ศพ (2549/2006) บางคนอาจเคยตั้งคำถาม ในขณะที่หลายคนเพียงแค่สงสัย แล้วถ้าเป็นคุณล่ะจะทำอย่างไร เมื่อมองยังร่างที่ปราศจากลมหายใจตรงหน้า ไม่รู้ประวัติ ไม่รู้ที่มา รู้แต่เพียงว่านี่คือร่างกายที่ไร้ชีวิตที่นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 ทุกคนต่างให้ความเคารพในฐานะ “อาจารย์ใหญ่” ครูผู้บริจาคร่างกายเป็นวิทยาทานเพื่อให้กับนักศึกษาแพทย์ทุกคนได้เรียนรู้ถึงความซับซ้อนภายในร่างกายมนุษย์ และนำความรู้ที่ได้จากร่างอาจารย์ไปเป็นประโยชน์ในการรักษาผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับอาจารย์ใหญ่ แต่สำหรับ “ไหม” (ณัทธมนกาญจน์ ศรีนิกรโชติ) แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นประสบการณ์จริงที่ชวนขนลุก ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างที่เธอเข้าเรียนชั่วโมงแรกของวิชากายวิภาคศาสตร์ เมื่อจู่ๆ ร่างของอาจารย์ใหญ่ที่นอนสงบนิ่งก็เงื้อมมือขึ้นมาบีบคอเธอ เหตุการณ์ต่อจากนั้นได้สร้างความหวาดผวามากยิ่งขึ้น เมื่อเธอรู้สึกว่ามีวิญญาณของผู้หญิงที่ไม่รู้จักคอยติดตามเธอไปในทุกที่ ตั้งแต่ชั้นเรียน ห้องน้ำ มุมมืดในห้องพัก รวมทั้งข้างตัวเธอบนเตียงนอนที่บ้าน ในท่ามกลางความสับสน และสถานการณ์ที่กำลังเลวร้ายลง “อาจารย์นายแพทย์ประกิต” (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่แสดงความห่วงใยไหม และตัดสินใจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือลูกศิษย์คนนี้ในทุกวิถีทาง ไหมเริ่มตั้งคำถามและค้นหาคำตอบอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน นั่นคือการค้นหาที่มาของอาจารย์ใหญ่ แต่ดูเหมือนยิ่งสาวยิ่งลึก และมีบางสิ่งที่ซับซ้อนเกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอจะต้านทานไหว บางอย่างที่เกี่ยวพันและเชื่อมโยงถึงผู้หญิงที่ชื่อ “ดาหวัน” กับร่างของอาจารย์ใหญ่ตรงหน้าเธอ ความจริงในด้านมืดที่ชวนขนลุก และเหตุการณ์ที่เลวร้ายในอดีตได้กลับมาหลอกหลอนเธอขึ้นอีกครั้ง…
เดอะ กิ๊ก (The Gig) (2549/2006) เรื่องราวความมันส์ในการบริหารกิ๊ก เริ่มต้นขึ้นเมื่อ เจ้าใหญ่ The Gig (จุ๊น กิตติคุณ) หนุ่มฮ็อตแห่ง Gig Club คลับของคนรักกิ๊ก คิดจะจีบ น้องแอ๊นท์ (จ๊ะจ๋า พริมรตา) ดาวคณะผู้น่ารัก ใหญ่ร่วมมือกับสี่จตุรเทพ ได้แก่ อาร์ม สุดเซอร์ (พล ศิริพล), โด้ จอมซ่า (ตั๋ม ปจิต), แจ็ค สุดจ๊าบ (บุ้ง ณัฐชาติ) และ ตู่ ขาลุย (ชลัช) ทำเซอร์ไพรส์สุดประทับใจให้น้องแอ๊นท์ จากนั้นใหญ่ก็พาน้องแอ๊นท์ไปรู้จักกับน้องสาวผู้น่ารักทั้งสามคนของใหญ่ ทำให้น้องแอ๊นท์เห็นความดีในฐานะพี่ชายที่แสนดี ในที่สุด ใหญ่ก็พิชิตใจน้องแอ๊นท์ ดาวคณะได้สำเร็จ แต่น้องแอ๊นท์หารู้ไม่ว่าเพียงเช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าใหญ่ก็แอบไปกิ๊กกับ น้องลิซ่า (ไอซ์ อภิษฎา) ดาวชมรมเชียร์ลีดเดอร์ ใหญ่กลายเป็นปรมาจารย์กิ๊ก ที่มีกลยุทธสับรางแบบที่ใครก็นึกไม่ถึง แถมยังแอบไปกิ๊กหญิงทั่วทั้งมหาวิทยาลัย ใหญ่และสี่จตุรเทพ สอนวิธีกิ๊กหญิงให้กับสมาชิกใน Gig Club โดยมีกฎข้อสำคัญคือ อย่าเผลอตกหลุมรัก หนึ่งในสมาชิกนั้นมี พี่ติ๊ก (มิค บรมวุฒิ) รวมอยู่ด้วย พี่ติ๊กแอบชอบน้องแอ๊นท์มานานแล้วแต่จีบไม่ติด เฝ้าคอยคิดหาวิธีและโอกาสแฉความจริงเพื่อแย่งน้องแอ๊นท์ไปเป็นของตัวเอง ขณะเดียวกันทางด้านน้องแอ๊นท์ก็เริ่มผิดสังเกตในตัวเจ้าใหญ่ เธอจึงขอให้ น้องคุกกี้ สาวเซี้ยว (พลอย ศราวดี) และ น้องจิ๊บ สาวหวาน (เอ็มมี่ อภิภา) เพื่อนสนิททั้งสองคน ช่วยกันวางแผนจับกิ๊ก ความโด่งดังของ Gig Club เริ่มแผ่ขยายมาถึงน้องสาวทั้งสามของเจ้าใหญ่ ทำให้พวกเธอเริ่มอยากมีกิ๊ก ความอบอุ่นในครอบครัวเริ่มจางหายไป เจ้าใหญ่กำลังหลงอยู่ในโลกของกิ๊กและล้ำเส้นกฎที่ตั้งเอาไว้ จนกระทั่งความจริงปรากฏ น้องแอ๊นท์จับได้ว่าเจ้าใหญ่มีกิ๊ก ใหญ่เสียน้องแอ๊นท์ไปและพบว่าน้องสาวของตัวเองก็มีกิ๊ก เป็นเหตุให้ใหญ่ทะเลาะกับสี่จตุรเทพ ถึงเวลาที่เจ้าใหญ่ Gig Club จะต้องลุกขึ้นมาแก้ไขสิ่งที่ตนเองทำผิดพลาดไป เพื่อกอบกู้ครอบครัว เพื่อนและความรักให้กลับคืนมา
มนุษย์เหล็กไหล (2549/2006) แรงศัทธาจะเปลี่ยนคนธรรมดาให้เหนือคน การนำเอาแนวคิดทางด้าน “พุทธปรัชญาแห่งเอเชีย” และ “เหล็กไหล” วัตถุธาตุที่เชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจอันทรงอานุภาพและขุมพลังลึกลับที่เกิดจากการบ่มเพาะและหล่อหลอมอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอันยาวนาน มาตีความใหม่ภายใต้แนวทางของ “ภาพยนตร์แอคชั่นซูเปอร์ฮีโร่แบบไทยๆ” อย่างเต็มรูปแบบครั้งแรกของเมืองไทย โดยได้ “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” และ “พันนา ฤทธิไกร” ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ “องค์บาก” และ “ต้มยำกุ้ง” รับหน้าที่ “ควบคุมงานสร้างออกแบบ” และ “กำกับคิวบู๊แอคชั่น” (ตามลำดับ) และกำกับภาพยนตร์โดย “บัณฑิต ทองดี” ที่ทำให้ “มนต์เพลงลูกทุ่งเอฟเอ็ม” (2545) และ “เฮี้ยน” (2546) เป็นภาพยนตร์ทำเงินที่กวาดรายได้อย่างสูงสุดของเมืองไทยมาแล้ว ด้วยรูปแบบของภาพยนตร์ไลฟ์แอคชั่นที่เน้นความสมจริงซึ่งถูกนำมาผสมผสานกับงานเทคนิคพิเศษทางด้านภาพเพื่อถ่ายทอดพลานุภาพของเหล็กไหลทั้งในส่วนของความแข็งแกร่ง การยืดหดตัว รวมไปถึงการผสมผสานระหว่างเหล็กไหลและเลือดเนื้อในตัวร่างกายเป็นหนึ่งเดียวในตัวของ “มนุษย์เหล็กไหล” ให้สามารถโลดแล่นบนแผ่นฟิล์มได้อย่างเหนือจริง ตามความเชื่อที่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ “เหล็กไหลจันทรา” (ความเย็น) และ “เหล็กไหลสุริยัน” (ความร้อน) รวมตัวกันคราใด ก็จะนำมาซึ่งขุมพลังแห่งอำนาจอเนกอนันต์อันยากเกินกว่าสรรพวุธอื่นใดจะสามารถสยบและหยุดยั้งได้ แต่แล้วแผนการครอบครองเหล็กไหลดังกล่าวของ “อุสมาห์” (อานนท์ สายแสงจันทร์) หัวหน้ากลุ่มผู้ก่อการร้ายจากตะวันออกกลางหาได้เป็นอย่างที่คิดไม่ ถึงแม้ “อารีนา” (เมทินี กิ่งโพยม) สมุนมือขวาของตนจะสามารถแย่งชิงเหล็กไหลจันทรา (วัชรธาตุหรือ หยดน้ำฟ้าอันศักดิ์สิทธิ์) มาจาก “พูนิมา” (จิณวิภา แก้วกัญญา) กุมารีผู้ปกป้องประจำอารามแห่งหนึ่งในทิเบตมาได้แล้วก็ตาม แต่ในระหว่างการปล้นตัวอุสมาห์ผู้ก่อการร้ายข้ามชาติจากเรือนจำคุ้มครองพิเศษจากทางการไทยเกิดความผิดพลาดขึ้นจนนำไปสู่การระเบิดครั้งใหญ่ในเรือนจำ จนทำให้เหล็กไหลสุริยันทิ่มแทงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของ “ฌาน” (วสันต์ กันทะอู) นักดับเพลิงหนุ่มผู้มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ต้องตื่นตะลึงกับพลังลึกลับและฤทธานุภาพของเหล็กไหลที่อยู่ในตน ทางเดียวที่จะไม่ให้พลังแห่งความร้อนแรงที่เกิดขึ้นจากเหล็กไหลแผดเผาเลือดเนื้อและร่างกายของฌาน คือจะต้องเรียนรู้การควบคุมสภาวะความรุ่มร้อนในอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากส่วนลึกในจิตใจของตนให้จงได้และเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังจากเหล็กไหลที่ตอนนี้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเลือดเนื้อและร่างกาย และที่สำคัญจะต้องรับมือกับพลานุภาพของเหล็กไหลจันทราที่บัดนี้ถูกนำไปพัฒนาระดับขั้นของพลังเพิ่มทวีคูณขึ้นไปอีกจากกลุ่มก่อการร้ายของอุสมาห์ และนี่คือจุดเริ่มต้นของการปะทะกันระหว่างพลานุภาพของเหล็กไหลทั้ง 2 ขั้วภารกิจอันยิ่งใหญ่ของชายหนุ่มอย่างฌาน หรืออีกนัยหนึ่งคือ “มนุษย์เหล็กไหล”
โกยเถอะโยม (2549/2006) นิ่งสงบ สยบ ความผวา แต่ถ้าผีมา...ก็ตัวใครตัวมัน เรื่องราวเกี่ยวกับผีเด็กเร่ร่อน (น้องพี มกจ๊ก) ที่ต้องการตามหาพ่อ ซึ่งไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่ด้วยความเหงาและอยากมีเพื่อน ผีเด็กจึงชอบปรากฏตัวให้ผู้คนได้เห็นอย่างซุกซน ซึ่งในการปรากฏตัวทุกครั้งได้สร้างความอลหม่านวุ่นวายและความหวาดกลัวให้กับชาวบ้าน จนชาวบ้านทุกคนต้องรวมพลคนกลัวผีขึ้นมาและแห่กันไปพึ่งหลวงพ่อ (จตุรงค์ พลบูรณ์) เจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน เรื่องราวความน่ากลัวต่างๆ ถูกเล่าผ่านบรรดาชาวบ้านที่นำทีมโดย เจ๊หลี (วนิดา แสงสุข) เจ้าของร้านขายของชำที่มีลูกสาวชื่อ กิ๊ก (พิมพ์ชนก พลบูรณ์) ที่ไปแอบชอบกับเด็กวัดก้นกุฏิที่ชื่อ หรั่ง (จามร ตันธนะศิริวงษ์) โดยมี กบ (โก๊ะตี๋ อารามบอย) เด็กวัดคู่หูที่คอยช่วยเหลือทั้งสองจากการขัดขวางความรักของ เจ๊หลี ตามขบวนมาด้วย ลุงชู (จิ้ม ชวนชื่น) ภารโรงมาดเนี้ยบที่แอบชอบ เจ๊หลี จนออกนอกหน้า มาพร้อมกับเฮียเท๊งขายหมู (แอนนา ชวนชื่น) และชาวบ้านอีกมากมายที่ต่างเจอเรื่องวุ่นๆ และความน่ากลัวของผีเด็ก จึงมารวมตัวกันที่ศาลาวัดและเล่าเรื่องราวความหวาดกลัวเหล่านั้นด้วยมุขตลกต่างๆ และร่วมกันคิดหาวิธีกำจัดผีเด็กให้พ้นไป
โคตรรักเอ็งเลย (2549/2006) “รักแท้ดูแลได้ไหม” และจะทำยังไงให้ “อุดม แต้พานิช” และ “เมียของเขา” ยังคง Sweet หวานเหมือนกับวันแรกที่รักกัน และจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่า “อาถรรพ์ของการใช้ชีวิตคู่” มีอยู่จริง พบเลิฟสตอรีชวนยิ้มจากฝีมือเขียนบท-กำกับโดย “พิง ลำพระเพลิง” รับรองดูแล้วคุณจะรีบบึ่งกลับไป “หอมแก้ม” เมียที่บ้านของคุณทันที เลิฟสตอรีจี๊ดโดนใจเมื่อ “รงค์” (อุดม แต้พานิช) นักเขียนบทตลกกำลังตกที่นั่งลำบากกับอาถรรพ์ชีวิตคู่ที่ดูเหมือนจะไร้ปัญหา แต่ทว่ามันมีอยู่จริงเพราะ “แดง” (วิสา สารสาส) ภรรยาสุดที่รักดันไปเกิดมีกิ๊กกั๊กปันใจให้กับหมอตรวจภายในที่แสนสุภาพสุดหล่อนามว่า “รักษา” (อัครา อมาตยกุล) อันที่จริงจะโทษแดงฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะว่ารงค์เองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เพราะทั้งคู่แต่งงานกันมานานเรื่องของความกุ๊กกิ๊กโรแมนติกก็เริ่มห่างหายไปตามกาลเวลา ทำให้อะไรในชีวิตมันไม่ฟู่ฟ่ากระชุ่มกระชวยเหมือนเดิม ประกอบกับแดงเองก็มาถูกใจหมอตรวจมะเร็งปากมดลูกเข้าอีก ถึงใจจะหวั่นไหวเธอก็พยายามตัดใจเลี่ยงไปตรวจมะเร็งเต้านมตามคลินิก ก็เจ้ากรรมดันเป็นคลินิกของรักษาเข้าอีก ทำเอาแดงเสียการทรงตัวและหัวใจไปกับความสุภาพของหมอหนุ่ม แล้วแดงจะทนได้อย่างไร ในขณะเดียวกันกับที่รงค์น้อยผู้น่าสงสารต้องหาทางออกโดยพึ่งดร.อ่าง ทำเอาแดงน้อยใจสามี จึงเริ่มสานต่อความสัมพันธ์กับรักษา ดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง รงค์รับรู้ถึงความสัมพันธ์แบบลับๆ ล่อๆ ของเมียเข้าจากไดอารีเล่มแดง อารมณ์ปรี๊ดขึ้น ผัวเมียเคลียร์กันไม่ลง แดงขับรถออกจากบ้านตกเขาทันที เดือดร้อนถึงปอเต็กตึ๊งที่ต้องตามไปเก็บ รงค์ได้แต่เสียใจที่ทำให้เมียต้องจากไปโดยที่ยังไม่ทันได้พูดจากันให้เข้าใจ รงค์อยู่บ้านชักรู้สึกหวั่นๆ ข้าวของในบ้านเริ่มเปลี่ยนที่อยู่บ่อยๆ เขาบอกกับทุกคนว่าเมียของเขากลับมาที่บ้านแน่นอน เพื่อนได้แต่บอกให้ทำใจ แต่คุณพระช่วย แดงมาที่บ้านรงค์จริงๆ มาให้เห็นตัวเป็นๆ เลย เอาล่ะสิ คราวนี้เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร แดงตายหรือไม่ตายกันแน่ ถ้าตายแล้วกลับมาหลอนรงค์เพื่ออะไร
Delivery Sexy Love ภารกิจบิดระเบิดรัก (2549/2006) โจ (แดน ดนัย) หนุ่มหล่ออารมณ์ดี ดีกรีนักเรียนนอกที่ชีวิตพลิกผัน กลายมาเป็นคนส่งพิซซ่า แถมโชคชะตายังพัดพาให้มาตกหลุมรักสาวสวยไฮไซ เจน (นาตาลี เจียรวนนท์) งานนี้โจจะต้องรับมือกับสารพันปัญหาที่ทั้งวุ่นวายและสนุกสนานจากการซิ่งมอเตอร์ไซค์ส่งพิซซ่าเพื่อปฎิบัติภารกิจส่งรัก พร้อมทั้งต้องพยายามเอาชนะใจเจน ขณะที่ศัตรูของครอบครัวเจนก็เริ่มคุกคามชีวิตของทุกคน ทุกคนต้องหลบหนีจากการไล่ล่าของประจักร (วรพจน์ ชะเอม) ผู้บงการพร้อมกับสมุนมือดีถูกเรียงหน้าตามล่าสุดชีวิต ภารกิจไล่ล่าจึงเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น จอมโจรซามูไร (เอ็ดดี้ ผีน่ารัก) กระบี่ผีหลบนักฆ่าวัดดอน พร้อมด้วย มือปืนสูทดำ (จเร เชิญยิ้มและคณะ) หล่อสุภาพไร้ความปราณี มือปืนไฉไล (สุนิษา ไฉไล) เสือสาวตาหวานจอมแม่นปืนฆ่าไม่เลือกหน้า อ่าง ลำพระเพลิง (อ่าง เถิดเทิง) ขุนขวานติดอ่างเคลื่อนที่เลว(ช้า)มากแต่แม่น สมทบด้วยภารกิจ "เป๋อ" ของตำรวจลับกระจับหลุด (ยาว ลูกหยี) ผู้ที่กรมตำรวจไม่รู้ว่าเป็นตำรวจรักษาความลับสุดยอดเพราะเป็น ตำรวจลับ และ รปภ.สงบ นิ่งสงัด (เต๋อ เชิญยิ้ม) ผู้รักษาความปอดแหกเพราะความหมายรปภ.ลึกซึ้งเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจ ความอลเวงแห่งการไล่ล่าที่เฮฮาประสาโจรก็เริ่มขึ้น ภารกิจป่วนของกลุ่ม พิซซ่าขาร๊อค (วงร๊อคข้าวปุ้น) ฮิปฮอบสายพันธุ์ที่ราบสูงและเสี่ย(ว)สิเด้อ บั๊กจิโอเจ้าของร้านแฟรนไชส์พิซซ่า และคุณแม่จอมจุ้น (เอ้ ชุติมา) ที่คอยช่วยเหลือพระเอกจะสำเร็จหรือไม่ และจะพ้นเงื้อมมืออันเซ็กซี่ของ คุณหนูหวาน (อุ้ม ญริชฎา) สาวสวยอึ๋มไฮเปอร์แอคชั่น โจ พระเอกตัวจริงจะนำพาความรักไปส่ง ฝ่าดงปืน ดงระเบิดและการไล่ล่าได้หรือไม่ และเมื่อความจริงถูกเปิดเผยขึ้น
กระสือ (2549/2006) คืนวันเพ็ญ....คืนแห่งการสืบทอด เมื่อเธอคือทายาทคนต่อไป !!! พลอย นักศึกษาสาวสวยฐานะยากจน จึงหาเงินเรียนด้วยการไปทำงานเป็นสาวโคโยตี้ แต่เธอมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลบ่อย ๆ จึงทำให้เธอได้พบรักกับหมอโอ๊ต ชายหนุ่มอนาคตไกล และเมื่อถึงวันที่พลอยอายุครบ 20 ปี ซึ่งตรงกับวันลอยกระทงพอดี ทำให้เธอได้รู้ความจริงบางอย่างเกี่ยวกับตัวเธอ เมื่อเธอพบว่าเธอเป็นกระสือ ซึ่งสืบทอดสายเลือดมาจากยายของเธอ มันเป็นเรื่องเลวร้ายที่ยากเกินจะยอมรับได้ และเธอจะทำอย่างไรต่อไป
โคลิค เด็กเห็นผี (Colic) (2549/2006) คุณเคยรู้จักเด็กหรือมีลูกที่มีอาการอย่างนี้บ้างไหม ร้องไห้เป็นประจำทุกวันและเวลาเดียวกัน ไม่หยุดและรุนแรง ติดต่อกันเป็นเวลานาน ระวัง!!! นั่นคือสัญญาณของความน่ากลัว เตรียมผวากับสิ่งที่จะตามมาหลอกหลอน เมื่อ “แพรพลอย” (พิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์) AE สาวกับ “ป้องภพ” (วิทยา วสุไกรไพศาล) ผู้กำกับหนังโฆษณาหนุ่มไฟแรง ได้ตัดสินใจแต่งงานกันหลังจากที่แพรตั้งท้องโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ทั้งคู่จึงตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตและขยับขยายครอบครัวใหม่ด้วยการย้ายบ้านไปอาศัยอยู่กับแม่และน้าสาวของป้องภพแถบชานเมือง แต่การเริ่มต้นไม่ดีเท่าที่ควรเพราะป้องภพทำแต่งานไม่มีเวลามาสนใจแพรซึ่งกำลังตั้งท้องแก่ขึ้นทุกที ความกดดันต่างๆ จากฝ่ายชายทำให้แพรต้องหันหน้าไปปรึกษาและหาอะไรทำเพื่อลดความเครียดด้วยการวาดภาพประกอบให้กับหนังสือที่ “จีน” (กุณฑีรา สัตตบงกช) เพื่อนสนิทดูแลอยู่ คืนหนึ่งแพรเห็นบ้านน้าเบญซึ่งปลูกอยู่ใกล้ๆ กับบ้านหลังใหญ่ของแม่ป้องภพมีไฟลุกไหม้ จึงเข้าไปดูและพยายามหาทางช่วยน้าเบญออกมา ในขณะที่แพรเองก็เจ็บท้องและกำลังจะคลอดลูกพอดี หลังจากการคลอดลูกกลับมาไม่นาน “น้องปั้น” (ลูก) ก็กลับส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างรุนแรงและน่ากลัว หมอตั้งข้อสงสัยว่าน้องปั้นน่าจะเป็น “โรคโคลิค” ซึ่งเด็กที่เป็นโรคนี้จะร้องไห้อย่างรุนแรงและตรงเวลาเป็นประจำทุกวันโดยไม่สามารถหาสาเหตุและวิธีรักษาได้ แต่โดยปกติโรคนี้จะหายไปเองเมื่อเด็กอายุ 3 ถึง 6 เดือน แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปน้องปั้นก็ยังไม่หายจากโรคโคลิค ปั้นยังคงร้องไห้อย่างรุนแรงทุกวัน และดูเหมือนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ทุกคนในครอบครัวและจีนซึ่งเข้ามาช่วยดูแลน้องปั้นต่างก็พบกับเรื่องราวประหลาดๆ มากมาย ทำไมโรคนี้จึงไม่หายไปจากเด็กคนนี้ ทำไมเรื่องต่างๆ จึงเกิดขึ้นทุกครั้งที่เขาเริ่มร้องไห้ อะไรคือสาเหตุที่แท้จริง ร่วมพิสูจน์ความจริงที่มาพร้อมความหลอนนี้ได้ใน “โคลิค เด็กเห็นผี”
แก๊งชะนีกับอีแอบ (2549/2006) แฟนหนุ่มเข้ามาแล้วก็จากไป แต่เพื่อนสาวนั้นไซร้อยู่ยั้งยืนยง เป็นประโยคปลุกใจแสนอมตะ ที่เพื่อนสาวจะใช้ปลอบประโลมใจกัน ในยามที่หนึ่งในพวกเธอกำลังเผชิญภาวะขาดเสถียรภาพในความสัมพันธ์ หรืออาจจะเป็นประโยคที่สาวๆ ท่องไว้เตือนใจตัวเอง ยามที่เธอต้องกลับมาใช้ชีวิตสาวโสดออกเที่ยวเตร่กับเพื่อนสาวตามเดิม หรืออาจจะเป็นประโยคที่พูดก่อนการชนแก้วของกลุ่มเพื่อนสาว ที่มาร่วมดื่มเพื่อลืมเธอในค่ำคืนหนึ่ง ทำไมผู้ชายถึงไม่เคยว่าง เมื่อแฟนสาวพยายามโทรมาชวนเขาออกไปซื้อของ ทำไมผู้ชายมักมีคำพูดติดปากว่าอะไรก็ได้ เมื่อแฟนสาวหวังพึ่งการตัดสินใจของเขา ทำไมผู้ชายไม่สามารถทนฟังแฟนสาวระบายปัญหาทุกข์ใจจนจบโดยไม่พูดแทรกได้ ทำไมผู้ชายถึงพยายามทำให้แฟนสาวหยุดร้องไห้ด้วยการสั่ง แทนการกอด ทำไมผู้ชายคิดถึงเรื่องเพศทุกลมหายใจเข้าออก แต่เมื่อพูดถึงรัก กลับทำท่าเหมือนไม่อยากหายใจ ดังนั้นการมีแฟนที่มีลักษณะตรงข้ามกับทุกข้อที่กล่าวมา จึงเป็นสิ่งที่สาวๆ ใฝ่ฝันถึง และแล้ว ก้อง (เธียรชัย ชัยสวัสดิ์) ชายหนุ่มแสนดีในฝันของสาวๆ ก็ก้าวเข้ามาในชีวิต แป้ง (มีสุข แจ้งมีสุข) หญิงสาวผู้ค้นพบเข็มในมหาสมุทรที่เพิ่งเกิดสึนามิ เรื่องราวน่าจะจบลงอย่างที่สาวๆ ต้องอิจฉา แต่อนิจจา เพื่อนๆ ของแป้ง ได้แก่ ป๋อม (พัชรศรี เบญจมาศ) แพท (กุลนัดดา ปัจฉิมสวัสดิ์) เจ๊ฝ้าย (พิมลวรรณ ศุภยางค์) และ นิ่ม (อรปรียา หุ่นศาสตร์) กลับไม่คิดเช่นนั้น พวกเธอพยายามอย่างสุดกำลัง เพื่อขัดขวางแฟนหนุ่มสุดวิเศษคนนี้ เพราะสัญชาตญาณชะนีร้องเตือนว่าหน้าหล่อคนนี้เป็นอีแอบ
เพลงสุดท้าย (2549/2006) “สมหญิง ดาวราย“ (อารยา อริยะวัฒนา) สาวประเภทสองที่ได้รับการยกย่องให้เป็นนักแสดงคาบาเรต์ดาวเด่นของทิฟฟานีโชว์ที่พัทยา เนื่องจากเธอเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่มากกว่า “นางโชว์“ คนหนึ่งพึงจะมี ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาท่าทาง กิริยามารยาทที่เป็นกุลสตรีทุกด้าน รวมถึงลีลาการแสดงในรูปแบบต่างๆ ที่ออกมาจากจิตวิญญาณอย่างแท้จริง สมหญิงมีเจตนารมณ์อันฝังแน่นว่า “ความรัก“ จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับจิตใจของเธอเป็นอันขาด เพราะตัวอย่างชีวิตรักของเพศที่สามสอนให้สมหญิงได้เรียนรู้ว่า “ไม่มีรักแท้สำหรับเพศสีม่วง“ นอกเสียจากความเจ็บปวดขื่นขมและผิดหวังเพียงอย่างเดียว เฉกเช่นชีวิตรักของ “ประเทือง / ซ้อเทือง” (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) กะเทยรุ่นใหญ่ เจ้าของทิฟฟานีโชว์ที่แม้จะสมบูรณ์พูนพร้อมไปเสียทุกอย่าง แต่ก็ยังไม่วายต้องทุรนทุรายเกือบตายเพราะความรัก เมื่อ “บดินทร์” นักร้องหนุ่มหน้าม่านที่ซ้อเทืองเลี้ยงไว้ผละหนีจากอกช้ำๆ หลังจากได้กอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาปรารถนาแล้ว “บุญเติม” (วชรกรณ์ ไวยศิลป์) นักร้องหนุ่มหน้าม่านคนใหม่ของทิฟฟานีโชว์ได้รับการต้อนรับจากคนดูและเพื่อนร่วมคณะเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสมหญิงที่เห็นแววความสามารถของบุญเติม และเป็นผู้ชักชวนให้มาทำงานนี้ สมหญิงได้ให้ความช่วยเหลือทุกอย่างแก่บุญเติมอดีตช่างซ่อมรถด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง เพราะเห็นว่าบุญเติมต้องทำงานส่งเสียตัวเองเรียนด้วย เป็นเหตุให้ซ้อเทืองและเพื่อนนางโชว์เริ่มซุบซิบกันว่า บุญเติมได้เข้ามาทำลาย “เขื่อนกั้นหัวใจ“ ของสมหญิงลงแล้ว แต่แล้วเมื่อแม่อันเป็นที่รักและจุดยึดเหนี่ยวจิตใจของสมหญิงต้องมาเสียชีวิตลงอย่างไม่คาดคิด แหล่งพักพิงหัวใจที่บอบช้ำของสมหญิงจึงอยู่ที่บุญเติมเรื่อยมา จนสุดท้ายสมหญิงแยกไม่ออกว่าหัวใจของตัวเองนั้นหลงรักบุญเติมมากน้อยเพียงใด วันเวลาผ่านไปก็ยิ่งทำให้บุญเติมกับสมหญิงคือ เงาตามตัวของกันและกัน แต่แทนที่เพื่อนๆ นางโชว์จะดีใจไปกับสมหญิง ทุกคนกลับให้ความเป็นห่วง โดยเฉพาะซ้อเทืองที่เป็นห่วงสมหญิงมากกว่าใคร เพราะจากสมหญิงที่เคยร่าเริงคบหาสมาคมกับเพื่อนๆ กลับกลายเป็นสมหญิงที่เฝ้ารอนับวันเวลาอย่างไร้จุดหมาย เมื่อบุญเติมต้องไปเรียนหรือไปค้างกับเพื่อนๆ นักศึกษาที่กรุงเทพฯ ในวันนั้นแม้ว่าสมหญิงจะภาวนาให้มันเป็นเพียงฝันร้าย แต่มันก็คือความจริง…ความจริงอันแสนเจ็บปวด เมื่อบุญเติมเกี่ยวก้อย “อรทัย” (สุมลรัตน์ วัฒนาเศลารัตต์) น้องสาวสุดที่รักของสมหญิง มาสารภาพกับเธอว่า ทั้งสองมีความรักแท้ต่อกันและต้องการที่จะเดินทางไปเรียนหนังสือที่เมืองนอกด้วยกัน สมหญิงเจ็บปวดรวดร้าว และต้องจำยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้าอย่างสุดแสนทรมาน เธอจะมีชีวิตอยู่ในโลกมืดนี้ต่อไปได้อย่างไร และแล้ว “บทเพลงชีวิตบทสุดท้าย” ของ “สมหญิง ดาวราย” ก็ค่อยๆ บรรเลงขึ้น…
หนูหิ่น เดอะ มูฟวี่ (2549/2006) ว่ากันว่าถ้าเอ่ยชื่อ “หนูหิ่น” เด็กสาวอารมณ์ดี๊ดี เจ้าของผมทรงม้าเหี้ยน สวมเสื้อคอกระเช้า นุ่งผ้าซิ่น รับรองว่าไม่มีใครในหมู่บ้านโนนหินแห่ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี ที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวีรกรรมเด็ดอันเกิดจากความคิดใสซื่อผสมปนเปเข้ากับความซนที่ไม่มีขีดจำกัด ทำให้พี่น้องชาวบ้านต่างอิดหนาระอาใจไปกับหนูหิ่นไปตามๆ กัน แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เมื่อย่างเข้าหน้าแล้ง บ้านนาขัดสน พ่อก็มาเจ็บๆ ออดๆ หนูเหี้ยนน้องสาวกำลังจะเปิดเทอม ในฐานะพี่สาวคนโต หนูหิ่นตัดสินใจประกาศตัวอย่างชัดเจนว่า “หนูหิ่นนี่แหละจะเข้ามาเฮ็ดการเฮ็ดงานที่กรุงเทพฯ เอง อีพ่ออีแม่บ่ต้องเป็นห่วง“ โดยหวังว่าตนเองจะเป็นเสาหลักของบ้าน เพียงแต่ว่าหลายคนในหมู่บ้านต่างเห็นพ้องต้องกันว่าหนูหิ่นจะเข้ามาก่อวีรกรรมความวุ่นวายในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ เสียมากกว่า ณ สำนักจัดหางาน ความฝันอันสวยหรูของหนูหิ่นกับชีวิตการเป็นสาวโรงงานต้องพังพินาศลง เมื่อสาวกรุงเทพฯ หุ่นดีที่ใครเห็นก็ต้องเหลียวหลังคอเคล็ด เดินผ่านเข้ามาในชีวิตของหนูหิ่น พร้อมยื่นตำแหน่งงานที่ท้าทายความสามารถของหนูหิ่นยิ่งกว่าการเป็นสาวโรงงานกับดักหนูเสียอีก แต่หิ่นรู้ดีเด้อค่ะว่า “ตำแหน่งผู้จัดการบ้าน” ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ จึงยื่นข้อเสนอกลับไปว่าเงินเดือนสวัสดิการพร้อม 1,500 บาทขาดตัว และบ่รับงานหลัง 2 ทุ่มครึ่งเพราะหนูหิ่นติดภารกิจสำคัญ คุณมิลค์ที่แปลว่านม (คนอะไรชื่อสมตัวดีแท้) แกก็ดีใจหายรับเงื่อนไขทุกประการ หนูหิ่นลืมบอกไปเด้อค่ะ เจ้านายคนสวยที่รับหนูหิ่นเข้าเฮ็ดงาน แกชื่อว่า “คุณมิลค์“ คนกรุงเทพฯ ชื่อแปลกแท้เนาะแปลว่า “นม“ สมตัวหลาย ในบ้านใหญ่หลังโตสมฐานะคนอันจะกินหลังนี้ยังมีสมาชิกในบ้านอย่างอีพ่อ, อีแม่ และ “คุณส้มโอ“ พี่สาวที่หุ่นสะบึม หน้าตาสวยไม่แพ้คุณมิลค์ แต่แกชอบออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ ไปไหนมาไหนห่วงสวย ต้องดูกระจกตลอด นอกจากนี้หนูหิ่นยังได้พบหนุ่มคนสวนที่บ้านข้างๆ และตกหลุมรักในความหล่อเข้าเต็มเปา แต่ในเวลาต่อมาก็ต้อง “อกหัก“ เมื่อพบความจริงว่า ที่แท้หนุ่มคนนั้นคือ “คุณทอง” ลูกชายคนเล็กของบ้านข้างๆ ต่างหาก ยังดีที่ว่าทั้งคุณทองและคุณมิลค์ แกดูสนใจกันอยู่ ถ้าเป็นคนอื่นหนูหิ่นบ่ยอมเดะค่ะ เผลอแป๊บเดียวหนูหิ่นก็มาทำงานที่บ้านคุณมิลค์ได้ร่วมปีแล้ว… หนูหิ่นยุทั้งคุณมิลค์และคุณส้มโอให้สมัครประกวดซูเปอร์โมเดลค้นหานางแบบหน้าใหม่ที่จัดโดย “โซเนีย” ยอดนางแบบของไทย แต่ทั้งคู่กลับไม่สนใจ หนูหิ่นเลยวางแผนสมัครให้ทั้งคู่แทน ที่นี่ถ้าคุณมิลค์ชนะประกวดจนโด่งดังเป็นดารา ตัวเองจะได้พลอยฟ้าพลอยฝนไปกับเค้าด้วย ไม่มีใครรู้ว่าการเข้าประกวดนางแบบครั้งนี้จะนำมาซึ่งเหตุการณ์ตื่นเต้น หวาดเสียว เสี่ยงชีวิตจนเป็นเรื่องราวใหญ่โตอย่างที่คุณมิลค์ คุณส้มโอ รวมทั้งคุณทองเองก็บ่เคยนึกมาก่อน นี่หนูหิ่นนึกถึงยังใจหายอยู่เลยเด้อค่ะ แต่ถึงยังไงผู้จัดการบ้านอย่างหนูหิ่นก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดปกป้องดูแลเจ้านายน้อยบ่ให้มีแมลงวันสักตัวเข้ามาโฉบไปโฉบมาถูกตัวคุณมิลค์กับคุณส้มโอได้เลยถึงแม้ว่าจะต้องเอาชีวิตของหนูหิ่นไปแลกก็ยอม นอกจากนี้เผลอๆ หนูหิ่นอาจจะได้มีโอกาสติดสอยห้อยตามคุณมิลค์ คุณส้มโอไปเดินแบบหรืออาจจะถูกฝรั่งแมวมองทาบทามไปขึ้นแคทวงแคตวอล์กกะเขาด้วยเดะค่ะ งานนี้มีคนออกแบบเสื้อผ้าที่เรียกว่าดีไซเนอร์จากเมืองนอกชื่อ “จิวานนี” มาร่วมงานด้วย ยังไงก็ฝากบอกพี่ป้าน้าอาทั้งหลายมาช่วยให้กำลังใจหนูหิ่นด้วยเด้อค่ะเด้อ
ก้านกล้วย (2549/2006) วีรบุรุษผู้มี 4 ขา 2 งา และ 1 งวง ช้างศึกผู้สร้างเกียรติประวัติสูงสุดให้แก่ช้างไทย ในฐานะช้างคู่พระบารมีแห่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อครั้งสงครามยุทธหัตถี ชื่อของเขาคือ “เจ้าพระยาปราบหงสาวดี” หรืออีกนามหนึ่งว่า “ก้านกล้วย” นี่คือเรื่องราวการเติบโตของช้างเชือกหนึ่ง จากลูกช้างซุกซนใช้ชีวิตอิสระอยู่ท่ามกลางป่าลึก แต่แล้วด้วยความอยากรู้เรื่องของพ่อที่หายไปได้นำเขาออกเดินทางสู่การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ผ่านหลากหลายเหตุการณ์ซึ่งให้บทเรียนใหม่ๆ เปลี่ยนให้เขากลายเป็นช้างที่กล้าแกร่งเต็มไปด้วยพละกำลัง ในขณะที่จิตใจกลับอ่อนโยน บรรดาตัวละครต่างๆ ที่เขาได้พบระหว่างการเดินทาง อาทิเช่น “จิ๊ดริด” นกพิราบสื่อสารขี้โม้, “ชบาแก้ว” ช้างสาวผู้น่ารักและแสนงอน, “ติ่งรูและรถถัง” ช้างรุ่นพี่และรุ่นอาซึ่งเขาได้พบในหมู่บ้าน, “บุญเรือง” ช้างศึกแห่งเมืองหลวง และที่สำคัญ “แสงดา” แม่ซึ่งก้านกล้วยจากมา ล้วนเป็นส่วนที่เข้ามาเติมเต็มสร้างสีสันและความสนุกสนาน พร้อมกันนั้นก็ให้บทเรียนต่างๆ ซึ่งเป็นเสมือนการเตรียมความพร้อมให้เขาก้าวสู่การเป็นช้างศึกเชือกสำคัญในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์และการได้พบกับผู้คนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น “สมเด็จพระนเรศวรฯ” มหาราชผู้เกรียงไกรของชาติไทย, “ลุงมะหูด” หัวหน้าครูฝึกช้าง, “มังคุด” เด็กมนุษย์ตัวน้อยผู้บริสุทธิ์สดใส ฯลฯ ยังทำให้ก้านกล้วยได้เรียนรู้ถึงมิตรภาพระหว่างคนและช้างอันนำไปสู่การเสียสละตัวเอง โดยเดินหน้าเข้าสู่สงครามอย่างนักรบผู้กล้า เช่นเดียวกับที่พ่อของเขาเคยทำมาเมื่อครั้งอดีตสุดท้าย ขณะอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบ และต้องเผชิญหน้ากับศัตรูผู้น่าเกรงขามเขาก็ได้รับบทเรียนครั้งสำคัญที่สุด นั่นก็คือการเอาชนะความกลัวในจิตใจตัวเอง เมื่อมีชัยเหนือตัวเองก็ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะทำให้เขาพรั่นพรึงได้อีกต่อไป และจุดนี้เองที่ทำให้เขากลายเป็นช้างผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง แม้จุดหมายแรกคือการตามหาพ่อ แต่ในที่สุดก้านกล้วยกลับได้พบสิ่งที่มีความหมายยิ่งกว่า นั่นก็คือมิตรภาพ ความกล้าหาญ และความเสียสละซึ่งอยู่ในตัวเขาเอง เป็นจิตวิญญาณของพ่อที่อยู่กับเขามายาวนาน และนี่คือบทสรุปที่ล้ำค่ายิ่งสำหรับการเดินทางของเขาในครั้งนี้…
มอ๘ (2549/2006) เมื่อนักเรียนชายสุดทะโมนกระโจนมาเรียนรวมกับนักเรียนหญิงสุดเรียบร้อย ก่อให้เกิด “โรงเรียนสหศึกษาแห่งแรก” ในเมืองไทย แต่ความรักแบบปั๊ปปี้เลิฟกลับถูกปิดกั้นจาก “ครูสมปัติ” สุดเฮี้ยบ นักเรียนชายหญิงจะหาทางออกของมิตรภาพความรักได้อย่างไร… ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2500 การศึกษาของไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงและมีการจัดตั้ง “โรงเรียนสหศึกษาแห่งแรก” โดยโรงเรียนหญิงที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนนำร่องคือ “โรงเรียนดรุณีศึกษา” โรงเรียนสตรีที่ชนะเลิศรางวัล “โรงเรียนสตรีดีเด่น“ ติดต่อกันมาถึง 25 ปี ส่วนโรงเรียนชายที่ได้รับเลือกคือ “โรงเรียนอักษรศิลป์” โรงเรียนที่ได้ชื่อว่า “เรียนดี กีฬาเด่น“ “ครูบุญรอด” ครูใหญ่โรงเรียนดรุณีศึกษามอบหมายให้ “ครูสมปัติ” ครูสาวจอมเฮี้ยบและ “ครูเกษร” ครูสาวเรียบร้อยแสนหวานสองศิษย์คนโปรดเป็นผู้คัดเลือกและควบคุมนักเรียนหญิง 15 คนที่ดีที่สุดในโรงเรียนทั้งด้านการเรียนและความเป็นกุลสตรีงามทั้งกายงามทั้งมารยาทเพื่อเข้าร่วมโครงการนี้ โดยให้ครูสมปัติไปเป็นครูประจำชั้น ส่วนครูเกษรให้ไปดูแลเรื่องมารยาท ก่อนไปครูบุญรอดอบรมและย้ำเน้นเรื่องความเป็นกุลสตรีและความมีคุณค่าของผู้หญิง อย่าให้เสียชื่อโรงเรียนที่สร้างสมมายาวนาน ครูสมปัติยืนยันหนักแน่นถึงความมั่นใจกับนักเรียนหญิงที่คัดเลือกเอาไว้และเรียกกลุ่มนี้ว่า “ดอกไม้เหล็ก“ ด้วยความแตกต่างกันระหว่างชายหญิงครูสมปัติต้องเจอเรื่องห่ามๆ ซนๆ ของบรรดานักเรียนชายโรงเรียนอักษรศิลป์ ส่วนครูเกษรและนักเรียนสาวทั้ง 15 คนต้องเจอกับการจีบทุกรูปแบบจากเด็กผู้ชายและครูหนุ่มของโรงเรียนอักษรศิลป์เหตุการณ์วุ่นวายแต่น่ารักๆ ภายในโรงเรียนเกิดขึ้นพร้อมความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างนักเรียนหญิงและนักเรียนชายภายใต้กฎระเบียบที่ครูสมปัติวางไว้อย่างเคร่งครัด ทุกอย่างกำลังไปด้วยดีจนกระทั่งนักเรียนชายไปมีเรื่องชกต่อยในงานก่อเจดีย์ทรายโดยครูชายประจำโรงเรียนไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ กระทรวงศึกษาธิการทราบเรื่อง “คุณหญิงกุหลาบ” จึงแต่งตั้งครูสมปัติขึ้นทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายปกครองของโรงเรียนอักษรศิลป์โดยมีกฎข้อแรกคือ ห้ามนักเรียนมีเรื่องชกต่อยและห้ามมีความรักในโรงเรียนเด็ดขาด เพราะครูสมปัติเห็นว่าความรักในวัยเรียนถ้ามีมากไปเราจะควบคุมกันไม่ได้…
Ghost Game ล่า-ท้า-ผี (2549/2006) เรื่องราวเกิดขึ้นในซีซั่นที่ 2 ของเรียลลิตี้ โชว์ โดยทีมงานได้รวบรวมคน 11 คน ที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งลี้ลับ โดยพวกเขาจะต้องใช้ชีวิตร่วมกันในพิพิธภัณท์สงครามแห่งหนึ่งในประเทศกัมพูชา ซึ่งคนชุดสุดท้ายที่เคยเข้ามาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ต่างต้องตายอย่างน่าสยดสยองโดยไม่มีใครทราบสาเหตุ หลังจากนั้น...ไม่มีใครกล้าเข้าไปที่นั่นอีกเลย เหล่าผู้แข่งขันทั้ง 11 คน ประกอบไปด้วยหนุ่มสาวซึ่งผ่านการคัดเลือกมาจากผู้สมัครอาชีพต่าง ๆ สองคนในจำนวนนี้ คือ ดาว (น้ำตาล - ศุภัทรศิริ ปฐมนุพงษ์) แชมป์เก่าจากซีซั่นที่แล้ว และ ยุทธ์ (วิทย์ - พชรพล จั่นเที่ยง) รองแชมป์ซึ่งเป็นคู่ปรับเก่าของดาว ทั้งสองจะต้องเข้าประลองเกมกับผู้ท้าชิงหน้าใหม่อีก 9 คน คือ เจย์ (จีน - ธัญนันท์ มหาพิรุณ) ช่างภาพ, แอ๊นท์ (แหม่ม-วัชรินทร์ จินะมุสิ) พริตตี้สาว, ยศ (ปอ - ปานเวทย์ ไสยคล้าย) ลูกคนทรงเจ้า, มิค (เค - ทวีศักดิ์ ภมรพล) นักแสดงหนุ่ม, เกด (จุ้มจิ้ม - กิตติลักษณ์ จุลลัษเฐียร) เภสัชกร, เข็มทิศ (อ๊อฟ - ปองศักดิ์ รัตนพงษ์) หนุ่มลูกไฮโซ, ขวัญ (แนม - ซีแนม สุนทร) นักศึกษาสาว รวมทั้งกุ้งและกั้ง (แนน - ณัชธน์กมล และ นุ่น - ชเนษฎ์ผกา ก่อสุวรรณ) สองศรีพี่น้อง สิ่งเดียวที่น่าจะเป็นเหตุผลหลักของการมาเล่นเกมนี้ก็คือ เงินรางวัล 5 ล้านบาท สำหรับผู้ชนะที่สามารถอยู่ได้เป็นคนสุดท้าย ซึ่งถือว่าเป็นเงินรางวัลสูงสุดอย่างที่รายการไหน ๆ ไม่กล้าให้ เงิน 5 ล้านนี้เองที่ดึงพวกเขาทั้ง 11 คน ให้ต้องมาร่วมชะตากรรมในพิพิธภัณท์สงครามแห่งนี้ ซึ่งไม่เพียงจะมีคนตายอย่างลึกลับเท่านั้น ในอดีตเมื่อครั้งสงครามล้างเผ่าพันธุ์ ที่นี่เคยเป็นคุกของเขมรแดงมาก่อน คุกที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทรมานและคร่าชีวิตคนบริสุทธิ์ ด้วยความทรมานในรูปแบบที่ไม่น่าเชื่อมากมายและเกินกว่าที่ใครจะคิดถึง! จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ถ้าสถานที่นี้จะเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความรู้สึกเจ็บแค้น...เกลียดชัง...และความอาฆาตที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด วิญญาณและความอาฆาตที่วนเวียนอยู่นี้ กำลังถูกท้าทาย ซึ่งถือว่าเป็นจุดประสงค์หลักของเรียลลิตี้ โชว์ นี้ ด้วยการลบหลู่สารพัดวิธีจากผู้เข้าแข่งขัน ทั้ง 11 คน โดยไม่มีผู้แข่งขันคนใดรู้มาก่อนเลยว่า มันคือสิ่งที่จะดึงพวกเขาให้เผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายอันน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง ภารกิจในการท้าทายและลบหลู่ของพวกเขา ทั้ง 11 คน อยู่ท่ามกลางการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างหวาดระแวงว่าสิ่งลี้ลับต่าง ๆ ที่พวกเขาต้องผจญนั้น เกิดจากการสร้างสถานการณ์ของผู้จัดรายการ หรือว่ามาจากการกลั่นแกล้งของผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ...หรือแม้กระทั่งเกิดจากสิ่งลี้ลับจริง ๆ กันแน่? พบกับ บทสรุปของเรียลลิตี้โชว์ที่คุณจะไม่มีวันคาดเดาตอนจบได้
โบอา งูยักษ์ (2549/2006) คุณจะไม่มีวันลืม ความสยองขวัญครั้งใหม่ ที่รอกลืนกินทุกคนอยู่ในความดิบเถื่อนของพงไพร “โบอา งูยักษ์” …ท่ามกลางธรรมชาติแห่งขุนเขาและพงไพร มีบางอย่างเร้นกายภายใต้ป่าลึกนั้นอย่างเงียบๆ… “พนา” ชายหนุ่มที่รักการถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจ เขาชอบเดินทางไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ เพื่อเก็บภาพความสวยงามไว้เป็นที่ระลึก วันหนึ่งพนาได้ไปท่องเที่ยวในป่าแห่งหนึ่งแถวเขตชายแดน ขณะที่เพลิดเพลินกับการเก็บภาพธรรมชาติที่สวยงามอยู่นั้น โดยไม่ทันตั้งตัว เขาโดนบางอย่างลากไปกินอย่างน่าสยดสยอง กลุ่มเพื่อนสนิทของพนาที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คือ “คิน, โก้, เสิด, ก๋อย, สีดา” และ “แพร” แฟนสาวของพนา ทราบข่าวที่พนาหายไปอย่างลึกลับ จึงตัดสินใจที่จะเข้าไปตามหาพนาด้วยตัวของพวกเขาเองในป่า โดยการโดยสารไปกับบอลลูน ด้วยเหตุผลที่ว่าจะได้เห็นวิวด้านล่างของป่าอย่างชัดเจน แต่แล้วพวกเขาก็ต้องมาผจญกับลมพายุฝนรุนแรงจนทำให้บอลลูนตกกลางป่าลึกแห่งหนึ่ง ในค่ำคืนที่ฝนตกกระหน่ำ ทั้งหมดมาหลบฝนที่ใต้รูปปั้นแกะสลักพญานาค ทุกคนประหลาดใจจึงเดินขึ้นไปตามทางบันไดหินจนพบปากถ้ำ ทั้งหมดตัดสินใจเข้าพักแรมในถ้ำลับกลางป่าแห่งนั้น โดยหารู้ไม่ว่าพวกเขาได้ย่างกรายเข้าสู่อันตรายที่ยากจะต้านทานได้ …บางสิ่งกำลังเลื้อยออกจากการแฝงกายภายในถ้ำ เพื่อรับการมาเยือนของแขกผู้ไม่ได้รับเชิญโดยเฉพาะ… “งูยักษ์” ที่อาศัยอยู่ในถ้ำลับนั้น ไม่รีรอที่จะออกมาต้อนรับเหล่าหนุ่มสาวกลุ่มนี้ด้วยการกลืนกินพวกเขาทีละคนๆ ไม่ต่างจากเหยื่ออันโอชะ ผู้รอดตายจากคมเขี้ยวงูยักษ์ของค่ำคืนสยองนั้น จำเป็นต้องกระเสือกกระสนหาทางออกและวิธีทำลายงูยักษ์นั้น ก่อนที่มันจะคืบคลานเข้าใกล้พวกเขาอีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อสุดทางหนี พวกเขาจึงต้องเผชิญหน้าสู้กับมันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน นี่ดูเหมือนจะเป็นทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้พวกเขา…รอดชีวิต
พระ เด็ก เสือ ไก่ วอก (2549/2006) นับย้อนหลังไป 100 ปี พอดี ตุลาคม พ.ศ. 2448 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศเลิกทาส วันเดียวกันนั้นเอง เด็กชายหญิงชนบทผู้น่าสงสารจำนวน 8คน อันเป็นทาสขัดดอกของพ่อใหญ่ภูนายเงินและพ่อค้าของป่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งบ้านชายคง ได้ถูกขายให้แก่โยนสันพ่อค้าชาวอังกฤษที่มากว้านซื้อไม้หอมและป่าสมุนไพรต่างๆ เตรียมขนไปขึ้นเรือกำปั่น โดยไม่ได้รับการยินยอมจากพ่อแม่ของเด็กๆ ชาวไร่ชาวนาผู้ยากจน เมื่อไม่สามารถทานอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของพ่อใหญ่ภู บรรดาชาวไร่ชาวนาผู้ยากไร้เหล่านั้น จึงต้องรวบรวมเงินทองของมีค่าอันน้อยนิดว่าจ้างพวกเร่ร่อนนอกกฎหมายจำนวน 5คน ให้ออกติดตามไปช่วยลูกหลานของตนประกอบด้วย อดีตพระทองสุก (โน้ต เชิญยิ้ม)ผู้ถูกทางการติดตามตัว เพราะต้องคดีศาลกงสุล ทำร้ายฝรั่งที่เข้าไปอาละวาดในวัดเมืองบางกอก จึงต้องสึกหาลาเพศและระเห็จหนีสู่ชายแดนไกล สำลี (โก๊ะตี๋ อารามบอย)เด็กโข่งผู้ชำนาญการประดิษฐ์ดอกไม้ไฟตะไลเพลิง ทว่ายังชีพอยู่ด้วยการลักเล็กขโมยน้อย เสือ (เจษฎาภรณ์ ผลดี)อดีตทหารพเนจรผู้พิสมัยการนอนและการดื่ม ระกา (พอลล่า เทเลอร์)จอมขโมยหญิงผู้ผ่านการเร่ร่อนในต่างแดนมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ และมีความหลังซึ่งไม่ยอมปริปากบอกใคร วอก (สราวุฒิ พุ่มทอง)หมอยาพเนจรที่เคยแต่รักษาให้ใครตายเร็วขึ้น ด้วยสูตรยาผสมเองตามอารมณ์อันบรรเจิดของเจ้าตัว ขณะที่ต่างคนต่างมีนิสัยใจคอแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้ง 5ต้องเดินทางมุ่งติดตามขบวนขนส่งสินค้าของพวกลูกเรือต่างชาติ พร้อมอาวุธทรงอนุภาพและปืนใหญ่ที่รออยู่ ผ่านดินแดนเถื่อนรกร้างขอบพระราชอาณาเขต ซึ่งมีชนเผ่าต่างๆ และพวกหนีกฎหมายเร่ร่อนอาศัยอยู่ เพื่อหาทางช่วยเหลือเด็กๆ ผู้น่าสงสารเหล่านั้นกลับมาให้ได้