Sex Phone คลื่นเหงาสาวข้างบ้าน (2546/2003) Sexphone คลื่นเหงา สาวข้างบ้าน บอกเล่าเรื่องราวของ ดื้อ (กวี ตันจรารักษ์) ดีเจหนุ่มรักสงบ ที่อาศัยอยู่กับคุณปู่ (สมชาย สามิภักดิ์) กับ เจ (พอลล่า เทเลอร์) หญิงสาวลูกครึ่งที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง โดยอาศัยอยู่กับเพื่อนสนิท แต่ทั้งสองคนคือเพื่อนบ้านที่ไม่ลงรอยกันมาตลอด แต่เมื่อเอ็มม่า (โอฬาริก จารุวัฒน์) เพื่อนสนิทของเจ ได้ฝากเบอร์โทรศัพท์ของบ้านเจ เอาไว้ให้กับสถานีวิทยุที่ชื่อ "คลื่นเหงา" ของดีเจ.แมน (อนันต์ บุนนาค) ที่ดื้อทำงานเป็นผู้ช่วยสถานีวิทยุอยู่ที่นั้น แต่แล้วเมื่อวันที่ดื้อต้องจัดรายการวิทยุโดยจำเป็น ดื้อได้ต่อโทรศัพท์เข้าบ้านของเจ แล้วเกิดการเข้าใจผิดกัน ทำให้เจคิดว่าคนที่เธอคุยอยู่นั้น คือ "เซ็กส์โฟน" แต่หลังจากคืนนั้น เจก็กลายเป็นข่าวดังเพียงช่วงข้ามคืน เจเลยได้ต่อโทรศัพท์เข้าไปต่อว่าดื้อในรายการวิทยุก่อนวันขึ้นปีใหม่ แต่ไม่นานทั้งสอง ก็กลายเป็นเพื่อนคุยที่รู้ใจกันในที่สุด แต่หารู้ไม่ว่าคนที่ทั้งสองคุยกันนั้น ก็คือเพื่อนบ้านตัวแสบที่ไม่ลงรอยกันนั้นเอง
เฮี้ยน (2546/2003) ภายใต้ท้องฟ้าที่เงียบสงบ ดูเหมือนว่าบางสิ่งที่เป็นตัวแทนของความเศร้า ผิดหวัง และเต็มไปด้วยความอ่อนแอ ท้อแท้ สูญสิ้นซึ่งความหวังนอนทอดตัวสงบนิ่งอยู่ในเบื้องลึกแห่งก้นบึ้งของห้วงอารมณ์ที่โอบอุ้มไปด้วยความหวาดกลัวที่แสนเปราะบาง กำลังมีการเคลื่อนไหวอยู่อย่างเงียบๆ ราวกับกำลังเรียกร้องและรอคอยให้ใครบางคนที่พร้อมจะย่างกรายเข้ามาสัมผัสถึงดวงจิตที่อัดแน่นไปด้วยความร้อนรุ่มกระวนกระวายไปทุกอณูแห่งความรู้สึกคั่งแค้นใจเพื่อรอการสะสาง บัดนี้ใกล้มาถึงจุดสิ้นสุดแห่งการเดินทาง เป็นการมาถึงของอาการที่คนทั่วไปรู้จักกันดีที่ถูกเรียกขานสั้นๆ ว่า “เฮี้ยน” สำหรับ “ปอวรีร์” (ทราย เจริญปุระ) หญิงสาวที่ไม่เคยก้มหัว สนใจ หรือแคร์ใครหน้าไหนในโลก โดยเฉพาะมนุษย์เพศชายทุกคน นอกจาก “กิ๊ฟ” (อินทรา วีระวัธนชัย) เพื่อนสาวเพียงคนเดียวในขณะนี้ที่ทั้งคู่ต่างเลือกปักหลักใช้ชีวิตคนกลางคืนที่แวดล้อมไปด้วยแสงสี เหล้า ยา ด้วยกันในฐานะสาวเสิร์ฟในผับชื่อดัง และซุกหัวนอนอยู่ในอพาร์ตเมนต์เดียวกัน ดูเหมือนว่านี่คือวิถีแห่งการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างล่อแหลมและไม่เคยบันยะบันยังของหญิงสาวที่ไร้อนาคตในสายตาของใครหลายๆ คนอย่างปอ จนกระทั่งการตื่นขึ้นมาในเตียงโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หลังจากคืนที่แสนสาหัสเกิดขึ้นในชีวิตของปอผ่านพ้นไป พร้อมร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากการถูกทำร้ายโดยฝีมือของ “ไอ้อ๊อด” (วรรณกิตย์ ศิริพุฒ) นักเลงขี้ยาเอเยนต์ค้ายาเสพติดที่จับได้ว่าถูกหญิงสาวที่คอยปล่อยของอย่างปอยักยอกเสียเอง แต่ในระหว่างที่วินาทีที่พยายามยื้อชีวิตตัวเองให้รอดจากเงื้อมมือของมัจจุราช ทำให้ปอพลาดท่าหมดสติตกลงไปในบึงใหญ่แห่งหนึ่ง หลังจากได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดจาก “หมอฤดี” (อรัญญา นามวงศ์) รอง ผอ.โรงพยาบาลที่เป็นเจ้าของไข้ สิ่งที่สร้างความช็อกให้กับปอมากที่สุดก็คือ การที่รู้ว่าตนเองกำลังตั้งท้องได้ 10 สัปดาห์แล้ว ถึงแม้ว่าจะถูกคนทั่วไปมองว่าหญิงสาวที่ไร้อนาคตอย่างปอพยายามที่จะกำจัดลูกในท้อง แต่ดูเหมือนว่ามีเพียงหมอฤดีเพียงคนเดียวที่คอยเข้าใจและเป็นกำลังใจให้กับปอ ในขณะที่กำลังวุ่นวายใจกับสถานการณ์ที่ยากเกินกว่าที่จะตั้งรับได้ทัน สิ่งที่หญิงสาวที่ไม่เคยรักชีวิตของตัวเองอย่างปอต้องเผชิญกับบางสิ่งบางอย่างที่ยากเกินอธิบายที่เริ่มเข้ามาคุกคามทั้งจากการสัมผัส มองเห็น ได้ยินทั้งภาพและเสียงอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อนในโรงพยาบาล เริ่มต้นจากเสียงร้องของเด็กที่ไม่สามารถหาต้นตอได้ ตุ๊กตาที่ขยับได้เองของคนไข้เด็กที่อยู่ในห้องผู้ป่วยรวม ภาพหลอนของ “หญิงสาว” (ปรางทอง ชั่งธรรม) ที่ตนไม่เคยรู้จัก รวมไปถึงภาพเสมือนที่ดูเหมือนจริงซึ่งล้วนมีภาพของตัวเองเข้าไปอยู่ร่วมในเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นทุกครั้ง พร้อมกับมีภาพของคนอีกหลายคนและอีกหลายเหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะจริงจังและรุนแรงมากขึ้นทุกที ในขณะเดียวกันกับที่ “พัฒน์” (กรุณพล เทียนสุวรรณ) เจ้าหน้าที่ติดตามการรักษาของศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติดคนใหม่ก็ถูกสิ่งเข้ามาประกบกับปอ เพราะเกรงว่าจะยังคงมีประวัติการใช้ยาในตัวปอ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ยากเกินกว่าคำอธิบายที่ชักนำทุกคนย้อนกลับไปสู่ต้นตอของปรากฏการณ์ที่นิยามได้ด้วยคำจำกัดความว่า “เฮี้ยน”
แอบคนข้างบ้าน (2546/2003) อ๊อด (เทิง เถิดเทิง) ชายหนุ่มอายุประมาณ 29 ปี นักแซ้งค์แห่งท่าฉลอม มีเมียชื่อ แวว (อัญชิสา เลี่ยวไพโรจน์ - กิ๊ฟ) อาชีพรับจ้างซักผ้า และงานอดิเรก เล่นหวยจับยีกี (ออกทุกชั่วโมง) ชีวิตคู่ของอ๊อด แววเป็นไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ ด้วยอาการนกเขาของอ๊อดไม่ขัน ส่วนเมียนั้นอารมณ์หงุดหงิดเสมอๆ พตท.สรรเสริญ ชำนาญกิจ (จิรกิตต์ สุวรรณภาพ - วาม) นายตำรวจมือปราบคนดังแห่งท่าฉลอม มีแฟนสาวชื่อ น้ำทิพย์ (ศิริญญา กุตตะนันท์ - ปูนิ่ม) สารวัตรโชว์ฝีมือจับผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นชื่อ วิลลี่ พ่อค้ายาบ้ารายใหญ่ ขณะเดียวกัน อ๊อดปฏิบัติภาระกิจตามปกติในบ้านหลังหนึ่ง อ๊อดและลูกน้องคนสนิทกำลังลงมือ แต่หารู้ไม่ว่าบ้านที่ปฏิบัติการอยู่นั้นเป็นบ้านตำรวจ ทันใดนั้นเมียเจ้าของบ้านก็กลับจากการทำงาน อ๊อดยังอยู่ในบ้าน จึงต้องหลบซ่อนตัว และอ๊อดหลบออกไปได้อย่างฉิวเฉียด เวลาต่อมา คนร้ายชื่อ วิลลี่ ดันมาตายในห้องขัง และทิ้งปมปริศนาไว้เพียงตัวเลขที่พื้นว่า 33/9 สารวัตรจึงให้ จ่าจิ้ม (อาคม ปรีดากุล - ค่อม) กับ จ่าแหลม (อำพล รัตนวงษ์ - โต) หาสายสืบมาช่วยงานด่วน เบิร์ด (ธวัชชัย คชาอนันต์ - แฮ๊ค) คือมือวางอันดับ 1 จากแฟ้มคนร้ายที่เด็ก ปื๊ด (สุธน เวชกามา - อ่าง) เป็นคนเขียนอันดับไว้ให้ 1-9 เบิร์ดได้รับการติดต่อจากจ่าจิ้ม จ่าแหลม เพื่อเป็นสายสืบในคดีดังกล่าว หลังจากที่เบิร์ดไม่ผ่านการทดสอบ จ่าทั้งสองจึงตามหาตัวปื๊ด ปื๊ดบอกว่า "เบอร์น้อย ก็เก่งน้อย เบอร์มากก็เก่งมาก" อ๊อด คือบุคคลในแฟ้มในอันดับที่ 9 จ่าทั้งสองจึงไปดักพบ อ๊อด, อ๊อดปฏิเสธในเบื้องต้น แต่โดนจ่าทั้งสองขู่ จึงพาจ่าทั้งสองมาขอกับแวว แววเห็นว่าผัวตัวเอง น่าจะทำตัวให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ มิหนำซ้ำยังโก้เสียอีก ที่ได้เป็นสายให้ตำรวจ ในที่สุดอ๊อดจำต้องรับงานแอบดูชาวบ้าน ตามคำขอของตำรวจ และบ้านหลังดังกล่าวคือ บ้านเลขที่ 33/9 แต่ปรากฎว่าบ้านเลขที่ 33/9 ไม่มี มีแต่ 33/9 ก,ข,ค,ง,จ ฯลฯ แววจึงให้อ๊อดดูบ้าน เลขที่ 33/9 ก. แทน เพราะรับเงินค่าจ้างมาแล้ว จ่าทั้งสองเมื่อรู้ว่าบ้านที่รายงานมานั้นไม่ใช่หลังเป้าหมาย จึงรายงานให้สารวัตรทราบ สารวัตรจึงมีคำสั่งให้ดูทุกบ้านที่เป็น 33/9 ก,ข,ค,ง,จ ฯลฯ แต่แววไม่ให้อ๊อดรับงานอีกต่อไป ด้วยเกรงว่าจะกระทบกระเทือนลูกค้าที่มาจ้างซักผ้า จ่าทั้งสองรายงานสารวัตร เรื่องที่อ๊อดไม่รับงาน และจ่าทั้งสองยังยืนยันอีกว่า ไอ้อ๊อด คนนี้เซียนที่สุด สารวัตรจึงขอให้จ่าตามอ๊อดมา อ๊อดเห็นสารวัตร ก็จำได้ว่าสารวัตรคือ คนคนเดียวกับหญิงสาวที่พบในบ้าน อ๊อดเดาได้ว่าสารวัตรเป็นตุ๊ด และด้วยความกลัว อ๊อดจึงรีบบอกสารวัตรว่า จะไม่บอกใครว่าสารวัตรเป็นตุ๊ด การปฏิบัติงานจึงเริ่มขึ้น...
191 1/2 มือปราบทราบแล้วป่วน (2546/2003) ตำรวจสายตรวจ 191 สองคนที่ต่างกันสุดขั้ว แต่ต้องมาทำงานด้วยกัน คนหนึ่งเป็นนายร้อยตำรวจไฟแรง อีกคนหนึ่งเป็นจ่าแก่ที่หมดไฟแล้ว ความต่างและทิฏฐิไม่ยอมหันหน้าเข้าหากันของทั้งสอง ก่อให้เกิดความไม่ลงรอยกันมากมาย แต่ละคดีทำให้แต่ละคนได้เรียนรู้กันและกันมากขึ้นเรื่อย ๆ และเหตุการณ์ก็นำพาให้ได้พบกับนักข่าวสาวคนหนึ่งที่เพิ่งจบใหม่ และเลือกเป็นนักข่าวสายอาชญากรรม เธอกลายเป็นตัวป่วนตลอดการทำงาน แต่ก็เป็นตัวกลางประสานความขัดแย้งของทั้งสองด้วยโดยไม่รู้ตัว หลังจากทั้งสามคนได้ผ่านปัญหาต่างๆ ร่วมกัน ในที่สุด ก็กลายเป็นความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และความผูกพัน วันหนึ่ง โชคชะตาทำให้ทั้งสามคนมาพบกับ โทนี่ โจรกลับใจที่เข้ากรุงเทพเพื่อตามหาน้องชายชื่อจืด โทนี่กับจืดถูกตำรวจจับ ในฐานะผู้มีส่วนรู้เห็นในการซื้อขายยาทั้งสองยืนกรานปฏิเสธแต่ไม่มีใครเชื่อ ต่อมาหมวดชาติได้เลื่อนยศเป็นร้อยตำรวจโท จ่าได้เลื่อนยศเป็นนายร้อย ส่วนนักข่าวสาวก็ได้รับการยอมรับจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานให้เป็นนักข่าวอาชญากรรมดีเด่นและกลายเป็นคนที่รู้ใจของตำรวจหนุ่มในที่สุด
Fake โกหกทั้งเพ (2546/2003) เบ โป้ และ ซุง เป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ ชีวิตจึงอยู่ในวัยเริ่มต้นและแสวงหา ทั้ง 3 คน พักอยู่ด้วยกัน แม้จะเป็นเพื่อนสนิทแต่ต่างคนก็มีวิถีชีวิตเป็นของตนเอง หนังเล่าเรื่องของตัวละครทีละตัว โดยเริ่มจากเบ ที่เพิ่งผิดหวังจากการงานและเรื่องรัก ซึ่งอย่างหลังดูจะมีอิทธิพลต่อชีวิตพวกเขามาก หลังจากที่เบถูกคนรักทอดทิ้ง เขาก็เอาแต่เฝ้ารอคอยการติดต่อกลับมาจากแฟนเก่า โดยไม่เป็นอันทำอะไร โป้และซุงจึงส่ง 10 วิธี ที่จะทำให้หายอกหัก มาให้เบปฏิบัติ ซึ่งเบจะประสบความสำเร็จในเรื่องนี้หรือไม่ คงอยู่ที่ ใจ ล้วนๆ โป้ เพลย์บอยหนุ่ม ที่มีผู้หญิงติดตอมมากหน้า หลังจากผ่านชีวิตแบบนี้มาจนโชกโชน โป้เริ่มตั้งคำถามระหว่างเรื่อง "เซ็กส์กับความรัก" พร้อมกับที่สงสัยตัวเองว่า เขารักใครเป็นหรือไม่ และเมื่อไหร่เขาจึงจะพบกับ คนที่ใช่ สักที แล้ววันหนึ่งโป้ก็ได้พบกับเธอคนหนึ่ง ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะใช่ แล้วในที่สุด เธอก็เป็น คนที่ใช่ สำหรับเขาจริงๆ แต่ทว่าโป้จะเป็น คนที่ใช่ สำหรับเธอหรือเปล่าก็ไม่รู้ ซุง ชายหนุ่มที่โหยหาความรักมาโดยตลอด และก็ค้นหาตัวเองมาโดยตลอดเช่นกัน ซุงทดลองทำงานทุกชนิด เพราะไม่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับอะไรกันแน่หน้าที่การงานพาซุงมาพบกับปวีณา นายจ้างชั่วคราวที่ซุงมารับทำงานให้ หลังจากที่ซุงพบกับเธอ เขาก็มั่นใจว่า คนนี้สิเนื้อคู่! ว่าแล้วซุงก็จัดการฝันหวานถึงความรักระหว่างเขากับเธอ แต่ว่าผลบั้นปลายกลายเป็นแห้ว เหมือนทุกคราวหรือเปล่าก็ไม่รู้ คริคริ
องคุลิมาล (2546/2003) ณ ดินแดนชมพูทวีป เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีที่ผ่านมา อหิงสกะ ได้ถือกำเนิดขึ้นในวรรณะพราหมณ์ ซึ่งถือเป็นวรรณะชั้นสูงสุดของผู้มีบุญ แต่ชะตาของทารกกลับถูกสวรรค์ลิขิตไว้ว่า เมื่อเติบโตขึ้นจะกลายเป็นมหาโจร สนองคืนผู้มีคุณด้วยความตาย เพราะเชื่อในลิขิตแห่งฟ้า บิดาจึงส่งอหิงสกะไปร่ำเรียนวิชชากับสำนักทิศาปาโมกข์แห่งเมืองตักกสิลา แต่ฝ่ายมารดากลับมุ่งหวังว่า สาติพราหมณ์ ผู้เป็นเจ้าสำนักทิศาปาโมกข์ จะสามารถช่วยนำพาให้อหิงสกะหลุดพ้นไปจากปัญหาทางโลกย์ได้ สาติพราหมณ์หาได้สอนวิชชาใดๆ ให้แก่อหิงสกะไม่ เพราะตรวจชะตาล่วงรู้ว่าผู้มีคุณแก่อหิงสกะจะมีเคราะห์ เด็กน้อยจึงกลายมาเป็นคนเลี้ยงแพะจนกระทั่งเติบโตเป็นหนุ่ม ในขณะที่ศิษย์คนอื่นๆ ฝึกฝนวิชชา อหิงสกะต้องนั่งนับจำนวนแพะอยู่กลางทุ่ง หารู้ไม่ว่าการทำเช่นนั้นนานนับปีเป็นการฝึกสมาธิโดยธรรมชาติ แล้ววันหนึ่งอหิงสกะก็สามารถเข้าถึงปฐมฌานได้ด้วยตนเอง ชีวิตของอหิงสกะที่สงบเงียบเริ่มผันแปรไปในคืนวันวิวาห์ของสาติพราหมณ์กับเจ้าสาวคนใหม่นามว่า นันทาพราหมณี สาติได้พบความลับว่าภรรยาคนใหม่นี้ ที่แท้จริงเป็นจัณฑาลจึงคิดหาทางกำจัดนันทา แต่กลับถูกอหิงสกะช่วยเหลือไว้ สาติจึงกล่าวหาว่าอหิงสกะฉุดคร่านันทาไปและประกาศให้ทุกคนทราบถึงดวงชะตาของอหิงสกะที่ถูกลิขิตไว้ว่าจะต้องเป็นมหาโจร อหิงสกะพานันทาหลบหนีเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และบนยอดเขาแห่งหนึ่งเขาก็ได้พบกับพญามาร ผู้อ้างตนว่าเป็นเทพ ณ ที่แห่งนั้น พญามารเล่าว่าในโลกนี้ยังมีคนบางพวกที่ไม่นับถือบูชาเทพบนสวรรค์ ทางที่จะปลดปล่อยให้คนเหล่านี้หายจากความหลงผิดมีเพียงวิธีเดียว ซึ่งไม่เรียกว่าการฆ่า แต่เป็นการบูชายัญคนชั่ว ถ้าเมื่อใดอหิงสกะสร้างกุศลโดยการบูชายัญชีวิตคนครบ 1000คน เมื่อนั้นผลบุญที่ก่อจะทำให้เขาบรรลุธรรม หลุดพ้นจากเวรกรรมในอดีตทั้งปวง อหิงสกะเริ่มหนทางสู่การบรรลุธรรมด้วยการเข่นฆ่าพวกโจรป่าที่ดักปล้นฆ่าคนเดินทาง คนที่ลบหลู่ไม่บูชาเทพเทวดา จนสุดท้ายก็ถลำตัวไปสู่การฆ่าฟันโดยไม่เลือก เพราะเขาได้เข้าใจว่าสิ่งทั้งปวงมีแต่ความทุกข์ การที่เขาฆ่าคนจึงเป็นการปลดปล่อยคนเหล่านั้นให้พ้นทุกข์ นันทาพยายามคัดค้านมิให้อหิงสกะฆ่าคน แต่อหิงสกะมั่นใจว่าสิ่งที่ตนทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะยิ่งฆ่าคนดวงจิตของเขาก็มีพลังมากขึ้น และในช่วงนั้นเองอหิงสกะก็ได้ค้นพบความจริงเกี่ยวกับพญามารว่ามิใช่เทพดังอ้าง เขาได้ปราบพญามารลง ตั้งแต่นั้นอหิงสกะจึงหันมาบูชาแต่เพียงดวงจิตของตนเอง โดยเขาได้นำนิ้วของคนที่ถูกฆ่าตายมาร้อยเป็นพวงมาลาคล้องคอ อันเป็นที่มาของชื่อมหาโจรนาม องคุลิมาล เมื่อใกล้จะฆ่าคนครบ 1000 คนแล้ว อหิงสกะหารู้ไม่ว่าเหยื่อรายสุดท้ายที่ตนกำลังจะปลิดชีพนั้น คือ มารดาของตนเอง และขณะที่อหิงสกะจะยิงศรไปสังหารผู้เป็นมารดานั้นก็ถูกขัดขวางโดยศัตรูคนสำคัญ นั่นคือ ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ หรือ พระพุทธเจ้า อหิงสกะจึงวิ่งไล่ตามไปเพื่อฆ่า วิ่งไปเพื่อจะได้พบความสำเร็จที่ตนมุ่งมั่นมานานแสนนาน อหิงสกะหารู้ไม่ว่าการไล่ตามพระพุทธเจ้าในครั้งนั้น เขาได้ก้าวเข้าไปสู่หนทางที่จะนำไปสู่ความสุขสว่าง ทางที่จะทำให้เขามองเห็นความหลงผิดทั้งปวง และทางที่มารดาของเขาใฝ่ฝันให้เขาก้าวไปเพื่อบรรลุสิ่งอันประเสริฐสูงสุดของมนุษย์ นั่นก็คือ นิพพาน
สังหรณ์ (2546/2003) วันที่ดูเหมือนจะเป็นวันธรรมดา กลายเป็นวันที่พลิกชีวิตของเด็กหนุ่มทั้ง 3 คนไปในทันที... แดน (วรเวช ดานุวงศ์) เด็กหนุ่มท่าทางลุยๆ เอาเรื่อง แต่ก็เป็นคนมีเหตุผล, บีม (กวี ตันจรารักษ์) เด็กหนุ่มอีกคน ที่มีนิสัยขี้โมโหหงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย และไม่ยอมใคร และ บิ๊ก (อภิเชษฐ์ กิตติกรเจริญ) เด็กหนุ่มคนสุดท้าย ที่เป็นคนเดียวในกลุ่ม ที่คอยประสานรอยร้าวระหว่าง แดน กับ บีม ทุกครั้งที่ทั้งคู่มีเรื่องขัดใจกัน ทั้ง 3 คน ทำงานอยู่ฝ่ายศิลปกรรม ของนิตยสารฉบับหนึ่ง และเหตุการณ์ทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้น ถ้าบังเอิญวันนั้น พวกเขาจะไม่ทำงานผิดพลาด จนถึงขั้นทะเลาะกันอย่างรุนแรง ระหว่างที่แยกย้ายกันไปด้วยอารมณ์มึนตึง แดน ก็ถูกภาพหลอนจากบางสิ่ง ที่อธิบายไม่ได้ รู้เพียงแต่ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองขับรถชนต้นไม้ จนยับไปทั้งคัน แต่เนื้อตัวกลับปราศจากบาดแผล และที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกขนลุกซู่ยิ่งกว่า ก็เมื่อลืมตาขึ้น และมองเห็นยายเฒ่าท่าทางประหลาด ยืนอยู่ตรงหน้า ส่วน บิ๊ก ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เมื่อสังเกตว่าวันนี้ลมพัดกรรโชกแรงกว่าทุกวัน และเมื่อเขาขับรถมาติดไฟแดง ที่สี่แยกแห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มขายพวงมาลัย ก็โผล่พรวดขึ้นมาข้างกระจก และสร้างสัมผัสบางอย่างให้ จนบิ๊กถึงกับพูดไม่ออก ในขณะเดียวกัน อ้อม (สุภัชญา รื่นเริง) หญิงสาวที่ประวัติไม่เปิดเผย ดูคล้ายจะธรรมดา แต่กลับเหมือนมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ ก็พาตัวเองเข้ามาผูกพันกับบีมอย่างใกล้ชิด และรวดเร็วจนผิดสังเกต ลางสังหรณ์บางอย่างเกิดขึ้น และบ่งบอกอย่างเด่นชัดว่า 1 ใน 3 ไม่บิ๊กก็แดน ไม่แดนก็บีม จะถึงฆาต โดยไม่รู้ว่าเป็นผลจากเวรกรรม หรือชะตากรรม ที่เล่นตลกกับเด็กหนุ่มทั้ง 3 คน จึงให้เกิดเหตุการณ์แปลกๆ แบบนี้ในชีวิต โดยไม่ทันให้ตั้งตัว... 1 ใน 3 คน จะเป็นใคร ? และจะช่วยตัวเองได้อย่างไร ? แล้วอีก 2 คนที่เหลือล่ะ จะช่วยตัวเอง หรือช่วยเพื่อน ในเมื่อไม่รู้ว่าตัวเองหรือเพื่อนกันแน่ที่ถึงฆาต ? และเมื่อรู้แล้วว่าใครถึงฆาต ทั้ง 3 คนจะหาทางออกให้ชีวิตอย่างไร ? ยายเฒ่าจากมุมมืด เด็กผู้ชายท่าทางแปลกๆ และหญิงสาวที่กำลังมีปัญหาเป็นใคร !? ศรัทธาแห่งความรัก สร้างปาฏิหาริย์ หรือทำลายกันแน่ !?
หลบผี ผีไม่หลบ (2546/2003) เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องทั้งหมดนี้ เริ่มขึ้นเมื่อนักศึกษาวิชาการภาพยนตร์จากสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง เดินทางไปถ่ายทำภาพยนตร์เกี่ยวกับเรื่องภูตผีเพื่อส่งอาจารย์ โดยมีอาจารย์สำอางเป็นผู้นำการเดินทางและกลุ่มนักศึกษา ญา, วิทย์, แป๋ม, ชัย, อู๊ด, บุญมาก การเดินทางเต็มไปด้วยความสนุกสนานของวัยรุ่นที่ชอบเฮฮา แต่แล้วเหตุการณ์ก็เปลี่ยนไปเมื่อรถบัสที่โดยสารมาเกิดดับไปเฉย ๆ อย่างหาสาเหตุไม่ได้ เหมือนมีฮีโร่มาช่วย อัศวินขี่ม้าขาวก็ไม่ใช่ แต่กลับเป็นควายเหล็ก (รถอีแต๋นเก่าๆ) ขับมาโดย "คำมี" ชาวบ้านผู้ใจเหมือนจะดีที่ผ่านมาพอดี เรื่องราวเริ่มวุ่นวายคลายเครียดเข้าไปอีก นักศึกษาอีกกลุ่มที่มีอาจารย์ทูนนำมาก็มารถเสียที่แห่งเดียวกัน เป็ด, เปิ้ล, เอส, เจน, หนูนา บังเอิญต้องมาพักที่หมู่บ้านเดียวกัน แถมยังมา ถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีภูตผีสิ่งลี้ลับเหมือนกันอีกต่างหาก ความโกลาหลปนฮา ชิงไหวชิงพริบกันและกันก็เกิดขึ้น นักศึกษากลุ่มแรกแกล้งไปหลอกผีอีกกลุ่มจนเจอดีผีของจริงเข้า ทุกคนต้องขวัญกระเจิง ขนหัวลุก เพราะผีที่เจอตัวนี้ คือผีปอบเจ้าประจำของหมู่บ้าน หลังจากที่ซุ่มเก็บตัวมานานหลายปี เมื่อมีกลุ่มนักศึกษาแปลกหน้าเข้าเยือนมันก็เลยกลับมาอาละวาดอีกหน คราวนี้ยายผีปอบมีฤทธิ์มากว่าทุกครั้ง แม้แต่หมอผีมือดีก็ยังไม่วายถูกลูบคมตามสไตล์ผี นักศึกษาทุกคนที่เห็นเหตุการณ์เข้าเลยขวัญหนีดีฝ่อไปขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บ้าน แต่เรื่องกลับหักมุมอีกครั้ง เมื่อผู้ใหญ่บ้านที่เป็นที่พึ่งสุดท้าย ก็กลายเป็นผีเสียเอง แล้วพวกนักศึกษาก็เริ่มเข้าใจคำที่ว่า วิ่งป่าราบเป็นเช่นไร นักศึกษาแปลกหน้าของหมู่บ้านนี้ จะเอาตัวรอดจากการหลอกหลอนของบรรดาผีๆ เหล่านี้ได้ยังไง คงต้องติดตามดูในโรงภาพยนตร์ เพราะขืนขยายความออกไปมุขจะฝืดเสียหมด หลบผี..ผีไม่หลบพร้อมเข้าฉายปลายมีนาคมนี้ทั่วประเทศ และขอยืนยันจากทีมงานผู้สร้างว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ตลก ชนิดที่ต้องตามไปดูจนจบแล้วคนดูจะเข้าใจว่าถูกหลอกแค่ไหน
ช้างเพื่อนแก้ว (2546/2003) “ช้างเพื่อนแก้ว” สื่อถึงเรื่องราวแห่งความผูกพันระหว่างคนกับช้างโดยแสดงผ่านตัวละครอย่าง “เด็กชายแสง” และ “ช้าง” เพื่อนรักของเขา แสงและช้างเกิดและเติบโตมาพร้อมกัน โดยมี “หล้า” พ่อของแสงคอยเลี้ยงดู หล้าทำงานเป็นควาญช้างอยู่ทางภาคเหนือโดยรับจ้างชักลากไม้ให้กับพวกนายทุน เขาทำงานโดยที่ไม่รู้เลยว่าแถบที่ต้องพาช้างไปลากไม้นั้นได้รุกล้ำเข้าไปในเขตแดนของประเทศพม่าซึ่งเป็นสนามรบของพวกชนกลุ่มน้อย เมื่อเกิดเรื่องราวขึ้นพวกนายทุนได้สั่งคนให้ตามล่าควาญช้างทุกคน และเผาทำลายหมู่บ้านทิ้ง หล้าจึงสั่งให้แสงหนีไปอยู่กับน้าที่กรุงเทพฯ แสงพาช้างตามหาน้าจนหลงเข้าไปในตึกร้าง และเริ่มออกเร่ร่อนหาเงินจนต้องหลงเข้าไปอยู่ในเงื้อมมือของนายทุนค้ายาบ้า แสงและช้างจะหลุดรอดจากพวกเดนสังคมได้หรือไม่ มิตรภาพและศรัทธาของพวกเขาเท่านั้นที่จะเป็นสิ่งนำทางให้พวกเขาฝันฝ่าอุปสรรคนั้นได้
แก้วขนเหล็ก (2546/2003) นฤดม (คงกะพัน แสงสุริยะ) ทายาทคนเดียวแห่งบ้านประชานาถ ซึ่งสำเร็จการศึกษามาจากประเทศอินเดีย และกำลังมีโครงการจะแต่งงานกับ โชติรส (พรทิพย์ วงศ์กิจจานนท์) แฟนสาว แต่เมื่อเขาได้รับมรดกตกทอดเป็นบ้านหลังใหญ่ที่ถูกขนานนามว่า ปราสาทพยับเมฆ นฤดมเข้าไปสำรวจปราสาทพยับเมฆ ชายหนุ่มผู้แสนดีก็มีอุปนิสัยและวิถีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป นฤดม เอาแต่ฝังตัวอยู่กับปราสาท เขานำคัมภีร์เร้นลับบรรจุคาถาชีวิตวัฒนะที่ได้มาจากองค์ลามะแห่งทิเบตมาไว้ที่ปราสาท แล้ววันหนึ่ง นฤดม ก็กลายเป็นผู้ชุบชีวิตแห่งจอมปีศาจร้าย เมฆินทร์ (วินัย ไกรบุตร) ให้ลุกขึ้นมาโลดแล่นในโลกยุคปัจจุบัน นับแต่นั้น กลิ่นไอของเลือดสด ๆ และความตายก็คละคลุ้งไปทั้งปราสาทพยับเมฆ วิทวัส ( นินนาท สินไชย) รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลที่เกิดกับเพื่อนรักจาก โชติรส เขากับ รมณีย์ (ภิสสรา อุมะวิชนี) แฟนสาวจึงตัดสินไชยเดินทางไปยังปราสาทพยับเมฆเพื่อหาทางหยุดยั้งเหตุการณ์ร้าย ๆ ทั้งหลาย แต่ดูเหมือน นฤดม จะไม่สนใจรับฟังเขาเหมือนเก่า วิทวัส พยายามหาทางขโมยคัมภีร์ชีวิตวัฒนะจาก นฤดม เพื่อสวดคาถาย้อนกลับหวังจะให้ความสงบสุขกลับคืนสู่ที่นี่ดุจเดิม แต่ดูเหมือนทุกอย่างไปไกลเกินกว่าจะหยุดยั้งได้แล้ว ตรงกันข้ามทั้ง วิทวัส กับ รมณีย์ กลับกลายเป็นส่วนแห่งปมรักปมแค้นที่ฝังลึกอยู่ในใจจอมผีดิบ เมฆินทร์ไปเสียอีก นฤดม ที่ตอนนี้กลายเป็นสาวกคนสำคัญภายใต้อำนาจบัญชาของของ เมฆินทร์ พยายามทำทุกอย่างเพื่อหาเหยื่อสาว ๆ สวยๆ มาให้ เมฆินทร์ ดูดเลือดเพื่อดำรงชีวิตอันเป็นอมตะที่เปี่ยมด้วยพลังอำนาจไม่สิ้นสุด ชีวิตบริสุทธิ์จากสิบคนเป็นร้อยคนและมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ กลายเป็นกองกำลังปีศาจร้ายที่ทรงพลานุภาพซึ่งคืบคลานขึ้นมาเพื่อยึดครองทุกอณูพื้นที่แห่งปราสาทพยับเมฆ เป็นเสมือนกำแพงเหล็กกล้าที่พร้อมพิทักษ์รักษาเจ้านายของพวกเขาคือ เมฆินทร์ ไม่ให้ใครมาแตะต้องทำร้ายได้ เมื่อ วิทวัส รมณีย์ เมฆินทร์ ประจัญหน้ากันโดยมีปมแห่งความหลังของหนี้รักหนี้แค้นแต่ชาติปางก่อนเป็นแรงผลักดัน เรื่องราวอันเข้มข้นยิ่งทวีขึ้น
สตรีเหล็ก 2 (2546/2003) หลังจากที่ทีมประสบความสำเร็จ ในการครองแชมป์กีฬาแห่งชาติเมื่อปี (ภาค) ที่แล้ว ก็เกิดการแตกแยกกันของทีม โดยที่ โหน่ง, เอพริล, เมย์, จูน ได้แยกตัวออกไปสร้างทีมวอลเล่ย์บอลกะเทย และมี หน่อง กะเทยน้องใหม่ มาเป็นคู่หูคนใหม่ของโหน่ง ภายใต้สังกัดของสโมสร โดยมี อากู๋ เป็นผู้ดูแลทีม เพราะข้อเสนอและผลประโยชน์ทางธุรกิจต่างๆ ทำให้ทีมของโหน่งเติบโต และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ทีมสตรีเหล็กเดิมที่เหลือ จุง, มล และ ชัย ยังคงเล่นวอลเล่ย์บอลต่อไปทั้ง จนกระทั่งสองทีมได้มาเจอกันอีกครั้ง!
Sayew สยิว (2546/2003) ปี พ.ศ. 2535 ปีสุดท้ายแห่งยุคทองของ “นิตยสารปลุกใจเสือป่า” ระดับมวลชน และปีแห่งความผันผวนปรวนแปรทาง “การเมือง” “เต่า” สาวห้าวทอมบอยนักศึกษาคณะอักษรฯ เธออาศัยอยู่กับป้าซึ่งเปิดร้านขายอาหารใต้อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยมี “จ้อน” ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มติ๋มๆ ที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เดียวกันเป็นเพื่อนสนิท นอกจากนี้เต่ายังหลงรัก “น้องหมวย” นักศึกษาสาวสวยรุ่นน้องผู้มากด้วยเสน่ห์และจริตจกร้านอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เต๋าหารายได้พิเศษลับๆ โดยการรับจ้างเขียนเรื่องสั้นประสบการณ์ทางเพศให้กับนิตยสารปลุกใจเสือป่าที่ชื่อ “สยิว” ซึ่งบริหารงานโดย “เฮียกังฟู” บรรณาธิการผู้คร่ำหวอดในวงการและมีอุดมการณ์อันสูงส่ง แต่การณ์กลับไม่ง่ายอย่างที่คิดเมื่อสถานการณ์ของตลาดกำลังเปลี่ยนไป ผู้อ่านกำลังต้องการเรื่องที่มีสำนวนและเนื้อหาโจ๋งครึ่มมากขึ้น เต่าได้รับการเรียกร้องจากเฮียกังฟูให้เปลี่ยนสำนวนและเนื้อหาของเธอให้เข้ากับตลาด แถมเธอยังต้องพบกับคู่ปรับคนสำคัญซึ่งเป็นนักเขียนหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรงที่มีสำนวนโจ๋งครึ่มเนื้อหาวิตถารสะใจผู้อ่านจนได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เขามีชื่อว่า “หนุ่มพลังม้า” เต่าต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเขียนเรื่องที่จริงๆ แล้วเธอเองก็ยังไม่มีประสบการณ์ เส้นทางการผจญภัยของเต่าที่ว่าด้วยจินตนาการทางเพศจึงเริ่มสาหัสขึ้น เธอเริ่มหยิบยืมเรื่องราวของผู้คนรอบข้างในชีวิตเธอ ชาวบ้านบริเวณอพาร์ตเมนต์ต่างถูกจินตนาการของเธอสร้างเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น “พี่แดง” สาวใหญ่กลางคืนทรงมโหระทึก, “คุณนายช้อย” ผู้แสนเปลี่ยวข้างอพาร์ตเมนต์, “พันธ์” และ “ขวัญ” พี่เขยน้องเมียอารมณ์กรุ่น แต่จนแล้วจนรอด ผลงานของเธอก็ยังไม่เข้าเป้าที่เฮียกังฟูต้องการ ปัญหาต่างๆ ที่รุมล้อมเต่าเริ่มเขม็งเกลียวเข้ามามากขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องงานเขียนของเธอ วิทยานิพนธ์ซึ่งกำลังมีทีท่าว่าจะไปไม่รอด น้องหมวยซึ่งกำลังมีเด็กหนุ่มต่างคณะมาติดพัน และที่สำคัญที่สุดคือการถูกท้าทายและคุกคามจากหนุ่มพลังม้า เต่าพยายามต่อไปอีกครั้ง โดยการไปขอคำปรึกษากับ “ลุงหมอ” หรือที่ประชาชนรู้จักกันดีในนามของหมอสาวเซ็กซี่ที่มีชื่อว่า “ชไมพร” แห่งคอลัมน์ “ชไมพรสอนรัก” ซึ่งเป็นคอลัมน์ตอบจดหมายปัญหาทางเพศจากทางบ้าน ด้วยสำนวนเซ็กซี่แกมหยอก ทำให้คอลัมน์นี้เป็นที่พึ่งของผู้คนเสมอมา เต่าพยายามเลียบเคียงถามในสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ ลุงหมอตอบเพียงว่าหน้าที่ของนักเขียนนั้นมีเพื่อเติมเต็มสิ่งที่คนอ่านขาดหายไป ส่วนเรื่องของประสบการณ์เมื่อถึงเวลาแล้วเต่าจะรู้เอง เต่ายังคงไม่เข้าใจสิ่งที่ลุงบอกเท่าไรนัก เวลาเส้นตายที่เหลือเพียงน้อยนิดทำให้โลกในจินตนาการและโลกในความเป็นจริงของเต่าเริ่มหลอมเข้าหากันอย่างชุลมุนวุ่นวาย และเต่าก็ตัดสินใจโดดเข้าสู่สนามที่หนักข้อขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบดูกิจกรรมหนังสดในห้องลึกลับที่ทั้งอพาร์ตเมนต์ต่างไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นเจ้าของห้องนี้ การเข้าหาน้องหมวยอย่างเข้าด้ายเข้าเข็ม แต่กลับได้พบว่าน้องหมวยไวไฟไม่สนเพศเสียยิ่งกว่าที่เธอคิด และสุดท้ายเธอตัดสินใจเอาตัวเองเข้าเสี่ยงไปหาหนุ่มพลังม้าถึงรังที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัว และอุปกรณ์วิตถารพิสดารพันลึกร้อยแปดของเขาเพื่อแลกกับประสบการณ์จริง! ผลลัพธ์สุดท้ายเต่าได้พบกับความจริงในชีวิตของเธอจนได้ โดยผู้ให้คำตอบนั้นกับเธอคือจ้อนหนุ่มติ๋มที่อยู่เคียงข้างเธอตลอดเวลานั่นเอง และนั่นทำให้ผลงานการเขียนและชีวิตของเธอพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที ไม่ต่างจากวิถีชีวิตของผู้คนที่กำลังถูกปลอบประโลมด้วยละครทีวีน้ำเน่าอยู่ดีๆ ก็ถูกกระชากความฝันไปด้วยวิถีทางแห่งการเมือง…
ว้ายบึ้ม! เชียร์กระหึ่มโลก (2546/2003) เรื่องเกี่ยวกับทีมเชียร์ลีดเดอร์ในสถาบันแห่งหนึ่ง โดยสมาชิกในทีมเดิมไม่พอใจทีมกะเทยมาร่วมอยู่ในทีม จึงได้พากันลาออก ทำให้สมาชิกที่เหลืออยู่ (ที่เป็นกะเทย) มุ่งมั่นที่จะสร้างทีมของตนขึ้นมาใหม่เพื่อเข้าแข่งขัน ภายใต้ความกดดันรอบด้าน แต่พวกเขาได้รับความร่วมมือจากเพื่อนๆ อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นนักกีฬาฟุตบอล (ผู้ชายล้วน) พวกเขาทั้งหลายต้องประสบปัญหาในการสรรหาผู้ร่วมทีมเพิ่มเติม ปัญหาระหว่างผู้ชายทั้งแท่งที่ต้องเข้าร่วมงาน และคลุกคลีอยู่กับกะเทย แต่ด้วยน้ำใจนักกีฬาและมีเหตุการณ์ต่างๆเข้ามาบีบคั้นทำให้พวกเขาทุกคนต้องหันมาร่วมมือกัน เพื่อจะนำทีมไปสู่ชัยชนะ ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่มีให้กัน โดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเราเป็นชายหรือนายเป็นหญิง หรือ กะเทยทุกคนเท่าเทียมกัน และทั้งหมดต้องร่วมกันเป็นทีม จึงจะประสบความสำเร็จ
กุมภาพันธ์ (2546/2003) เมื่อหญิงสาวคนหนึ่ง ที่มีโอกาสรับรู้ถึงกำหนดวันตายของตัวเอง เธอตัดสินใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพียงสี่เดือน บินไปนิวยอร์ก เพื่อลืมความจริงอันแสนเจ็บปวดทั้งหลายที่เมืองไทย แต่ที่นิวยอร์ก เธอกลับประสบอุบัติเหตุ ตั้งแต่วันแรกที่ไปถึง เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา เธอกลับจำอะไรไม่ได้แม้แต่ชื่อของตัวเอง ท่ามกลางบรรยากาศที่แปลกตา กลางเมืองอันแปลกแยกและสับสน ในซอกหลืบของความมืดแห่งมหานครนิวยอร์ก ที่นั่นเธอได้พบกับบุรุษลึกลับ ที่เธอไม่เคยรู้เลยว่าเขาเป็นใคร ทำงานอะไร รู้เพียงแต่ว่า เขาเป็นคนๆ เดียวที่คอยดูแลเธอตลอดมา เวลาที่ผ่านไปแต่ละวัน แม้จะทำให้บาดแผลของเธอดีขึ้น แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เท่ากับความรู้สึกที่เธอได้รับจากเขา ความรู้สึกที่เหมือนกับได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง แต่ความรักจะสำคัญอย่างไร ถ้าเธอได้รับรู้ว่า ช่วงเวลาอันแสนสุขนี้ มีเวลาถึงแค่เพียง กุมภาพันธ์ เท่านั้น
ความรักครั้งสุดท้าย (2546/2003) “ความรักครั้งสุดท้าย” เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิตหญิงสาวผู้อ่อนไหวและโหยหาในความรัก หล่อนเคยมีความรักที่สวยงาม และเมื่อถึงวันที่เหตุการณ์อันสุดจะคาดเดามาถึงชีวิตและครอบครัวที่อบอุ่นกลับแตกร้าว หล่อนเดินจากมาพร้อมกับลูกชายและหญิงอันเป็นที่รัก 3 คน หล่อนตั้งใจว่าจะไม่แต่งงานเป็นหนที่สอง แต่ชะตาก็บันดาลให้หล่อนมาพบกับเขา ความว้าเหว่ทำให้หล่อนคิดว่ารักเขา แต่แล้วโชคชะตาก็กลับมาเล่นตลกกับหล่อน จนในที่สุดความรักและความหวังของหล่อนได้เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย…
ส้ม+แบงค์ มือใหม่หัดขาย (2546/2003) แบงค์ (ปวริศร์ มงคลพิสิฐ) เป็นเด็กหนุ่มที่ใช้ชีวิตไปวันๆ อยู่ในแฟลตเก่าแห่งหนึ่ง กับแม่ผู้ไม่ไยดีเขานัก ทั้งคู่อยู่ร่วมกัน เหมือนต่างคนต่างอยู่ แม่ไม่เคยรู้เลยว่า ลูกชายของเธอไม่เพียงแค่ติดยา แต่เขายังขายยาเองด้วย ส้ม (วนัชดา ศิวะพรชัย) เป็นนักศึกษาสาว ที่ดูภายนอกก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ซ้ำยังเป็นวัยรุ่นที่เอาการเอางาน หาเงินส่งบ้านที่ต่างจังหวัดตัวเป็นเกลียว แต่ใครล่ะจะรู้ว่า งานที่เธอทำอยู่นั้น คือการเป็นหญิงขายบริการ จิ๊กโก๋ปากซอยกับนักศึกษาสาว... ภายใต้รูปลักษณ์ที่ต่างกันอย่างลิบลับนั้น ส้มและแบงค์กลับเหมือนกัน อย่างไม่ยากที่จะเข้าใจ หนึ่ง.. พวกเขาต้องการเงิน และสอง.. พวกเขาอ่อนหัด และมองโลกสวยงามเหมือนกัน ด้วยความเหมือนซึ่งมองไม่เห็นนั่นเอง ที่ชักพาเธอกับเขามาพบกัน ปรารถนาในตัวกัน และรักกันในเวลาอันรวดเร็ว ชีวิตที่ได้รับการเติมเต็ม อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้แบงค์เริ่มฝันอยากให้ส้มมีความสุข และไม่ต้องทำงานอย่างเดิมอีก เขาดิ้นรนหาทางขายยาให้มากขึ้น ...แต่ยิ่งขายได้มากเท่าไหร่ มันย่อมหมายถึงความเสี่ยง ที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ดูเหมือนว่า ชีวิตของทั้งสอง ที่ไม่เคยมีใครคาดคิดว่า จะมาบรรจบกันได้ กลับกำลังดำเนินเป็นคู่ขนาน ไปสู่จุดหมายเดียวกัน... และที่นั่นคือ หายนะ