหนึ่ง สรศักดิ์ได้รับจดหมายประหลาดขอเชิญให้ไปพบที่ ก.ม. ที่ 1 ทางสายกรุงเทพนครปฐม เพื่อ จะคลี่คลายปัญหาที่น่าหนักใจให้แก่นายแพทย์สรศักดิ์ กำหนดเวลา 24 น. และขอร้องให้ไปแต่ผู้เดียว ในคืนนั้น นายแพทย์สรศักดิ์ไปตามนัด เมื่อถึงสถานที่นัดหมายก็รู้สึกว่าถูกบังคับให้ไป ณ สถานที่แห่งหนึ่งโดยไม่รู้สึกตัว พบตัวเองภายในห้องหนึ่งซึ่งไม่มีผู้คนเลย แต่ได้ยินเสียง พูดแต่ไม่เห็นตัวผู้พูด และในที่สุด นายแพทย์สรศักดิ์ก็ได้ ทราบว่าพระสมบูรณ์ที่ได้ฟื้นขึ้นมาใหม่นั้นมิใช่พระสมบูรณ์ที่แท้จริง เป็นอาชญากรตัวฉกาจที่สร้างความอลเวงให้เกิดด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ทันสมัย ต่อจากนั้น สงครามวิทยาศาสตร์ระหว่างสองพรรคก็ได้บังเกิดขึ้น (ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวัน พิมพ์ไทย 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493)
ทุ่งทมิฬ (2493)

ทุ่งทมิฬ (2493/1950) เป็นเรื่องชีวิตที่เปนไปได้ของลูกชาวทุ่ง เปนเรื่องของชายใจพระซึ่งถูกเหตุการณ์และเพื่อนฝูงบีบรัดข่มเหงให้เปนโจร แต่เมื่อกลายเปนโจรแล้วก็เปนโจรที่เต็มไปด้วยความเมตตาจิตต์และต้องเผชิญกับบรรดาศัตรูด้วยเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบอย่างคมคายตลอดทั้งเรื่อง (ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวัน พิมพ์ไทย 6 สิงหาคม พ.ศ. 2493)

ทาษกบฏ (2493)
ทาสกบฏ (2493/1950) เปนเรื่องของการต่อสู้ดิ้นรนของชนชั้นทาษเพื่อสู่อิสสระภาพ ซึ่งได้บังเกิดขึ้นในยุคหนึ่งของพลเมืองไทย และโดยพระปรีชาญาณของสมเด็จพระปิยะมหาราชโดยแท้ที่ได้ทรงแก้ไขสถานการณ์อันนั้นลงสู่ความสงบเรียบร้อยได้โดยมิได้มีเหตุการณ์ถึงขนาดเลือดตกยางออกเกิดขึ้น ดังเช่นที่ได้ปรากฏแก่ประเทศอเมริกา ซึ่งประเทศนั้นเหตุการณ์ได้ลุกลามใหญ่โตจนถึงขนาดกลายเปนศึกกลางเมืองไป (ที่มา: หนังสือพิมพ์รายวัน พิมพ์ไทย 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493)
พันท้ายนรสิงห์ (2493)

พันท้ายนรสิงห์ (2493/1950) ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ฟิล์มต้นฉบับใหม่เอี่ยม ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ยุคพระเจ้าเสือขุนนางคิดคดทรยศต่อพระเจ้าเสือ นำชื่อของพระองค์ไปแอบอ้างในทางเสียหายทำให้ราษฎรรู้จักพระองค์ในทางเลวร้าย ไม่ว่าในด้านราชการหรือส่วนพระองค์ จนราษฎรเกลียดกลัวไม่กล้าพบพระพักตร์ พระองค์จึงต้องปลอมตัวไปสืบหาความชั่วของพวกขุนนางที่ทำให้พระองค์ถูกมองไปในทางที่ผิด ทั้งตรวจดูทุกข์สุขของราษฎรด้วยพระองค์ กระทั่งได้พบกับ นายสิน พันท้ายเรือของ พระยาพิชัย ขุนนางในราชสำนักและรู้สึกพอพระทัยในความสามารถและความเป็นมิตรของนายสิน ทั้งสองจึงเป็นสหายกัน กระทั่งพระเจ้าเสือทรงเปิดเผยพระองค์และทรงแต่งตั้งให้นายสินเป็น พันท้ายนรสิงห์ คุมเรือพระที่นั่ง วันหนึ่ง พันท้ายนรสิงห์ทราบว่าพระยาพิชัยเจ้านายเก่าคิดจะลอบปลงพระชนม์พระเจ้าเสือขณะเสด็จประพาสต้นทางเรือพระที่นั่ง ครั้นจะทรงความแก่พระเจ้าเสือก็กลัวอันตรายถึงเจ้านายเก่า พันท้ายจึงให้ นวล ภรรยาไปวิงวอนให้พระยาพิชัยเลิกคิดการเสีย เพราะฝ่ายหนึ่งคือเจ้านายเก่า ส่วนอีกฝ่ายก็เป็นเจ้านายใหม่ที่ตนให้ความเคารพทั้งคู่ ฝ่ายนวลเมื่อเดินทางไปถึงก็สามารถวิงวอนพระยาพิชัยสำเร็จ แต่มาเกิดเหตุกลางทางจนไม่สามารถนำความไปบอกสามีได้ทัน ทำให้พันท้ายจำต้องแสร้งบังคับให้หัวเรือชนเข้ากับกิ่งไม้ จนหัวเรือหักเพื่อหยุดการประพาส และทูลขอให้พระเจ้าเสือประหารตนเพื่อรักษาจารีตตามกฎมณเฑียรบาลและเพื่อคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย พระเจ้าเสือแม้จะอภัยโทษให้ แต่พันท้ายกลับไม่รับ พระองค์จึงจำพระทัยสั่งตัดศีรษะพันท้ายนรสิงห์ด้วยความขมขื่น

พระเจ้าช้างเผือก (2484/1941) เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2083 ในอโยธยา อันเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรไทย อโยธยาเป็นคำในภาษาบาลีโบราณ แปลว่าปราศจากสงคราม หรือ สันติภาพ นั่นเอง ยุวกษัตริย์พระนามว่า "จักรา" ทรงขึ้นครองราชบัลลังก์สืบเนื่องจากการเสด็จสวรรคตอย่างกระทันหันของพระราชบิดา พระเจ้าจักราถูกเลี้ยงดูมาโดยภิกษุรูปหนึ่ง จึงไม่ทรงโปรดความโอ่อ่าในราชนำนัก ในการเถลิงถวัลย์ราชสมบัตินี้ทรงมีพระบัญชาให้งดเว้นการเฉลิมฉลองทั้งปวง ในวันฉัตรมงคล ปีที่สามหลังจากขึ้นครองราชย์ สมุหราชมณเฑียรได้เตือนพระเจ้าจักราให้ปฏิบัติตามโบราณราชประเพณีที่กษัตริย์ต้องมีมเหสี 365 องค์ ตามจำนวนวันในหนึ่งปี สมุหราชมณเฑียรได้จัดให้กุลธิดา หญิงงามผู้เป็นบุตรีของขุนนางชั้นสูงมาฟ้อนรำถวายพระพร โดยหนึ่งในหญิงสาวเหล่านี้ก็มี เรณู บุตรีของสมุหราชมณเฑียรรวมอยู่ด้วย แต่ในขณะนั้นเองมีสาส์นจากต่างประเทศมา พระเจ้าจักราทรงมีพระทัยจดจ่อกับสาส์นนั้นอ่านถึงสองรอบตกอยู่ในภวังค์จนบรรดาสาวงามต่างถวายพระพรลากลับไปหมดแล้วพระเจ้าจักราก็ไม่ทรงรู้พระองค์ พระเจ้าจักราทรงมีพระราชวินิจฉัยว่าคงไม่อาจปฏิบัติตามโบราณราชประเพณีได้ในกาลดังกล่าว เพราะมีเหตุการคับขันขึ้น กล่าวคือ กษัตริย์โมกุลได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับกษัตริย์หงสา และกษัตริย์หงสาก็กำลังเตรียมไพร่พลสำหรับการสงครามอยู่ พระเจ้าจักราจึงจัดให้มีการคล้องช้างเพื่อเป็นกำลังให้อโยธยา ทั้งนี้สมุหราชมณเฑียรไม่เห็นด้วยเพราะคิดว่าถ้าทรงมีพระมเหสีเสียก่อน 365 องค์ แล้วพาพระมเหสีไปคล้องช้างด้วยจะได้ช้างมามากกว่าไปพระองค์เดียวเป็นสิบเท่า แต่พระเจ้าจักราปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวเพราะเสนาบดีส่วนใหญ่ล้วนเห็นชอบให้จับช้างก่อน ได้มีพ่อค้าชาวโปรตุเกสมาเฝ้าทูลอองพระบาท จึงมีพระกระแสสอบถามถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลก รวมถึงจำนวนพระมเหสีที่กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในแต่ในดินแดนทรงมี กัปตันทูลตอบว่ากษัตริย์ตะวันตกมีได้พระองค์เดียวเพราะศาสนากำหนดไว้ เว้นแต่สุลต่านแห่งรัฐอิสลามที่มีมเหสีได้สี่องค์ ส่วนเรื่องดินแดนต่างๆ นั้นกัปตันทูลเกี่ยวกับการยึดครองดินแดนที่ค้นพบใหม่ทางตะวันตก (ทวีปอเมริกา) พระเจ้าจักราทรงสนพระทัยและตรัสถามต่อไปว่าดินแดนเหล่านี้ย่อมมีผู้ปกครองเป็นเจ้าของอยู่แล้ว ไปยึดแย่งเขามาได้อย่างไร กัปตันตอบว่าเพื่อนำพวกชนพื้นเมืองสู่อารยธรรมและเผยแผ่คริสต์ศาสนา และด้วยเหตุนี้เองทำให้ประชาชน (ของโปรตุเกสและชาติมหาอำนาจตะวันตก) ต้องทำสงครามกับอาหรับและทำสงครามอื่นๆ นับครั้งไม่ถ้วน พระเจ้าจักราทรงมีพระราชจริยาวัตรตื่นแต่เช้าตรู่ และเสด็จไปในอุทยานแห่งวิหารเทพีธรรมเพื่อทรงรับอากาศบริสุทธิ์ วันหนึ่งพระองค์ทรงไม่พอพระทัยอย่างยิ่งเมื่อเด็กๆ ที่รอเรียนหนังสือในวัดนั้นเล่นส่งเสียงดังน่ารำคาญ พระเจ้าจักราเกือบจะทรงตักเตือนเด็กเหล่านี้ด้วยพระองค์เอง แต่ก็มีสตรีนางหนึ่งเข้ามาตักเตือนเสียก่อน พระเจ้าจักราจึงแฝงพระองค์แอบฟัง สตรีนางนั้นได้ยกชาดกเรื่องเต่าช่างพูดมาตักเตือน เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าจักราเป็นอันมาก และทรงระลึกได้ว่าสตรีนางนั้นก็คือ เรณู บุตรีของสมุหราชมณเฑียร การคล้องช้างสำเร็จลุล่วงด้วยดี ได้ช้างเผือกมาด้วยเชือกหนึ่ง ซึ่งเป็นมหามงคลยิ่งในรัชสมัยของพระเจ้าจักรา จึงจัดให้ทำธงแดงมีช้างเผือกอยู่บนธงใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งพระราชอาณาจักรสืบไป ข่าวลุไปถึงพระกรรณพระเจ้าหงสา พระเจ้าหงสาจึงได้ฉีก "สนธิสัญญาว่าด้วยการยุติความขัดแย้งโดยมีผู้ไกล่เกลี่ยอย่างสันติระหว่างหงสากับอโยธยา" ทิ้ง และเรียกร้องอโยธยาให้มอบช้างเผือกให้ แต่อโยธยาไม่ยอม จึงใช้เป็นข้ออ้างในการทำสงคราม กองทัพหงสาบุกตีเมืองกานบุรีแตกโดยไม่ประกาศสงครามอย่างเป็นทางการตามธรรมเนียมระหว่างประเทศ ทัพหงสาจับแต่ผู้หญิงไว้เป็นเชลย ฆ่าชาวเมืองที่เหลือและเผาเมืองจนสิ้น กองทัพหงสากำลังมุ่งหน้าสู่อโยธยา เมื่อพระเจ้าจักราทรงทราบข่าวก็ทรงจัดตั้งทัพไปต่อต้าน โดยให้สมุหราชมณเฑียรรักษาพระนครไว้ เมื่อทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน หงสากำลังเพลี่ยงพล้ำ พระเจ้าจักราจึงบอกให้ทหารอโยธยาอย่าทำร้ายทหารศัตรูอีก ให้เพียงจับเป็นเชลยถ้าทำได้ ส่วนพระองค์จะกระทำยุทธหัตถีกับกษัตริย์หงสา ทรงย้ำว่า "เราไม่ได้มาเพื่อสู้กับชาวหงสา เรามาสู้กับประมุขของพวกเขาเท่านั้น" ผลการยุทธหัตถีปรากฏว่าพระเจ้าหงสาทรงเป็นผู้พ่ายแพ้ ตกจากหลังช้างทรง สิ้นพระชนม์ ณ ที่รบ เมื่อสิ้นพระเจ้าหงสาผู้เป็นเหตุแห่งสงครามแล้ว พระเจ้าจักราจึงประกาศสงบศึก ปล่อยตัวเชลยให้กลับไป และขอให้สันติสุขจงมีแก่ทุกฝ่าย กลับมาที่อโยธยา สมุหราชมณเฑียรดึงดันจะให้พระเจ้าจักราปฏิบัติตามโบราณราชประเพณีอีก โดยจะให้มีพระเจ้าจักราเลือกมเหสี 365 องค์ และเลือกอีก 1 องค์เป็นพระราชินีกิตติมศักดิ์ มิให้ด้อยไปกว่ากรุงหงสา พระเจ้าจักราจึงเลือกเรณูอย่างเสียมิได้ ตั้งเป็นพระราชินีกิตติมศักดิ์ ไม่มีเบี้ยหวัดและพระตำหนัก แล้วส่วนมเหสีอีก 365 ทรงตรัสว่าจะเลือกภายหลังแล้วเสด็จพระราชดำเนินจากไป เรณูจึงรีบเข้าไปกราบทูลว่าการเลี้ยงดูมเหสีอีก 365 องค์นั้นไม่จำเป็น ควรนำพระราชทรัพย์นี้ไปบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่ราษฎรดีกว่า พระเจ้าจักราทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก จึงให้เรณูเป็นพระราชินี "ตัวจริง" แทนที่จะเป็นพระราชินี "กิตติมศักดิ์" เรณูกระซิบบอกวิธีที่ไม่ต้องมีมเหสีมากมายแก่พระเจ้าจักรา พระเจ้าจักราจึงทรงมีพระบรมราชโองการมอบพระราชอำนาจการมีมเหสี 365 องค์แก่สมุหราชมณเฑียรแทน แล้วทรงกำชับว่า "เราต้องไม่แพ้พระเจ้าหงสานะ"
ค่ายบางระจัน (2482)

ค่ายบางระจัน (2482/1939) พ.ศ. 2308 พม่ายกทัพเข้ามารุกรานไทยหลายหมู่บ้าน พล และ แสน สองหนุ่มบ้านวิเศษไชยชาญจึงขี่ม้ามาส่งข่าวกำนันบ้านศรีบัวทอง ถึงแผนการของ ทิดดอก บ้านกลับ และ ทองแก้ว บ้านโพธิ์ทะเล ซึ่งเข้าไปคลุกคลีกับพวกพม่าเพื่อจะปล้นทรัพย์ แผนการสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี หากแต่กำนันบ้านศรีบัวทองเสียชีวิตในเหตุการณ์ สร้างความเศร้าสลดต่อชาวบ้านยิ่งนัก เมื่อขาดผู้นำ แท่น ซึ่งมีฝีมือในการรบดี จึงเสนอให้เดินทางไปสมทบที่ค่ายบางระจัน ชาวบ้านศรีบัวทองจึงแต่งตั้งแท่นเป็นแม่ทัพ ขณะนั้น เนเมียวสีหบดี แม่ทัพฝีมือเก่งกล้าฝ่ายพม่า มาตีค่ายบางระจันหลายต่อหลายครั้งก็ไม่สามารถเอาชนะได้ จึงเริ่มร้อนใจกลัวชาวบ้านค่ายบางระจันจะรวมกำลังคนได้มากขึ้น สุกี้ นายกองของพม่า ซึ่งเคยอาศัยอยู่เมืองไทยมานานอาสาเป็นผู้คุมทัพมาตีค่ายบางระจัน แท่นยังบาดเจ็บสาหัสจากการรบครั้งก่อน นายจัน หนวดเขี้ยว ขุนสรรค์ พันเรือง และคนอื่นๆ หารือตกลงกันว่าจะให้พลขี่ม้าไปขอปืนใหญ่จากกรุงศรีอยุธยาแต่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย มีเพียงพระยารัตนาฯ ที่เห็นใจชาวบ้านบางระจัน จึงตามพลมาช่วยสอนวิธีการหล่อปืนใหญ่แต่ไม่สำเร็จ สุกี้ยกทัพโจมตีค่ายบางระจันและสามารถทำลายประตูค่ายได้ ชาวบ้านทั้งชายและหญิงพร้อมใจกันเข้าต่อสู้ แต่หมดกำลังจะต้านทานจึงพ่ายแพ้พม่าไปในที่สุด

เลือดแค้น 2471

เรื่องย่อ : เลือดแค้น (2471/1928) เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรก ที่มีความลึกลับ เกี่ยวกับการผจญภัยและการต่อสู้ในเชิงหมัดมวยอย่างน่าตื่นเต้น ถ้าว่าถึงตลกคะนอง ก็เป็นตลกที่ไม่ได้แกล้งให้ตลก เป็นตลกที่อาศัยเกิดจากลักษณะเดิมของตัวผู้แสดงเอง มีตาเชยเตี้ยเป็นต้น ลักษณะของตาเชย ผู้ดูโดยมากที่ไปเที่ยวตำบลบางลำพู คงจะได้เคยเห็น แกเดินชมอากาศอยู่ตามแถวนั้นบ่อยๆ หรือมิฉะนั้นก็แถวหน้าโรงปีนัง ผู้ทำเรื่อง เลือดแค้น ได้ใช้ความระวังหลายประการที่จะไม่ให้เลือดแค้นกลายเป็นเลือดไม่แค้นหรือเลือดจืด มีเหตุผลกินกลืนกันสมเรื่อง ตลอดจนภูมิฐานฐานะของบุคคลและการแต่งตัว ที่จัดให้เหมาะแก่ลักษณะ เหมาะแก่เวลาที่ควรไม่ควร ถ้าจะกล่าวแล้วเรื่อง เลือดแค้น ถึงจะมีข้อที่น่าติอยู่บ้าง แต่ก็เชื่อว่าน้อยที่สุด ท้องเรื่อง เลือดแค้น แสดงถึงน้ำใจของน้องเมียนายทองใบ ที่พยายามแก้แค้นแทนพี่สาวอันเนื่องจากนายทองใบทิ้งพี่สาวและทำทารุณโหดร้ายเมื่อ 20 ปีก่อน จึงตามมาแก้แค้นโดยปลอมตัวเป็นคนลึกลับ ท่านจะได้เห็นการต่อสู้กันบนเรือใบกลางทะเล การต่อสู้ในบ้าน และการต่อสู้ชิงนางกลางทุ่ง การต่อสู้นี้ล้วนไปด้วยหมัดมวยและอาวุธปืน ทุกตอนจะทำให้ท่านรู้สึกพอใจ ในที่สุดท่านจะต้องออกปากว่า "หนังไทยเรื่องนี้ของเขาควรผูกโบว์แดงให้ได้" พูดถึงผู้แสดง มีโดยมากนับว่าใช้บทบาทได้สนิท ผู้ที่ควรได้รับความชมเชยชั้นเยี่ยมของการแสดงในเรื่องก็คือ จรวย วีละเวีย ลีละชาติ นางเอกผู้เป็นตัว "สุลักษณ์" บุตรี เลี้ยงของนายทองใบ จรวยได้วางบทบาทสมแก่เป็นตัวภาพยนตร์ได้ดีจริงๆ ดีจนควรนับได้ว่าอยู่เหนือนางเอกภาพยนตร์ไทยที่ท่านเคยเห็นมา เช่น ยามโกรธ ยามตกใจ ดีใจ ยามออเซาะ เหล่านี้ ชวนให้รู้สึกว่าจรวยไม่มีการเก้อเขินแต่อย่างใดเลย ถัดจากนี้ก็ตัวพระเอกพระรองและตัวประกอบอีก ซึ่งมีบทดีไม่แพ้แม่จรวย นอกจากนั้นยังแสดงการชกต่อยและการขี่ม้าขี่ฬาคล่องแคล่วอย่างน่าชม บางคนสังเกตว่าพยายามเลียนจากบท ฮูด กิ๊บสัน หรือ เคน เมย์นาดไม่ผิดเลย ยังมีผู้แสดงที่ควรได้รับความชมเชยเป็นพิเศษอีกคนหนึ่ง คือ นายไกวัลย์ ซึ่งแสดงเป็นตัวบ้าหรือใบ้ นายคนนี้ เมื่อแสดง "ไม่คิดเลย" ยังมีอาการขวางๆ รีๆ อยู่มาก ครั้น มาแสดงเรื่องนี้กลับมีสภาพเป็นคนละคน การแสดงของนาย ไกวัลย์ในเรื่อง "เลือดแค้น" สกปรกโสมมเหลือกำลัง เสื้อผ้า ขาดกะรุ่งกะริ่งผมเผ้ายาวเหมือนบ้าหอบฟาง เพราะถูกเกณฑ์ให้เป็นคนใบ้เนื่องจากในเรื่องถูกน้องชายโกงสมบัติ ตามสังเกตดูเหมือนนายไกวัลย์จะเลียนแบบ "ลอน ชานีย์" เอา เสียจริงๆ ถึงหากบทจะด้อยกว่าลอน ชานีย์ ก็ยังนับว่าเป็น ลอน ชานีย์ ไทยได้ ไม่อายคนดูทีเดียว ตัวนี้คู่หูกับตาเชยเตี้ย นับว่าเป็นผู้ทำให้เรื่องครึกครื้นมากอยู่ (ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวภาพยนตร์ กรกฎาคม พ.ศ. 2471)

หน้าที่