แอคชั่น
คู่แรด (2550/2007) เซกิ นายตำรวจญี่ปุ่นเดินทางสืบหาฆาตกรโหด ซึ่งสังหารเหยื่อเป็นจำนวนมากในประเทศไทย ฆาตกรรายนี้จะตามล่าเฉพาะกะเทยเท่านั้น โดยมีพยานที่สามารถชี้ตัวฆาตกรผู้นี้ได้คือ ลิลลี่ (แสดงโดยหม่ำ จ๊กมก) และหนึ่งในผู้ที่ถูกฆาตกรรายนี้ฆ่าก็คือ แองจี้ (สมเกียรติ จันทร์พราหมณ์) ซึ่งเป็นเพื่อนรักของลิลลี่ ลิลลี่สามารถใช้เส้นสายจากที่บ้าน ไปเข้าทำงานในคลับคาบาเร่ต์แห่งหนึ่งได้ โดยเซกิทำหน้าที่ปกป้องเธอ แต่เมื่อเกิดการไล่ล่าขึ้นในแหล่งซ่อนตัวของเธอ เซกิเริ่มตระหนักได้ว่าลิลลี่ไม่ได้อ่อนแออย่างกะเทยทั่วไป ลิลลี่สามารถเตะ ต่อย และหลบเลี่ยงจากการถูกรุมได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ต่อมาลิลลี่ตัดสินใจกลับไปหากลุ่มเพื่อนฝูงเหมือนเดิม แล้วเซกิกับลิลลี่ก็มีเหตุให้ไปรู้ว่า มีการแอบลอบวางระเบิดอยู่ใต้เวทีการแสดงในงานประกวดกะเทยประจำปี ในที่ทำงานของเธอ และเป็นวันที่ฆาตกรโหดกำลังจะกระทำการล่าเหยื่อรายต่อไป
เท่ง โหน่ง คนมาหาเฮีย (2550/2007) ภารกิจฮามาหาเฮียเริ่มต้นขึ้น…เมื่อ “เท่ง” (พงษ์ศักดิ์ พงษ์สุวรรณ) และ “โหน่ง” (ชูศักดิ์ เอี่ยมสุข) 2 คู่ซี้เด็กรับรถธรรมด๊าธรรมดาประจำคาเฟ่แห่งหนึ่งต้องจับพลัดจับผลูออกเดินทางไปปฏิบัติภารกิจสำคัญที่ไม่ทำก็ไม่ได้ และคนที่ทำได้ก็มีแค่ “เท่ง-โหน่ง” สองคนเท่านั้น ตามคำสั่งแกมบังคับของ “เฮียเปี๊ยก” (ไพโรจน์ ใจสิงห์) มาเฟียรุ่นเดอะเพื่อจัดส่ง “ตุ๊กตาอาแป๊ะนั่งตกปลา” ไปให้กับ “เฮียสี่” (แอนดี้ เขมพิมุก) มาเฟียรุ่นใหม่ไฟแรง ถึงถิ่นที่ “หาดตาปุ่น” โดยหารู้ไม่ว่าภารกิจครั้งนี้มีสหายที่ไม่ได้รับเชิญร่วมติดตามกันเป็นพรวนตั้งแต่ “นวล” (มายากลแบทแมน) นักฆ่าฝีมือดีทั้งในเรื่องการฆ่าคนตามใบสั่งพอๆ กับความเป็นเลิศในการเล่นมายากลที่เฮียเปี๊ยกส่งมาให้จัดการปิดปากแพะอย่างเท่งโหน่งหลังเสร็จสิ้นภารกิจ รวมไปถึง “หมวดน้ำตาล” (วีเจลูกเกด) พร้อมคู่หู “จ่าแมน” (ต้น Thailand Perfect Man) และหน่วยปฏิบัติการพิเศษชุดใหญ่จากกรมตำรวจเพื่อเฝ้าติดตามภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ของ 2 คู่ซี้เท่งกะโหน่งที่กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อจัดการกับ 2 เฮียมาเฟียซะด้วสิ งานนี้ทำเอาทั้งคู่ต้องเข้าไปนัวเนียกับสาวๆ มากหน้าหลายตา พัวพันกับผู้คนหลากชนชั้นหลายอาชีพตั้งแต่สาวเสิร์ฟผู้ปลาบปลื้มและหลงใหลในหมีแพนด้าเป็นชีวิตจิตใจ, ฝรั่งชาวต่างชาติตัวโตและขี้โมโหไม่ใช่เล่น, มาเฟียประจำท้องถิ่นที่ชอบหาเรื่องกร่างชาวบ้านแถบร้านข้าวมันไก่ริมทางไปเรื่อย ไปจนถึงสาวรถซิ่งที่งามงดหมดจดทั้งรูปร่างและหัวใจ หรือแม้แต่สารวัตรหน้าเหลี่ยมผู้มีเอกลักษณ์บนใบหน้าเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร และอีกสารพัด ฯลฯ งานง่ายๆ ราวกับการส่งพิซซาแบบนี้ เท่งก็ชอบโหน่งก็ถนัด แต่ไหงทำไมพอมาตกอยู่ในมือของทั้งคู่จึงกลายเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ สนุกสนาน ชุลมุน ตื่นเต้น และอุดมไปด้วยความฮาตลอดการเดินทาง…มา…หา…เฮีย
บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 2 (2550/2007) เรื่องราวต้นกำเนิดของวงศ์คมก่อนที่จะมาเป็นบอดี้การ์ดให้กับท่านโชติและชายชล ในขณะที่เป็นตำรวจพิเศษของรัฐบาลสาธารณรัฐหนองหวายหลึม เขาได้รับคำสั่งให้แทรกซึมเข้าไปยังบริษัท "GRSM GRAMMA" บริษัทค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ที่มี "เฮียสุรชัย" และ "สุชิน" เป็นเจ้าของ แต่เบื้องหลังแล้วทั้งสองคือพ่อค้าอาวุธเถื่อนรายใหญ่ คำเหลาได้แทรกซึมโดยการเข้าไปเป็นนักร้องในบริษัท โดยใช้ชื่อในวงการว่า "มัมมี่ เหลา" และที่นี่เขาได้พบกับ "พอลล่า" เลขาสาวสวยของเฮียสุรชัยและ สุชิน ซึ่งแท้จริงแล้วเธอคือ CIA ปลอมตัวมา ซึ่งทั้งคู่จะต้องร่วมมือกันหยุดยั้งเฮียสุรชัยและสุชินให้ได้ คำเหลา (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) เจ้าหน้าที่ มือดีอันดับต้น ๆ แต่ชอบทำเรื่องซวยให้เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่หนักใจ ของหน่วยสืบสวนพิเศษสำนักงานสืบสวนเฉพาะกิจแห่งสาธารณรัฐชาติเวียง ได้ถูกส่งตัวไปยังประเทศไทยหลังจากที่ทางหน่วยงานได้ข้อมูลลับมาว่า มีผู้ก่อการร้ายรายใหญ่ สุชิน (สุชิน ควรสงวน) และสุรชัย (สุรชัย สมบัติเจริญ) ที่มุ่งทำลายสาธารณรัฐชาติเวียงแฝงตัวอยู่ในประเทศไทย โดยได้เปิดธุรกิจค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ภายใต้แบรนด์ GRSM GRAMMA บังหน้า ทางหน่วย(รัฐเวียง)จึงได้ส่งคำเหลา เข้าไปปฏิบัติการต่อต้านผู้ไม่ประสงค์ดีรายนี้ คำเหลาเลยจำเป็นต้องงัดกลยุทธทั้งหมดโกหก เขียว (เจเน็ต เขียว) ภรรยาของตัวเองว่าต้องไปทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯ โดยที่ไม่เคยปริปากบอกแม้แต่นิดเดียวว่าตัวเองทำงานมีเกียรติขนาดไหน เขียวได้แต่สงสัย คำเหลาแฝงตัวเข้าไปเป็นนักร้องในบริษัทค่ายเทป GRSM ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ระดับประเทศที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายตั้งขึ้นเพื่อใช้บังหน้า โดยคำเหลามาสมัครเป็นนักร้องโดยใช้ชื่อว่า มัมมี่ เหลา จนกลายเป็นที่โด่งดังระดับซุปเปอร์สตาร์ขวัญใจประเทศเพียงชั่วข้ามคืน จนสามารถทำยอดทะลุเป้าไปได้มากกว่า 100 ล้านแผ่น และในขณะที่มัมมี่เหลาโด่งดังขึ้นก็ได้พบกับ พอลล่า (แจ็คเกอลิน อภิธนานนท์) นักสืบสาวจากหน่วยงานต่างประเทศที่แฝงตัวเข้ามาเป็นเลขาของ สุชิน และ เฮียสุรชัย ซึ่งเข้ามาปฏิบัติการอยู่ก่อนแล้วโดยที่คำเหลาไม่รู้ตัวมาก่อน คำเหลาและพอลล่า ทั้งสองคนต้องร่วมมือกันเพื่อจัดการกับผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ให้ได้ก่อนที่จะเกิดการปฏิบัติการระเบิดถล่มเมืองขึ้น ภาระกิจเพื่อประเทศและแฟนเพลงจึงเต็มไปด้วยความโกลาหล ปฎิบัติการสาดกระสุนกระหน่ำ สาดมุขกระจายของคำเหลากำลังจะเริ่มต้นขึ้น!
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๒ ประกาศอิสรภาพ (2550/2007) พ.ศ. 2114 “สมเด็จพระมหาธรรมราชา” ซึ่งพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยาสืบต่อจากพระมหินทราธิราชได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นอุปราชครองเมืองพิษณุโลก เมื่อพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสวรรคตในปี พ.ศ. 2124 “พระเจ้านันทบุเรง” ขึ้นเสวยราชย์สืบแทน และสถาปนาพระโอรส “มังสามเกียด” ขึ้นเป็น “พระมหาอุปราชา” รัชทายาท ในการนี้เจ้าเมืองประเทศราชทั้งหลายต้องมาร่วมแสดงความสวามิภักดิ์ รวมถึงพระมหาธรรมราชาและสมเด็จพระนเรศวรด้วย ในขณะที่เจ้าฟ้าเมืองคังไม่ได้เสด็จมาร่วมพระราชพิธีสำคัญครั้งนี้ เป็นเหตุให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงทรงมอบหมายให้พระมหาอุปราชา, พระราชนัดดา “นัดจินหน่อง” พระโอรสเจ้าเมืองตองอู, และสมเด็จพระนเรศวรช่วยกันเข้าตีเมืองคัง แต่พระมหาอุปราชากลับสั่งให้สมเด็จพระนเรศวรเข้าตีเป็นทัพสุดท้าย ด้วยความมั่นใจว่าทัพของพระองค์และนัดจินหน่องจะประสบความสำเร็จ แต่ปรากฏว่าสมเด็จพระนเรศวรทรงมีชัยชนะในศึกเมืองคังนี้ สามารถจับตัวเจ้าฟ้าเมืองคังและพระธิดา “เลอขิ่น” กลับมาได้ รัชทายาทหงสาวดีและราชนิกูลฝ่ายพม่าซึ่งเป็นคู่ปรับกันมาตั้งแต่เยาว์วัยจึงขุ่นเคืองอาฆาตสมเด็จพระนเรศวรเป็นทวีคูณ ต่อมาเมื่อเกิดศึกอังวะ พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงให้สมเด็จพระนเรศวรนำทัพมาช่วยรบ แต่พระมหาอุปราชากลับใช้โอกาสนี้วางแผนลอบปลงพระชนม์ ในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรทรงยั้งทัพอยู่ ณ เมืองแครง แต่ข่าวการลอบปลงพระชนม์ได้ล่วงรู้ถึงสมเด็จพระนเรศวรผ่านทางพระมหาเถรคันฉ่อง สมเด็จพระนเรศวรจึงถือเหตุการลอบปลงพระชนม์ในการประกาศอิสรภาพตัดสัมพันธไมตรีกับหงสาวดี และกวาดต้อนชาวไทยชาวมอญกลับคืนพระนคร ฝ่ายหงสาวดีเมื่อทราบว่าการลอบปลงพระชนม์ไม่สำเร็จจึงให้นายทัพสุระกำมาเร่งนำทัพออกติดตามทัพของสมเด็จพระนเรศวร ในที่สุดก็ทัพหงสาวดีก็ตามมาถึงในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรและไพร่พลกำลังข้ามแม่น้ำ และศึกครั้งนี้สมเด็จพระนเศวรทรงใช้พระแสงปืนต้นยิงข้ามแม่น้ำสะโตงถูกแม่ทัพสุระกำมาตายบนคอช้าง ทัพพม่าจึงล่าถอยกลับไป
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๑ องค์ประกันหงสา (2550/2007) พุทธศักราช 2106 “พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง” ทรงกรีฑาทัพเข้าตีราชอาณาจักรอยุธยาทางด่านระแหงแขวงเมืองตาก ทัพพม่ารามัญซึ่งมีรี้พลเหลือคณานับได้เข้ายึดครองหัวเมืองฝ่ายเหนือของราชอาณาจักรอยุธยาอันมีเมืองพิษณุโลกเป็นประหนึ่งเมืองราชธานีได้เป็นผลสำเร็จ ครั้งนั้น “สมเด็จพระมหาธรรมราชา” (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) พระราชบิดาของ “สมเด็จพระนเรศวร” หรือ “พระองค์ดำ” (ปรัชฌา สนั่นวัฒนานนท์) ซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินครองเมืองพิษณุโลกจำต้องยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนองเพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตอาณาประชาราษฎร์มิให้ต้องมีภยันตรายและจำต้องยอมร่วมกระบวนทัพพม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยา ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหา จักรพรรดิเจ้าแผ่นดินอยุธยาทรงยอมเจรจาหย่าศึกกับพม่ารามัญ และยอมถวายช้างเผือก 4 เชือก ทั้งให้สมเด็จพระราเมศวรราชโอรสโดยเสด็จพระเจ้าบุเรงนองไปประทับยังนครหงสาวดีตามพระประสงค์ของกษัตริย์พม่า ข้างสมเด็จพระมหาธรรมราชาซึ่งได้ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนองก็ได้ถวายสมเด็จพระนเรศวรราชโอรสองค์โตให้ไปเป็นองค์ประกันประทับยังหงสาประเทศเฉกเช่นกัน ครั้งนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้เพียง 9 ชันษา สมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นที่รักใคร่ของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองประดุจพระราชบุตรร่วมสายสันตติวงศ์ ด้วยองค์ยุพราชอยุธยาทรงมีพระปรีชาสามารถด้านพิชัยยุทธ ทั้งยังองอาจกล้าหาญสบพระทัยกษัตริย์พม่าซึ่งก็ทรงเป็นนักการทหาร นิยมผู้มีคุณสมบัติเป็นนักรบเยี่ยงพระองค์ พระเจ้าบุเรงนองทรงมีสายพระเนตรยาวไกล แลเห็นว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอุษาคเนย์ประเทศ จึงทรงคิดใคร่ปลูกฝังให้สมเด็จพระนเรศวรผูกพระทัยรักแผ่นดินหงสา เพื่อจะได้อาศัยพระองค์เป็นผู้สืบอำนาจอุปถัมภ์ค้ำชูราชอาณาจักรซึ่งพระองค์ทรงสถาปนาขึ้นด้วยความยากลำบาก เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระเจ้าบุเรงนองนั้นหาได้วางพระทัยในพระราชโอรสคือ “มังเอิน – พระเจ้านันทบุเรง” (จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์) และพระราชนัดดา “มังสามเกียด” (โชติ บัวสุวรรณ) นัก ถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขโดยตรง ด้วยทรงเล็งเห็นว่าราชนิกุลทั้งสองพระองค์นั้นหาได้เป็นผู้ทรงคุณธรรมอันจะน้อมนำเป็นพื้นฐานให้เติบใหญ่เป็นบูรพกษัตริย์ ปกป้องครองแผ่นดินที่พระองค์ทรงสร้างและทำนุบำรุงมาด้วยกำลังสติปัญญาและความรักใคร่หวงแหน เหตุทั้งนี้เป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงและราชโอรสมังสามเกียดขัดพระทัย ทั้งผูกจิตริษยาสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองกว่าราชนิกุลข้างพม่าทั้งหลายทั้งสิ้น พระเจ้าบุเรงนองทรงโปรดให้ “พระมหาเถรคันฉ่อง” (สรพงษ์ ชาตรี) พระรามัญผู้มากด้วยวิทยาคุณและเจนจบในตำราพิชัยสงครามเป็นพระอาจารย์ถ่ายทอดศิลปะวิทยาการแก่สมเด็จพระนเรศวร นับแต่เริ่มเข้าประทับในหงสานครยังผลให้ยุพราชอยุธยาเชี่ยวชาญการยุทธ กลช้าง กลม้า กลศึก ทั้งข้างอยุธยาและข้างพม่ารามัญหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ข้อได้เปรียบตามกล่าวเป็นเสมือนทุนทางปัญญาอันส่งผลให้สมเด็จพระนเรศวรสามารถกอบกู้เอกราช แก้ทางศึกจนมีชัยเหนือพม่ารามัญในภายภาคหน้า พุทธศักราช 2112 ปรากฏข่าวระบือไปถึงหงสาวดีว่าหัวเมืองพิษณุโลกฝ่ายเหนือแลกรุงศรีอยุธยาราชธานีฝ่ายใต้ของราชอาณาจักรสยามครั้งนั้นเกิดขัดแย้งปีนเกลียวกัน เหตุเนื่องมาจาก “สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ” (ศรัณยู วงศ์กระจ่าง) เจ้าแผ่นดินอยุธยาเสด็จออกผนวช แลสถาปนา “สมเด็จพระมหินทร์” (สันติสุข พรหมศิริ) ราชโอรสองค์รองขึ้นเสวยราชสมบัติสืบแทน สมเด็จพระมหินทร์ทรงคลางแคลงพระทัยในความจงรักภักดีของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแต่ครั้งสงครามชิงช้างเผือกในปีพุทธศักราช 2106 ขณะที่เจ้าแผ่นดินพิษณุโลกก็หาได้ยำเกรงสมเด็จพระมหินทร์เช่นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อเห็นการใดมิควรก็บังคับบัญชาให้สมเด็จพระมหินทร์ปฏิบัติตามพระประสงค์จนเป็นที่ขุ่นเคืองพระราชหฤทัยกษัตริย์อยุธยาพระองค์ใหม่ถึงกับหันไปสมคบกับ “สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช” (รอน บรรจงสร้าง) พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาวร่วมกันแต่งกลเข้าตีเมืองพิษณุโลก แต่กระทำการมิสำเร็จพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเห็นเชิงสบโอกาสก็ยกทัพใหญ่เข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีกคำรบ ครั้งนั้นสมเด็จพระนเรศวรร่วมโดยเสด็จมากับทัพหงสาแต่หาได้ตามพระเจ้าบุเรงนองลงมาล้อมกรุงศรีอยุธยา ทรงประทับอยู่เพียงเมืองพิษณุโลก มีเพียงสมเด็จพระมหาธรรมราชาโดยเสด็จกษัตริย์หงสาลงมาล้อมกรุงด้วยตั้งพระทัยจะเกลี้ยกล่อมให้สมเด็จพระมหินทร์ยอมสวามิภักดิ์พระเจ้าบุเรงนอง เพราะเล็งเห็นว่าอยุธยายากจะต่อรบเอาชัยทัพพม่ารามัญซึ่งมีกำลังไพร่พลเหนือกว่าได้ หากขัดขืนต่อรบจะได้ยากแก่สมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎร์ ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงลาผนวชมาบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง แต่อยู่ได้มิช้านานก็เสด็จสวรรคตเสียระหว่างศึกพุทธศักราช 2112 มะเส็งศก วันอาทิตย์ เดือน 9 แรม 11 ค่ำ กรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ข้างสมเด็จพระนเรศวรซึ่งประทับอยู่ยั้งยังนครพิษณุโลกแต่ต้นศึก หาได้ทรงเห็นงามหรือคิดครั่นคร้ามอ่อนน้อมต่อหงสา ถึงจะทรงรู้ซึ้งว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชบิดามิได้คิดคดเป็นกบฏต่อแผ่นดิน แต่ก็หาได้เห็นด้วยกับการอ่อนข้อสวามิภักดิ์พม่ารามัญ น้ำพระทัยอันมั่นคงเด็ดเดี่ยวนั้น ถึงแม้จะมิได้แพร่งพรายถึงพระกรรณพระเจ้าบุเรงนอง แต่ก็ประจักษ์อยู่ในหมู่ข้าราชบริพารใกล้ชิดผู้รักและหวงแหนในเอกราชของแผ่นดินจึงพากันนิยมในน้ำพระทัย แลพร้อมใจถวายความจงรักภักดีแต่นั้นมา ครั้นเสร็จศึกอยุธยาพุทธศักราช 2112 สมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงถวาย “พระสุพรรณกัลยา” (เกรซ มหาดำรงค์กุล) พระพี่นางสมเด็จพระนเรศวรแก่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง แลขอตัวสมเด็จพระนเรศวรไว้ช่วยราชการข้างอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรจึงประทับยั้งอยู่ยังเมืองพิษณุโลก สืบต่อมาครั้นลุปีพุทธศักราช 2114 สมเด็จพระมหาธรรมราชา ซึ่งพระเจ้าบุเรงนองสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยาสืบต่อจากสมเด็จพระมหินทร์ก็โปรดให้สมเด็จพระนเรศวรเสวยราชย์ครองเมืองพิษณุโลกเป็นใหญ่เหนือหัวเมืองเหนือทั้งปวง เหตุการณ์ข้างพม่า หลังจากพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสิ้นพระชนม์ในปีพุทธศักราช 2124 พระเจ้านันทบุเรงได้ขึ้นเสวยราชสืบต่อและได้สถาปนามังสามเกียดขึ้นเป็นรัชทายาทครองตำแหน่งมหาอุปราชาแห่งราชอาณาจักรหงสาวดี เมื่อแผ่นดินหงสามีอันต้องผลัดมือมาอยู่ในปกครองของพระเจ้านันทบุเรง สัมพันธไมตรีระหว่างอยุธยาและหงสาวดีก็เริ่มสั่นคลอน ด้วยพระเจ้าหงสาวดีพระองค์ใหม่มิได้วางพระทัยในสมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระนเรศวรเองก็หาได้เคารพยำเกรงในบุญบารมีของพระเจ้าแผ่นดินพม่ารามัญเช่นกาลก่อน มิเพียงเท่านั้นสมเด็จพระนเรศวรยังได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถให้เป็นที่ปรากฏครั่นคร้าม ดังคราวนำกำลังทำยุทธนาวีกับพระยาจีนจันตุและศึกเมืองคังเป็นอาทิ พระเจ้านันทบุเรงทรงเกรงว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะเป็นภัยต่อพระราชวงศ์แลแผ่นดินหงสา จึงหาเหตุวางกลศึกหมายจะปลงพระชนม์สมเด็จพระนเรศวรเสียที่เมืองแครง แต่พระมหาเถรคันฉ่องพระราชครูลอบนำแผนประทุษร้ายนั้นมาแจ้งให้ศิษย์รักได้รู้ความ สมเด็จพระนเรศวรจึงถือเป็นเหตุประกาศเอกราช ตัดสัมพันธไมตรีกับหงสาวดี แลกวาดต้อนครัวมอญไทยข้ามแม่น้ำสะโตงกลับคืนพระนคร ซึ่งเป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงเปิดมหายุทธสงครามสั่งทัพเข้ารุกรานราชอาณาจักรอยุธยาสืบแต่นั้นมา
เรื่องย่อ : ฅนไฟบิน (2549/2006) ปี พ.ศ. 2398 เป็นต้นมาได้เกิดอาชีพ “นายฮ้อย” ขึ้นมา เพราะประเทศต้องการทำนาเพื่อนำข้าวส่งออกต่างประเทศ เหล่ากลุ่มนายฮ้อยเหล่านี้ต้อนควายเพื่อมาขายยังกรุงเทพฯ นายฮ้อยบางกลุ่มก็เป็นโจรแฝงมาเพื่อปล้นควายและฆ่าชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนโดยทางการมิได้เข้าช่วยเหลือแต่อย่างใด หนำซ้ำ “พระยาแหว่ง” (ลีโอ พุฒ-พุฒิพงศ์ ศรีวัฒน์) ยังต้องการให้ฆ่าควายให้หมดอีกด้วยเพื่อจะได้ขายรถไถฝรั่งให้กับประชาชนใช้แทนควาย กลุ่มนายฮ้อยโจรเหล่านี้ต้องเผชิญกับ “โจรบั้งไฟ“ (ชูพงษ์ ช่างปรุง) ผู้ออกปล้นด้วยเหตุผล 2 ประการคือ ช่วยเหลือชาวบ้านผู้ทุกข์ยาก และที่สำคัญหาคนที่ฆ่าพ่อแม่ของตน จนกระทั่งเจอกับ “นายฮ้อยสิงห์” (สามารถ พยัคฆ์อรุณ) และเชื่อมั่นว่าเป็นคนฆ่าพ่อแม่ของตนจริงๆ ในขณะที่พระยาแหว่งจ้างโจรปล้นฆ่านายฮ้อยได้หมด แต่กลับไม่สามารถฆ่านายฮ้อยสิงห์คนที่ไม่เคยแพ้ใครได้ พระยาแหว่งจึงวางแผนหลอกใช้โจรบั้งไฟและ “ปอบดำ” (พันนา ฤทธิไกร) ผู้ลึกลับและมีความแค้นอยู่กับนายฮ้อยสิงห์มานาน จึงตกลงใจช่วยเหลือโดยทันที ทั้งพระยาแหว่งและโจรบั้งไฟต่างก็หลงรัก “อีสาว” (กัญญาภัค สุวรรกูฏ) ลูกสาวคนเดียวของปอบดำ แต่ปอบดำก็ไม่ยอมให้ใครได้อีสาวไปครอง… “นายฮ้อยสิงห์” ยังไม่รู้ว่าตนเองถูกปองร้าย… ชีวิตของ “อีสาว” ยังมีความลึกลับที่ยังไม่เปิดเผย… “โจรบั้งไฟ” และ “พระยาแหว่ง” ยังไม่รู้ความลับของ “ปอบดำ” แต่ทั้งสามก็ต้องร่วมมือกันเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของแต่ละคน…
เรื่องย่อ : มนุษย์เหล็กไหล (2549/2006) ตามความเชื่อที่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ “เหล็กไหลจันทรา” (ความเย็น) และ “เหล็กไหลสุริยัน” (ความร้อน) รวมตัวกันคราใด ก็จะนำมาซึ่งขุมพลังแห่งอำนาจอเนกอนันต์อันยากเกินกว่าสรรพวุธอื่นใดจะสามารถสยบและหยุดยั้งได้ แต่แล้วแผนการครอบครองเหล็กไหลดังกล่าวของ “อุสมาห์” (อานนท์ สายแสงจันทร์) หัวหน้ากลุ่มผู้ก่อการร้ายจากตะวันออกกลางหาได้เป็นอย่างที่คิดไม่ ถึงแม้ “อารีนา” (เมทินี กิ่งโพยม) สมุนมือขวาของตนจะสามารถแย่งชิงเหล็กไหลจันทรา (วัชรธาตุหรือ หยดน้ำฟ้าอันศักดิ์สิทธิ์) มาจาก “พูนิมา” (จิณวิภา แก้วกัญญา) กุมารีผู้ปกป้องประจำอารามแห่งหนึ่งในทิเบตมาได้แล้วก็ตาม แต่ในระหว่างการปล้นตัวอุสมาห์ผู้ก่อการร้ายข้ามชาติจากเรือนจำคุ้มครองพิเศษจากทางการไทยเกิดความผิดพลาดขึ้นจนนำไปสู่การระเบิดครั้งใหญ่ในเรือนจำ จนทำให้เหล็กไหลสุริยันทิ่มแทงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของ “ฌาน” (วสันต์ กันทะอู) นักดับเพลิงหนุ่มผู้มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ต้องตื่นตะลึงกับพลังลึกลับและฤทธานุภาพของเหล็กไหลที่อยู่ในตน ทางเดียวที่จะไม่ให้พลังแห่งความร้อนแรงที่เกิดขึ้นจากเหล็กไหลแผดเผาเลือดเนื้อและร่างกายของฌาน คือจะต้องเรียนรู้การควบคุมสภาวะความรุ่มร้อนในอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากส่วนลึกในจิตใจของตนให้จงได้และเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังจากเหล็กไหลที่ตอนนี้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเลือดเนื้อและร่างกาย และที่สำคัญจะต้องรับมือกับพลานุภาพของเหล็กไหลจันทราที่บัดนี้ถูกนำไปพัฒนาระดับขั้นของพลังเพิ่มทวีคูณขึ้นไปอีกจากกลุ่มก่อการร้ายของอุสมาห์ และนี่คือจุดเริ่มต้นของการปะทะกันระหว่างพลานุภาพของเหล็กไหลทั้ง 2 ขั้วภารกิจอันยิ่งใหญ่ของชายหนุ่มอย่างฌาน หรืออีกนัยหนึ่งคือ “มนุษย์เหล็กไหล”
เรื่องย่อ : The Protector ต้มยำกุ้ง (2548/2005) การเดินทางข้ามโลกของ “ขาม” (จา พนม ยีรัมย์) เด็กหนุ่มบ้านป่าที่ชีวิตต้องพลิกผันโดยเงื้อมมือของผู้มีอิทธิพลระดับประเทศที่ลักพาช้างพลายสองพ่อลูก ซึ่งเด็กหนุ่มและ “พ่อของขาม” (โสรธร รุ่งเรือง) เขารักดั่งชีวิต และมีความมุ่งหมายอันสูงสุดที่จะมอบเป็นคชบาทแด่ในหลวง ไปขาย ณ ประเทศออสเตรเลีย ทางเดียวที่จะช่วยเหลือและรักษาชีวิตของช้างอันเป็นที่รักของเขาได้ นั่นก็คือ การบุกตะลุยถึงถิ่นเสือ โดยการเดินทางข้ามโลก เรื่องไม่ง่ายอย่างใจคิด แม้เขาจะได้รับความช่วยเหลือจาก “จ่ามาร์ค” (หม่ำ จ๊กมก) นายตำรวจไทยและ “ปลา” (บงกช คงมาลัย) สาวไทยที่ถูกหลอกมาขายตัวในซิดนีย์ก็ตาม แต่ที่นั่น เขากลับต้องไปพัวพันกับการไล่ล่าของแก๊งมาเฟียที่นำโดย “มาดามโรส” (จิน ซิง) ที่มีลูกสมุนต่างชาติที่เต็มไปด้วยฝีมือทางการต่อสู้อย่าง “จอห์นนี่” (จอห์นนี่ เหงียน) และ “ทีเค” (นาธาน โจนส์) พร้อมลูกสมุนย่อยที่มีฝีไม้ลายมือทางการต่อสู้เหลือรับอย่าง “คาโปเอร่า” (ลาธีฟ คราวเดอร์) และ “วูซู” (จอน ฟู) อย่างไม่ได้ตั้งใจ ณ วินาทีนี้ การต่อสู้ข้ามชาติเพื่อเอาชีวิตรอดของเด็กหนุ่มและเพื่อนพ้อง ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เพื่อตามหาและช่วยเหลือ พ่อใหญ่ และ ขอน ช้างพ่อลูก ที่เปรียบได้กับญาติพี่น้องของเขา นำไปสู่บททดสอบและการต่อสู้ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาให้โลกได้ล่วงรู้ถึง อานุภาพของ "ไม้มวยไทยโบราณ" ที่หนักหน่วง รุนแรง และยังไม่เคยได้รับการเปิดเผยมาก่อน โดยเฉพาะ "ตำนานมวยคชสาร"