คนหิ้วหัว (2550/2007) “คนหิ้วหัว” พล็อตเรื่องสุดเข้มข้นที่ว่าด้วยเรื่องราวของอดีตทหารเรือขี้โมโหที่พร้อมระเบิดโทสะได้ทุกเมื่อหากถูกใครเรียกเขาว่า “ไอ้เตี้ย” (พิง ลำพระเพลิง) นอกจากจะเป็นพ่อที่ไม่เอาไหนในสายตาของ “หงส์” (วิสา สารสาส) เมียสาวที่กลายเป็นเสาหลักของบ้านโดยพึ่งพาเหล้าและการพนันในการประทังความสุขและเลี้ยงดูชีวิตของ “เต้ย” ลูกชายเพียงลำพัง ในเมื่อทั้งชีวิตไม่เคยแม้แต่จะได้ดีหรือทำดีขึ้นเลยสักครั้ง เตี้ยตัดสินใจเลือกทำความดีด้วยการตัดสินใจสาบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าจะไม่ยอมตายหากไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าเทอมให้ลูกได้ และวิธีเดียวที่เตี้ยคิดได้ก็คือ “ปล้นโรงรับจำนำ” จนเป็นเหตุให้เขาเข้าไปพัวพันกับ “รงค์” (อภิชาติ ชูสกุล) และ “ค่อม” (คืนสิทธิ์ สุวรรณวัฒกี) สองโจรถ่อยที่กำลังวางแผนปล้นวงเงินแชร์ก้อนโต แต่แล้วโชคชะตากลับเล่นตลกกับศรัทธาแห่งความใฝ่ดีครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตของเตี้ย เมื่อสัจจะไม่เคยมีอยู่ในหมู่โจร จนเป็นเหตุให้ “หัว” กับ “ตัว” ของเขาต้องแยกออกจากกัน ในขณะที่หัวตกไปอยู่ในมือของ 18 มงกฎ “หนุ่ม” จอมกะล่อน (ภูริ หิรัญพฤกษ์) ที่ฝีมือลายมือในการต้มตุ๋นเหยื่อแพรวพราวพอๆ กับความเจ้าชู้ ทะลึ่งหื่นกามที่กลายเป็นสันดานฝังลึก ในขณะที่ตัวตกไปอยู่กับพนักงานเก็บศพ “สาว” สุดห้าว (ศุภักษร ไชยมงคล) อดีตพนักงานไปรษณีย์ที่งามทั้งตัวและหัวใจ จนเป็นเหตุให้ทั้งสามต้องมาเกี่ยวพันกันและช่วยให้ศรัทธาขอเตี้ยสัมฤทธิ์ผล แต่ก่อนที่จะเริ่มต้นภารกิจ “ตะวันชิงหัว” หรือ “ตามล่าตัวสุดขอบฟ้า” สาวจะต้องสื่อสารและคุยกับตัวที่ไร้หู ปราศจากตาและปากในการสื่อสาร ในขณะที่หัวจะต้องความสามารถที่มีแค่หัวพาหนุ่มให้ไปเจอตัวให้ได้ และอีกสารพัดเรื่องราวที่ทั้ง 3 จะต้องฟันฝ่าไปด้วยกันในเมื่อ “หัวจ๋าตัวไม่ได้” อยู่นี้จนทำให้ทุกคนเข้าใจ “วันใดขาดหัวแล้วตัวจะรู้สึก” กับ “คนหิ้วหัว” ภาพยนตร์ชวน “หัว” ให้มาเจอกับ “ตัว” ผลงานเรื่องล่าสุดของ “พิง ลำพระเพลิง”
คู่แรด (2550)

คู่แรด (2550/2007) เซกิ นายตำรวจญี่ปุ่นเดินทางสืบหาฆาตกรโหด ซึ่งสังหารเหยื่อเป็นจำนวนมากในประเทศไทย ฆาตกรรายนี้จะตามล่าเฉพาะกะเทยเท่านั้น โดยมีพยานที่สามารถชี้ตัวฆาตกรผู้นี้ได้คือ ลิลลี่ (แสดงโดยหม่ำ จ๊กมก) และหนึ่งในผู้ที่ถูกฆาตกรรายนี้ฆ่าก็คือ แองจี้ (สมเกียรติ จันทร์พราหมณ์) ซึ่งเป็นเพื่อนรักของลิลลี่ ลิลลี่สามารถใช้เส้นสายจากที่บ้าน ไปเข้าทำงานในคลับคาบาเร่ต์แห่งหนึ่งได้ โดยเซกิทำหน้าที่ปกป้องเธอ แต่เมื่อเกิดการไล่ล่าขึ้นในแหล่งซ่อนตัวของเธอ เซกิเริ่มตระหนักได้ว่าลิลลี่ไม่ได้อ่อนแออย่างกะเทยทั่วไป ลิลลี่สามารถเตะ ต่อย และหลบเลี่ยงจากการถูกรุมได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ต่อมาลิลลี่ตัดสินใจกลับไปหากลุ่มเพื่อนฝูงเหมือนเดิม แล้วเซกิกับลิลลี่ก็มีเหตุให้ไปรู้ว่า มีการแอบลอบวางระเบิดอยู่ใต้เวทีการแสดงในงานประกวดกะเทยประจำปี ในที่ทำงานของเธอ และเป็นวันที่ฆาตกรโหดกำลังจะกระทำการล่าเหยื่อรายต่อไป

ตั๊ดสู้ฟุด (2550/2007) ที่เกาะฮ่องกง ในยุคที่มีแต่มาเฟีย ผู้คนแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายและใช้กำลังความรุนแรง มีมาเฟียอยู่ 3 กลุ่มคือ “แก๊งตรอกโรงเจ” คุมบ่อนไพ่นกกระจอก กำถั่ว และเต๋าปั่น มี อาเฟย (จตุรงค์ มกจ๊ก) เป็นหัวหน้าแก๊ง “แก๊งประตูผี” คุมกิจการร้านเหล้าและหอนางโลมทั้งหมด มี เสิ่นปอ (อาเกรียง – เกรียงศักดิ์ เหรียญทอง) เป็นหัวหน้าแก๊ง “แก๊งมังกรทอง” คุมตลาดทั้งน้อยใหญ่ มี หม่าหย่งให่ (จิ้ม ชวนชื่น) เป็นหัวหน้าแก๊ง อาเต๋า ลูกชายของ หม่าหย่งให่ โดนศัตรูต่างแก๊งฟันจนแขนขาด จนอาคุน (นุ้ย เชิญยิ้ม) พ่อบ้านแห่งบ้านสกุลหม่า ต้องออกตามหา อาเทียน (บอย – สิทธิชัย ผาบชมภู บอย AF3) น้องชายฝาแฝดของอาเต๋า แต่อาเทียนเป็นตุ๊ด อาเทียนกับแม่ต้องออกมาตกระกำลำบากเพียงลำพังเพราะหม่าหย่งให่รับไม่ได้ที่ลูกชายคนเล็กเป็นตุ๊ด สองแม่ลูกเลี้ยงชีพด้วยการเปิดคณะเชิดสิงโต คุณนายหม่า หรือชื่อในยุทธจักรคือ “นางพญาเก็บไชเท้า” ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชา “มวยนารี” ให้แก่อาเทียนเอาไว้ป้องกันตัวเอง อาเทียนจึงต้องยอมสวมรอยทำตัวแมนแทนอาเต๋าเพื่อรอวันขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าแก๊งมังกรทอง ทั้งยังต้องมาทำใจให้รักชะนีสาวอย่าง เพ่ย เพ่ย (จิ๊บ – ปกฉัตร เทียมชัย) ลูกสาวเสิ่นปอ แก๊งของอาเต๋าอีก

เท่ง โหน่ง คนมาหาเฮีย (2550/2007) ภารกิจฮามาหาเฮียเริ่มต้นขึ้น…เมื่อ “เท่ง” (พงษ์ศักดิ์ พงษ์สุวรรณ) และ “โหน่ง” (ชูศักดิ์ เอี่ยมสุข) 2 คู่ซี้เด็กรับรถธรรมด๊าธรรมดาประจำคาเฟ่แห่งหนึ่งต้องจับพลัดจับผลูออกเดินทางไปปฏิบัติภารกิจสำคัญที่ไม่ทำก็ไม่ได้ และคนที่ทำได้ก็มีแค่ “เท่ง-โหน่ง” สองคนเท่านั้น ตามคำสั่งแกมบังคับของ “เฮียเปี๊ยก” (ไพโรจน์ ใจสิงห์) มาเฟียรุ่นเดอะเพื่อจัดส่ง “ตุ๊กตาอาแป๊ะนั่งตกปลา” ไปให้กับ “เฮียสี่” (แอนดี้ เขมพิมุก) มาเฟียรุ่นใหม่ไฟแรง ถึงถิ่นที่ “หาดตาปุ่น” โดยหารู้ไม่ว่าภารกิจครั้งนี้มีสหายที่ไม่ได้รับเชิญร่วมติดตามกันเป็นพรวนตั้งแต่ “นวล” (มายากลแบทแมน) นักฆ่าฝีมือดีทั้งในเรื่องการฆ่าคนตามใบสั่งพอๆ กับความเป็นเลิศในการเล่นมายากลที่เฮียเปี๊ยกส่งมาให้จัดการปิดปากแพะอย่างเท่งโหน่งหลังเสร็จสิ้นภารกิจ รวมไปถึง “หมวดน้ำตาล” (วีเจลูกเกด) พร้อมคู่หู “จ่าแมน” (ต้น Thailand Perfect Man) และหน่วยปฏิบัติการพิเศษชุดใหญ่จากกรมตำรวจเพื่อเฝ้าติดตามภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ของ 2 คู่ซี้เท่งกะโหน่งที่กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อจัดการกับ 2 เฮียมาเฟียซะด้วสิ งานนี้ทำเอาทั้งคู่ต้องเข้าไปนัวเนียกับสาวๆ มากหน้าหลายตา พัวพันกับผู้คนหลากชนชั้นหลายอาชีพตั้งแต่สาวเสิร์ฟผู้ปลาบปลื้มและหลงใหลในหมีแพนด้าเป็นชีวิตจิตใจ, ฝรั่งชาวต่างชาติตัวโตและขี้โมโหไม่ใช่เล่น, มาเฟียประจำท้องถิ่นที่ชอบหาเรื่องกร่างชาวบ้านแถบร้านข้าวมันไก่ริมทางไปเรื่อย ไปจนถึงสาวรถซิ่งที่งามงดหมดจดทั้งรูปร่างและหัวใจ หรือแม้แต่สารวัตรหน้าเหลี่ยมผู้มีเอกลักษณ์บนใบหน้าเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร และอีกสารพัด ฯลฯ งานง่ายๆ ราวกับการส่งพิซซาแบบนี้ เท่งก็ชอบโหน่งก็ถนัด แต่ไหงทำไมพอมาตกอยู่ในมือของทั้งคู่จึงกลายเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ สนุกสนาน ชุลมุน ตื่นเต้น และอุดมไปด้วยความฮาตลอดการเดินทาง…มา…หา…เฮีย

ชุมทางรถไฟผี (2550/2007) โจ๊ก (สุระ ธีระกุล) หัวหน้าแก๊งค์โจร โดยมี เอก (วรฐก์ ปิฏกานนท์), มืด (ภูมิใจ ตั้งสง่า), ไก่ (แจ๊ค เฉลิมพล) และ จูน (อุ้ม ลักขณา) เป็นลูกน้อง ทั้งหมดปล้นโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งอย่างอุกอาจ ตำรวจเข้าสกัดเอาไว้ ระหว่างการหลบหนี จูนถูกตำรวจยิงโดยไม่มีใครช่วย รถโจรหนีตำรวจ และหักหลบบางอย่างเข้าชนร้านข้างทาง เจ้าของร้านคือ โต (เขตต์ ฐานทัพ) เพื่อความอยู่รอดของกลุ่มโจร โจ๊กจึงสั่งให้ลูกน้องจับตัวโตเป็นตัวประกัน และหลบหนีมายังสถานีรถไฟที่ตู้ทึบท้ายขบวน เชื่อว่าจูนถูกยิง ก่อนถึงเวลาแบ่งเงิน ทุกคนตะลึงกับภาพที่เห็นเพราะรถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟสำราญที่มีแต่คนรวย ทั้งหมดจึงคิดแผนที่จะปล้นอีกครั้ง การปล้นกำลังจะเริ่มขึ้น แต่ยังไม่ทันเริ่มงาน ปรากฎว่า เหยื่อที่ปล้นไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว โดยทุกคนคิดว่าโตทำให้แผนแตก โตถูกตามล่าแต่โชคดีที่ได้ ราตรี (พิงกี้ สาวิกา ) นางแบบสาวเข้าช่วยไว้ ทำให้เขาและเธอเป็นเหยื่อถูกตามล่า มีหลายอย่างที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นบนรถไฟขบวนนี้ ทุกคนต้องเผชิญแต่เรื่องสยดสยอง
เมล์นรก หมวยยกล้อ (2550/2007) ในวันสงกรานต์ โก๋ (อุดม แต้พานิช) กระเป๋ารถเมล์สาย 39 (สนามหลวง-รังสิต) ยังต้องมาทำงาน ซ้ำยังต้องจับคู่ไปกับคนขับขี้บ่นที่ไม่ชอบหน้ากันอย่าง เฮียหลา (สุเทพ โพธิ์งาม) ด้วย เฮียหลานั้นบ่นได้ทุกเรื่องไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องการเมืองหรือสังคม ซึ่งโก๋เองก็ปากร้ายไม่แพ้กัน และยิ่งมาเมื่อต้องมาขับรถในวันสงกรานต์ที่มีคนเล่นสาดน้ำกันข้างถนนด้วยแล้ว เฮียหลายิ่งหงุดหงิดใหญ่ จนกระทั่งเฮียหลาถูกสาดน้ำเข้าให้โดยรถกระบะคันหนึ่ง เฮียหลาขับรถไปตามจะเอาเรื่อง เลยทำให้ ยามคนหนึ่งชื่อทรัพย์ (เกียรติ กิจเจริญ) ที่นัดหมายกับเพื่อนจะลงรถเมล์เพื่อไปต่อรถเพื่อนกลับบ้านไปหาลูกสาวที่โคราช ไม่ได้ลงป้าย เลยโมโหสติแตกหยิบปืนขึ้นมาขู่ให้ขับไปเรื่อย ๆ ทำให้ผู้โดยสารที่มีอยู่บนรถขณะนั้นอีก 7 คน ซึ่งประกอบไปด้วย หมอกายภาพบำบัดสาว (อริศรา วงษ์ชาลี) ที่แต่งตัวค่อนข้างโป๊แต่พูดเสียงเหน่อ เลยถูกแม่ค้าปากร้าย (เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์) ว่าอยู่บ่อย ๆ ว่าเป็นหมอนวด หนุ่มใส่แว่นรูปร่างใหญ่ (คมสัน นันทจิต) ติ๊ก สาวท้องใหญ่ใกล้คลอด (ศรีพรรณ ชื่นชมบูรณ์) ที่ทะเลาะกับสามี เฮียซ้ง (ธีระธร สิริพันธุ์วราภรณ์) อยู่ตลอดเวลา สวย สาวสวยหน้าตาดีซึ่งกำลังปวดท้องอย่างเต็มที่ (อชิตะ ธนาศาสตนันท์) ซึ่งมากับเพื่อนทอมบอย (อัญชนา เพ็ชร์จินดา) ตกอกตกใจ ที่จู่ ๆ ก็ตกเป็นตัวประกัน ขณะเดียวกัน หมวย (พิมพ์ชนก พลบูรณ์) แฟนสาวของโก๋ ที่กำลังใจจดใจจ่อรอให้โก๋มาพบกับพ่อแม่ของตน (รับบทพ่อโดย อดิเรก วัฏลีลา) แต่โก๋ก็ไม่มาซักที เลยต้องโทรศัพท์มาตามอยู่ตลอด จนในที่สุดต้องบอกว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ รถเมล์ยังคงวิ่งไปเรื่อย ๆ โดยที่ทรัพย์เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไปทำไม และจะไปลงเอยที่ไหน เพราะถูกตำรวจตามตลอด จนท้ายที่สุด ขณะที่กำลังแย่งปืนกันอยู่นั้น ปืนก็เกิดลั่นไปโดนเฮียหลา รถก็เลยไม่มีคนขับ โก๋จึงต้องรับภาระมาขับรถให้ แต่ในที่สุดเรื่องราวก็จบลงได้ด้วยดี เพราะโก๋ที่ขอให้ทุกคนให้อภัยยามทรัพย์ และเกลี้ยกล่อมยามทรัพย์ สุดท้าย ยามทรัพย์จึงโยนปืนทิ้งไปในระหว่างทาง เฮียหลาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล โก๋ อาสาขับรถส่งยามทรัพย์ให้ถึงบ้านที่โคราชด้วย และโก๋ก็ได้พบกับหมวยอีกครั้งหนึ่ง

บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 2 (2550/2007) เรื่องราวต้นกำเนิดของวงศ์คมก่อนที่จะมาเป็นบอดี้การ์ดให้กับท่านโชติและชายชล ในขณะที่เป็นตำรวจพิเศษของรัฐบาลสาธารณรัฐหนองหวายหลึม เขาได้รับคำสั่งให้แทรกซึมเข้าไปยังบริษัท "GRSM GRAMMA" บริษัทค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ที่มี "เฮียสุรชัย" และ "สุชิน" เป็นเจ้าของ แต่เบื้องหลังแล้วทั้งสองคือพ่อค้าอาวุธเถื่อนรายใหญ่ คำเหลาได้แทรกซึมโดยการเข้าไปเป็นนักร้องในบริษัท โดยใช้ชื่อในวงการว่า "มัมมี่ เหลา" และที่นี่เขาได้พบกับ "พอลล่า" เลขาสาวสวยของเฮียสุรชัยและ สุชิน ซึ่งแท้จริงแล้วเธอคือ CIA ปลอมตัวมา ซึ่งทั้งคู่จะต้องร่วมมือกันหยุดยั้งเฮียสุรชัยและสุชินให้ได้ คำเหลา (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) เจ้าหน้าที่ มือดีอันดับต้น ๆ แต่ชอบทำเรื่องซวยให้เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่หนักใจ ของหน่วยสืบสวนพิเศษสำนักงานสืบสวนเฉพาะกิจแห่งสาธารณรัฐชาติเวียง ได้ถูกส่งตัวไปยังประเทศไทยหลังจากที่ทางหน่วยงานได้ข้อมูลลับมาว่า มีผู้ก่อการร้ายรายใหญ่ สุชิน (สุชิน ควรสงวน) และสุรชัย (สุรชัย สมบัติเจริญ) ที่มุ่งทำลายสาธารณรัฐชาติเวียงแฝงตัวอยู่ในประเทศไทย โดยได้เปิดธุรกิจค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ภายใต้แบรนด์ GRSM GRAMMA บังหน้า ทางหน่วย(รัฐเวียง)จึงได้ส่งคำเหลา เข้าไปปฏิบัติการต่อต้านผู้ไม่ประสงค์ดีรายนี้ คำเหลาเลยจำเป็นต้องงัดกลยุทธทั้งหมดโกหก เขียว (เจเน็ต เขียว) ภรรยาของตัวเองว่าต้องไปทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯ โดยที่ไม่เคยปริปากบอกแม้แต่นิดเดียวว่าตัวเองทำงานมีเกียรติขนาดไหน เขียวได้แต่สงสัย คำเหลาแฝงตัวเข้าไปเป็นนักร้องในบริษัทค่ายเทป GRSM ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ระดับประเทศที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายตั้งขึ้นเพื่อใช้บังหน้า โดยคำเหลามาสมัครเป็นนักร้องโดยใช้ชื่อว่า มัมมี่ เหลา จนกลายเป็นที่โด่งดังระดับซุปเปอร์สตาร์ขวัญใจประเทศเพียงชั่วข้ามคืน จนสามารถทำยอดทะลุเป้าไปได้มากกว่า 100 ล้านแผ่น และในขณะที่มัมมี่เหลาโด่งดังขึ้นก็ได้พบกับ พอลล่า (แจ็คเกอลิน อภิธนานนท์) นักสืบสาวจากหน่วยงานต่างประเทศที่แฝงตัวเข้ามาเป็นเลขาของ สุชิน และ เฮียสุรชัย ซึ่งเข้ามาปฏิบัติการอยู่ก่อนแล้วโดยที่คำเหลาไม่รู้ตัวมาก่อน คำเหลาและพอลล่า ทั้งสองคนต้องร่วมมือกันเพื่อจัดการกับผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ให้ได้ก่อนที่จะเกิดการปฏิบัติการระเบิดถล่มเมืองขึ้น ภาระกิจเพื่อประเทศและแฟนเพลงจึงเต็มไปด้วยความโกลาหล ปฎิบัติการสาดกระสุนกระหน่ำ สาดมุขกระจายของคำเหลากำลังจะเริ่มต้นขึ้น!

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๒ ประกาศอิสรภาพ

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๒ ประกาศอิสรภาพ (2550/2007) พ.ศ. 2114 “สมเด็จพระมหาธรรมราชา” ซึ่งพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยาสืบต่อจากพระมหินทราธิราชได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นอุปราชครองเมืองพิษณุโลก เมื่อพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสวรรคตในปี พ.ศ. 2124 “พระเจ้านันทบุเรง” ขึ้นเสวยราชย์สืบแทน และสถาปนาพระโอรส “มังสามเกียด” ขึ้นเป็น “พระมหาอุปราชา” รัชทายาท ในการนี้เจ้าเมืองประเทศราชทั้งหลายต้องมาร่วมแสดงความสวามิภักดิ์ รวมถึงพระมหาธรรมราชาและสมเด็จพระนเรศวรด้วย ในขณะที่เจ้าฟ้าเมืองคังไม่ได้เสด็จมาร่วมพระราชพิธีสำคัญครั้งนี้ เป็นเหตุให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงทรงมอบหมายให้พระมหาอุปราชา, พระราชนัดดา “นัดจินหน่อง” พระโอรสเจ้าเมืองตองอู, และสมเด็จพระนเรศวรช่วยกันเข้าตีเมืองคัง แต่พระมหาอุปราชากลับสั่งให้สมเด็จพระนเรศวรเข้าตีเป็นทัพสุดท้าย ด้วยความมั่นใจว่าทัพของพระองค์และนัดจินหน่องจะประสบความสำเร็จ แต่ปรากฏว่าสมเด็จพระนเรศวรทรงมีชัยชนะในศึกเมืองคังนี้ สามารถจับตัวเจ้าฟ้าเมืองคังและพระธิดา “เลอขิ่น” กลับมาได้ รัชทายาทหงสาวดีและราชนิกูลฝ่ายพม่าซึ่งเป็นคู่ปรับกันมาตั้งแต่เยาว์วัยจึงขุ่นเคืองอาฆาตสมเด็จพระนเรศวรเป็นทวีคูณ ต่อมาเมื่อเกิดศึกอังวะ พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงให้สมเด็จพระนเรศวรนำทัพมาช่วยรบ แต่พระมหาอุปราชากลับใช้โอกาสนี้วางแผนลอบปลงพระชนม์ ในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรทรงยั้งทัพอยู่ ณ เมืองแครง แต่ข่าวการลอบปลงพระชนม์ได้ล่วงรู้ถึงสมเด็จพระนเรศวรผ่านทางพระมหาเถรคันฉ่อง สมเด็จพระนเรศวรจึงถือเหตุการลอบปลงพระชนม์ในการประกาศอิสรภาพตัดสัมพันธไมตรีกับหงสาวดี และกวาดต้อนชาวไทยชาวมอญกลับคืนพระนคร ฝ่ายหงสาวดีเมื่อทราบว่าการลอบปลงพระชนม์ไม่สำเร็จจึงให้นายทัพสุระกำมาเร่งนำทัพออกติดตามทัพของสมเด็จพระนเรศวร ในที่สุดก็ทัพหงสาวดีก็ตามมาถึงในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรและไพร่พลกำลังข้ามแม่น้ำ และศึกครั้งนี้สมเด็จพระนเศวรทรงใช้พระแสงปืนต้นยิงข้ามแม่น้ำสะโตงถูกแม่ทัพสุระกำมาตายบนคอช้าง ทัพพม่าจึงล่าถอยกลับไป

สู้นี้เพื่อเธอ (Sumolah) (2550/2007) "อาฟฟลิน" ชายหนุ่มซึ่งอ่อนแอ แต่เมื่อเกิดความรักแท้ ทำให้เขาได้รับแรงบันดาลใจ พยายามทำทุกสิ่งเพื่อคนที่เขารัก เพื่อจุดหมายที่คาดหวังไว้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการร่วมทุนถ่ายทำถึง 3 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น, มาเลเซียและประเทศไทย และเปิดฉายที่มาเลเซีย และญี่ปุ่น เป็นที่เรียบร้อย เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬาประจำชาติของประเทศญี่ปุ่น นำมาร้อยเรียงเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนที่ท้อแท้ สิ้นหวัง
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๑ องค์ประกันหงสา

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๑ องค์ประกันหงสา (2550/2007) พุทธศักราช 2106 “พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง” ทรงกรีฑาทัพเข้าตีราชอาณาจักรอยุธยาทางด่านระแหงแขวงเมืองตาก ทัพพม่ารามัญซึ่งมีรี้พลเหลือคณานับได้เข้ายึดครองหัวเมืองฝ่ายเหนือของราชอาณาจักรอยุธยาอันมีเมืองพิษณุโลกเป็นประหนึ่งเมืองราชธานีได้เป็นผลสำเร็จ ครั้งนั้น “สมเด็จพระมหาธรรมราชา” (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) พระราชบิดาของ “สมเด็จพระนเรศวร” หรือ “พระองค์ดำ” (ปรัชฌา สนั่นวัฒนานนท์) ซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินครองเมืองพิษณุโลกจำต้องยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนองเพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตอาณาประชาราษฎร์มิให้ต้องมีภยันตรายและจำต้องยอมร่วมกระบวนทัพพม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยา ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหา จักรพรรดิเจ้าแผ่นดินอยุธยาทรงยอมเจรจาหย่าศึกกับพม่ารามัญ และยอมถวายช้างเผือก 4 เชือก ทั้งให้สมเด็จพระราเมศวรราชโอรสโดยเสด็จพระเจ้าบุเรงนองไปประทับยังนครหงสาวดีตามพระประสงค์ของกษัตริย์พม่า ข้างสมเด็จพระมหาธรรมราชาซึ่งได้ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนองก็ได้ถวายสมเด็จพระนเรศวรราชโอรสองค์โตให้ไปเป็นองค์ประกันประทับยังหงสาประเทศเฉกเช่นกัน ครั้งนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้เพียง 9 ชันษา สมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นที่รักใคร่ของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองประดุจพระราชบุตรร่วมสายสันตติวงศ์ ด้วยองค์ยุพราชอยุธยาทรงมีพระปรีชาสามารถด้านพิชัยยุทธ ทั้งยังองอาจกล้าหาญสบพระทัยกษัตริย์พม่าซึ่งก็ทรงเป็นนักการทหาร นิยมผู้มีคุณสมบัติเป็นนักรบเยี่ยงพระองค์ พระเจ้าบุเรงนองทรงมีสายพระเนตรยาวไกล แลเห็นว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอุษาคเนย์ประเทศ จึงทรงคิดใคร่ปลูกฝังให้สมเด็จพระนเรศวรผูกพระทัยรักแผ่นดินหงสา เพื่อจะได้อาศัยพระองค์เป็นผู้สืบอำนาจอุปถัมภ์ค้ำชูราชอาณาจักรซึ่งพระองค์ทรงสถาปนาขึ้นด้วยความยากลำบาก เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระเจ้าบุเรงนองนั้นหาได้วางพระทัยในพระราชโอรสคือ “มังเอิน – พระเจ้านันทบุเรง” (จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์) และพระราชนัดดา “มังสามเกียด” (โชติ บัวสุวรรณ) นัก ถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขโดยตรง ด้วยทรงเล็งเห็นว่าราชนิกุลทั้งสองพระองค์นั้นหาได้เป็นผู้ทรงคุณธรรมอันจะน้อมนำเป็นพื้นฐานให้เติบใหญ่เป็นบูรพกษัตริย์ ปกป้องครองแผ่นดินที่พระองค์ทรงสร้างและทำนุบำรุงมาด้วยกำลังสติปัญญาและความรักใคร่หวงแหน เหตุทั้งนี้เป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงและราชโอรสมังสามเกียดขัดพระทัย ทั้งผูกจิตริษยาสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองกว่าราชนิกุลข้างพม่าทั้งหลายทั้งสิ้น พระเจ้าบุเรงนองทรงโปรดให้ “พระมหาเถรคันฉ่อง” (สรพงษ์ ชาตรี) พระรามัญผู้มากด้วยวิทยาคุณและเจนจบในตำราพิชัยสงครามเป็นพระอาจารย์ถ่ายทอดศิลปะวิทยาการแก่สมเด็จพระนเรศวร นับแต่เริ่มเข้าประทับในหงสานครยังผลให้ยุพราชอยุธยาเชี่ยวชาญการยุทธ กลช้าง กลม้า กลศึก ทั้งข้างอยุธยาและข้างพม่ารามัญหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ข้อได้เปรียบตามกล่าวเป็นเสมือนทุนทางปัญญาอันส่งผลให้สมเด็จพระนเรศวรสามารถกอบกู้เอกราช แก้ทางศึกจนมีชัยเหนือพม่ารามัญในภายภาคหน้า พุทธศักราช 2112 ปรากฏข่าวระบือไปถึงหงสาวดีว่าหัวเมืองพิษณุโลกฝ่ายเหนือแลกรุงศรีอยุธยาราชธานีฝ่ายใต้ของราชอาณาจักรสยามครั้งนั้นเกิดขัดแย้งปีนเกลียวกัน เหตุเนื่องมาจาก “สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ” (ศรัณยู วงศ์กระจ่าง) เจ้าแผ่นดินอยุธยาเสด็จออกผนวช แลสถาปนา “สมเด็จพระมหินทร์” (สันติสุข พรหมศิริ) ราชโอรสองค์รองขึ้นเสวยราชสมบัติสืบแทน สมเด็จพระมหินทร์ทรงคลางแคลงพระทัยในความจงรักภักดีของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแต่ครั้งสงครามชิงช้างเผือกในปีพุทธศักราช 2106 ขณะที่เจ้าแผ่นดินพิษณุโลกก็หาได้ยำเกรงสมเด็จพระมหินทร์เช่นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อเห็นการใดมิควรก็บังคับบัญชาให้สมเด็จพระมหินทร์ปฏิบัติตามพระประสงค์จนเป็นที่ขุ่นเคืองพระราชหฤทัยกษัตริย์อยุธยาพระองค์ใหม่ถึงกับหันไปสมคบกับ “สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช” (รอน บรรจงสร้าง) พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาวร่วมกันแต่งกลเข้าตีเมืองพิษณุโลก แต่กระทำการมิสำเร็จพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเห็นเชิงสบโอกาสก็ยกทัพใหญ่เข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีกคำรบ ครั้งนั้นสมเด็จพระนเรศวรร่วมโดยเสด็จมากับทัพหงสาแต่หาได้ตามพระเจ้าบุเรงนองลงมาล้อมกรุงศรีอยุธยา ทรงประทับอยู่เพียงเมืองพิษณุโลก มีเพียงสมเด็จพระมหาธรรมราชาโดยเสด็จกษัตริย์หงสาลงมาล้อมกรุงด้วยตั้งพระทัยจะเกลี้ยกล่อมให้สมเด็จพระมหินทร์ยอมสวามิภักดิ์พระเจ้าบุเรงนอง เพราะเล็งเห็นว่าอยุธยายากจะต่อรบเอาชัยทัพพม่ารามัญซึ่งมีกำลังไพร่พลเหนือกว่าได้ หากขัดขืนต่อรบจะได้ยากแก่สมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎร์ ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงลาผนวชมาบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง แต่อยู่ได้มิช้านานก็เสด็จสวรรคตเสียระหว่างศึกพุทธศักราช 2112 มะเส็งศก วันอาทิตย์ เดือน 9 แรม 11 ค่ำ กรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ข้างสมเด็จพระนเรศวรซึ่งประทับอยู่ยั้งยังนครพิษณุโลกแต่ต้นศึก หาได้ทรงเห็นงามหรือคิดครั่นคร้ามอ่อนน้อมต่อหงสา ถึงจะทรงรู้ซึ้งว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชบิดามิได้คิดคดเป็นกบฏต่อแผ่นดิน แต่ก็หาได้เห็นด้วยกับการอ่อนข้อสวามิภักดิ์พม่ารามัญ น้ำพระทัยอันมั่นคงเด็ดเดี่ยวนั้น ถึงแม้จะมิได้แพร่งพรายถึงพระกรรณพระเจ้าบุเรงนอง แต่ก็ประจักษ์อยู่ในหมู่ข้าราชบริพารใกล้ชิดผู้รักและหวงแหนในเอกราชของแผ่นดินจึงพากันนิยมในน้ำพระทัย แลพร้อมใจถวายความจงรักภักดีแต่นั้นมา ครั้นเสร็จศึกอยุธยาพุทธศักราช 2112 สมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงถวาย “พระสุพรรณกัลยา” (เกรซ มหาดำรงค์กุล) พระพี่นางสมเด็จพระนเรศวรแก่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง แลขอตัวสมเด็จพระนเรศวรไว้ช่วยราชการข้างอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรจึงประทับยั้งอยู่ยังเมืองพิษณุโลก สืบต่อมาครั้นลุปีพุทธศักราช 2114 สมเด็จพระมหาธรรมราชา ซึ่งพระเจ้าบุเรงนองสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยาสืบต่อจากสมเด็จพระมหินทร์ก็โปรดให้สมเด็จพระนเรศวรเสวยราชย์ครองเมืองพิษณุโลกเป็นใหญ่เหนือหัวเมืองเหนือทั้งปวง เหตุการณ์ข้างพม่า หลังจากพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสิ้นพระชนม์ในปีพุทธศักราช 2124 พระเจ้านันทบุเรงได้ขึ้นเสวยราชสืบต่อและได้สถาปนามังสามเกียดขึ้นเป็นรัชทายาทครองตำแหน่งมหาอุปราชาแห่งราชอาณาจักรหงสาวดี เมื่อแผ่นดินหงสามีอันต้องผลัดมือมาอยู่ในปกครองของพระเจ้านันทบุเรง สัมพันธไมตรีระหว่างอยุธยาและหงสาวดีก็เริ่มสั่นคลอน ด้วยพระเจ้าหงสาวดีพระองค์ใหม่มิได้วางพระทัยในสมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระนเรศวรเองก็หาได้เคารพยำเกรงในบุญบารมีของพระเจ้าแผ่นดินพม่ารามัญเช่นกาลก่อน มิเพียงเท่านั้นสมเด็จพระนเรศวรยังได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถให้เป็นที่ปรากฏครั่นคร้าม ดังคราวนำกำลังทำยุทธนาวีกับพระยาจีนจันตุและศึกเมืองคังเป็นอาทิ พระเจ้านันทบุเรงทรงเกรงว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะเป็นภัยต่อพระราชวงศ์แลแผ่นดินหงสา จึงหาเหตุวางกลศึกหมายจะปลงพระชนม์สมเด็จพระนเรศวรเสียที่เมืองแครง แต่พระมหาเถรคันฉ่องพระราชครูลอบนำแผนประทุษร้ายนั้นมาแจ้งให้ศิษย์รักได้รู้ความ สมเด็จพระนเรศวรจึงถือเป็นเหตุประกาศเอกราช ตัดสัมพันธไมตรีกับหงสาวดี แลกวาดต้อนครัวมอญไทยข้ามแม่น้ำสะโตงกลับคืนพระนคร ซึ่งเป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงเปิดมหายุทธสงครามสั่งทัพเข้ารุกรานราชอาณาจักรอยุธยาสืบแต่นั้นมา

ฅนไฟบิน

เรื่องย่อ : ฅนไฟบิน (2549/2006) ปี พ.ศ. 2398 เป็นต้นมาได้เกิดอาชีพ “นายฮ้อย” ขึ้นมา เพราะประเทศต้องการทำนาเพื่อนำข้าวส่งออกต่างประเทศ เหล่ากลุ่มนายฮ้อยเหล่านี้ต้อนควายเพื่อมาขายยังกรุงเทพฯ นายฮ้อยบางกลุ่มก็เป็นโจรแฝงมาเพื่อปล้นควายและฆ่าชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนโดยทางการมิได้เข้าช่วยเหลือแต่อย่างใด หนำซ้ำ “พระยาแหว่ง” (ลีโอ พุฒ-พุฒิพงศ์ ศรีวัฒน์) ยังต้องการให้ฆ่าควายให้หมดอีกด้วยเพื่อจะได้ขายรถไถฝรั่งให้กับประชาชนใช้แทนควาย กลุ่มนายฮ้อยโจรเหล่านี้ต้องเผชิญกับ “โจรบั้งไฟ“ (ชูพงษ์ ช่างปรุง) ผู้ออกปล้นด้วยเหตุผล 2 ประการคือ ช่วยเหลือชาวบ้านผู้ทุกข์ยาก และที่สำคัญหาคนที่ฆ่าพ่อแม่ของตน จนกระทั่งเจอกับ “นายฮ้อยสิงห์” (สามารถ พยัคฆ์อรุณ) และเชื่อมั่นว่าเป็นคนฆ่าพ่อแม่ของตนจริงๆ ในขณะที่พระยาแหว่งจ้างโจรปล้นฆ่านายฮ้อยได้หมด แต่กลับไม่สามารถฆ่านายฮ้อยสิงห์คนที่ไม่เคยแพ้ใครได้ พระยาแหว่งจึงวางแผนหลอกใช้โจรบั้งไฟและ “ปอบดำ” (พันนา ฤทธิไกร) ผู้ลึกลับและมีความแค้นอยู่กับนายฮ้อยสิงห์มานาน จึงตกลงใจช่วยเหลือโดยทันที ทั้งพระยาแหว่งและโจรบั้งไฟต่างก็หลงรัก “อีสาว” (กัญญาภัค สุวรรกูฏ) ลูกสาวคนเดียวของปอบดำ แต่ปอบดำก็ไม่ยอมให้ใครได้อีสาวไปครอง… “นายฮ้อยสิงห์” ยังไม่รู้ว่าตนเองถูกปองร้าย… ชีวิตของ “อีสาว” ยังมีความลึกลับที่ยังไม่เปิดเผย… “โจรบั้งไฟ” และ “พระยาแหว่ง” ยังไม่รู้ความลับของ “ปอบดำ” แต่ทั้งสามก็ต้องร่วมมือกันเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของแต่ละคน…

สุดสาคร (2549/2006) การพบกันระหว่างสุดสาคร กับ ม้านิลมังกร นั่นหมายถึงการจากลาจาก พระเจ้าตา และ แม่นางเงือก และหมายถึงการเริ่มต้นสู่การผจญภัยที่เหนือจินตนาการ เพื่อเดินทางตามหา พระอภัยมณี ผู้เป็นบิดา ไปสู่ดินแดนที่สุดสาครไม่เคยรู้จัก ในขณะเดียวกันทางฝ่าย พระอภัยมณี กับ นางสุวรรณมาลี และสินสมุทร เกิดเรืออับปางลงกลางทะเล นางสุวรรณมาลี กับสินสมุทรลอยคออยู่กลางทะเลและถูกโจรสลัดนามว่า สุหรั่ง จับตัวไว้ หากแต่สินสมุทรผู้มีพลังอำนาจ ได้ปราบโจรสลัดเสียสิ้น สมุนของโจรจึงกลับใจมาช่วยสินสมุทรตามหาผู้เป็นบิดาที่พลัดหลง ส่วนพระอภัยมณี ลอยตามน้ำไปสู่เมืองลังกาและถูกอุศเรนจับไว้เป็นตัวประกันในการทำศึกกับศรีสุวรรณเจ้าเมืองรมจักรผู้เป็นน้องของพระอภัยมณี การผจญภัยของสุดสาครถึงคราวเข้าตาจนอีกครั้งเมื่อพบกับ ชีเปลือย ที่ลวง สุดสาครว่าจะถ่ายทอดวิชาข้ามทะเลน้ำกรดให้ เมื่อหลงเชื่อ ชีเปลือยจึงชิงเอาไม้เท้ากายสิทธ์กับม้านิลมังกรมุ่งหน้าสู่เมืองการเวก และทำให้สุดสาครต้องตกลงไปในก้นเหว ม้านิลมังกรได้จังหวะระหว่างที่ ชีเปลือย เสวยสุขอยู่ในเมืองการเวกนั้น หลบหนีออกมทาช่วยสุดสาคร และด้วยบุญญาธิการสุดสาครจึงรอดตายและขี่ม้านิลมังกรกลับมาเมืองการเวกเพื่อทวงถามความจริงให้กับท้าวสุริโยทัยเจ้าเมืองการเวกและชาวเมือง และเมื่อสุดสาครได้ปราบชีเปลือยจนรู้แพ้ชนะแล้ว จึงออกเดินทางไปปราบเหล่าผีเสื้อยักษ์ ที่คอยก่อกวนชาวเมืองที่ต้องเดินทางค้าขายทางสำเภาเรือ ณ เกาะแห่งหนึ่ง สุดสาครได้ออกไปปราบผีเสื้อยักษ์ ร่วมกับเหล่าทหารผู้กล้าเมืองการเวก แต่ในสำเภา เจ้าชายหัสชัย กับ เจ้าหญิงเสาวคนธ์ แอบซ่อนไปด้วย และเมื่อเจ้าหญิงเสาวคนธ์ขึ้นมาจากท้องเรือก็ถูกผีเสื้อยักษ์โฉบเอาตัวไป สุดสาครจึงขี่ม้านิลมังกรเร่งติดตามไปช่วยเหลือ และปราบผีเสื้อยักษ์เสียราบคาบ และนำตัวเจ้าหญิงเสาวคนธ์กลับมาได้อย่างปลอดภัย ฝ่ายกองทัพอุศเรน เดินทางมาถึงจุดนัดหมายพร้อมกับทำการรบกองทัพศรีสุวรรณ การต่อสู้เป็นไปด้วยความดุเดือด ท่ามกลางการสุมดูของสินสมุทร สุวรรณมาลีที่รอเวลาจะเข้าช่วยเหลือ ทางฝ่ายสุดสาครเดินเรือมาถึงเห็นการรบมาแต่ไกล จึงทราบว่าเป็นการรบกันระหว่างท้าวอุศเรนและศรีสุวรรณผู้เป็นน้าของตน สุดสาครไม่รอช้าจึงตรงเข้าช่วยเหลืออย่างกล้าหาญ ขณะเดียวกันสินสมุทรได้จังหวะจึงนำเหล่าสมุนโจรตรงเข้าช่วยรบ จนในที่สุดความปราชัยเป็นของท้าวอุศเรนแห่งเมืองลังกา สุดสาครแนะนำตนเองกับพระอภัยมณีด้วยการนำปิ่นปักผมจากแม่นางเงือกที่ให้ติดตัวไว้ พระอภัยมณีเห็นดังนั้นจึงทราบเรื่องราวเป็นอย่างดี ทั้งหมดได้พบเจอกันด้วยความปิติสุข
หมากเตะ รีเทิร์นส (2549/2006) พงศ์นรินทร์ อุลิศ (จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม) เคย โค้ชหนุ่มไฟแรงผู้ฝันอยากเห็นทีมไทยไปบอลโลก ยังคงไม่ได้รับโอกาสจากสมาพันธ์ฟุตบอลไทย ร้อนถึง เจ๊มิ่ง (น้อย โพธิ์งาม) น้าสาวบ้าหวยรวยบอลแฟนพันธุ์แท้ทีมไทย แกประกาศลั่นถ้าถูกรางวัลที่ 1 จะทุ่มเงินให้หลานรักพาบอลไทยไปตะลุยบอลโลกให้จงได้ แล้วชะตาก็ลิขิตให้ชีวิตสองน้าหลานผันผวน เมื่อเจ๊มิ่งดันถูกล็อตเตอรีชุดใหญ่จังเบอร์ 192 ล้านบาท แต่สมาพันธ์กลับพลิกลิ้นแต่งตั้งโค้ชบราซิล อ้างเสียบเพื่อชาติ เจ๊มิ่งยัวะจัดจูงมือหลานชายบินลัดฟ้าสู่ประเทศอาวี ลั่นวาจาคราวนี้แหละอาวีจะไปบอลโลก ราชรัฐอาวี ตั้งอยู่ในทะเลจีนใต้ ส่งออกหอยลาย ดำเนินนโยบายเป็นกลาง อาวี เป็นประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรราวแสนคน แต่ติดหนึ่งในสิบประเทศที่คลั่งไคล้ลูกหนังมากที่สุดจากการจัดอันดับประจำปี 2006 ทีมฟุตบอลของพวกเขาถือเป็นสมันน้อยของโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พกสถิติแจกแต้มแหลก ไม่เคยชนะทีมใดเลยในการแข่งขันระดับชาติ แต่เด็กๆ ชาวอาวีก็เช่นเดียวกับเด็กๆ ทั่วโลก นั่นคือ ฝันอยากเห็นทีมชาติตัวเองลงเตะในมหกรรมระดับโลกนี้สักครั้ง
13 เกมสยอง (2549/2006) มั่นใจได้อย่างไรว่าชีวิตของคุณกำลังตกอยู่ ณ จุดต่ำสุด ในเมื่อจุดสูงสุดในชีวิตก็ยังไม่เคยลิ้มลอง ความตื่นระทึกที่ไม่ว่าคุณหรือใครก็ไม่อาจคาดเดา ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในแต่ละนาทีข้างหน้าได้ “เกม 13 ข้อ” ที่ต้องเล่น และทุกครั้งที่เล่นจะเกิดผลกระทบก่อเป็นลูกโซ่อย่างไม่จบสิ้น และเมื่อผ่านทั้ง 13 ข้อ เงินสด 100,000,000 บาทจะเป็นของคุณทันที ลืมหนังเขย่าขวัญทุกเรื่องที่คุณรู้จัก เตือนสติตัวคุณให้ดีก่อนตัดสินใจดูหนังเรื่องนี้ “13 เกมสยอง” “13 Beloved” คือ “โอกาส” หรือ “ทางเลือก” ที่ถูกเปิดให้กับใครบางคนที่ได้รับการคัดเลือกว่า “เหมาะสม” หรือ “คู่ควร” เท่านั้น ว่ากันว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเดินเข้าสู่ “13 Beloved” ได้ วิธีการน่ะเหรอ ไม่ต้องหาให้เสียเวลา เพราะเมื่อถึงเวลามันจะเลือกคุณเอง ดูเหมือนว่าสถานการณ์รอบตัวในชีวิตของ “ภูชิต” (กฤษดา สุโกศล แคลปป์) เซลส์แมนขายเครื่องดนตรีกำลังเดินทางมาถึงทางตันของชีวิตแล้วจริงๆ เมื่อจุดจบในหน้าที่การงานกำลังจะถูกหยิบยื่นโดยเจ้านายของเขาโทษฐานที่ไม่สามารถทำยอดขายทะลุเป้าได้ หนำซ้ำคนรักก็ทิ้งไปมีคนใหม่ หนี้สินล้นตัวจากเงินกู้ในฐานะลูกที่ดีที่เข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ต้องรับผิดชอบส่งเสียน้องสาววัยเรียนและแม่ที่ต้องเลี้ยงดูเขาและน้องเพียงลำพังตั้งแต่เล็ก เริ่มออกดอกออกผลกลืนกินชีวิตเขาเข้าเต็มที แม้แต่รถยนต์ที่ขาดส่งไป 3 เดือนก็ยังถูกยึดไปต่อหน้าต่อตา แต่แล้วโอกาสสุดท้ายในชีวิตก็ถูกหยิบยื่นให้ตรงหน้าโดยที่เขาเองก็ไม่คาดคิดในฐานะ “ผู้ถูกเลือก” เมื่อโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เสียงลึกลับจากปลายสายดึงเขาเข้าสู่ “13 Beloved” เกมท้าทายชีวิตที่มีโจทย์ 13 ข้อให้เขาค้นหาคำตอบและเล่นโดยมีผลตอบแทนที่ดึงดูดใจ คือเมื่อใดก็ตามที่เขาสามารถผ่านโจทย์แต่ละข้อ มูลค่าของเงินสะสมก็พร้อมที่จะทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ จะถูกส่งเข้าบัญชีธนาคารที่เขาสามารถตรวจสอบได้ทันที และถ้าเขาสามารถทำได้ครบทั้ง “13 ข้อ” ยอดเงินสะสมที่มีตัวเลขสูงถึง “100 ล้านบาท” จะเป็นของเขาทันที นี่คือผลตอบแทนในฐานะผู้พิชิตที่อุตส่าห์ร่วมบากบั่นในฐานะผู้ร่วมสนุกในเกม โดยมีเงื่อนไขที่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาหยุดเล่นเงินสะสมทั้งหมดจะถูกยกเลิก หากบอกต่อให้คนอื่นรู้เกมถือว่าเป็นโมฆะ และหากพยายามติดต่อกลับหมายเลขดังกล่าวถือว่าเกมสิ้นสุด เพียงทว่าการเล่นเกมดังกล่าวของเขากลับปลุกอดีตที่หลับใหลให้มาบรรจบปัจจุบันขึ้นอีกครั้ง แน่นอนว่ามันพร้อมที่จะส่งผลต่ออนาคตที่เกิดจากการ “เลือก” และ “ตัดสินใจ” เดินบนเส้นทางนี้ของเขาเองถึงแม้ว่ามันจะเดิมพันด้วยชีวิตของเขาและคนรอบข้างก็ตาม
แซ่บ (2549/2006) ณ แฟลตแห่งหนึ่ง จืด (นีโน่ เมทนี) ได้รับมอบหมายจาก เสี่ยเจ้าของแฟลต (สมเล็ก) ให้ดูแลแทนเพราะต้องเดินทางไปต่างประเทศหลายวัน จึงเข้าทางของ จืด จอมวางแผนที่ชอบตั้งตัวเป็นใหญ่ จึงสมคบกับสมุนทั้ง 4 คือ ไอ้บ้า (ค่อม ชวนชื่น), อสุจิ (บอล เชิญยิ้ม), มาศ (ชูศรี เชิญยิ้ม) และ นัทติง (โก๊ะตี๋ อารามบอย) วางแผนร้าย ทั้งการพนัน ยาเสพติด ผู้หญิง และทุก ๆ อย่างที่เป็นเรื่องไม่ดีขอให้มีเงินและอำนาจเท่านั้นเป็นพอ เนื่องจากแฟลตแห่งนี้เป็นแหล่งชุมชนมีวัยรุ่นอยู่มาก เหมาะแก่การล่อลวง ทุกคนจึงเข้าใจผิดว่า จืด เป็นเจ้าของแฟลตจึงทำตามอำเภอใจทุกอย่าง และคิดจะสร้างอาณาจักรโดยการกว้านซื้อที่ดินแถวนั้น แซ่บ (เบนซ์ พรชิตา) กับ ขวัญ (ขวัญใจ จันทร์ทอง) เพื่อนสนิท เป็นผู้อาศัยอยู่ใกล้แฟลตนี้เช่นกันเป็นพวกรักความยุติธรรมเห็นประกาศว่าจะมีคนมาซื้อที่ของตน แซ่บ ยอมไม่ได้เพราะเป็นที่ของปู่ ย่า ตา ยาย จึงวางแผนกับเพื่อนสนิทอีกคนคือ จ้าว (วิรัช เข็มกลัด) จึงพยายามเข้าไปในแฟลตเพื่อสืบว่าใครเป็นคนบงการ จึงได้ทราบเรื่องราวความเป็นไปของ จืด และ สมุน ว่าได้ใช้บริเวณหลังแฟลตเป็นแหล่งมั่วสุมของเด็กวัยรุ่น แซ่บ กับเพื่อน จึงไปแจ้งสารวัตร เกริก ชิลเลอร์ แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้ แซ่บ กับเพื่อนจึงต้องจัดการขัดขวางเอง จึงเกิดมีการปะทะกัน แต่ด้วย แซ่บ ได้ฝึกการป้องกันตัวจาก พ่อ (สามารถ พยัคฆ์อรุณ) ซึ่งเป็นเจ้าของค่ายมวยมาบ้างจึงเอาตัวรอดได้หลายครั้ง จนกระทั่งมีการปะทะกันครั้งใหญ่เจ้าหน้าที่จึงเข้ากวาดล้างและจับตัวบงการได้ เรื่องทั้งหมดจึงถูกเปิดเผยว่าใครเป็นใคร

เรื่องย่อ : มนุษย์เหล็กไหล (2549/2006) ตามความเชื่อที่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ “เหล็กไหลจันทรา” (ความเย็น) และ “เหล็กไหลสุริยัน” (ความร้อน) รวมตัวกันคราใด ก็จะนำมาซึ่งขุมพลังแห่งอำนาจอเนกอนันต์อันยากเกินกว่าสรรพวุธอื่นใดจะสามารถสยบและหยุดยั้งได้ แต่แล้วแผนการครอบครองเหล็กไหลดังกล่าวของ “อุสมาห์” (อานนท์ สายแสงจันทร์) หัวหน้ากลุ่มผู้ก่อการร้ายจากตะวันออกกลางหาได้เป็นอย่างที่คิดไม่ ถึงแม้ “อารีนา” (เมทินี กิ่งโพยม) สมุนมือขวาของตนจะสามารถแย่งชิงเหล็กไหลจันทรา (วัชรธาตุหรือ หยดน้ำฟ้าอันศักดิ์สิทธิ์) มาจาก “พูนิมา” (จิณวิภา แก้วกัญญา) กุมารีผู้ปกป้องประจำอารามแห่งหนึ่งในทิเบตมาได้แล้วก็ตาม แต่ในระหว่างการปล้นตัวอุสมาห์ผู้ก่อการร้ายข้ามชาติจากเรือนจำคุ้มครองพิเศษจากทางการไทยเกิดความผิดพลาดขึ้นจนนำไปสู่การระเบิดครั้งใหญ่ในเรือนจำ จนทำให้เหล็กไหลสุริยันทิ่มแทงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของ “ฌาน” (วสันต์ กันทะอู) นักดับเพลิงหนุ่มผู้มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ต้องตื่นตะลึงกับพลังลึกลับและฤทธานุภาพของเหล็กไหลที่อยู่ในตน ทางเดียวที่จะไม่ให้พลังแห่งความร้อนแรงที่เกิดขึ้นจากเหล็กไหลแผดเผาเลือดเนื้อและร่างกายของฌาน คือจะต้องเรียนรู้การควบคุมสภาวะความรุ่มร้อนในอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากส่วนลึกในจิตใจของตนให้จงได้และเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังจากเหล็กไหลที่ตอนนี้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเลือดเนื้อและร่างกาย และที่สำคัญจะต้องรับมือกับพลานุภาพของเหล็กไหลจันทราที่บัดนี้ถูกนำไปพัฒนาระดับขั้นของพลังเพิ่มทวีคูณขึ้นไปอีกจากกลุ่มก่อการร้ายของอุสมาห์ และนี่คือจุดเริ่มต้นของการปะทะกันระหว่างพลานุภาพของเหล็กไหลทั้ง 2 ขั้วภารกิจอันยิ่งใหญ่ของชายหนุ่มอย่างฌาน หรืออีกนัยหนึ่งคือ “มนุษย์เหล็กไหล”

ก้านกล้วย (2549/2006) วีรบุรุษผู้มี 4 ขา 2 งา และ 1 งวง ช้างศึกผู้สร้างเกียรติประวัติสูงสุดให้แก่ช้างไทย ในฐานะช้างคู่พระบารมีแห่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อครั้งสงครามยุทธหัตถี ชื่อของเขาคือ “เจ้าพระยาปราบหงสาวดี” หรืออีกนามหนึ่งว่า “ก้านกล้วย” นี่คือเรื่องราวการเติบโตของช้างเชือกหนึ่ง จากลูกช้างซุกซนใช้ชีวิตอิสระอยู่ท่ามกลางป่าลึก แต่แล้วด้วยความอยากรู้เรื่องของพ่อที่หายไปได้นำเขาออกเดินทางสู่การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ผ่านหลากหลายเหตุการณ์ซึ่งให้บทเรียนใหม่ๆ เปลี่ยนให้เขากลายเป็นช้างที่กล้าแกร่งเต็มไปด้วยพละกำลัง ในขณะที่จิตใจกลับอ่อนโยน บรรดาตัวละครต่างๆ ที่เขาได้พบระหว่างการเดินทาง อาทิเช่น “จิ๊ดริด” นกพิราบสื่อสารขี้โม้, “ชบาแก้ว” ช้างสาวผู้น่ารักและแสนงอน, “ติ่งรูและรถถัง” ช้างรุ่นพี่และรุ่นอาซึ่งเขาได้พบในหมู่บ้าน, “บุญเรือง” ช้างศึกแห่งเมืองหลวง และที่สำคัญ “แสงดา” แม่ซึ่งก้านกล้วยจากมา ล้วนเป็นส่วนที่เข้ามาเติมเต็มสร้างสีสันและความสนุกสนาน พร้อมกันนั้นก็ให้บทเรียนต่างๆ ซึ่งเป็นเสมือนการเตรียมความพร้อมให้เขาก้าวสู่การเป็นช้างศึกเชือกสำคัญในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์และการได้พบกับผู้คนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น “สมเด็จพระนเรศวรฯ” มหาราชผู้เกรียงไกรของชาติไทย, “ลุงมะหูด” หัวหน้าครูฝึกช้าง, “มังคุด” เด็กมนุษย์ตัวน้อยผู้บริสุทธิ์สดใส ฯลฯ ยังทำให้ก้านกล้วยได้เรียนรู้ถึงมิตรภาพระหว่างคนและช้างอันนำไปสู่การเสียสละตัวเอง โดยเดินหน้าเข้าสู่สงครามอย่างนักรบผู้กล้า เช่นเดียวกับที่พ่อของเขาเคยทำมาเมื่อครั้งอดีตสุดท้าย ขณะอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบ และต้องเผชิญหน้ากับศัตรูผู้น่าเกรงขามเขาก็ได้รับบทเรียนครั้งสำคัญที่สุด นั่นก็คือการเอาชนะความกลัวในจิตใจตัวเอง เมื่อมีชัยเหนือตัวเองก็ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะทำให้เขาพรั่นพรึงได้อีกต่อไป และจุดนี้เองที่ทำให้เขากลายเป็นช้างผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง แม้จุดหมายแรกคือการตามหาพ่อ แต่ในที่สุดก้านกล้วยกลับได้พบสิ่งที่มีความหมายยิ่งกว่า นั่นก็คือมิตรภาพ ความกล้าหาญ และความเสียสละซึ่งอยู่ในตัวเขาเอง เป็นจิตวิญญาณของพ่อที่อยู่กับเขามายาวนาน และนี่คือบทสรุปที่ล้ำค่ายิ่งสำหรับการเดินทางของเขาในครั้งนี้…
พระ เด็ก เสือ ไก่ วอก (2549/2006) นับย้อนหลังไป 100 ปี พอดี ตุลาคม พ.ศ. 2448 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศเลิกทาส วันเดียวกันนั้นเอง เด็กชายหญิงชนบทผู้น่าสงสารจำนวน 8คน อันเป็นทาสขัดดอกของพ่อใหญ่ภูนายเงินและพ่อค้าของป่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งบ้านชายคง ได้ถูกขายให้แก่โยนสันพ่อค้าชาวอังกฤษที่มากว้านซื้อไม้หอมและป่าสมุนไพรต่างๆ เตรียมขนไปขึ้นเรือกำปั่น โดยไม่ได้รับการยินยอมจากพ่อแม่ของเด็กๆ ชาวไร่ชาวนาผู้ยากจน เมื่อไม่สามารถทานอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของพ่อใหญ่ภู บรรดาชาวไร่ชาวนาผู้ยากไร้เหล่านั้น จึงต้องรวบรวมเงินทองของมีค่าอันน้อยนิดว่าจ้างพวกเร่ร่อนนอกกฎหมายจำนวน 5คน ให้ออกติดตามไปช่วยลูกหลานของตนประกอบด้วย อดีตพระทองสุก (โน้ต เชิญยิ้ม)ผู้ถูกทางการติดตามตัว เพราะต้องคดีศาลกงสุล ทำร้ายฝรั่งที่เข้าไปอาละวาดในวัดเมืองบางกอก จึงต้องสึกหาลาเพศและระเห็จหนีสู่ชายแดนไกล สำลี (โก๊ะตี๋ อารามบอย)เด็กโข่งผู้ชำนาญการประดิษฐ์ดอกไม้ไฟตะไลเพลิง ทว่ายังชีพอยู่ด้วยการลักเล็กขโมยน้อย เสือ (เจษฎาภรณ์ ผลดี)อดีตทหารพเนจรผู้พิสมัยการนอนและการดื่ม ระกา (พอลล่า เทเลอร์)จอมขโมยหญิงผู้ผ่านการเร่ร่อนในต่างแดนมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ และมีความหลังซึ่งไม่ยอมปริปากบอกใคร วอก (สราวุฒิ พุ่มทอง)หมอยาพเนจรที่เคยแต่รักษาให้ใครตายเร็วขึ้น ด้วยสูตรยาผสมเองตามอารมณ์อันบรรเจิดของเจ้าตัว ขณะที่ต่างคนต่างมีนิสัยใจคอแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้ง 5ต้องเดินทางมุ่งติดตามขบวนขนส่งสินค้าของพวกลูกเรือต่างชาติ พร้อมอาวุธทรงอนุภาพและปืนใหญ่ที่รออยู่ ผ่านดินแดนเถื่อนรกร้างขอบพระราชอาณาเขต ซึ่งมีชนเผ่าต่างๆ และพวกหนีกฎหมายเร่ร่อนอาศัยอยู่ เพื่อหาทางช่วยเหลือเด็กๆ ผู้น่าสงสารเหล่านั้นกลับมาให้ได้
ไทยถีบ (2549/2006) พ.ศ. 2485 เมื่อกองทัพญี่ปุ่นรุกคืบเข้าสู่เอเชียอาคเนย์ เพื่อยึดครองพื้นที่ในการทำสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ประเทศไทยในเวลานั้น ยินยอมให้กองทหารญี่ปุ่นใช้เส้นทางผ่าน เพื่อลำเลียงกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ไปยังเอเชียกลาง ท่ามกลางความขัดแย้งของคนในชาติบางกลุ่ม ซึ่งประกาศขอต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นทุกรูปแบบ คม วังหิน (หมอก - ทศพร รถกิจ) จอมโจร 18 มงกุฎชื่อกระฉ่อน วางแผนปล้นครั้งใหญ่ โดยมีทองคำที่กองทัพญี่ปุ่นลำเลียง ผ่านเส้นทางเดินรถไฟทางภาคใต้เป็นเดิมพัน คม วังหิน เดินหมากเคลื่อนไหวอย่างเงียบ ๆ ดึงเอาผู้คนหลากหลายวงการเข้ามาร่วมแผนการลับ อันประกอบด้วย นักเลงคู่แค้น อย่าง ใหญ่ ท่าเรือ (ธันญ์ ธนากร), แหลม 18 อวน (สหัสชัย ชุมรุม) เจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลในแถบพื้นที่ภาคใต้, นายพลสันต์ (สมเล็ก ศักดิกุล) นายทหารเจ้าเล่ห์ที่ไว้ใจไม่ได้ ขณะเดียวกัน โต ตีนหนัก (เทพ โพธิ์งาม) ผู้นำขบวนการไทยถีบ ซึ่งเป็นกลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวกัน เป็นขบวนการใต้ดินต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น ก็รู้เรื่องขบวนรถขนทองของญี่ปุ่น และวางแผนเตรียมขัดขวางการขนทองครั้งนี้ กลุ่มไทยถีบได้รับการร้องขอจากเสรีไทยกลุ่มหนึ่ง ให้ช่วยเหลือ ซีน่า (ซาร่า เล็กจ์) สายลับฝ่ายสัมพันธมิตรที่ถูกฝ่ายทหารญี่ปุ่นจับตัวไป โดยมี แพ๊ตตี้ (อัมธิดา เงินเจริญ) สายลับสัมพันธมิตรอีกคน จะเข้ามาร่วมงานด้วย การเคลื่อนไหวของท่านนายพลสันต์ กับ สองจอมโจร ใหญ่และคม ในช่วงเวลาที่ขบวนรถไฟขนทองมูลค่ามหาศาลของญี่ปุ่น กำลังเดินทางผ่านเส้นทางประเทศไทยพอดิบพอดี ทำให้สายลับ แพ๊ตตี้เข้าใจผิดว่าใหญ่และคมเป็นหัวหน้ากลุ่มไทยถีบ จึงเข้าติดต่อตามแผนการที่นัดเอาไว้กับกลุ่มไทยถีบ และเพื่อไม่ให้แผนปล้นทองของตัวเองเปิดเผยไป จอมโจรทั้งสองจึงตกกระไดพลอยโจน จำยอมร่วมทำงานกับสายลับแพ๊ตตี้ ทั้ง ๆ ที่เวลาที่ขบวนรถไฟขนทองกำลังมาถึง และใกล้เข้ามาทุกขณะ เมื่อโจรถูกเข้าใจผิดว่าเป็นวีรบุรุษ ทั้งฝ่ายวีรชนและจอมโจรต่างก็มีแผนการล้ำลึกอยู่ในมือ วีรกรรมระดับชาติกำลังจะเปลี่ยนเป็นความโกลาหล ทั้งฝ่ายวีรชนและจอมโจร ต่างก็มีแผนการล้ำลึกอยู่ในมือ วีรกรรมระดับชาติกำลังจะเปลี่ยนเป็นความโกลาหล เรื่องอลเวงระหว่างสองจอมโจรหนุ่มรูปหล่อ, กลุ่มไทยถีบผู้หาญกล้า, สายลับสาวสวยสองสาว รวมถึงท่านนายพลผู้ทรงอิทธิพล จะลงเอยอย่างไร...
น้ำพริกลงเรือ (2549/2006) น่านน้ำอ่าวไทยทะเลฝั่งตะวันออก ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกองทัพเรือ ดินแดนนี้มีปัญหามากในการลักลอบขนถ่ายสินค้าเถื่อน ยาเสพติด และอาวุธสงคราม ผู้ค้ารายใหญ่ที่ราชนาวีจับตามอง แต่ยังไม่สามารถจับได้คาหนังคาเขา เพราะมีเครือข่ายในการทำงานกว้างขวาง ซึ่งเป็นของ เสี่ยเม้ง (สมชาย ศักดิกุล) และ มิสเตอร์ยูริ (แบล็ค ผมทอง) จากญี่ปุ่น ซึ่งการขนถ่ายนี้จะมาทางทะเลอ่าวไทย แล้วมาแอบไว้ที่เกาะ และยังไม่สามารถสืบได้ว่าเป็นเกาะที่ไหนด้วย เหตุนี้ทางกองทัพเรือจึงได้รับหมอบหมายจากทางรัฐบาลให้จัดหน่วยเฉพาะกิจขึ้นมา เพื่อจับเสี่ยเม้งและมิสเตอร์ยูริให้ได้ หมายปราบขบวนนี้ให้สิ้นซาก ผู้พันกุ้ง (โน้ต เชิญยิ้ม) ได้ถูกเรียกตัวเข้ามารับหน้าที่ ในการทำงานชิ้นนี้ โดยท่านผู้บัญชาการทหารเรือได้จัดบุคคลที่จะร่วมงานกับผู้พันกุ้งให้ด้วยและให้ไปตามตัวมา เพราะบุคคลเหล่านี้เป็นอดีตทหารมือดีของกองทัพเรือที่ออกจากข้าราชการไปแล้ว ประกอบด้วย หมูหวาน (อัมรินทร์ นิติพน) เป็นมือเฮกเกอร์ข้อมูล ชำนาญในการโกงพนันทุกชนิด คนที่สองคือ ต้นหอม (เบญจพล เชยอรุณ) ทหารหน่วยนาวิกโยธิน เก่งในการดำน้ำ และอึดมากแต่เพราะจิตใจเป็นผู้หญิง จึงลาออกจากราชการมาเป็นนักเต้นทิฟฟานี่ คนที่สามคือ ไข่เค็ม ( เกริก ชิลเลอร์) มือระเบิดที่ออกจากราชการเพราะภารกิจผิดพลาด ทำให้เพื่อนร่วมทีมเสียชีวิต คนที่สี่คือ ไต๋ก๋งกะปิ (อี้ด โปงลางสะออน) นักแม่นปืน มีความชำนาญเรื่องน่านน้ำไทย อย่างหาตัวจับยาก และสุดท้ายคือ ผู้กองพริก (ศุภักษร ไชยมงคล) หญิงสาวหนึ่งเดียวที่เก่งกาจในการต่อสู้ด้วยมือเปล่า และตั้งชื่อชุดปฎิบัติการนี้ว่า น้ำพริกลงเรือ ทั้งหมดรับงาน โดยมีรางวัลเป็นส่วนแบ่ง จากค่าหัวที่ทางการต่างประเทศตั้งไว้ ผู้พันกุ้งได้พาทีมน้ำพริกลงเรือทั้งหมดมาเก็บตัว และฝึกเพื่อให้ร่างกายได้พร้อมที่จะทำงาน และเมื่อถึงเวลาที่จะปฎิบัติงาน ทั้งหมดบุกไปที่เกาะซึ่งเสี่ยเม้งจัดงานปาร์ตี้สาวประเภทสองบังหน้า กลุ่มน้ำพริกลงเรือจึงต้องปลอมตัวเป็นสาวประเภทสองปะปนเข้าไปในงาน และใช้ความสามารถจนจัดการเสี่ยเม้งและพรรคพวกลงได้ งานนี้ทีมน้ำพริกลงเรือประสบความสำเร็จแต่พวกเขาก็ ต้องแลกกับชีวิตเพื่อนร่วมทีมไป......
ไพรรีพินาศ ป่ามรณะ (2549/2006) ในปี 2530 คำกอง ลีซอ และ นาซอ (ตอนเด็ก) เดินทาง เข้าไปในป่าพญาเมฆ เพื่อหาขุมทรัพย์ตามที่ลายแทงบอกไว้ แต่ต้องมาเจอกับงูยักษ์ตามไล่ล่า จนทำให้ลีซอที่เป็นพ่อของนาซอเสียชีวิต ด้วยเหตุการณ์ครั้งนี้เอง จึงทำให้นาซอเข้าใจว่าคำกองเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อของตัวเองเสียชีวิต จึงเกิดความเค้นต่อคำกอง ในปี 2547 หมวดวุฒิ (วัชระ ตังคะประเสริฐ) กับพรรคพวกจับนักโทษที่แหกคุกออกมาได้คนหนึ่ง สอบปากคำจนรู้ว่าพวกนักโทษที่เหลือนั้นได้หลบหนีไปทางป่าพญาเมฆ ในปัจจุบันนี้ คำกอง ได้บวชเป็นพระอยู่ในวัดแห่งนึ่งใกล้ ๆ กับป่าพญาเมฆ หมวดวุฒิกับพรรคพวกได้เดินทางมายังวัด เพื่อสอบถามร่องรอยของนักโทษกับหลวงพ่อคำกองผู้เป็นพ่อของหมวดวุฒิ หลวงพ่อคำกองได้ดูรูปถ่ายก็รู้ทันทีว่านักโทษที่อยู่ในรูปนั้นคือ นาซอ (ชลัฏ ณ สงขลา) โจรที่ปล้นฆ่าอันโหดเหี้ยม ลูกชายคนเดียวของลีซอเพื่อนเก่า ในคืนนั้นเองนาซอและพรรคพวกที่แหกคุกออกมา ก็ได้กลับมาฆ่าหลวงพ่อคำกอง และได้แย่งลายแทงสมบัติกับพวงกุญแจของหลวงพ่อไป จากนั้นนาซอและ หนานเมือง (สุรชัย แสงอากาศ) ก็ได้เดินทางเข้าป่าพญาเมฆ เพื่อไปหาขุมทรัพย์ตามที่ลายแทงบอกทันที หมวดวุฒิก็ได้ออกตามล่าพวกนาซอที่หลบหนีเข้าป่าทันทีที่รู้ข่าว โดยมีนายพรานกระเหรี่ยงเป็นคนนำทาง และมีการปะทะกันระหว่างตำรวจและกลุ่มโจร ซึ่งต่างฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย พวกนาซอได้หลบหนีเข้าไปในป่าอาถรรพ์ หมวดวุฒิจึงตามไปแต่นายพรานกระเหรี่ยงไม่กล้าเข้าไป จึงนำข่าวนี้ไปบอกพรานเฒ่าแทน พอ พรานเฒ่า (ประทีป หาญอุดมลาภ) รู้ข่าว ก็รู้สึกเป็นห่วงหมวดวุฒิ จึงได้ออกเดินทางตามไปกับหลานสาวชื่อ กระแต (ณัฐนันท์ จันทรเวช) ด้านพวกนาซอนั้นก็ได้เจอกับ ฝูงต่อพญาเสือ นับแสนตัว รุมทำร้ายจนทำให้ลูกน้องคนหนึ่งเสียชีวิต ทางด้านหมวดวุฒิที่ตามมาติด ๆ นั้นกลับมาเจอ ฝูงตุ๊กเข้ ไล่กัด ด้วยเหตุการณ์ณ์ครั้งนี้เองจึงทำให้ทั้งสองฝ่ายต้อง หนีเข้าไปในป่านารีผล ป่านารีผล ในคืนนี้เองทำให้จ่าวีได้เจอกับพวก นารีผลที่เป็นสาวสวย มาหลอกยั่วยวนให้หลงใหล และหลอกดูดพลังชีวิตจนตาย จ่าหมึกผู้ที่เห็นเหตุการณ์ครั้งนี้ ก็เกือบพลาดท่าเสียทีพวกนารีผล แต่โชคดีที่หมวดวุฒิและพรานเฒ่ามาช่วยไว้ทัน นาซอและพรรคพวกที่เหลือโดนหมวดวุฒิจับได้ แต่ว่าหมวดวุฒิและพรรคพวกนั้นก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และได้รับการช่วยเหลือจากสาวชาวบ้านที่ชื่อว่า สีอ่อน (จิรภัทร์ วงศ์ไพศาลลักษณ์) และ คำแพง (ณัฏฐรี วิบูลย์เลิศ) สีอ่อนและคำแพงนั้นจะคอยช่วยหาสมุนไพรเพื่อมารักษาหมวดวุฒิและพรรคพวก ชาวบ้านในหมู่บ้านของสีอ่อนทำการต้อนรับอย่างดีกับพวกที่สีอ่อนและคำแพงพามา ในคืนนั้นเองพรานเฒ่าได้มอบของสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อคำกองได้ฝากไว้ให้หมวดวุฒิ นั่นก็คือ มีดอาคม กระแตหลานสาวของพรานเฒ่า เริ่มมีความสงสัยกับผู้คนในหมู่บ้านของสีอ่อนว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะว่าเธอได้อ่านสมุดบันทึกของหลวงพ่อคำกองที่ให้เธอมา แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ...ความลับของขุมทรัพย์จากเหรียญกาละกำลังรอวันเปิดเผย... ...อดีต ปัจจุบัน อนาคต เกี่ยวข้อง ต่อเนื่อง และส่งผลถึงกัน... ...การเผชิญหน้ากับความจริง และความตาย ที่รอเขาอยู่เบื้องหลังเหรียญกาละ... ...กลายเป็นที่มาแห่งจุดจบที่คาดไม่ถึง...
อสูรสาว (2549/2006) มนต์เสน่ห์แห่งพงไพร และความหิวกระหายแห่งอสูรสาว ที่กำลังหลอกล่อให้ทุกคนติดกับ ในป่าลึกที่แฝงได้ด้วยอันตรายรอบด้าน กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งได้พยายามเข้าไปค้นหาช้างเผือก จนกระทั่งพวกเขาได้พบกับหญิงสาวรูปงาม โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่า นั่นคือกับดักอันตรายที่กำลังหลอกล่อให้พวกเขาติดกับ มันคืออสูรสาวผู้หิวกระหาย ฆ่าและกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร จึงไม่มีใครสามารถรอดพ้นเงื้อมือมันไปได้
ฤทธิ์เหล็กไหล (2549/2006) *ปีอาจไม่ตรง* ความโลภ ของขลัง ความคงกระพัน และการแย่งชิง นายยนต์ มีเหล็กไหลฝังอยู่ในตัว มีดดาบฟันแทงไม่เข้า กำนันเปี๊ยก จอมอิทธิพล อยากได้ไว้ครอบครองจึงไปติดต่อขอซื้อ แต่นายยนต์ยอมไม่ขายให้ และนำเหล็กไหลออกจากตัวเอง เอาไปฝังในตัวของลูกชาย 2 คน คือ อัคคี และวายุ กำนันเปี๊ยกรู้ข่าวจึงส่งมือปืนไปฆ่าทั้งสอง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะอิทธิฤทธิ์ของเหล็กไหลป้องกันไว้ กำนันเปี๊ยกจึงใช้กำลังและระเบิดสังหารจับอัคคีไว้เป็นตัวประกัน วายุจึงฝ่าอันตรายไปช่วย ในที่สุดกำนันเปี๊ยก ก็ถูกระเบิดของตัวเองตาย
คู่อันตราย (2549/2006) เสี้ยววินาทีแห่งภารกิจเสี่ยงอันตรายสุดขั้ว เรื่องราวของกลุ่มก่อการร้าย โดยมีกำพลเป็นผู้นำและมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้าร่วมด้วย กลุ่มก่อการร้ายได้ใช้คนเข้าเล่นเกมที่ตัวเองสร้างขึ้นโดยให้นักฆ่าเป็นผู้ล่าและฆ่าตำรวจนายหนึ่งจนตาย ตำรวจนายนี้ชื่อ ชาญ อยู่ในหน่วยจู่โจม ซึ่งเขาเป็นพี่ชายของริน เธอกับเมธาได้เข้ามาสืบคดีพี่ชายตัวเองจึงได้รู้เรื่องราวทุกอย่าง ทั้งคู่จึงได้เข้าทำลายกลุ่มของกำพลและทำลายเกมชั่วของพวกมันจนสำเร็จ
เดี่ยวมหากาฬ (2549/2006) *ปีอาจไม่ตรง* การต่อสู้และการเข่นฆ่า สู่การแย่งชิงสมบัติมหาอำนาจศักดิ์สิทธิ์ พระเนตรแสงเพชร สมบัติล้ำค่าแห่งสำนักปราสาทภูผาในหมู่บ้านเล็ก ๆ บนเชิงเขา ได้ถูกสมุนของพ่อเลี้ยงมหาเมฆชิงไป และฆ่าคนในสำนักตายหมด เหลือเพียง สิงขร ศิษย์ผู้พี่ และ จันทรา ศิษย์ผู้น้อง แต่สิงขรได้ร่วมมือกับพวกโจรเพื่อหวังผลประโยชน์มหาศาล จึงมีเพียงจันทราเท่านั้นที่ต้องหาทางนำ พระเนตรแสงเพชรกลับคืนสู่สำนักให้ได้
ไฉไล (2549/2006) กับภารกิจลับสุดยอด ฮาสุดขั้ว ยั่วยวนสุดเดช แอคชั่นสุดเผ็ดร้อน “ชบา” เปิ่น กล้า บ้าบิ่น ตะหลิวสารพัดพิษ “กุหลาบ” เสน่หา เย้ายวน หนามยอกอก “ดอกบัว” สวยพิฆาต คมดาบบาดใจชาย “โป๊ยเซียน” กังฟูขนานแท้ ศิษย์เอกเกิดมาลุย “หน้าวัว” ช้างสารทลายศึก พลังอึดไร้เทียมทาน พวกเรา “พยัคฆ์สาว 5 พันธุ์ไม้” ฮีโร่พันธุ์ใหม่ พร้อมปฏิบัติการปราบปรามเหล่าร้าย
In the Name Of the Tiger เสือภูเขา (2548/2005) บนยอดเขาสูง มีรูปสลักหัวเสือขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านครอบคลุมศาลเจ้าพ่อเสือดำ ซึ่งมีอายุมากกว่า 100 ปี เสมือนเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนในเมืองหลัก ศูนย์กลางแห่งหุบเขาปกครองโดย 2 ผู้มีอิทธิพล คือ นายหัวจเย และ ท้าวไลข่าน ซึ่งแก่งแย่งต้องการ เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว ขณะที่ 2 ฝ่ายยกพวกปะทะกัน จู่ๆภูเขาที่รายล้อมเมืองได้ถล่มลงมา เมื่อภูเขาสงบลง นายหัวจเยได้พาร่างกายสะบักสะบอมไปไหว้ ศาลเจ้าพ่อเสือดำ เพื่อขอบคุณที่ช่วยให้รอดตาย ทันใดนั้นได้ปรากฏร่างชายคนหนึ่งชื่อ เล่าทง ซึ่งอยู่สภาพหิวโซ เข้ามากินของเซ่นไหว้ นายหัวจเยสั่งให้ลูกน้องจัดการ แต่กลายเป็นว่าถูกเล่าทงเล่นงานกลับอย่างรวดเร็ว ด่างลี ชายตัวสั้นจอมกะล่อน ผู้มีหน้าที่เฝ้าศาลจึงได้อุปโลกว่า เล่าทง คือ คนที่เจ้าพ่อเสือดำส่งมาช่วยนายหัวจเยตามคำขอ เพราะท่าทางของเล่าทงที่นั่งคร่อมบนหัวเสือ ไปสอดคล้องกับภาพวาดโบราณในผนังถ้ำ เล่าทง ยอมเข้าไปพวกนายหัวจเยเพื่อแลกกับทองคำ ขณะเดียวกันก็แอบรับทองจากพวกไลข่าน โดยยอมเข้าเป็นพวกเช่นเดียวกัน แผนการดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งเล่าทงได้พบกับ ไหมท้อ สาวกะเหรี่ยงคอยาว ซึ่งถูกพวกของท้าวไลข่านรังแก อีกทั้งยังมี แฝดนรก ยอดฝีมือจอมโหด และ 7 เทพบุตรแดนใต้ ผู้มีใบหน้าราวกับผี กำลังเดินทางมา กำจัดเล่าทง ด้วยเช่นกัน ภารกิจของเล่าทงเพื่อ ช่วยเหลือชนเผ่าคอยาว ไม่ให้ล่มสลายจากการถูกล้างเผ่าพันธุ์ กับการเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของ แฝดนรก และ 7 เทพบุตรแดนใต้ จึงเริ่มต้น
The Tiger Blade เสือคาบดาบ (2548/2005) "...เขาไม่ใช่ตำรวจแต่...มีหน้าที่เก็บกวาดวายร้ายของสังคม..ก่อนส่งต่อให้ตำรวจ ปืน..ดาบ คือ อาวุธประจำกายรายล้อมด้วยสาว ๆ ..ที่เสมือนอาวุธประจำใจ..." ยศธนา (อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร) เจ้าหน้าที่ของหน่วยปฎิบัติการณ์ลับแห่งชาติในมาดหนุ่มเพลย์บอยที่รายล้อมไปด้วยสาว ๆ เคราแดง (อนันต์ บุนนาค), เคราดำ ( ยอดนิยม นิยมสุข) คู่แสบต่างวัยเพื่อนร่วมก๊วนของยศธนา เป้าหมายสำคัญของพวกเขาคือการเก็บกวาดวายร้ายทางสังคม ผู้พันเก้ายอด (พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง) ผู้นำชนกลุ่มน้อยคนร้ายระดับพิสดารซึ่งเป็นทีต้องการของทางการเกิดเสียท่าให้กับ ยศธนา จนถูกกักขังในเรือนจำ ปฎิบัติการณ์บุกชิงคนร้ายอย่างอุกอาจได้เริ่มขึ้นท่ามกลาง การคุมกันของตำรวจอย่างแน่นหนา โดยไม่มีใครทราบว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใคร เพียงแต่รู้ว่าเขาต้องการได้คนมากความสามารถอย่างผู้พันเก้ายอดมาร่วมงานกับ 3 สุดยอดคนร้าย อย่า มเหศักดิ์ (อมรฤทธิ์ สีผึ้ง) ร่างหนังเหนียว ผู้ที่ไม่รู้จักความเจ็บปวดไม่มีอาวุธใดทำร้ายได้ จอมโจร 5 นัด (ชลัฎ ณ สงขลา) ผู้ทีปลิดชีพเหยื่อลงอย่างช้าๆทีละนัดเพื่อความทรมาน และ จี ไอ เจนจิรา (สรวงสุดา ลาวัลย์ประเสริฐ) ความสวยที่มาคู่กับความอันตราย เพื่องานชิ้นสำคัญที่จะส่งผลถึงสถานะของประเทศ พวกเขาต้องการ ผู้พันเก้ายอดร่วมแก๊งด้วยจึงฝ่าวงล้อมตำรวจช่วยเหลือในครั้งนี้ ขณะที่ตำรวจยังไม่มีวี่แววในการควานหาตัวคนร้าย........ แต่ที่นี่หน่วยปฎิบัติการณ์ลับแห่งชาติกำลังได้เบาะแสที่กบดานแรกของพวกมัน หัวหน้าหน่วยระดมยอดฝีมือของหน่วยฯเพื่องานนี้ โดยมี ดวงดาว (พิมลรัตน์ พิศลยบุตร) ช่วยวางแผนในการจับกุมเพราะคนร้ายกลุ่มนี้เป็นที่รู้ดีถึงความไม่ธรรมดาของพวกมัน สมร (ฐิติมา มะลิวัลย์) ค้นพบอาวุธโบราณชนิดหนึ่ง จากคอมพิวเตอร์ที่เขาเจาะข้อมูลเข้าไป และนี่คือหนทางเดียวที่จะกำจัด มเหศักดิ์ มนุษย์หนังเหนียวนี่ได้ ดาบชนิดนี้นอกจากเจ้าของที่แท้จริงของมันแล้วไม่มีผู้ใดที่จะมีพละกำลังยกมันขึ้นมาได้เกิดอาเพศขึ้นในขณะที่พวกเขาค้นพบดาบเจอยศธนา คือผู้ที่ยก "ดาบทาสเหล็กไหล" นี้ได้ เขาได้ฉายาว่า "เสือคาบดาบ" การเผชิญหน้าได้เริ่มขึ้นมันไม่ใช่เพียง ตำรวจ ตามจับผู้ร้ายเท่านั้นหากแต่กลวิธีการไล่ล่าที่ต้องปรับกระบวนการให้เหมาะกับคนร้ายแต่ละคนการตอบโต้ที่พลิกแพลงตลอดเวลาแผนการณ์เพื่องานชิ้น สำคัญเทคโนโลยีล้ำยุคไสยศาสตร์อันถาวรสาวสวยไม่ซ้ำหน้ามิตรภาพต่างขั้วและ ดาบทาสเหล็กไหลพบกับจุดจบที่คาดไม่ถึง
The King Maker กบฏ ท้าวศรีสุดาจัน (2548/2005) “เฟอร์นานโด เดอ กัมมา” (แกรี สเตร็ช) ทหารรับจ้างหนุ่มจากประเทศโปรตุเกส ออกเดินทางมายังดินแดนในซีกโลกตะวันออกใน ค.ศ 1547 เพื่อแสวงหาความร่ำรวยเฉกเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมชาติอีกหลายคนไปพร้อมกับการติดตามร่องรอยของบุคคลในอดีตที่เคยสังหารพ่อของเขาต่อหน้าต่อตาในขณะที่เขามีอายุเพียง 8 ขวบ ภาพความทรงจำดังกล่าวเป็นที่ติดตาและฝังใจแก่เขาเสมอมา แต่ในระหว่างการเดินเรือเขาพร้อมกับพวกพ้องกลับต้องเผชิญกับเคราะห์ร้ายเมื่อพายุทะเลคลั่งโหมซัดจนทำให้เรือจมลงใต้พื้นมหาสมุทรอินเดียอันกว้างใหญ่ เหลือเพียงเขาคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้จากเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าเขาถูกพ่อค้าทาสชาวอาหรับจับตัวไปยังดินแดนอยุธยาเพื่อขายเป็นทาส กรุงศรีอยุธยาเมื่อราว 458 ปีที่แล้วกล่าวได้ว่าเป็นดินแดนแห่งการค้าขายที่เหล่าอาณาประเทศและผู้คนหลากหลายเชื้อชาติต่างหลั่งไหล่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นชาวตะวันตกไปจนถึงตะวันออกที่ใกล้เคียง แต่ใช่ว่าโชคชะตาของเฟอร์นานโดจะอับโชตเสียทีเดียว เมื่อเขาได้รับการไถ่ตัวให้มีอิสรภาพจาก “มาเรีย” (สิรินยา เบอร์บริดจ์) หญิงสาวชาวโปรตุเกสผู้มีจิตใจงดงามที่เดินทางติดตาม “ฟิลลิปป์” (จอห์น รีส-เดวีส์) บิดาผู้ที่ทำหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างกำแพงเมืองให้กับ “พระชัยราชา” (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) กษัตริยแห่งอยุธยา ต่อมาเมื่อกษัตริย์แห่งลานนาคิดแข็งข้อต่ออยุธยาโดยการส่งศีรษะของผู้ส่งสารมาให้ พระชัยราชาทรงกริ้วเป็นอย่างยิ่งจึงตัดสินใจยกทัพเข้าสู่ศึกสงครามพร้อมกับ “พระมหาจักรพรรดิ” (โอลิเวอร์ พูพาร์ท) พระเชษฐาของพระชัยราชา ส่งผลให้เหล่าพันธมิตรของอยุธยา ไม่ว่าจะเป็นชุมชนโปรตุเกส, ญี่ปุ่นต่างเข้าร่วมทำศึกในครั้งนี้ เฟอร์นานโดเองก็เข้าร่วมรบในฐานะทหารที่มีประสบการณ์ จึงไม่น่าแปลกใจที่ความห้าวหาญในฐานะนักรบของเขาจะสร้างความพึงพอพระทัยแก่องค์กษัตริย์จนพระองค์แต่งตั้งเขาให้เป็นหนึ่งในราชองครักษ์พร้อมกันกับเพื่อนใหม่ชาวไทยผู้อาจหาญนาม “ทอง” (ดอม เหตระกูล) ที่เขาได้มีโอกาสช่วยชีวิตไว้ในสมรภูมิรบ ขณะเดียวกัน “มเหสีสุดาจัน” (ยศวดี หัสดีวิจิตร) ผู้เลอโฉมแต่ร้ายกาจได้วางแผนลอบปลงพระชนม์พระชัยราชาและ “พระยอดฟ้า” (ชาลี ไตรรัตน์) พระโอรสที่เกิดกับตนขึ้น เพื่อที่จะจะปูทางให้ “พันบุตรศรีเทพ” (อัครา อมาตยกุล) ชู้รักของนางขึ้นครองราชย์ โดยมีมือสังหารจากต่างชาติร่วมมือในแผนการร้าย นายทองและเฟอร์นานโดราชองครักษ์ปกป้องกษัตริย์ชนิดถวายหัว และพยายามสืบหาผู้อยู่เบื้องหลังแผนการร้ายในครั้งนี้ ก่อนที่จะพบว่ามีเงื่อนงำบางอย่างเชื่อมโยงมายังฟิลลิปป์พ่อของมาเรีย แต่แล้วโดยที่ไม่มีใครคาดคิด ทั้งสองพบว่าพระมเหสีมีส่วนสำคัญในแผนการครั้งนี้ แต่ก็สายเกินกว่าจะช่วยพระมหากษัตริย์ให้รอดพ้นจากการถูกพระมเหสีวางยาได้ เช่นเดียวกันกับที่พระโอรสซึ่งถูกเหล่าองครักษ์ผู้ของมเหสีปลงพระชนม์ เมื่อกษัตริย์ทรงสวรรคต เฟอร์นานโดกับทองกลายเป็นผู้ถูกกล่าวโทษว่าเป็นผู้เกี่ยวข้อง โดยมาเรียและครอบครัวของทองเองก็ถูกทหารจับตัวไป เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป เตรียมพบกับอีกหนึ่งมุมมองของเรื่องราวจากประวัติศาสตร์ที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องยิ่งใหญ่ระดับฮอลลีวูด “กบฏท้าวศรีสุดาจัน” 20 ต.ค.นี้ ในโรงภาพยนตร์
Dek Dehn เด็กเดน (2548/2005) เด็กเดน เรื่องราวของ แจ็ค (แจ๊คแฟนฉัน) นักเรียนมัธยมที่พยายามจีบหญิงจนเป็นเหตุของนักเรียนสองสถาบัน ก่อเหตุยกพวกตีกันกลางเมือง จนทำให้มีผู้บาดเจ็บ หนึ่งในนั้น คือวิว (แพททริค ชานนท์) กับน้องอิ๋ว (ณัฐกุล พิชยะพงษ์ไพบูลย์) น้องสาวสุดที่รักของชาญ(ธนากร โปษยานนท์) ได้รับบาดเจ็บจนกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา เหตุการณ์ครั้งนี้ ชาญหัวใจแทบสลาย เจ้าหน้าที่รวบตัวนักเรียนได้จำนวนหนึ่ง หนึ่งในนั้นมี แจ็ค อาจารย์ดุสิต(ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง) และวณิพก(ใหม่ วงไอน้ำ) ติดร่างแหไปด้วย ทุกคนจึงโดนส่งไปฝึกอบรมในโครงการบุรุษอาชีวะ ในค่ายทหารแห่งหนึ่งในภาคใต้ ซึ่งมีผู้กองอภิวัฒน์( ปั๋ง ประกาศิต) จ่าสมหมาย (ฐิติ พุ่มอ่อน) จ่าชะเอม (ทวีศักดิ์ นกเทศ) จ่าสมร (อุบลวรรณ บุญรอด) เป็นครูฝึก แต่แจ็ค อาจารย์ดุสิตและวณิพก และหัวโจกสองสถาบันนำโดย ขิง (หลุยส์ สก๊อตต์)และแว่น (นันทศัย พิศยบุตร)กับพวกแว่น (นันทศัย พิศยบุตร)วางแผนหนีออกจากค่ายแม้จะพ้นออกมาได้แต่ต้องไปอยู่ในเหตุการณ์สมรภูมินองเลือดอีก และจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาอีก
ต้มยำกุ้ง (2548)

เรื่องย่อ : The Protector ต้มยำกุ้ง (2548/2005) การเดินทางข้ามโลกของ “ขาม” (จา พนม ยีรัมย์) เด็กหนุ่มบ้านป่าที่ชีวิตต้องพลิกผันโดยเงื้อมมือของผู้มีอิทธิพลระดับประเทศที่ลักพาช้างพลายสองพ่อลูก ซึ่งเด็กหนุ่มและ “พ่อของขาม” (โสรธร รุ่งเรือง) เขารักดั่งชีวิต และมีความมุ่งหมายอันสูงสุดที่จะมอบเป็นคชบาทแด่ในหลวง ไปขาย ณ ประเทศออสเตรเลีย ทางเดียวที่จะช่วยเหลือและรักษาชีวิตของช้างอันเป็นที่รักของเขาได้ นั่นก็คือ การบุกตะลุยถึงถิ่นเสือ โดยการเดินทางข้ามโลก เรื่องไม่ง่ายอย่างใจคิด แม้เขาจะได้รับความช่วยเหลือจาก “จ่ามาร์ค” (หม่ำ จ๊กมก) นายตำรวจไทยและ “ปลา” (บงกช คงมาลัย) สาวไทยที่ถูกหลอกมาขายตัวในซิดนีย์ก็ตาม แต่ที่นั่น เขากลับต้องไปพัวพันกับการไล่ล่าของแก๊งมาเฟียที่นำโดย “มาดามโรส” (จิน ซิง) ที่มีลูกสมุนต่างชาติที่เต็มไปด้วยฝีมือทางการต่อสู้อย่าง “จอห์นนี่” (จอห์นนี่ เหงียน) และ “ทีเค” (นาธาน โจนส์) พร้อมลูกสมุนย่อยที่มีฝีไม้ลายมือทางการต่อสู้เหลือรับอย่าง “คาโปเอร่า” (ลาธีฟ คราวเดอร์) และ “วูซู” (จอน ฟู) อย่างไม่ได้ตั้งใจ ณ วินาทีนี้ การต่อสู้ข้ามชาติเพื่อเอาชีวิตรอดของเด็กหนุ่มและเพื่อนพ้อง ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เพื่อตามหาและช่วยเหลือ พ่อใหญ่ และ ขอน ช้างพ่อลูก ที่เปรียบได้กับญาติพี่น้องของเขา นำไปสู่บททดสอบและการต่อสู้ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาให้โลกได้ล่วงรู้ถึง อานุภาพของ "ไม้มวยไทยโบราณ" ที่หนักหน่วง รุนแรง และยังไม่เคยได้รับการเปิดเผยมาก่อน โดยเฉพาะ "ตำนานมวยคชสาร"

ชาละวัน – ไกรทอง 2 (2548/2005) จากตำนานแห่งความรักของคนกับจระเข้ ระหว่างชาละวันกับตะเพาแก้วในอดีต ทำให้ชาละวันเฝ้าฝึกบำเพ็ญเพียรจนทำให้พญาจระเข้กลายเป็นมนุษย์ขึ้นมาใหม่และออกตามกระแสจิตของแพร ดีไซน์เนอร์สาว ผู้ที่ครั้งหนึ่งคือตะเพาแก้ว แต่ก็ต้องเจอกับไกรทองนักสารคดีที่กำลังออกตามล่าชาละวัน ไกรนำพรรคพวกและอาวุธที่ทันสมัย ตามรอยชาละวัน จึงรู้ความจริงจากคัมภีร์โบราณ ความรักครั้งนี้ แม้จะเป็นรักใหม่ที่ชาละวันพยายามจะฝืนลิขิตธรรมชาติแต่กลับสร้างความรุนแรงด้วยไฟราคะที่สุมอยู่ในอกจระเข้ยักษ์ ซึ่งครั้งนี้เป็นหายนะที่นำไปสู่การสูญสิ้นตำนาน ชาละวัน ไกรทองอย่างแท้จริง..