บุปผาราตรี (2546)

เรื่องย่อ : บุปผาราตรี (2546/2003) บุปผา (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) ผีสาวสุดสยอง วิญญาณพยาบาทที่คอยวนเวียนอยู่ในอพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่งเพื่อรอคอยเอก (กฤษณ์ ศรีภูมิเศรษฐ์) คนรักที่ทอดทิ้งเธอไปในอดีต ความเฮี้ยนของเธอทำให้ผู้คนหวาดผวาพากันย้ายออกไปตามๆ กัน เดือดร้อนถึงเจ๊สี่เจ้าของออสการ์อพาร์ทเมนท์ที่ต้องความหาหมอผีฝีมือดีจากทุกสารทิศมาเพื่อขับไล่ผีสาวตนนี้ออกไปให้จงได้ บุปผา ราตรี นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่หนึ่งถูก เอก ลูกเศรษฐีหลอกตามจีบจนใจอ่อน แต่เมื่อเธอตั้งครรภ์ เอกกลับพาเธอไปทำแท้งและหนีไปเรียนต่อเมืองนอกทันที กระทั่งวันหนึ่ง เจ๊สี่ เจ้าของออสการ์อพาร์ตเมนต์ที่บุปผาเช่าอยู่ เห็นเธอเงียบหายไปจึงได้งัดห้องเข้าไป และพบว่าบุปผาตายมาเกือบเดือนแล้วจากการตกเลือดหลังทำแท้ง เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องสยองขวัญปั่นป่วนทั้งอพาร์ตเมนต์ เมื่อผีบุปผาเกิดเฮี้ยนออกมาอาละวาด เจ๊สี่ เจ้าของกิจการอพาร์ทเมนท์ ที่มีธุรกิจเข้าทรงเป็นอาชีพเสริม พออยู่มาวันหนึ่ง อพาร์ทเมนท์ของเจ๊สี่เกิดมีผีสาวปรากฎกายขึ้น จนเป็นที่หวาดผวาต่อบรรดาผู้เช่าห้องพักทั้งหลาย ร้อนถึงเจ๊สี่ ที่ต้องตามหมอผีที่ว่าเก่งมากำจัด แต่ก็ยังโดนผีสาวเล่นงานจนเตลิดเปิดเปิง สร้างความหวาดผวาต่อผู้เช่าอพาร์เมนท์ที่เหลือเป็นอย่างยิ่ง เป็นผลให้กิจการห้องเช่าของเจ๊สี่ทำท่าจะไปไม่รอด แต่แล้ววันหนึ่ง มีชายหนุ่มนิรนามเดินเข้ามาที่อพาร์ทเมนท์ และหายตัวเข้าไปในห้องผีสิงนั้นอย่างปริศนา นับจากวันนั้น ผีสาวก็ไม่ปรากฎกายให้เห็นอีก จนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่นานนัก ผู้คนก็เริ่มได้ยินเสียงร้องโหยหวนของชายหนุ่มนิรนาม ดังออกมาจากห้องผีสิง ผู้เช่าที่เหลือพากันย้ายออกจนหมด เพราะทนกลัวผีต่อไปอีกไม่ไหว เจ๊สี่หมดทางเลือก จึงตัดสินใจโทรไปตามหมอผีเขมรที่เก่งที่สุด มาจัดการกับผีร้าย ก่อนที่ชายหนุ่มและกิจการอพาร์ทเมนท์ของเธอจะไปไม่รอด...

ตะเคียน (2546/2003) “กำนันวิทยา” และ “โลไกร” สองเพื่อนพรานเข้าป่าล่าสัตว์ เป็นเหตุให้ “นางตะเคียน” ผู้ปกปักรักษาป่าโกรธแค้น และฆ่าโลไกรตาย เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้กำนันวิทยาเคียดแค้น และในขณะเดียวกันก็ต้องเลี้ยงดู “คำทอง” ซึ่งเป็นลูกชายของโลไกรจนโตเป็นหนุ่ม คำทองหลงรัก “พร” ลูกสาวคนเดียวของกำนันวิทยา แต่กำนันวิทยากลับสนับสนุน “ไตร” วิศวกรสร้างเขื่อนให้รักกับพร ทำให้คำทองต้องผิดหวัง เมื่อเขื่อนสร้างเสร็จทำให้น้ำท่วมหมู่บ้าน ในขณะที่กำนันวิทยาก็ต้องรีบตัดต้นไม้ที่ได้รับสัมปทานให้เสร็จก่อนที่น้ำจะท่วมหมดและทำให้เสียหายเป็นเงินมหาศาล กำนันวิทยาตัดต้นไม้ทุกชนิดที่อยู่ในพื้นที่ไม่เว้นแม้ต้นตะเคียนยักษ์ที่น่ากลัว หลังจากนั้นเรื่องราวที่น่ากลัวก็เกิดขึ้นกับคนรอบข้าง รวมทั้งพรที่ต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราโดยไม่ทราบสาเหตุ “กำนันวิทยา, คำทอง, ไตร และ ปีเตอร์” จึงมีภารกิจที่ต้องทำ ทั้งหมดต้องไปเอาวิญญาณของตอตะเคียนที่จมอยู่ใต้น้ำขึ้นมาปลูกใหม่ เพื่อเป็นการขอขมาและช่วยเหลือพรที่นอนไม่ได้สติให้กลับมาเหมือนเดิม ทั้งหมดไม่รู้ว่ากำลังลงไปเผชิญกับสิ่งที่น่ากลัวที่แอบซ่อนอยู่ใต้น้ำแห่งนั้น…
Macabre Case of Prompiram คืนบาป พรหมพิราม (2546/2003)  “พรหมพิราม” เป็นชื่ออำเภอเล็กๆ ในจังหวัดพิษณุโลก ศพของหญิงสาวคนหนึ่งถูกพบที่ริมทางรถไฟในอำเภอแห่งนี้ การตายของเธอคล้ายกับว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ท้ายที่สุดจากการสืบสวนของตำรวจถึงเหตุการณ์สืบเนืองอันน่าขยะแขยงที่ไปไกลเกินความคาดหมายก็ได้เปิดเผยออกมา พบว่าเธอชื่อ “สำเนียน” หญิงสาวชาวบ้าน ผู้ซึ่งตกเป็นเหยื่อของความหื่นของพวกผู้ชายเกือบทั้งตำบล ตอนมีชีวิตเธอเป็นคนมีสติไม่ค่อยสมประกอบ และได้ดั้นด้นออกจากภูมิลำเนาเพื่อไปหาสามีที่จังหวัดอุตรดิตถ์โดยรถไฟ แต่ถูกไล่ลงจากขบวนรถที่สถานีรถไฟ อ.พรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก เนื่องจากไม่มีเงินตีตั๋วรถไฟ แต่ไม่รู้เลยว่าจะเป็นการลงรถไฟเที่ยวสุดท้ายในชีวิต เมื่อมีคนพบศพของหญิงสาวดังกล่าวเสียชีวิตโดยปริศนาที่รางรถไฟในเวลาต่อมา เรื่องราวในภาพยนตร์จับความในวันท้ายๆ ของ “สำเนียน” เปิดเผยการตกเป็นเหยื่อที่ถูกรุมโทรมอย่างโหดร้าย เหตุการณ์สืบเนื่องที่ทำให้เธอเหมือนตกลงไปหลุมขวาก ตลอดจนการตายของเธอสะท้อนให้เห็นถึงความความเลือดเย็นที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกัน ความเสื่อมทรามในก้นบึ้งของจิตใจมนุษย์ถูกตอกย้ำให้เห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้จะรบกวนและแม้กระทั่งท้าทายผู้ชมให้ตระหนักถึงมหันตภัยที่ผู้หญิงถูกคุกคาม เรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องหนัก แต่วิธีการนำเสนอในภาพยนตร์ได้ดำเนินไปโดยอาศัยกลเม็ดที่ชวนให้ติดตามอย่างเร้าใจ การเคลือบด้วยอารมณ์ขันทำให้การชมเป็นไปด้วยความราบรื่นโดยไม่เสียประเด็นนั้นเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้กำกับ “มานพ อุดมเดช” เลือกใช้องค์ประกอบทางด้านเทคนิคพื้นฐานของภาพยนตร์ทั้งในด้านการตัดต่อ, เทคนิคทางด้านภาพ, ดนตรีประกอบ ฯลฯ บอกเล่าเหตุการณ์อย่างมีชั้นเชิงคล้ายกับการปลอกหัวหอมที่จะนำไปสู่ใจกลางของหัวหอม ภายใต้การโปรดิวซ์โดย “ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล” ยกทีมงานผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์แห่งสยามประเทศอย่าง “สุริโยไท” มาผลิตเป็นผลงานที่น่าจับตา ซึ่งรวมถึง “ริชาร์ด ฮาร์วีย์” คอมโพสเซอร์ระดับโลก (Animal Farm, สุริโยไท) มาถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครและบรรยากาศที่น่าสะเทือนใจลงบนตัวโน้ตในภาพยนตร์แนวอาชญกรรมชีวิตระทึกขวัญเรื่องนี้ “สารวัตรหนุ่มใหญ่” (สมภพ เบญจาธิกุล) ที่มากด้วยไหวพริบ และ “ผู้หมวดหนุ่มหน้าใหม่” (กมล ศิริธรานนท์) ที่เพิ่งย้ายราชการมาใหม่ต้องรับผิดชอบคดีการเสียชีวิตของ “หญิงสาวไม่ทราบชื่อ” (พิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์) เมื่อเข้าไปรับผิดชอบคดีที่ดูเหมือนเป็นการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ แต่พอเข้าไปใกล้รูปคดีมากยิ่งขึ้นกลับพบเงื่อนงำบางอย่างที่บ่งบอกว่านี่คือคดีฆาตกรรมที่อื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งดึงเอาผู้คนหลากอาชีพหลายวัยจากชนชั้นต่างๆ ในอำเภอนั้นถึง 30 ชีวิตเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของหญิงสาวรายดังกล่าวภายใต้คดีฆาตกรรมข่มขืนกระทำชำเราหาใช่อุบัติเหตุอย่างที่บางคนคิด ภายใต้แรงกดดันที่ถูกเร่งเร้าจากทุกทิศทางทำให้สารวัตรต้องเร่งคลี่คลายประเด็นและสรุปรูปคดีให้เร็วที่สุด ภายใต้เส้นตายที่ถูกกำหนดและเร่งรัดจากเบื้องบน…
เฮี้ยน (2546/2003) ภายใต้ท้องฟ้าที่เงียบสงบ ดูเหมือนว่าบางสิ่งที่เป็นตัวแทนของความเศร้า ผิดหวัง และเต็มไปด้วยความอ่อนแอ ท้อแท้ สูญสิ้นซึ่งความหวังนอนทอดตัวสงบนิ่งอยู่ในเบื้องลึกแห่งก้นบึ้งของห้วงอารมณ์ที่โอบอุ้มไปด้วยความหวาดกลัวที่แสนเปราะบาง กำลังมีการเคลื่อนไหวอยู่อย่างเงียบๆ ราวกับกำลังเรียกร้องและรอคอยให้ใครบางคนที่พร้อมจะย่างกรายเข้ามาสัมผัสถึงดวงจิตที่อัดแน่นไปด้วยความร้อนรุ่มกระวนกระวายไปทุกอณูแห่งความรู้สึกคั่งแค้นใจเพื่อรอการสะสาง บัดนี้ใกล้มาถึงจุดสิ้นสุดแห่งการเดินทาง เป็นการมาถึงของอาการที่คนทั่วไปรู้จักกันดีที่ถูกเรียกขานสั้นๆ ว่า “เฮี้ยน” สำหรับ “ปอวรีร์” (ทราย เจริญปุระ) หญิงสาวที่ไม่เคยก้มหัว สนใจ หรือแคร์ใครหน้าไหนในโลก โดยเฉพาะมนุษย์เพศชายทุกคน นอกจาก “กิ๊ฟ” (อินทรา วีระวัธนชัย) เพื่อนสาวเพียงคนเดียวในขณะนี้ที่ทั้งคู่ต่างเลือกปักหลักใช้ชีวิตคนกลางคืนที่แวดล้อมไปด้วยแสงสี เหล้า ยา ด้วยกันในฐานะสาวเสิร์ฟในผับชื่อดัง และซุกหัวนอนอยู่ในอพาร์ตเมนต์เดียวกัน ดูเหมือนว่านี่คือวิถีแห่งการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างล่อแหลมและไม่เคยบันยะบันยังของหญิงสาวที่ไร้อนาคตในสายตาของใครหลายๆ คนอย่างปอ จนกระทั่งการตื่นขึ้นมาในเตียงโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หลังจากคืนที่แสนสาหัสเกิดขึ้นในชีวิตของปอผ่านพ้นไป พร้อมร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากการถูกทำร้ายโดยฝีมือของ “ไอ้อ๊อด” (วรรณกิตย์ ศิริพุฒ) นักเลงขี้ยาเอเยนต์ค้ายาเสพติดที่จับได้ว่าถูกหญิงสาวที่คอยปล่อยของอย่างปอยักยอกเสียเอง แต่ในระหว่างที่วินาทีที่พยายามยื้อชีวิตตัวเองให้รอดจากเงื้อมมือของมัจจุราช ทำให้ปอพลาดท่าหมดสติตกลงไปในบึงใหญ่แห่งหนึ่ง หลังจากได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดจาก “หมอฤดี” (อรัญญา นามวงศ์) รอง ผอ.โรงพยาบาลที่เป็นเจ้าของไข้ สิ่งที่สร้างความช็อกให้กับปอมากที่สุดก็คือ การที่รู้ว่าตนเองกำลังตั้งท้องได้ 10 สัปดาห์แล้ว ถึงแม้ว่าจะถูกคนทั่วไปมองว่าหญิงสาวที่ไร้อนาคตอย่างปอพยายามที่จะกำจัดลูกในท้อง แต่ดูเหมือนว่ามีเพียงหมอฤดีเพียงคนเดียวที่คอยเข้าใจและเป็นกำลังใจให้กับปอ ในขณะที่กำลังวุ่นวายใจกับสถานการณ์ที่ยากเกินกว่าที่จะตั้งรับได้ทัน สิ่งที่หญิงสาวที่ไม่เคยรักชีวิตของตัวเองอย่างปอต้องเผชิญกับบางสิ่งบางอย่างที่ยากเกินอธิบายที่เริ่มเข้ามาคุกคามทั้งจากการสัมผัส มองเห็น ได้ยินทั้งภาพและเสียงอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อนในโรงพยาบาล เริ่มต้นจากเสียงร้องของเด็กที่ไม่สามารถหาต้นตอได้ ตุ๊กตาที่ขยับได้เองของคนไข้เด็กที่อยู่ในห้องผู้ป่วยรวม ภาพหลอนของ “หญิงสาว” (ปรางทอง ชั่งธรรม) ที่ตนไม่เคยรู้จัก รวมไปถึงภาพเสมือนที่ดูเหมือนจริงซึ่งล้วนมีภาพของตัวเองเข้าไปอยู่ร่วมในเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นทุกครั้ง พร้อมกับมีภาพของคนอีกหลายคนและอีกหลายเหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะจริงจังและรุนแรงมากขึ้นทุกที ในขณะเดียวกันกับที่ “พัฒน์” (กรุณพล เทียนสุวรรณ) เจ้าหน้าที่ติดตามการรักษาของศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติดคนใหม่ก็ถูกสิ่งเข้ามาประกบกับปอ เพราะเกรงว่าจะยังคงมีประวัติการใช้ยาในตัวปอ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ยากเกินกว่าคำอธิบายที่ชักนำทุกคนย้อนกลับไปสู่ต้นตอของปรากฏการณ์ที่นิยามได้ด้วยคำจำกัดความว่า “เฮี้ยน”
191 1/2 มือปราบทราบแล้วป่วน (2546/2003) ตำรวจสายตรวจ 191 สองคนที่ต่างกันสุดขั้ว แต่ต้องมาทำงานด้วยกัน คนหนึ่งเป็นนายร้อยตำรวจไฟแรง อีกคนหนึ่งเป็นจ่าแก่ที่หมดไฟแล้ว ความต่างและทิฏฐิไม่ยอมหันหน้าเข้าหากันของทั้งสอง ก่อให้เกิดความไม่ลงรอยกันมากมาย แต่ละคดีทำให้แต่ละคนได้เรียนรู้กันและกันมากขึ้นเรื่อย ๆ และเหตุการณ์ก็นำพาให้ได้พบกับนักข่าวสาวคนหนึ่งที่เพิ่งจบใหม่ และเลือกเป็นนักข่าวสายอาชญากรรม เธอกลายเป็นตัวป่วนตลอดการทำงาน แต่ก็เป็นตัวกลางประสานความขัดแย้งของทั้งสองด้วยโดยไม่รู้ตัว หลังจากทั้งสามคนได้ผ่านปัญหาต่างๆ ร่วมกัน ในที่สุด ก็กลายเป็นความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และความผูกพัน วันหนึ่ง โชคชะตาทำให้ทั้งสามคนมาพบกับ โทนี่ โจรกลับใจที่เข้ากรุงเทพเพื่อตามหาน้องชายชื่อจืด โทนี่กับจืดถูกตำรวจจับ ในฐานะผู้มีส่วนรู้เห็นในการซื้อขายยาทั้งสองยืนกรานปฏิเสธแต่ไม่มีใครเชื่อ ต่อมาหมวดชาติได้เลื่อนยศเป็นร้อยตำรวจโท จ่าได้เลื่อนยศเป็นนายร้อย ส่วนนักข่าวสาวก็ได้รับการยอมรับจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานให้เป็นนักข่าวอาชญากรรมดีเด่นและกลายเป็นคนที่รู้ใจของตำรวจหนุ่มในที่สุด
ส้ม+แบงค์ มือใหม่หัดขาย (2546/2003) แบงค์ (ปวริศร์ มงคลพิสิฐ) เป็นเด็กหนุ่มที่ใช้ชีวิตไปวันๆ อยู่ในแฟลตเก่าแห่งหนึ่ง กับแม่ผู้ไม่ไยดีเขานัก ทั้งคู่อยู่ร่วมกัน เหมือนต่างคนต่างอยู่ แม่ไม่เคยรู้เลยว่า ลูกชายของเธอไม่เพียงแค่ติดยา แต่เขายังขายยาเองด้วย ส้ม (วนัชดา ศิวะพรชัย) เป็นนักศึกษาสาว ที่ดูภายนอกก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ซ้ำยังเป็นวัยรุ่นที่เอาการเอางาน หาเงินส่งบ้านที่ต่างจังหวัดตัวเป็นเกลียว แต่ใครล่ะจะรู้ว่า งานที่เธอทำอยู่นั้น คือการเป็นหญิงขายบริการ จิ๊กโก๋ปากซอยกับนักศึกษาสาว... ภายใต้รูปลักษณ์ที่ต่างกันอย่างลิบลับนั้น ส้มและแบงค์กลับเหมือนกัน อย่างไม่ยากที่จะเข้าใจ หนึ่ง.. พวกเขาต้องการเงิน และสอง.. พวกเขาอ่อนหัด และมองโลกสวยงามเหมือนกัน ด้วยความเหมือนซึ่งมองไม่เห็นนั่นเอง ที่ชักพาเธอกับเขามาพบกัน ปรารถนาในตัวกัน และรักกันในเวลาอันรวดเร็ว ชีวิตที่ได้รับการเติมเต็ม อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้แบงค์เริ่มฝันอยากให้ส้มมีความสุข และไม่ต้องทำงานอย่างเดิมอีก เขาดิ้นรนหาทางขายยาให้มากขึ้น ...แต่ยิ่งขายได้มากเท่าไหร่ มันย่อมหมายถึงความเสี่ยง ที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ดูเหมือนว่า ชีวิตของทั้งสอง ที่ไม่เคยมีใครคาดคิดว่า จะมาบรรจบกันได้ กลับกำลังดำเนินเป็นคู่ขนาน ไปสู่จุดหมายเดียวกัน... และที่นั่นคือ หายนะ
องค์บาก (2546)

องค์บาก (2546/2003) ในประวัติศาสตร์หมู่บ้านหนองประดู่ ที่ยาวนานตั้งแต่ครั้นสมัยสงครามไทยกับพม่า ตำนานของครูดำ ผู้แกร่งกล้าด้วยศิลปะการต่อสู้ คือชายไทยผู้กล้าที่เคยแหวกฝ่ากองทัพพม่า ไปแย่งชิงเอาองค์พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกทหารพม่าบุกมาปล้นสดมภ์ และแย่งชิงไปจากหมู่บ้าน เมื่อคราครั้งกระโน้นได้เป็นผลสำเร็จ จนเกิดปาฏิหาริย์แห่งรอยบาก อยู่บนพระพักตร์ขององค์พระ ว่ากันว่าร่องรอยดังกล่าว คือบาดแผลจากการต่อสู้ ที่เกิดจากอิทธิฤทธิ์ขององค์พระศักดิ์สิทธิ์ ที่รับแทนคมหอกคมดาบ ที่ทหารพม่าถาโถมฟาดฟัน เข้าใส่ร่างของครูดำนั่นเอง ว่ากันว่าความเชื่อดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับครูดำ และผู้คนในหมู่บ้านได้ถูกเล่าขาน สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แต่แล้วองค์บากกลับถูก ดอน (วรรณกิตย์ ศิริพุฒ) อดีตลูกหลานบ้านหนองประดู่ ที่ปัจจุบันหันหน้าเข้าสู่โลกแห่งความชั่วช้าอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งเรื่องของยาเสพติด การพนัน และที่ร้ายแรงที่สุด คือการแอบตัดเศียรองค์พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ไปให้กับนักสะสมวัตถุโบราณ ที่มีจิตใจชั่วช้าในกรุงเทพ ในคืนก่อนงานเฉลิมฉลองงานบุญ ที่ชาวหนองประดู่จัดขึ้น เพื่อเฉลิมฉลองศรัทธาต่อองค์บาก ที่ได้หมุนเวียนมาครบ 24 ปี ส่งผลให้เหตุการณ์ดังกล่าว สร้างความสะเทือนใจ ต่อทุกชีวิตในบ้านหนองประดู่ โดยเฉพาะบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ ที่รอวันนี้มาค่อนชีวิต ราวกับว่านี่คือกงล้อแห่งศรัทธา ที่หมุนเวียนบรรจบมา เพื่อทดสอบในศรัทธาแห่งความความผูกพัน และพลังแห่งความดีงาม ของผู้คนในบ้านหนองประดู่อีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะกับผู้ที่ได้รับการสืบทอดชะตากรรม จากองค์บากโดยตรงอย่าง ทิ้ง (จา พนม ยีรัมย์) เด็กหนุ่มลูกกำพร้า ที่ได้รับการชุบเลี้ยงเติบโต จนมีสายเลือดของบ้านหนองประดู่อย่างข้นคลั่ก รวมทั้งเคล็ดวิชานวอาวุธ (อาวุธที่ก่อเกิดจากอวัยวะสำคัญ ในร่างกายของมนุษย์ทั้ง 9 อันประกอบไปด้วย 1 ศรีษะ 2 หมัดกร้าวแกร่ง 2 แรงกระทุ้งของศอก ตอกย้ำความหนักหน่วงของ 2 เข่า และความคล่องแคล้วว่องไวของ 2 เท้า) ผสมผสานกับศิลปะมวยไทยโบราณ ที่ได้รับการถ่ายทอดจากพระครู หลวงพ่อผู้เป็นดั่งเสาหลัก ที่เคารพนับถือของผู้คนในหมู่บ้านหนองประดู่ ลูกศิษย์คนสำคัญของครูดำ ปูชนียบุคคลที่มีคุณอนันต์ของหมู่บ้าน การเดินทางมุ่งหน้าสู่หนทางแห่งการต่อสู้ การทบทวนจิตวิญญาณแห่งความใฝ่ดี และการเผชิญหน้ากับโลกใหม่ ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ลุ่มหลงนิยมในวัตถุเงินทอง ท่ามกลางแสงสีของเมืองหลวง ที่เต็มไปด้วยความคดโกง หลอกหลวง และแก่งแย่งชิงดี ทิ้งได้พบกับบททดสอบแห่งศรัทธา และภาระรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น อันตรายมากขึ้น โดยมีคนๆ เดียวในเมืองหลวง ที่จะช่วยทิ้งตามหาดอนได้คือ หำแหล่ หรือ ยืนยง (หม่ำ จ๊กหมก) ลูกชายของผู้ใหญ่น้อย อีกหนึ่งลูกหลานบ้านหนองประดู่ ที่ถูกส่งมาเล่าเรียน เพื่อกอบโกยเอาความรู้ นำกลับไปพัฒนาถิ่นเกิด แต่กลับกลายเป็นว่า ทิ้งถูกหำแหล่ ที่บัดนี้เปลี่ยนรูปโฉมเป็น ไอ้ยอร์จ หนุ่มหัวทองไร้ซึ้งหัวจิตหัวใจ หลอกขโมยเอาถุงห่อของมีค่า ที่รวบรวมเอาแบ๊งค์ยี่สิบเก่าๆ เงินเหรียญ และบรรดาทรัพย์สมบัติของผู้เฒ่าผู้แก่ ลูกหลานของบ้านหนองประดู่ ที่รวบรวมให้ทิ้งเพื่อเป็นทุนรอน ในการตามหาองค์บากในเมืองใหญ่ ไปวางเดิมพันในมวยเถื่อนเสียแล้ว เส้นทางในการเสาะหาองค์บาก ดึงเอาทิ้งเข้าไปเกี่ยวข้อง กับชีวิตของผู้คนอันหลากหลายในเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น เง็ก (รุ่งระวี บริจินดากุล) หญิงสาวสู้ชีวิต ที่ถูกความเหลวแหลกของเมืองหลวง กัดกินทั้งร่างกายและจิตใจ, หมวยเล็ก (ภุมวารี ยอดกมล) เด็กสาวแก่นแก้ว ที่งดงามทั้งหน้าตาและจิตใจ, ไอ้เป๋ง (เชษฐวุฒิ วัชรคุณ) นักเลงหัวไม้ หัวโจกของบรรดาจิ๊กโก๋คุมซอย คู่ปรับคนสำคัญของยอร์จ ความเป็นจริงในความหวังที่ไม่เพียงดูริบหรี่ แต่กลับเริ่มไกลห่าง ออกไปจากตัวทิ้งมากขึ้นทุกที เมื่อจิตศรัทธาแห่งความดีงาม จากคนรอบข้างที่มีต่อองค์บาก ค่อยรางเลือนมากยิ่งขึ้น กลับกันกับชักนำให้ทิ้ง ถล้ำเข้าไปสู่วังวนแห่งการต่อสู้ ที่ดูเหมือนจะขัดกับถ้อยคำที่พร่ำสอนจากพระครู เมื่อทิ้งถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง กับเกมการต่อสู้และการไล่ล่า ที่อบอวลไปด้วยความชั่วร้าย จากทั้งคนไทยด้วยกันเองและชาวต่างชาติ และนี่คือจุดเริ่มต้น ของการเดินทางแห่งจิตศรัทธา ที่นำมาซึ่งการต่อสู้ เพื่อพิสูจน์ศักดิ์ศรีของศิลปะการต่อสู้ ที่เรียกขานว่า แม่ไม้มวยไทยโบราณ

กำลังแสดงผลลัพธ์ทั้งหมด 7 รายการ