Happy Birthday แฮปปี้เบิร์ธเดย์ (2551/2008) เรื่องราวความรักของชายหนุ่ม เต็น (อนันดา เอเวอริ่งแฮม) และหญิงสาว เภา (ฉายนันทน์ มโนมัยสันติภาพ) ที่บุพเพสันนิวาสชักนำให้พวกเขาได้มารู้จักกันผ่านตัวหนังสือ ในหนังสือท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยข้อความที่ถูกเขียนส่งต่อให้กันและกัน โดยที่พวกเขาไม่เคยแม้แต่พบหน้ากัน แต่มันกลายเป็นสื่อกลางที่ทำให้คนมือบอน 2 คนได้มาพบและรู้จักกัน "จีบได้เปล่า?...คิดจะจีบ ดีพอแล้วเหรอ" คำถามที่ เภา ทิ้งไว้ให้ เต็น ในระหว่างที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กำลังคืบหน้าไปอย่างช้า ๆ กระทั่งถึงวันครบรอบวันเกิดของเต็น เภาได้เดินทางนำของขวัญวันเกิดมามอบให้แก่เต็น ทว่าของขวัญชิ้นนั้นกลับไปไม่ถึงมือของเต็น มีเพียงข้อความที่เภาเขียนทิ้งไว้ในการ์ดอวยพรวันเกิดให้กับเต็นว่า "สัญญานะว่าจะดูแลกันตลอดไป" และนี่คือจุดเริ่มของการพิสูจน์คำสัญญาที่เต็นมีต่อเภา บางครั้งคำสัญญา ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ มาพิสูจน์ความรักของผู้ชายคนนี้ อนันดา เอเวอริ่งแฮม "Happy Birthday แฮปปี้เบิร์ธเดย์" หนังรักในแบบ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ของขวัญจากคนมือบอน 2 คน กับความรักในแบบของพวกเขา
องค์บาก 2 (2551)

องค์บาก 2 (2551/2008) เมื่อรอยบากแห่งความแค้นฝังลึกถึงก้นบึ้งแห่งจิตใจ ทุกศาสตร์ยุทธ์แห่งศิลปะการต่อสู้จะถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ดวงชะตากำหนดทุกสรรพสิ่ง ลิขิตชีวิตขึ้นสู่จุดสูงสุด และพร้อมดับทุกชีวิตดำดิ่งลงลึกถึงปลายเหวสู่จุดต่ำสุด บัดนี้มันได้กำหนดชีวิตของ “เทียน” เด็กหนุ่มที่หวังเติบใหญ่เป็นนักรบผู้แกร่งกล้าเฉกเช่นบิดา “ออกญาสีหเดโช” (สันติสุข พรหมศิริ) นายทหารผู้ซื่อสัตย์ซึ่งจงรักภักดีต่อเหนือหัวผู้ซึ่งยอมได้แม้กระทั่งสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินจากเหล่าผู้ฉ้อฉลและคนทรยศ แต่จากคำทำนายที่ว่าเมื่อใดที่เทียนซึ่งถือกำเนิดในฤกษ์พระกาฬเติบใหญ่ภายใต้วังวนแห่งคมดาบและกลิ่นคาวเลือด เมื่อนั้นผู้คนจำนวนมากจักต้องล้มตายกันอย่างพร้อมเพรียง ทำให้ออกญาสีหเดโชตัดสินใจส่งเทียนไปให้ “ครูบัว” (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) เพื่อนสนิทซึ่งต่างเป็นลูกศิษย์ของพระครูปั้นมาด้วยกันช่วยบ่มเพาะสมาธิ เรียนรู้การฝึกจิตให้นิ่ง และศึกษาในด้านวิชาโขนนาฏศิลป์ เพื่อหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยจรรโลงจิตใจให้เกิดแต่สิ่งที่ดีงามขึ้น โดยมี “พิม” เด็กสาวที่ครูบัวเก็บมาเลี้ยงคอยให้ความช่วยเหลือ และมี “ไอ้เหม็น” (หม่ำ จ๊กม๊ก) ชายบ้าเสียสติแต่หลงใหลในนาฏศิลป์เป็นเพื่อนเล่น แต่แล้วชีวิตเทียนต้องพบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เมื่อ “พระยาราชเสนา” (ศรัณยู วงษ์กระจ่าง) ซึ่งวางแผนขึ้นครองความเป็นใหญ่ในแผ่นดินลงมือส่งเหล่านักฆ่ามือดีมาลอบสังหารออกญาสีหเดโชทั้งครอบครัว และเหล่าทหารหาญให้สิ้นซากด้วยตนเอง โดยมีเทียนเพียงคนเดียวที่เล็ดรอดชีวิตมาได้ท่ามกลางความคลั่งแค้นที่อัดแน่นฝังลึกในจิตใจ โชคชะตาพลิกผันอีกครั้งเมื่อเทียนได้พบกับ “เชอนัง” (สรพงษ์ ชาตรี) หัวหน้ากองโจรผาปีกครุฑผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งช่วยชีวิตจากเงื้อมมือของเหล่าพ่อค้าทาสและยักษ์ขมุจอมโหด เพราะเล็งเห็นถึงจิตวิญญาณความเป็นนักสู้และสัญชาตญาณความเป็นนักฆ่าที่แฝงเร้นอยู่ในแววตาซึ่งพร้อมจะสังหารผู้คนได้ทุกเมื่อ จึงตัดสินใจรับเป็นลูกบุญธรรมเข้าร่วมเป็นหนึ่งในกองโจร ให้การชุบเลี้ยงฝึกฝนเหล่าสรรพวิชาอาวุธในศิลปะการต่อสู้ทุกรูปแบบจากเหล่าปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่า หมัดมวย การใช้เวทมนตร์คาถา ไปจนถึงการใช้สรรพวุธทุกชนิด ดาบ กระบี่ กระบอง 3 ท่อน วิชากล การใช้ระเบิด ฯลฯ เมื่อทุกศาสตร์ยุทธ์แห่งศิลปะการต่อสู้ถูกบ่มเพาะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว “เทียน” (จาพนม ยีรัมย์) เติบใหญ่พร้อมพิษสงความสามารถรอบตัวที่ยากจักหาใครทัดเทียม หนำซ้ำยังเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการปฏิบัติภารกิจทุกครั้งของกองโจรผาปีกครุฑ จนได้รับการยอมรับจากทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสามารถสยบช้างงาดำ ช้างศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่าชุมโจรให้ความเคารพและสักการะ ในขณะที่เชอนังเองตั้งใจมอบตำแหน่งหัวหน้ากองโจรให้เทียนรับหน้าที่ผู้สืบทอดต่อไป เพียงทว่า ณ เวลานี้มีเพียงภารกิจเดียวในชีวิตที่เทียนจักต้องกระทำคือการขจัดความคลั่งแค้นที่มันสุมอกอยู่ในจิตใจตลอดมา นั่นคือการมุ่งหน้าเพื่อสังหารเจ้าพระยาราชเสนาด้วยน้ำมือตนเอง โดยมีเป้าหมายในคืนวันสถาปนาเทวเสาวนีย์ครุฑที่เจ้าพระยาราชเสนาจะขึ้นครองอำนาจในฐานะจอมราชันย์อย่างสมบูรณ์ ภายใต้เปลวเพลิงแห่งความอาฆาต เทียนผสมผสานทุกความสามารถในการต่อสู้ที่บ่มเพาะมาทั้งชีวิต แปรเปลี่ยนเป็นพลังแห่งความอำมหิต โหดเหี้ยม เกรี้ยวกราด ดุดัน เพื่อที่จะสังหารทุกผู้คนที่เกี่ยวข้องอย่างไม่กลัวเกรง โดยหารู้ว่าไม่ว่ายังมีเหล่านักฆ่าระดับยอดฝีมือของจอมราชันย์ที่เขาจะต้องเผชิญหน้าและรับมือที่ล้วนแล้วแต่ยากในการต่อกรไม่ว่าจะเป็น “องค์รักษ์เกราะทอง” (ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ), “กลุ่มนักฆ่าลึกลับในชุดดำ” ไปจนถึง “ภูติสางกา” (ชูพงษ์ ช่างปรุง) ที่ถูกส่งมาเพื่อนำเทียนไปสัมผัสกับดินแดนแห่งความตายโดยเฉพาะ หรือนี่คือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ที่มีต้นกำเนิดจากรอยบากแห่งความคลั่งแค้นที่ต้องแลกมาด้วยชีวิต เลือดเนื้อ และจิตวิญญาณ มีเพียงพลังแห่งศรัทธาอันแรงกล้าเท่านั้นที่จะทำให้ชีวิตของเทียนอยู่รอดได้

ฮานอย ความรักในคืนเหงา (2551/2008) หัวใจของเธอและเขา....คือเงาแห่งรักแท้ในค่ำคืนที่เดียวดาย ฮานอย สาวเวียดนามผู้น่ารัก ทิ้งแฟนเก่าจากเวียดนามมาทำงานที่เมืองไทย โดยทำงานกลางคืนและถูกผู้ชายหลอกมาตลอด จนกระทั่งได้พบกับดาว ที่ชวนฮานอยไปทำงานกับเธอ และได้เจอกับ นัส ชายหนุ่มที่รักเธออย่างจริงใจ นัสชวนเธอไปอยู่บ้านเชิงดอย แต่แม่ของนัสรับไม่ได้ที่ฮานอยเป็นผู้หญิงกลางคืน ทำให้เธอต้องอดทนรอคอยนัสอยู่ที่บ้านเชิงดอยโดยไม่รู้ว่านัสได้ตายไปจากชีวิตเธอแล้ว
บุญชู ไอ-เลิฟ-สระ-อู (2551/2008) บุญโชค (ธนฉัตร ตุลยฉัตร) เณรน้อยหน้าใส ใจซื่อ มองโลกในแง่ดี พ่อของบุญโชค คือ บุญชู บ้านโข้ง (สันติสุข พรหมศิริ) ที่หวังให้ลูกบวชไปเรื่อยๆ จนเป็นเจ้าอาวาส แต่แม่ โมลี (จินตหรา สุขพัฒน์) แอบจับสึก และส่งตัวเข้ากรุงเทพฯ โดยพ่อบุญชูไม่รู้ เพื่อนพ้องของบุญชู อย่าง ไวยกรณ์ (วัชระ ปานเอี่ยม) หยอย (เกียรติ กิจเจริญ) คำมูล (กฤษณ์ ศุกระมงคล) เฉื่อย (นฤพนธ์ ไชยยศ) นรา (อรุณ ภาวิไล) ประพันธ์ (เกรียงไกร อมาตยกุล) เลยต้องสั่งให้ ลูกๆ อย่าง นิ้ง (อภิญญา สกุลเจริญสุข) แอ่น (นลินธารา โฮเลอร์) หยอน (รัชชุ สุระจรัส) ปพาฬ (วรฤทธ์ นิลกลม) มาดูแลบุญโชค เมื่อบุญโชคเข้ากรุงเทพฯ ก็โดนเด็กเร่ร่อนสองพี่น้อง กระเต็น (รดา วิรัตน์โยสินทร์) และ กระแต (ชนินาถ ศิริสวัสดิ์) แอบเอายาใส่จนมึน แล้วจับไปลอกคราบเสียหมดตัว ซึ่งมี พิม (กิตติ์ลภัส กรสุทธิ์ไรวรรณ) เด็กสาวที่ใช้อินเตอร์เน็ตหลอกผู้ชายมาปอกลอก เป็นผู้ดูแลสองพี่น้อง เรื่องราวจึงวุ่นวายขึ้น โดยมีร้านอาหารของ ปอง ปากหมา (สมเกียรติ คุณานิธิพงษ์) เป็นศูนย์รวมแหล่งพบปะของทุกคน เณรสึกใหม่จากสุพรรณ ที่มีแต่ความซื่อและจริงใจ จะทำอย่างไรกับเรื่องราวที่ไม่เคยพบเห็นในกรุงเทพฯ
อาข่า ผู้น่ารัก (2551/2008) พ่อจ๋า…ทำไมใครหลายคนถึงหายไปจากหมู่บ้านของเรา แล้วทำไมหนอ…เราถึงไม่เคยถ่ายรูปพร้อมหน้าพร้อมตากันเลย ความสุขอันแท้จริง…มันอยู่ที่ตรงไหนกันนะ “อาข่าผู้น่ารัก” ภาพยนตร์น่ารักเต็มอิ่มทุกหัวใจจะมาถ่ายทอดเรื่องราวความรัก ความผูกพัน การพลัดพราก ผ่านการเดินทางทางความคิดของ “หมี่จู” (ฟูอาน่า ฮิโรยาม่า) เด็กหญิงชาวเขาเผ่าอาข่าที่ทุกคนในหมู่บ้านรู้ซึ้งถึงความแสบซน และบรรดาวีรกรรมสุดป่วนที่มักละเมิดข้อห้ามของเผ่าเป็นประจำ จนทำให้พ่อกับแม่ต้องส่งหมี่จูไปอยู่กับน้าที่พื้นราบ ที่นั่นเปรียบเสมือนโลกใบใหม่ที่หมี่จูไม่เคยรู้จักมาก่อน หมี่จูสนุกไปกับงานพิเศษคือการรับจ้างถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว รูปถ่ายแต่ละใบกำลังบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างกับหมี่จู เมื่อได้สัมผัสถึงความเหงาเดียวดายเมื่อต้องพลัดพรากจากคนที่เรารัก จึงทำให้หมี่จูคิดที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างจากโลกใบเดิมที่เคยอยู่ จนกระทั่งการมาถึงของ “กลุ่มกระจกเงา” ซึ่งมี “พี่แป้น” (พิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์) เป็นหัวเรือใหญ่ได้เข้ามาทำโครงการทดลองชื่อว่า “บ้านนอกทีวี” ทีวีของชุมชนโดยชุมชน ทำให้เกิดเรื่องราวชวนอมยิ้มเมื่อเทคโนโลยีของชาวกรุงเข้ามามีส่วนในการดำเนินชีวิตของชาวเขา จนกระทั่งเกิดแรงบันดาลใจให้หมี่จูเดินทางกลับมาที่หมู่บ้านอีกครั้ง และคิดที่บอกเล่าเรื่องราวที่เธอรู้สึก โดยใช้รายการบ้านนอกทีวีเป็นสื่อกลางถึงผู้คนรอบข้าง แต่คราวนี้กลับไม่ใช่เรื่องซุกซนอีกต่อไป มันกลับกลายเป็นเรื่องซาบซึ้งที่ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านได้หันกลับมาทบทวนอีกครั้งว่า สิ่งที่ทุกคนโหยหาอยู่นั้นใช่สิ่งเล็กๆ แต่มีค่ามหาศาลที่เรียกกันว่า “ความรัก” หรือไม่
หนึ่งใจ.. เดียวกัน (2551/2008) เรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีอดีตอันเจ็บปวดจากการเสียลูกสาวในอุบัติเหตุรถยนต์ เธอได้ รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจโดยใช้หัวใจของลูกสาวมาสวมแทน ทั้งที่เธอกับลูกสาวไม่ค่อยเข้าใจกัน จาก นั้นเธอจึงมุ่งหน้าสู่ชนบทเพื่อนำเงินไปพัฒนาโรงเรียนในเขตยากจน เป็นการไถ่โทษและแก้ตัวในสิ่งที่เธอเคยทำผิดพลาด แต่ที่นี่เธอพบกับธรรมชาติอันเงียบสงบ และดวงตาไร้เดียงสาของเด็ก ๆ...จากนักธุรกิจที่สนใจแต่เรื่องวัตถุ เธอกลายเป็นหญิงนักสู้ที่อุทิศตนเพื่อคนอื่น โดยเฉพาะเพื่ออนาคตของเด็กชนบท กลุ่มหนึ่ง เธอต้องต่อสู้กับความยากจน ทัศนคติของคนในหมู่บ้าน และกลุ่มคนที่แสวงหาผลประโยชน์จากเด็กและชาวบ้าน ขณะเดียวกันเธอก็ต้องแข่งกับเวลาของตัวเอง เมื่อร่างกายของเธอเริ่มไม่ตอบ สนองกับหัวใจที่ผ่าตัดมาความพยายามของเธอ จะสำเร็จลุล่วงหรือไม่ ? อนาคตของเด็กจะเป็นอย่างไร ? ปัญหาที่แท้จริงของการเรียนรู้ ไม่ได้อยู่ที่การขาดความเจริญ หรือความยากไร้ใด ๆ เธอค้นพบคำตอบที่แสนเรียบง่าย แต่สำคัญอย่างยิ่งในการแก้ปัญหา...สิ่งนั้นคืออะ ไร ? ร่วมหาคำตอบไปพร้อม ๆ กับเธอ..ยิ้มไปกับเธอ และร้องไห้ไปกับเด็ก ๆ ของเธอ
รัก|สาม|เศร้า (2551/2008) ฟ้า (ภัทรศยา เครือสุวรรณศิริ) น้ำ (รัชวิน วงศ์วิริยะ) และ พายุ (อารักษ์ อมรศุภศิริ) บัณฑิตจบใหม่จากคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นช่วงเวลาที่ทั้งสามต้องเลือกทางเดินของชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องความรัก ซึ่ง “ฟ้า” เลือกที่จะแต่งงานกับคนที่เธอรักโดยยอมทิ้งงานในสายอาชีพที่เธอเพิ่งเรียนจบมา “น้ำ” เพื่อนสนิทของฟ้าเลือกที่จะตัดใจจากความรักที่เธอแอบมีให้กับพายุเพื่อจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ ส่วน “พายุ” เพื่อนสนิทของฟ้าและน้ำเลือกที่จะตัดใจจากความรักที่เขาแอบมีให้กับฟ้าแล้วกลับไปอยู่กับแม่ดูแลกิจการโรงแรมที่เชียงราย แต่ในวันหนึ่ง ฟ้าต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหัน แล้วทุกคนก็ได้รู้ว่าฟ้าป่วยด้วยโรคที่ไม่มีทางรักษาและคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน และในระหว่างที่ฟ้าต้องเทียวเข้าเทียวออกโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัว คนรักของฟ้าที่เธอวางแผนจะแต่งงานด้วยก็เกิดไปมีสัมพันธ์อื่น ฟ้าหมดสิ้นกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ในทันที ฟ้าจึงเลือกที่จะเลิกรักษาตัวเองและปล่อยให้โรคร้ายทำลายเธอโดยที่เธอไม่ยอมต่อสู้ใดๆ ช่วงนั้นเองที่พายุตัดสินใจเลื่อนการกลับไปอยู่กับแม่ที่เชียงรายเพื่อเข้ามาอยู่ดูแลฟ้าในช่วงชีวิตสุดท้ายและในช่วงเวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดนั้น ฟ้าถึงรู้ว่ารักแท้ที่เธอต้องการนั้นอยู่เคียงข้างเธอมาตลอดสี่ปีที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเพียงแต่เธอไม่เคยสังเกตเห็น ในช่วงเวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดนั้นเองที่ฟ้ายอมเปลี่ยนความสัมพันธ์กับพายุจากเพื่อนมาเป็นคนรัก แต่เมื่อฟ้าเปิดหัวใจให้พายุ ฟ้ากลับบังเอิญได้พบความลับว่า น้ำเพื่อนรักของเธอนั้นแอบรักพายุคนนี้มานานนับปี หัวใจที่ฟ้าเปิดให้กับพายุจึงปิดลงทันที ฟ้าบอกลาพายุโดยไม่ได้บอกกล่าวหรืออธิบายให้พายุได้เข้าใจแต่อย่างไร ฟ้าคิดว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่ที่เธอจะเอาหัวใจของพายุมาทั้งๆที่เธอมีเวลาอยู่ได้อีกไม่นาน ความรักที่มีค่าของพายุ มันน่าจะมีค่ากับน้ำมากกว่าคนที่กำลังจะตายอย่างเธอ ฟ้าเลือกที่จะหายไปจากชีวิตพายุและน้ำโดยมิได้บอกเหตุผลใดๆ พายุต้องตกอยู่ในห้วงทุกข์กับการจากลาของฟ้าโดยที่เขาไม่มีโอกาสได้รู้สาเหตุที่แท้จริง ความทุกข์ทรมานของพายุทำให้น้ำที่แอบรักพายุอยู่พลอยเป็นทุกข์ไปด้วย การเห็นคนที่รักทรมานเป็นสิ่งที่น้ำทรมานกว่า น้ำจึงตัดสินใจออกตามหาฟ้าไปทั่วทุกแห่ง น้ำได้เพียงแต่หวังภาวนาว่า ด้วยความเป็นเพื่อนรักระหว่างเธอกับฟ้า ขอให้มันมีค่าพอที่จะเปลี่ยนใจฟ้าให้หวนกลับมารักพายุได้อีกครั้ง
เมมโมรี่ รัก หลอน (2551/2008) เรื่องราวแห่งความรักระหว่าง อิงอร (สิริวิมล เจริญปุระ หรือ ใหม่ เจริญปุระ) กฤช (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) และ แพร (ซัน คัมภิรานนท์) เด็กหญิงวัย 7 ขวบ เกิดขึ้นในสถานการณ์บีบบังคับ เมื่ออิงอรจำยอมพาแพร ซึ่งเป็นลูกสาวไปพบกฤชเพื่อวินิจฉัยอาการป่วย กฤชเป็นแพทย์หนุ่มที่มีแต่ความหดหู่อาลัยในชีวิต และนั่นเป็นครั้งแรกที่กฤชได้พบกับอิงอรและแพรเด็กสาวที่น่าสงสาร ในระหว่างการรักษา อิงอรปฏิเสธคำวินิจฉัยของกฤชโดยตลอด ด้วยความหวงกลัวจะมีใครมาพรากลูกไปจากตน อิงอรจึงปฏิเสธที่จะให้แพรมาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตามคำแนะนำของกฤช ด้วยความที่แพรอายุใกล้เคียงกับลูกของกฤช ทำให้กฤชรู้สึกสงสารและผูกพันเป็นพิเศษ จึงเป็นเหตุผลที่กฤชยอมไปรักษาแพรที่บ้าน เมื่อกฤชเข้าไปใกล้ชิดกับครอบครัวนี้มากขึ้น กฤชกลับรู้สึกว่าอิงอรเหมือนเป็นคนที่เขาค้นหามาตลอด ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ ไฟแห่งราคะพร้อมที่ลุกโชน ในขณะที่อิงอรเป็นหญิงม่ายที่เติบโตมาจากห้วงบาปแห่งชีวิต เปรียบผู้ชายดั่งสัตว์ที่มีผู้หญิงไว้เพียงบำบัดความใคร่ จึงจำเป็นที่จะต้องปกป้องลูกของตนจากผู้ชายทั้งปวง แพรจึงเป็นเพียงเด็กน้อยที่ในชีวิตไม่เคยมีใครอื่นนอกจากแม่ ด้วยความรักและเอ็นดูที่กฤชมีต่อแพร ทำให้อิงอรเริ่มมีความรู้สึกที่ดีกับกฤชแบบที่ไม่เคยรู้สึกกับผู้ชายคนใดมา ก่อน แต่เมื่อความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองเพิ่มมากขึ้นเท่าไร กำแพงแห่งความกลัวของอิงอรกลับยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทางอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดของอิงอร การเลี้ยงลูกที่ประหลาดกว่าที่คนทั่วไปคิดจะทำ สิ่งหนึ่งที่กฤชสัมผัสได้จากความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในครอบครัวนี้ คือความรักที่ไม่ปกติชวนผวาได้ตลอดเวลา สาเหตุเกิดจากอะไร เกิดจากใคร นั่นเป็นเรื่องที่กฤชต้องหาคำตอบ
วันเดอร์ฟูล ทาวน์ (2551/2008) เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งทางภาคใต้ของไทย ความเงียบเหงาและความเศร้าสร้อยดูจะปกคลุมเมืองนี้ นับตั้งแต่เหตุการณ์สึนามิได้เกิดขึ้น วันหนึ่ง ต้น (ศุภสิทธ์ แก่นเสน) สถาปนิกหนุ่ม เดินทางมายังเมืองเล็ก ๆ ทางภาคใต้ของไทย ที่ซึ่งความเงียบเหงาและความเศร้าสร้อยปกคลุมอยู่นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์สึนามิ ต้นมาเช่าห้องในโรงแรมที่หญิงสาวชื่อ นา (อัญชลี สายสุนทร) ดูแลอยู่ ครอบครัวของนาเป็นคนเก่าคนแก่ของเมือง ทั้งคู่เริ่มความสัมพันธ์กันอย่างลับ ๆ แต่ก็ไม่เร้นรอดจากสายตาของคนในเมืองไปได้ วิทย์ (ดล แย้มบุญยิ่ง) พี่ชายของนา เป็นหัวหน้าแก๊งประจำเมือง เขารักน้องสาว และไม่ชอบคนแปลกหน้า เขาเหมือนเด็กที่ชอบฆ่าสัตว์เลี้ยงของตัวเอง โดยไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกอย่างนั้น รู้เพียงแต่ว่า เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นมีความสุข ความรักได้เติบโตขึ้นในที่ที่ไม่มีความรักเหลืออยู่ เหมือนดอกไม้ที่โตในตม และทั่วทั้งเมืองก็พยายาม ทำลายความงามที่เมืองนี้ไม่มี แล้วเมืองนี้จะมีความสุขอีกครั้งได้ไหม?
เฟวา โพคารา ดวงตากับความรัก (2551/2008) เป็นเรื่องเกี่ยกับรักแรกพบของเทียน.. ช่างภาพหนุ่มผู้แทบจะสูญสิ้นทุกอย่างในชีวิต กับพลอยสาวไทยที่ใช้ชีวิตต่างแดนเกิดขึ้นอย่างบังเอิญในตอนเช้าตรู่วันหนึ่ง ที่ร้านขายขนมโมโม่ในประเทศเนปาล การพบกันของเทียนและพลอยในวันนั้น ได้นำพาหัวใจของทั้งสองไปสู่ความรัก ความสัมพันของทั้งคู่เริ่มต้นไปพร้อมๆ กับการเติมเต็มและเข้าใจ แต่ทว่าไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่าโศกนาฏกรรมแห่งรักกำลังจะเกิดขึ้น พลอยประสบอุบัติเหตุล้มในห้องน้ำ มือพลัดโดยน้ำยาเคมีที่ใช้ล้างรูปหกใส่บริเวณใบหน้าทำให้ดวงตาของเธอบอดสนิท เทียนถึงกับบ้าคลั่ง หัวใจสลาย เมื่อเดินทางมาถึงช่วงการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต ใครที่เคยได้ชมภาพยนต์เรื่องนี้แล้ว ช่วยมาเล่าให้ฟังด้วยนะคะ ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้โรแมนติกแค่ไหน เขาบอกว่าภาพสวยด้วย เนื่องจากไปถ่ายทำไกลถึงประเทศเนปาล
สี่แพร่ง (2551/2008) **เหงา ผู้กำกับ : ยงยุทธ ทองกองทุน เรื่องย่อ : ปิ่น (มณีรัตน์ คำอ้วน) สาวทำงานคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในห้องแคบๆ เธอเหงา เธอตกงาน เธอโดนทิ้ง เธอหดหู่สุดขีด เมื่อมีข้อความเข้ามาในโทรศัพท์มือถือว่า อยากรู้จัก เธอจึงเริ่มต้นติดต่อกลับไปโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน และไม่รู้ว่าเขาเป็นคนที่เธอจะต้องเสียใจ** **ยันต์สั่งตาย ผู้กำกับ : ปวีณ ภูริจิตปัญญา เรื่องย่อ : เด็กช่างกลคนหนึ่ง เลือกวิธีแก้แค้นหรือเอาคืนแบบคนมีวิชาอาคมโดยการเล่นของอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า ยันต์สั่งตาย เพื่อมาไล่ล่าแก้แค้นแทนการลงมือเอง แต่สุดท้ายการแก้แค้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะมันไม่มีวันสิ้นสุด** **คนกลาง ผู้กำกับ : บรรจง ปิสัญธนะกูล เรื่องย่อ : วัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ออกไปตั้งเต็นท์กลางป่าลึก พวกเขาล้อมวงเล่าเรื่องผี ทำกิจกรรมห่ามๆ ไร้สาระ พอตอนเข้านอน ทุกคนต่างแย่งกันนอนตรงกลาง เพราะเชื่อว่าผีจะหลอกคนที่นอนริมสุดก่อน แต่แล้วจะทำอย่างไรเมื่อคนที่นอนตรงกลางกลับเป็นคนที่โดนผีหลอกคนแรก** **เที่ยวบิน 224 / Last Fright ผู้กำกับ : ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ เรื่องย่อ : พิมพ์ (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ที่ต้องเดินทางไปกับผู้โดยสารที่เป็นเจ้าหญิงจากต่างประเทศ เจ้าหญิงเอาแต่ใจและค่อนข้างโหดร้ายกับเธอตลอดทาง แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเจ้าหญิงสิ้นพระชนม์ เลยต้องขนศพเจ้าหญิงกลับประเทศ พิมพ์จึงต้องเดินทางไปกับศพอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แล้วเรื่องสยองต่างๆ ก็เกิดขึ้นบนเครื่องตลอดการเดินทาง**
อรหันต์ ซัมเมอร์ (2551/2008) เมื่อเด็ก ๆ ทวีความซ่าซน จนชนประสานกับความร้อนระอุในปี 2526 เหล่าบรรดาผู้ปกครองต่าง ๆ จึงมีความคิดเห็นตรงกัน ที่จะหาหนทางกำราบลูก ๆ ของตนเองให้ได้และวิธีที่ดีที่สุดที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันคือ บวช แม้ว่าเด็ก ๆ จะมีความซนจนลิงยังเรียกพี่ แต่ประสบการณ์เรื่องของการโกนหัว ห่มจีวร นอนวัด ถือว่ายังอ่อนเป็นลูกเจี๊ยบ การบวชเรียนภาคฤดูร้อน จึงเป็นจินตนาการแห่งความมันรอบใหม่ของเด็ก ๆ หลังถูกผู้ปกครองใช้อุบายหลอกให้บวชจนสำเร็จ และแล้วการพบกันของเหล่ามารตัวจิ๋วจึงเริ่มขึ้น ข้าวปั้น (ปดลเดช กมลาศัยกุล) เด็กบ้านรวยที่หายใจเข้าออกด้วย การ์ตูนอิกคิวซัง นะโม เด็กที่งงกับชีวิต ถูกลิขิตให้มีน้ำตาเป็นเพื่อน ขุนทอง (กฤษกร ทรัพย์สงวน) เด็กบ้าพลังที่จินตนาการล้ำกว่าความกล้า บู๊ (ไชยธวัช คงมีสุข) เด็กลูกค่ายมวยฉายา เย็นชาต่อสรรพสิ่ง น้ำซุป เด็กลูกเถ้าแก่โคตรเขี้ยว พิมพ์เดียวกับพ่อไร้ตำหนิ แม้การบวชเรียนภาคฤดูร้อนจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ข้าวปั้น, นะโม, ขุนทอง, บู๊ และน้ำซุปแก๊งค์เด็ก ๆ สุดแสบ ซ่า ซน ได้ใช้ชีวิตด้วยกัน แต่สำหรับพระพี่เลี้ยงมือใหม่อย่าง หลวงพี่ใบบุญแล้วเหมือนเป็นห้วงเวลาแห่งการตกนรกโลกันต์ที่แสนยาวนานก็มิปราณ ไหนจะต้องอบรมสั่งสอนธรรมวินัยแก่บรรดาเณรต่าง ๆ แล้ว ยังต้องสู้รบปรบมือกับเหล่าเณรเหลือขอในอีกด้านก็ต้องต่อสู้กับจิตใจของตัวเองในทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับ น้ำใส (อดีตคนรัก) สาวน้อยหน้าใส ชอบทำบุญกุศลที่มีทุกอย่างตรงกันข้ามกับผู้เป็นพ่อ (เฮียกอ) เถ้าแก่เจ้าของร้านขายสังฆภัณฑ์ผู้มีจิตใจเยี่ยงมหาสมุทรสุดเค็มเต็มเปี่ยมไป ด้วยความจองหองพองขนคิดว่าตนฉลาดล้ำเกินใครในการทายปริศนาผะหมีแต่ท้ายสุดกับพบว่าความฉลาดของตนยังห่างจากเจ้าอาวาสพระอาจารย์สุขี ซึ่งเป็นหลวงพี่แท้ ๆ อยู่อีกหลายขุม... แต่เมื่อวันเวลานั้นผ่านไปหลายสิ่งหลายอย่างได้ผ่านเข้ามาในชีวิตของพวกเขาวีรกรรมบางอย่างในการบวชเรียนครั้งนั้นดูจะเลือนรางไปตามกาลเวลาบ้าง แต่สำหรับใครบางคนเรื่องราวแห่งมิตรภาพในช่วงเวลานั้นคือจุดเริ่มต้นของเส้นทางชีวิตที่เขายังคงดำเนินอยู่ วันหนึ่งใน 25 ปี ต่อมา ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ข้าวปั้นและนะโม เพื่อนร่วมกุฏิในวัยเยาว์เดินทางมาพบกันโดยบังเอิญ ทั้งสองมีเป้าหมายเหมือนกันคือ ไปต่างประเทศ แต่ต่างกันที่ คนหนึ่งเป็นพระ (นะโม) กำลังเดินตามความฝัน ที่มีจุดหมายปลายทาง ไปแสวงธรรม ณ ชมพูทวีป แต่อีกคนเป็นฆราวาส (ข้าวปั้น) กำลังจะเดินทางออกนอกประเทศอย่างไร้จุดหมายปลายทาง เพื่อหนีปัญหาชีวิต แม้บางช่วงเวลาของชีวิตที่พวกเขาลิขิตได้ผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่เมื่อภาพอดีตครั้งบวชเรียนในวัยเยาว์ได้หวนกลับมา วีรกรรมสุดแสบ ซ่า ซน กลับมาตกผลึกอีกครั้ง
แสงศตวรรษ SYNDROMES AND A CENTURY (2551/2008) ภาพยนตร์กล่าวถึง ชีวิตของแพทย์หญิง ในโรงพยาบาลเล็กๆ ในต่างจังหวัด ที่มีความทรงจำที่ดีต่อผู้ป่วยและความรัก และชีวิตของแพทย์ทหารหนุ่ม ในโรงพยาบาลทันสมัยในเมือง กับผู้ป่วยพิการและคู่รักของเขาที่กำลังจะจากไป โดยได้อิทธิพลมาจากชีวิตจริงของพ่อและแม่ของผู้กำกับ ซึ่งเป็นแพทย์ทั้งคู่ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดฉายในประเทศไทย ในวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2550 แบบจำกัดโรง จำนวน 2 โรง แต่ภาพยนตร์ไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน และ 10 เมษายน พ.ศ. 2550 โดยมีเงื่อนไขให้ตัดฉากสำคัญออกไป 4 ฉาก ซึ่งทางคณะกรรมการชี้ว่ามีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กรศาสนาและองค์กรทางการแพทย์ จึงจะอนุญาตให้ฉายได้ ซึ่งอภิชาติพงศ์ ได้ตัดสินใจที่ไม่ฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในประเทศไทย ฉากที่ไม่ผ่านการพิจารณาจากกองเซ็นเซอร์คือ 1) ฉากพระกำลังเล่นกีตาร์ 2) ฉากหมอดื่มเหล้าในโรงพยาบาลขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ 3) ฉากหมอชายจูบแสดงความรักกับแฟนสาวที่แวะมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล ก่อนจะต้องจากกันเมื่อฝ่ายหญิงต้องย้ายไปทำงานต่างจังหวัด และเกิดอารมณ์ทางเพศจนเห็นความผิดปกติของเป้ากางเกง (ในกางเกง) และ 4) ฉากพระเล่นเครื่องร่อน ทีมงานได้ติดต่อคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ เพื่อขอรับฟิล์มภาพยนตร์คืนเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2550 ปรากฏว่า คณะกรรมการฯ ไม่คืนฟิล์มภาพยนตร์ให้ โดยชี้แจงว่า จะคืนให้ก็ต่อเมื่อได้นำฟิล์มไปทำการตัดฉากทั้ง 4 ฉากทิ้งออกเสียก่อน ด้วยเหตุผลว่า หากส่งฟิล์มในสภาพสมบูรณ์คืนแก่ทีมงาน ทางทีมงานอาจถือโอกาสนำกลับมาตัดเองแล้วส่งเข้าสู่กระบวนการอุทธรณ์อีกครั้ง อันจะทำให้คณะกรรมการตรวจพิจารณาฯ มีความผิดในการปฏิบัติงานทันที หลังจากเหตุการณ์ไม่คืนฟิล์มภาพยนตร์ ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ อย่างกว้างขวาง ทั้งทางสื่อมวลชน และสังคมอินเทอร์เน็ต และผู้ไม่เห็นด้วยกับกรณีดังกล่าว นำโดย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล นิตยสารไบโอสโคป มูลนิธิหนังไทย หอภาพยนตร์แห่งชาติ และกลุ่มผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทย ได้รวมตัวกันเรียกร้องให้พิจารณากฎหมายเซ็นเซอร์ และระบบการตรวจพิจารณาภาพยนตร์ของไทย โดยเปิดให้ร่วมลงชื่อสนับสนุนผ่านเว็บไซต์ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 มีประกาศว่าผู้กำกับภาพยนตร์ได้นำภาพยนตร์นี้เข้ารับการพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ถูกสั่งให้ตัดเพิ่มเป็น 6 ฉาก โดยอภิชาติพงษ์ใส่ฟิล์มดำแทนฉากที่โดนตัด เพื่อแสดงถึงการโดนบังคับตัดออก โดยเข้าฉายที่พารากอนซีนีเพล็กซ์ในวันที่ 10 เมษายน
กอด (2551/2008) ที่อำเภอเล็กๆแห่งหนึ่ง ที่ไร้ซึ่งความสลักสำคัญระดับชาติ เป็นบ้านเกิดของ ขวาน (เกียรติกมล ล่าทา) ลูกชายเจ้าของร้านผัดไท คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนพิเศษของหมู่บ้าน คนที่ใครๆ ต้องรู้จัก ขวาน เด็กชายผู้มีแขนซ้ายสองข้าง ขวาน เป็นเด็กไม่ธรรมดามาตั้งแต่เกิด ด้วยแขนซ้ายทั้งสองบวกกับแขนขวาอีกหนึ่ง เขาเก่งกว่าเด็กทั่วไปสารพัด เช่น ทำการบ้านคัดไทยได้ทีละสองหน้า กระโดดตบวอลเลย์ได้ครั้งละสองลูก ลบกระดานดำไวสุดในชั้น แปรงฟันไปล้างหน้าไป ขวานคิดเสมอว่าการที่เขาสามารถใช้สองมือกินขนม ส่วนอีกมือแคะขี้มูกไปด้วยโดยไม่ต้องกลัวเลอะ เป็นพรวิเศษเฉพาะตัว เขาเชื่ออย่างที่แม่เคยหอมแก้มแล้วกระซิบที่ข้างหูว่า ขวานคือคนพิเศษ คำพูดสวยหรูทั้งหมด เป็นแค่สิ่งที่แม่หลอกเขา แม่คงให้หมอตัดแขนเขาทิ้งไปแล้ว ถ้าไม่กลัวเขาจะเสียเลือดจนตาย เพราะแขนซ้ายเจ้ากรรมดันมีเส้นเลือดโยงเข้าสู่หัวใจ เมื่อแม่ตาย ขวานยิ่งตระหนักว่าเขาไม่ใช่คนพิเศษ แต่เป็นตัวประหลาดในสายตาคนทั้งหมู่บ้าน แฟนที่คบกันมานานก็บอกเลิก เพราะทำใจเรื่องแขนไม่ได้จริงๆ แถมช่างตัดเสื้อประจำตัวก็มาด่วนตายไปซะอีก นั่นหมายความว่านับแต่วินาทีนี้ไป เขาจะไม่มีเสื้อใส่ ขวานตัดสินใจว่าจะไปกรุงเทพฯ ไปผ่าตัดความพิเศษออก ระหว่างการเดินทาง ขวานสวมบทวีรบุรุษช่วยผู้หญิงที่กำลังจะโดนปล้ำคนหนึ่งไว้ เธอชื่อ นา (ศุภักษร ไชยมงคล) กำลังจะไปตามหาสามีที่กรุงเทพฯ ในเมื่อเธอกับเขามีปลายทางร่วมกัน นาจึงกลายมาเป็นเพื่อนร่วมทางจำเป็นของขวาน แล้วการเดินทางที่ไม่ธรรมดาของคนสองคนกับแขนห้าข้างก็เริ่มต้นขึ้น
ช็อคโกแลต (2551/2008) เซน (ฉันทธนิสา วิสมิตะนันทน์) หญิงสาววัย 22 เธอเป็นเด็กออทิสติคที่มีความสามารถทางด้านการต่อสู้อย่างร้ายกาจ เซนอาศัยอยู่กับซิน ผู้เป็นแม่ (อมรา ศิริพงษ์) ในชีวิตเซนมีสิ่งที่เธอชอบอยู่ไม่กี่อย่าง คนที่เธอรักมีไม่กี่คนหนึ่งในนั้นคือแม่ คนที่เธอรักดั่งดวงใจ แต่แล้ววันหนึ่งแม่ของเธอล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็ง ความเป็นอยู่ในครอบครัวเริ่มลำบาก เงินทองเริ่มหมดไปกับการรักษา แต่โชคชะตาก็นำพาให้เธอเข้าไปตกอยู่ในวังวนแห่งการต่อสู้ซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย เซนได้เจอสมุดบันทึกเล่มหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยรายชื่อคนที่เคยเป็นหนี้แม่ของเธอ เซนจึงขอร้องแมงมุม เพื่อนคนเดียวที่เธอมีอยู่ให้ช่วยไปตามเก็บเงินตามรายชื่อเหล่านั้น โดยหารู้ไม่ว่า บุคคลเหล่านั้นพร้อมจะสังหารเธอได้ทุกเมื่อ และที่สำคัญรายชื่อทุกรายจะเกี่ยวข้องกับบุรุษลึกลับที่มีรหัสว่า No.8 และเมื่อ No.8 ทราบเรื่องและสืบหาความจริงจนพบว่า การต่อสู้ที่อันตรายของเซนนั้นกำลังเกี่ยวพันกับเจ้านายนักการเมืองชื่อดัง จึงทำให้ No.8 ต้องกำจัดเซนให้สิ้นซาก การสังหารด้วยหมัดต่อหมัดครั้งนี้มีชีวิตของซิน แม่ผู้เป็นทั้งหมดของชีวิตเซนเป็นเดิมพัน เธอต้องต่อสู้ทุกอย่างแม้ต้องแลกด้วยชีวิต เพื่อให้แม่อยู่กับเธอไปนาน ๆ

กำลังแสดงผลลัพธ์ทั้งหมด 15 รายการ