ตำนานกระสือ (2545/2002) หากกล่าวถึง “ตำนานผีไทย” แล้วคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า “กระสือ” เป็นผีประเภทหนึ่งที่อยู่ในการรับรู้ของคนไทยตลอดมา หญิงสาวผู้ออกหากินตอนกลางคืนพร้อมกับหัวกับไส้คือคุณลักษณะที่ทุกคนสามารถบอกได้เมื่อถูกถามถึงผีกระสือ “สหมงคลฟิล์ม” ภูมิใจเสนอภาพยนตร์สยองขวัญที่จะพาผู้ชมย้อนกลับไปสำรวจตำนานของกระสือในมิติที่ยังไม่เคยถูกนำเสนอมาก่อนเรื่อง “ตำนานกระสือ” จากฝีมือการกำกับของนักแสดงผู้มากประสบการณ์ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” เรื่องราวของตำนานกระสือกระสือเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 1763 เมื่อเมืองเขมราชปุระ อันเป็นเมืองที่อยู่ทางด้านเหนือของกรุงละโว้ราชธานี ถูกตีแตกโดยชนเผ่าไทยซึ่งนำโดย “ขุนศรีอินทราทิตย์” หลังจากเมืองถูกตีแตก “ขุนหาญศึก” เจ้าเมืองเชียงอินทร์ก็กวาดต้อนครอบครัวขอมมาเป็นเชลยเช่นเดียวกับเจ้าเมืองอื่น ซึ่งในจำนวนเชลยเหล่านั้นก็มี “นางตาราวตี” และ “แม่เฒ่ากาลา” ผู้เป็นย่าทวดรวมอยู่ด้วย เพราะความสาวและสวยของตาราวตีทำให้เธอถูกคัดเลือกเป็นนางสนมของเจ้าเมืองด้วยความจำใจ แต่ด้วยความรักที่มีต่อ “เจ้าฟ้าแจ้ง” นักรบหนุ่ม ทำให้เธอต้องถูกจับประหารชีวิต ก่อนวันประหารแม่เฒ่ากาลาผู้ลึกลับได้ถ่ายทอดพลังอมตะให้แก่ลื่อของนาง จนทำให้แม้ถึงวันประหารร่างของนางตาราวตีจะถูกเผาผลาญไปกว่าครึ่งตัว แต่หัวกับไส้ของนางกลับลอยหนีหายลับไปพร้อมกับเงาสีน้ำเงินสว่างเรือง ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ที่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ความตายของ “นางดาว” สาวสวยคนหนึ่งในหมู่บ้านทำให้จิตวิญญาณของตาราวตีได้โอกาสหาร่างเข้าสวมแทน นางดาวจึงฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นหมู่บ้านที่เงียบสงบก็ไม่สุขสงบอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อหัวขโมยสองคนได้เห็นผีหญิงสาวซึ่งมีแค่หัวกับไส้กำลังกินควายตัวหนึ่งอย่างสยดสยอง จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวก็เกิดขึ้น… “ตำนานกระสือ” ระดมนักแสดงหน้าใหม่และเก่ามากมายมาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวที่แฝงอยู่ในความเชื่อคนไทยทุกยุคทุกสมัย “ลักขณา วัฒนวงศ์สิริ, นักรบ ไตรโพธิ์, ณัทธร สมคะเน, จิตรานันท์ ธรรมวงศา, พิศมัย วิไลศักดิ์, เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์, ยาว อยุธยา ฯลฯ” ในด้านของทีมงานสร้าง “ตำนานกระสือ” เป็นผลงานการกำกับของ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” จากบทภาพยนตร์ของ “เชษฐ์ ชัชวาล” อำนวยการผลิตโดย “สรารัตน์ หรุ่มเรืองวงศ์” โดยมี “สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสิร์ฐ” เป็นผู้อำนวยการสร้าง
ผีหัวขาด (2545/2002) ไอ้เดี่ยว (ณานิศ ใหญ่เสมอ) เป็นเด็กหนุ่มกำพร้าผู้มีความสามารถด้านหมัดมวย วันหนึ่งเขาพบกับกลุ่มโจรที่ขโมยตัดเศียรพระพุทธรูป เขาจึงเข้าขัดขวางทว่าพาดท่าถูกฟันคอขาด ท่ามกลางฝนฟ้าคะนองเกิดสายฟ้าฟาดลงตรงเศียรพระที่ไอ้เดี่ยวชิงคืนมา จนเศียรพระนั้นละลายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดี่ยวกับร่างไอ้เดี่ยว ทำให้ไอ้เดี่ยวได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมากลายป็นผีหัวขาด กลับไปจัดการกับพวกมารศาสนา และชำระแค้นกับคนที่ฆ่ามัน เพื่อนำความสงบสุบกลับคืนมาสู่หมู่บ้านใต้อีกครั้ง ไอ้เดี่ยว (ต๊ะ ณานิศ ใหญ่เสมอ) เป็นเด็กหนุ่มกำพร้าผู้ได้ร่ำเรียนวิชามวยมาจากพ่อที่เป็นนักมวยเก่า ก่อนที่พ่อตายจากไป ท่านสั่งเสียให้ไอ้เดี่ยวออกตามหาเพื่อนเก่าชื่อ โกร๋น (เทพ โพธิ์งาม) ที่หมู่บ้านใต้ เมื่อย้ายไปที่นั่น ไอ้เดี่ยวตัดสินใจลงแข่งควายกับสมพงษ์ และต่อยมวยกับไอ้มาด (ธนิสร สัตยมงคล) ในงานประจำปีของหมู่บ้าน เพื่อหาเงินมาช่วยปลดหนี้ให้เพื่อนใหม่ชื่อไอ้หมึก (ชูศรี เชิญยิ้ม) ไอ้เดี่ยวเริ่มถูกไอ้มาดและสมพงษ์เขม่น เพราะนอกจากจะชนะทั้งต่อยมวยและแข่งความแล้ว สาวสวยประจำหมู่บ้านอย่าง ทับทิม (นพวรรณ ศรีนิกร) ยังดูจะมีใจให้ไอ้เดี่ยวอีก หลังจากการแข่งชกมวย เสือเม่น (อภิชาติ ชูสกุล) ลอบเข้าไปตัดเศียรพระในโบสถ์ ไอ้เดี่ยวเห็นเข้าจึงตามไปขัดขวาง แต่ถูกไอ้มาดและสมพงษ์ดักทำร้าย ไอ้มาดใช้มีดฟันคอเดี่ยวตายคาที่ ท่ามกลางฝนฟ้าคะนอง และเกิดสายฟ้าฟาดลงตรงเศียรพระที่ไอ้เดี่ยวชิงคืนมาจากเสือเม่น จนเศียรพระนั้นละลายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดี่ยวกับร่างไอ้เดี่ยว ทำให้ไอ้เดี่ยวได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมากลายป็น ผีหัวขาด กลับไปจัดการกับพวกมารศาสนา และชำระแค้นกับคนที่ฆ่ามัน เพื่อนำความสงบสุบกลับคืนมาสู่หมู่บ้านใต้อีกครั้ง ก่อนที่ร่างมันจะหายไปพร้อมกับแสงตะวันของวันใหม่
คนเห็นผี THE EYE (2545/2002) “มาน” (หลี่ซินเจี๋ย) ตาบอดตั้งแต่อายุสองขวบ สิบแปดปีต่อมา เธอเข้ารับการผ่าตัดตา และสามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นตามมาหลายเหตุการณ์ทำให้เธอเชื่อว่ายังมีอะไรอีกมากมายที่อยู่เหนือการมองเห็นของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรากฏตัวของร่างลึกลับในชุดดำที่เห็นรางๆ ซึ่งดูเหมือนจะทำให้เธอมองเห็นความตายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เหตุการณ์แปลกเหนือคำบรรยายได้รับการคลี่คลายในเวลาต่อมา เมื่อเธอมองตัวเองในกระจกแล้วพบว่า ภาพที่สะท้อนออกมาไม่ใช่เธอ แต่เป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ชื่อ “หลิง” (ฌัชฌา รุจินานนท์) หญิงสาวจีนที่เกิดในเมืองไทยซึ่งเป็นเจ้าของดวงตาที่เธอมองเห็นอยู่ ภาพฝันร้ายเหล่านี้ทำให้มานแทบประสาทเสีย หลังจากผิดหวังที่ไม่สามารถสืบหาความจริงได้ มานตัดสินใจเดินทางไปยังเมืองไทยเพื่อตามหาหมู่บ้านของหลิง พร้อมกับ “โล” (ลอเรนซ์ ชู) จิตแพทย์หนุ่มที่ดูแลการปรับตัวของเธอในโลกใหม่ ที่นั่นเธอพบว่าหลิงเป็นผู้ที่มีสัมผัสพิเศษ แต่พรสวรรค์ของเธอกลับไม่สามารถช่วยเหลือหมู่บ้านจากพระเพลิงที่โหมไหม้ได้ ทั้งนี้เพราะไม่มีใครเชื่อคำทำนายของเธอแม้แต่คนเดียว ด้วยความเสียใจเธอจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายในที่สุด ดูเหมือนตอนนี้มานจะเป็นผู้สืบทอดชะตากรรมของหลิง นั่นก็คือคุณสมบัติในการมองเห็นหลายๆ สิ่งที่หลายคนไม่ต้องการจะเห็น ระหว่างที่เธอกำลังจะเดินทางออกจากประเทศไทย เธอพบกับยมทูตในร่างสีดำอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอไม่ได้พบเพียงร่างเดียว แต่เป็นจำนวนนับร้อย มันเป็นลางบอกเหตุว่าโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่…กำลังจะเกิดขึ้น!!!
อารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาต THREE (2545/2002) “Three อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต” ประกอบด้วยเรื่องราวลี้ลับ 3 เรื่อง 3 ประเทศ โดย 3 ผู้กำกับภาพยนตร์ ได้แก่ เกาหลี, ไทย และฮ่องกง ซึ่งต้องการจะเสนอเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นเหล่านั้นซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ชมทั่วทั้งเอเชีย “Three อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต” เป็นการรวมตัวของผู้กำกับฯ ที่ได้รับการยอมรับและกล่าวขวัญระดับชาติถึง 3 คนได้แก่ “คิมจีวูน (ตอน Memories), “นนทรีย์ นิมิบุตร” (The Wheel) และ “ปีเตอร์ ชาน” (Going Home) กับบริษัทภาพยนตร์ของคนรุ่นใหม่ “B.O.M. Film Productions, Cinemasia และ Applause Pictures” ทั้งสามประเทศที่ร่วมมือกันในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ใช้แทนระดับขั้นของการพัฒนาของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ขนาดของตลาดภาพยนตร์, แนวทางการสร้างสรรค์งาน, และรสนิยมของผู้ชมภาพยนตร์ นั่นก็คือ “ฮ่องกง” เป็นศูนย์กลางการผลิตภาพยนตร์ของเอเชียตะวันออกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 ที่เพิ่งจะได้รับรู้ว่ายังมีภาพยนตร์ฮ่องกงอีกมากมายที่โลกยังไม่ได้รู้จัก ส่วน “เกาหลี” ในสองสามปีที่ผ่านมา เกาหลีได้เปลี่ยนผันตัวเองจนได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่แข็งแรงที่สุดในโลก และ “ประเทศไทย” เองก็กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลกในเรื่องของภาพยนตร์ เมื่อ 2-3 ปีมานี้ ภาพยนตร์ของทั้งสามประเทศแม้จะสร้างบนพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่ต่างกัน แต่ภาพยนตร์จากประเทศหนึ่งก็สามารถพาตัวเองเข้าสู่ตลาดภาพยนตร์ของประเทศอื่นๆ และประสบความสำเร็จได้ อาทิ “The Foul King” (เกาหลี), “Love Letter” (ญี่ปุ่น), “Christmas in August (เกาหลี), “นางนาก” (ไทย) และ “Comrades, Almost a Love Story” (ฮ่องกง) ทั้งหมดต่างเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าคุณภาพของภาพยนตร์เอเชียสามารถสร้างกลุ่มของคนดูได้ในนอกตลาดของตัวเอง “B.O.M. Film Productions, Cinemasia และ Applause Pictures” เชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้วที่จะนำสามผู้กำกับฯ ที่มีสไตล์แตกต่างกัน มากำกับภาพยนตร์ในส่วนของตนเพื่อสร้างเป็นภาพยนตร์ลี้ลับเรื่องนี้ “Memories” (เกาหลีใต้ / คิมจีวุน) “ซุงมิน” เป็นชายในวัยประมาณ 30 ปี แต่งงานแล้ว อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่สร้างเสร็จใหม่เอี่ยม ยังมีคนมาอยู่ไม่เต็มทุกห้อง วันหนึ่งภรรยาของเขาก็หายจากไป ตั้งแต่นั้นมา ซุงมินต้องทนทุกข์อยู่กับอาการหลงลืมของตนเอง เขาจำเสื้อผ้าที่ภรรยาของเขาเคยใส่ไม่ได้ จำว่าวันที่ภรรยาหายไปนั้น เธอออกจากบ้านไปไหน ไปทำอะไรก็ไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะพยายามสักเท่าไร เขาก็จำได้แค่บางตอน แต่ล้วนแล้วแต่เป็นตอนที่ทะเลาะกัน และตอนที่เขาไม่เข้าใจว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เขาต้องทุกข์ทนกับฝันร้าย ความจริงเริ่มปรากฏชัดเมื่อเขาได้เห็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ของเพื่อนบ้าน ซุงมินจึงแน่ใจว่าสิ่งเลวร้ายต้องเกิดกับภรรยาของเขา เพียงแต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร ในทางกลับกัน ภรรยาของซุงมินตื่นขึ้นและพบตัวเองนอนอยู่บนถนนที่ร้างผู้คน สถานภาพของเธอย่ำแย่กว่าซุงมิน เธอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ไม่รู้ว่าใครพาเธอมาที่นี่ สิ่งเดียวที่เธอรู้คือมีเศษกระดาษหลายแผ่นที่มีเขียนหมายเลขโทรศัพท์เขียนไว้บนนั้นอยู่ในกระเป๋าสตางค์ของเธอ เธอโทรศัพท์ไปหลายแห่ง บางที่ไม่มีคนรับสาย บางที่มีคนรับ และโอนสายให้เธอพูดกับคนที่เธอไม่เคยคุ้นเคย เธอร่อนเร่ไปตามเมืองที่เปลี่ยวเปล่านี้ ตะเกียกตะกายหาคำตอบ แต่ก็พบเพียงทางตัน เธอสิ้นหวัง พอกลับไปดูเศษกระดาษนั่นอีกที เธอก็เกิดเอะใจกับใบเสร็จร้านซักรีด หมายเลขที่อยู่บนกระดาษนั้น อาจจะเป็นบ้านของเธอ ตอนที่เธอคิดได้นั้นก็ดึกมากแล้ว เธอหาทางกลับบ้าน เธอเดินโซซัดโซเซไปตามถนนว่างเปล่า ในเมืองที่เธอไม่รู้จัก เผชิญหน้ากับเรื่องราวความน่าสะพรึงกลัว ผ่านความมืดมน เกือบเอาตัวไม่รอด และเธอก็ได้ถึงประตูบ้านเมื่อรุ่งสาง เธอรีบเปิดประตูเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ หวังจะกอบกู้ความทรงจำให้กลับคืนมา… “The Wheel” (ไทย / นนทรีย์ นิมิบุตร) “ครูเฒ่า” เป็นเจ้าของคณะละครหุ่น มีเมียชื่อ “นวล” และมีลูกด้วยกันหนึ่งคน ครูเฒ่ามีคณะเชิดหุ่นของตัวเอง ซึ่งการเชิดหุ่นนี้ทำได้ยากทั้งการสร้างหุ่นและเทคนิคการเชิด ทำให้มีผู้ประกอบอาชีพนี้น้อย การแสดงหุ่นคณะของครูเฒ่าจึงเป็นสิ่งหายาก มีผู้ต้องการชมมากมาย จึงมีงานจ้างเข้ามามากและสม่ำเสมอ และสามารถสร้างรายได้ให้ตนเองและครอบครัวจนมีฐานะร่ำรวย และรวมไปถึงลูกคณะก็อยู่ดีมีสุขไปด้วย “ครูทอง” เป็นเพื่อนกับครูเฒ่า แต่ไม่ค่อยชอบขี้หน้ากันครูเฒ่านัก เพราะฐานะผิดกันลิบลับ เพราะครูทองแม้จะเป็นเจ้าของคณะโขน แต่ก็มีคู่แข่งในสาขาอาชีพเดียวกันมากมายหลายคณะ มีการแก่งแย่งงานแสดงกัน จึงมีฐานะไม่ร่ำรวย แต่ก็พอมีพอกิน พอเลี้ยงเมีย “แม่จำเรียง” และ “ไอ้ชิต” ลูกชายให้อยู่ได้ไม่อดอยาก และรวมไปถึง “แม่สะอิ้ง” ลูกสะใภ้ และ “บัว” หลานสาวด้วย วันหนึ่ง ครูเฒ่าล้มป่วยลงกลายเป็นอัมพาต และสั่งให้เมียและลูกเอาหุ่นไป “จำเริญแม่น้ำ” แต่แล้วแม่นวลและลูกกลับต้องจมน้ำตายไปพร้อมกับหุ่นๆ หลายสิบตัวที่ถูกทิ้งไป และในคืนงานศพนั้นเอง ครูเฒ่าถูกไฟคลอกตายที่เรือนของตนเอง “ไอ้ก้าน” เด็กในคณะหุ่นของครูเฒ่าเล่าให้ครูทองฟังเรื่องคำสาปที่ได้ยินมาจากปากครูเฒ่าที่เขาว่ากันว่า “หากใครจำแบบหุ่นไปสร้าง ก็ขอให้มีอันเป็นไป” ไอ้ก้านเล่าว่าที่ครูเฒ่าเป็นอัมพาตและตายก็เพราะคำสาป และก็ด้วยคำสาปนี่อีกที่ทำให้แม่นวลและลูกต้องมาจมน้ำตาย แต่ครูทองไม่เชื่อเรื่องคำสาปนี้แม้แต่น้อย ในขณะที่ครูทองช่วยดับไฟก็ได้เห็นหีบใบหนึ่ง และพบว่ามีหุ่นอยู่ในนั้นตัวหนึ่ง ก็แอบหยิบออกมาแล้วรีบเอาไปซ่อนในเรือ และตัวเองก็พลัดตกจากเรือลงไปในน้ำ ทำท่าว่าจะจมน้ำตาย แต่ไอ้ก้านมาช่วยไว้ได้ทัน ครูทองจึงชวนมาอยู่ร่วมคณะเดียวกัน จากนั้นไม่นาน ครูทองชวนไอ้ชิตลูกชายแกะหุ่นที่ได้มาเพื่อทำเลียนแบบเผื่อจะได้เงินมากๆ แบบครูเฒ่า ไอ้ชิตตกลง ไอ้ก้านมาเห็นเข้าจึงเตือน 2 พ่อลูกเรื่องคำสาปแช่ง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ต่างช่วยกันทำต่อไปจนหุ่นเสร็จ แล้วในที่สุดครูทองก็ล้มป่วยลง ปวดตามข้อตามขา นิ้วมือหงิกง่อย เดินเหินไม่ได้ แต่ก็ยังรับงานแสดงครั้งใหญ่ ซึ่งการแสดงดำเนินไปด้วยดีเป็นที่ชื่นชมของทุกคน ครูทองเห็นผีครูเฒ่ามาเตือนเรื่องหุ่น ครูทองเริ่มสงสัยว่าทำไมเหตุการณ์ร้ายๆ จึงเกิดขึ้นกับครูทองเองและคณะหุ่นของครูทองอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบลงได้ง่าย ทุกผู้ทุกนามที่อยู่รอบข้างกลับต้องมามีอันเป็นไปเสียทุกคน หรือบางที “คำสาป” นั้นมันจะมีจริง “Going Home” (ฮ่องกง / ปีเตอร์ ชาน) “เว่ย” เด็กชายวัย 8 ขวบ มีพ่อคนเดียวเลี้ยงดูมาแต่เล็ก “คิน” ผู้เป็นพ่อเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบทำแต่งาน และเอาแต่เศร้าโศกอาลัยอาวรณ์ถึงแต่ภรรยาผู้ล่วงลับ เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อสองพ่อลูกย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านพักตำรวจร้าง บ้านแถวๆ นั้นทรุดโทรม มีแต่คนแก่และคนบ้าอยู่กันเต็ม เว่ยพบสตูดิโอถ่ายรูปที่ถูกทิ้งให้ร้างแถวนั้น บรรยากาศดูน่าขนลุก แต่ก็ยังไม่เท่าเด็กหญิงอายุ 4 ขวบและพ่อของเธอที่อยู่บ้านติดกัน “เฟย” เป็นคนแปลกแยก กันตัวเองออกจากสังคมออกมาโดดเดี่ยว จะออกไปพบผู้คนก็มีแต่ตอนออกไปซื้อของใช้จำเป็น นอกจากนั้นแล้วเขาจะอยู่แต่ในบ้านตลอดเวลา บ้านของเขามีไอน้ำคลุ้งเต็มบ้านเสมอ มีเครื่องระบายอากาศที่ทำงานไม่เคยหยุด หน้าต่างถูกปิดมิดชิด เฟยประกาศตัวเสมอว่าเขาอยู่คนเดียว แต่คินเคยเห็นเฟยคุยกับคนที่ดูคล้ายผู้หญิงง่อยในอพาร์ตเมนต์ เว่ยหายตัวไปไม่คาดคิด คินสิ้นหวังในการค้นหา เขาบุกเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ของเฟย คินพบศพรูปร่างแปลกพิกล เป็นศพที่เก็บไว้งดงามอย่างดี ผิวหนังยังเต่งตึง เป็นร่างของภรรยาของเฟยที่ถูกฆ่าตายไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เฟยไม่เคยปรากฏวี่แววหรือร่องรอยว่าเฟยจะเสียใจให้เห็น เพราะเขาหวังว่าเขาจะสามารถชุบชีวิตภรรยาของเราได้ เฟยเปิดเผย และความซื่อสัตย์ของเขาทำให้คิมกังวลใจว่า เฟยอาจเป็นคนบ้าแบบสุดๆ ส่วนเว่ยลูกชายของเขาก็ได้ทรมานทรกรรมอย่างรุนแรงและร้ายกาจที่สุดที่เขาไม่เคยพบมาก่อน…
โรงแรมผี (2545/2002) ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลวงนฤบาลฯ ประสบอุบัติเหตุถูกระเบิดขาขวาพิการ และใบหน้าซีกซ้ายเสียโฉม แต่ร้ายที่สุดคือการเสียชีวิตของคุณศรี ภรรยาที่อยู่กินกันมาตั้งแต่หนุ่มสาว หลังเหตุการณ์ร้ายครั้งนั้นก็ได้พบ ด.ช ปั้น วัย 10 กว่าขวบที่พลัดพรากจากครอบครัวระเหเร่ร่อนอยู่ หลวงนฤบาลฯ ก็รู้สึกถูกชะตาและรับมาอุปการะเลี้ยงดู จนกระทั่งเติบโตเป็นหนุ่ม จนกระทั่งวันหนึ่งหลวงนฤบาลฯได้พบกับสารภีลูกสาวชาวนาวัย 18 ปี ก็ถูกชะตา และรู้สึกหลงรักสารภีตั้งแต่แรกพบ และได้เสนอเงินก้อนโตให้กับพ่อแม่ของสารภีที่เป็นชาวนายากจน เพื่อขอสารภีมาอยู่กับตน สารภีไม่เต็มใจนัก แต่ดูเหมือนเธอแทบจะไม่มีทางเลือกอื่นเลย หลวงนฤบาลฯ จัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โตที่คฤหาสน์ริมทะเลบางละมุง แล้วในคืนวันส่งตัวนั้นสารภีก็หนีจาก หลวงนฤบาลฯ ไปพร้อมกับปั้น หลวงนฤบาลฯ แค้นสุดๆ เมื่อคนที่เขารักและทุ่มเททั้งสองคนกลายมาเป็นผู้เหยียบย่ำจิตใจเขาเสียเอง ยิ่งรักมากก็ยิ่งแค้นมาก หลวงนฤบาลฯ จมอยู่กับกองทุกข์ ชีวิตผ่านไปวัน ๆ กับความโทมนัส โหยหาสารภีและคลุ้มคลั่งกับความแค้นที่สารภีและปั้นกระทำลงไป อีกไม่นานหลวงนฤบาลฯ ก็เสียชีวิต หลังรู้ข่าวการตายของหลวงนฤบาลฯ สารภีและปั้นก็กลับคืนสู่ฝั่งเพื่อขอขมาศพ ทั้งคู่ตัดสินใจกลับมาอยู่คฤหาสน์หลังนี้ โดยปั้นมีความคิดที่จะดัดแปลงคฤหาสน์หลังใหญ่ให้เป็นโรงแรมตากอากาศและให้ชื่อว่า “โรงแรมบางละมุง” วี่แววความยุ่งยากพร้อมความเร้นลับที่หาคำอธิบายไม่ได้เริ่มก่อตัวขึ้นเหนือโรงแรมแห่งนี้ ปริศนาเร้นลับถูกโยงไปถึงวิญญาณร้ายที่อัดแน่นด้วยความแค้นฝังลึกของ หลวงนฤบาลฯ ได้เริ่มต้นขึ้น และได้กลายเป็นเรื่องราวที่เข้มข้นที่เกิดขึ้น ณ คฤหาสน์หลังใหญ่ริมทะเลบางละมุงแห่งนี้

กำลังแสดงผลลัพธ์ทั้งหมด 5 รายการ