พล นิกร กิมหงวน ตะลุยฮาเร็ม (2502)
พล นิกร กิมหงวน ตะลุยฮาเร็ม (2502/1959) พล นิกร กิมหงวน ตะลุยฮาเร็ม เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2502 สร้างจากนิยายชุดเรื่องดังของ ป.อินทรปาลิต สร้างโดย โยคีสถาน สี่พระยา แผนกภาพยนตร์ โดยมี วิรัช พึ่งสุนทร สร้างบทและกำกับการแสดง
ไอ้แก่น (2502)
ไอ้แก่น (2502/1959) ไอ้แก่น (รัตนาภรณ์ อินทรกำแหง) กับไอ้เปีย (ด.ช.ล้อต๊อกน้อย) ใช้แผนตลกรับประทาน หลอกตีสนิท ปิ่น (ลือชัย นฤนาท) ซึ่งกำลังนั่งกินก๊วยจั๊บริมถนน โดยทำทีให้คนขายเห็นว่าเป็นพี่น้องกัน นอกจากกินไปคนละ 2 ชามแล้ว ก็ยังสั่งหมูเปื่อยเอาไปฝากยายจัน (หม่อมชั้น พวงวัน) ยายตาบอดที่เลี้ยงไอ้แก่นมาตั้งแต่แบเบาะอีกด้วย กว่าปิ่นจะรู้ตัว ปิ่นก็กลายเป็นหมูเปื่อยตามชื่ออาหารที่ไอ้แก่นไอ้เปียเอาไปฝากยายจันแล้ว เมื่อได้หมูเปื่อยมาห่อหนึ่ง ไอ้แก่นไอ้เปียก็เผ่นเข้าซอยไปหยุดคุยกับ สุดใจ (เรวดี ศิริวิไล) แม่ค้าขายกล้วยปิ้งซึ่งมีสามีชื่อ เชิด (ประมินทร์ จารุจารีต) เป็นนักเลงหัวไม้ คุยกันยังไม่เท่าไหร่ เชิดก็ปรากฏตัวและไถเงินสุดใจ หวิดจะมีเรื่องกับ ไอ้แก่น แต่สุดใจห้ามไว้ก่อน ขณะจะเดินเข้าซอย ไอ้เปียก็วิ่งไปชนเข้ากับ อนุ (วิน วิษณุรักษ์) ซึ่งเป็นช่างภาพ แต่จากการพูดคุยกัน ทำให้อนุสนใจในตัวแก่น แม้ว่าตอนนั้นแก่นจะยังแต่งตัวม่อมแม่ม แต่อนุก็ชวนแก่นให้ไปถ่ายแบบ เมื่อไปถึงบ้านอนุ ไอ้แก่นไอ้เปียก็พบกับปิ่นหรือหมูเปื่อยที่นั่นอีก ปิ่นเป็นเพื่อนรักของอนุ อนุจึงฝากปิ่นดูแลแก่นให้อาบน้ำแต่งตัวเตรียมไว้ถ่ายแบบ ระหว่างนั้นคู่รักของอนุก็เข้ามาหาและเกิดปากเสียงกับแก่น ปิ่นก็ถือหางข้างไอ้แก่นเพราะเริ่มจะมีใจชอบๆ ไอ้แก่นเข้าบ้างแล้ว หลังจากถ่ายแบบเสร็จ ไอ้เปียก็เล่าให้ยายจันฟังว่า พี่แก่นใส่เสื้อผ้าชุดใหม่แล้วสวยน่ารัก ยายจันก็บอกว่า ใช่ แก่นหรือแก่นจันทร์เป็นคนสวย ไอ้เปียก็งงๆ เพราะยายจันตาบอด จะรู้ได้ยังไงว่า แก่นเป็นคนสวย ยายจันจึงเล่าเรื่องชีวิตไอ้แก่นเมื่อครั้งที่แม่ของไอ้แก่นคือ นงราม อุ้มไอ้แก่นมาฝากเลี้ยงและสิ้นใจตาย ตอนนั้นยายจันยังไม่ตาบอดจึงจำภาพแม่ของแก่นได้ดีว่าเป็นผู้ดี หน้าตาสวยงาม ก่อนที่นงรามจะเสียชีวิตก็ได้มอบแหวนประจำตระกูลเป็นรูปแมงมุมให้แก่ยายจันไว้หนึ่งวงเพื่อเป็นหลักฐานว่าไอ้แก่นเป็นใคร ต่อมาแก่นไปทำงานเป็นคนรับใช้ที่บ้านของนายเรียว รัชฎา (สมพล กงสุวรรณ) ก็ถูกนายเรียวปลุกปล้ำ แก่นเอาตัวรอดได้โดยมีปิ่นซึ่งคอยเฝ้าติดตามแก่นไปทุกที่เป็นผู้ช่วยอีกแรงหนึ่ง ฝ่ายสุดใจนั้น เมื่อทนการตบตีของเชิดไม่ไหวจึงหนีไปทำงานเป็นคนรับใช้ที่บ้านคุณหญิงสุดจิต ระหว่างที่นวดให้คุณหญิงก็เหลือบไปเห็นแหวนที่นิ้วคุณหญิงจึงทักว่า เคยเห็นแหวนแบบเดียวกันนี้ที่ไอ้แก่น คุณหญิงจึงให้ไปตามไอ้แก่นมาพบ เมื่อพบกันจึงรู้ความจริงว่า แก่นก็คือหลานยายที่นงรามผู้เป็นแม่พาหนีออกจากบ้านไปเมื่อ 18 ปีที่แล้ว ฝ่ายปิ่นนั้นเมื่อรู้ว่า แก่นได้เป็นลูกผู้ดีมีสกุลแถมร่ำรวยอีก ก็ได้แต่เฝ้ามองเมียงอยู่นอกบ้านคุณหญิงซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับที่ ชัย ราเมศร์ (สมควร กระจ่างศาสตร์) มาเดินป่วนเปี้ยนเช่นกัน ปิ่นนั้นไม่รู้ว่า ชัยเป็นพ่อของแก่นเพราะชัยไม่ยอมบอกเพราะกลัวแก่นจะอับอายที่มีพ่อเป็นคนขี้คุกขี้ตะราง แต่การที่ปิ่นกับชัยมาแวะเวียนที่หน้าบ้านคุณหญิงก็เป็นผลดีเพราะต่อมาเมื่อนัทที (กมลพันธ์ สันติธาดา) ซึ่งเป็นญาติกับนงรามรู้ว่า แก่นจะเป็นทายาทรับมรดกของคุณหญิงก็เกิดความอิจฉา ละโมบจึงร่วมมือกับนายเรียว นายเชิด จับแก่นไปฆ่าทิ้ง แต่ชัยกับปิ่นเห็นเหตุการณ์ก่อน จึงตามไปช่วยแก่นได้ทัน เมื่อผิดแผน นายเรียวกับนายเชิดจึงวางแผนปล้นบ้านคุณหญิงแทน เผอิญไอ้เปียแอบได้ยินแผนการจึงไปส่งข่าวให้เพื่อนๆ ของปิ่นรู้เรื่องและมาช่วย วันที่นายเรียวกับนายเชิดเข้าปล้นบ้านคุณหญิงนั้น ปิ่นกับชัยก็ยังคงเฝ้าหน้าบ้านจึงเข้าช่วยเหลือ ระหว่างที่ชัยกำลังประคองแก่นซึ่งสลบอยู่นั้น นายเรียวก็ใช้มีดแทงหลังชัยได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อคุณหญิงเห็นหน้าชัยก็บอกความจริงแก่แก่นว่า ชัยคนนี่แหละคือพ่อบังเกิดเกล้าของแก่น ทั้งคู่คร่ำครวญร้องไห้ถึงความรักที่มีต่อกัน ก่อนที่ชัยจะสิ้นใจนั้น ชัยก็ได้ขอให้คุณหญิงยอมยกแก่นให้แก่ปิ่นเพราะเห็นว่า ปิ่นรักแก่นจริงๆ ไม่อยากจะให้ผิดหวังเหมือนอย่างที่ตนเองเคยประสบมา
เจ็ดแหลก (2501)
เจ็ดแหลก (2501/1958) หนังเรื่องที่ 3 ในหนังชุด 1 ต่อ 7 ของ ส.อาสนจินดา ข้อความบนใบปิด ปักหลักสู้ยับ ดับคาแผ่นดิน! เจ็ดแหลก อาคม มกรานนท์, อดุลย์ ดุลยรัตน์, ส.อาสนจินดา, จุมพล กาญจนนินทุ, อุศมาน ศรแดง, ล้อต๊อก, ศรินทิพย์ ศิริวรรณ และเจ็ดทหารเสือ, เจ็ดสมิงสาว, เจ็ดเสือร้าย แสดงนำ บริษัท ไทยฟิล์ม จัดจำหน่าย (ที่มา :Thai Movie Posters)
นักเลงเดี่ยว (2501)
นักเลงเดี่ยว (2501/1958) ตำบลชายแดนแห่งหนึ่ง เรียกว่าบ้านชนแดน อันเป็นถิ่นเกิดและที่ทำมาหากินของจ่าดับ จำเปาะ (ส. อาสนจินดา) ทหารเก่า กำลังลุกเป็นไฟด้วยความเดือดร้อน เมื่ออ้ายเสือโทน (สังเวียน หาญบุญตรง) พ่ออ้ายเสือทิม (เมืองเริง ปัทมินทร์) อ้ายเสือทอม (สุวิทย์ เทียมเมศ) ลูกและเสือทัพ (เทียนชัย สุนทรการันต์) น้องชาย เข้าไปตั้งถิ่นโจรอยู่ในป่าลึกแดนต่อแดน จ่าดับ จำเปาะ หลังจากที่ไปช่วยหกสหายปราบ 7 ผู้ร้ายที่หาดใหญ่มาแล้ว เขากลับมาบ้านต้องพบกับความรันทดแสนสาหัส เมื่อเมียรักของเขาคลอดลูกตายทั้งกลม จ่าดับคำนึงถึงความเป็นนักเลงมือปืนของเขา คงจะก่อเป็นกรรมเก่าสนองเขา ให้ได้รับความโทรมนัสเช่นนี้ จึงได้ลาออกจากหน้าที่กำนัน ไปใช้ชีวิตเป็นชาวไร่ กำนันคนใหม่ที่รับตำแหน่งจากจ่าดับคือ สวน (ล้อต๊อก) มีลูกสาว 2 คนคือ ชะเอม (วิภา วัฒนธำรงค์) นิสัยเรียบร้อย เสงี่ยมเจียมตัว น้องสาวชื่อ อ้าย (พะเยาว์ สาริกบุตร) เป็นคนชอบฟุ้งเฟ้อ หรูหรา อีกคนหนึ่งเป็นลูกเลี้ยงชื่อ ชะอม (จันตรี สาริกบุตร) สำหรับอ้อยความที่เป็นสาวปราดเปรียว จึงเป็นที่หลงรักของ เจ้าเด่น (พงศ์ศิริ เพียงพรหม) ซึ่งเป็นน้องชายคนสุดท้องของจ่าดับ แต่เจ้าเด่นเป็นหนุ่มลูกทุ่งที่เซ่อซ่า ขี้ขลาดตาขาว จึงหาเป็นที่รักใคร่ชอบพอของอ้อยไม่ แทนที่อ้อยจะรับรักหนุ่มบ้านเดียวกันกลับ ไม่มีจิตรพิศมัยกับอ้ายเสือทอม ซึ่งเป็นอ้ายเสือรูปงาม บ้าบิ่นจนกระทั่งหนีตามอ้ายเสือทอมข้ามเขตต์แดนไป แต่แล้วอ้อยก็ต้องหนีเตลิดกลับมา เพราะไปเห็นสภาพความกักขระโสมมของบรรดาอ้ายเสือร้าย สี่พ่อลูกพี่น้อง นับแต่วันที่อ้อยหนีไป เจ้าเด่นไปนั่งเศร้าเฝ้าคอยหาสาวคนรัก อยู่ในป่าชายเขตต์แดนทุกคืนวัน ไม่เป็นอันกินอันนอน ฉะนั้นเมื่ออ้อยหนีกลับ เด่นจึงยินดีที่จะช่วยพากลับ เด่นพาอ้อยไปที่บ้านพ่อบ้านแม่ซึ่งอยู่ในป่านอกเขตต์แดนไทย ขอยืมม้าพาสาวรักหนีไป ผลกรรมนี้ตกอยู่กับพ่อและแม่ของเด่น เมื่อสี่อ้ายเสือตามพบรอยม้ามันจึงฆ่าพ่อของเด่นตาย และให้อ้ายทิมคุมแม่ของเด่นไว้ อีก 3 เสือขี่ม้าบุกเข้าบ้านชนแดน ฆ่าชาวบ้านดะไป จนกระทั่งมาพบจ่าดับ ที่ไม่ยอมให้ 3 เสือร้ายก้าวล้ำฝ่านเข้าไปได้อีก สามเสือร้าย อ้ายโทน อ้ายทอม อ้ายทัพ เผชิญหน้ากับจ่าดับ เสือเก่าซึ่งไม่ยอมถอย จ่าดับจำต้องชักปืนออกมาดวลกับเสือโทนตัวต่อตัว แต่ศรศิลปนอกจากจะไม่กินกันแล้ว ยังกินกันไม่ลงอีกด้วย ต่างถูกกระสุนที่มือพร้อมๆกัน ปืนหลุดมือทั้งคู่ อย่างไรก็ตาม แม้เสือโทนจะเรียกร้องขอตัวอ้อยกลับไปให้เสือทอมลูกชาย แต่จ่าดับก็ยืนยันอย่างนักเลงว่า ตราบใดที่ชีวิตตนยังไม่สิ้น จะไม่ยอมที่แม้แต่หมาขี้เลื้อนตัวเดียวของบ้านชนแดนแก่เสือโทนเป็นอันขาด เสือโทนขอสัญญาแลกกันกับจ่าดับและกำนันสวนว่า ตนไม่ติดใจที่จะเรียกตัวนังอ้อยคืน และตนเองจะไม่ลุกล้ำเขตต์ เข้ามากระทำตนเป็นจ้าวนักเลงอีก หากแต่กำนันสวนและจ่าดับจะต้องให้สัญญาว่านับแต่นี้ เป็นต้นไปชาวบ้านชนแดน คนใดก็ล้ำเขตต์เข้าไปในป่าของตนไม่ได้ จะต้องไม่ยอมให้นักเลงจรคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำรวจหรือสายลับล่วงล้ำเข้ามาภายในเขตต์บ้านชนแดน และจ่าดับจะเรียกลูกทัพบกคู่ใจที่เหลืออีก 5 คนเข้ามาไม่ได้เป็นอันขาด มิฉะนั้นแล้วตนจะพาพวกโจรบุกเข้ารังควาน จ่าดับไม่อาจจะรับคำได้ เพราะในเขตต์ป่าที่เหล่าร้ายหวงห้าม ยังมีบ้านพ่อ แม่ ของตนอยู่แต่กำนันสวนมีความเห็นแก่ตัวเป็นเอก กลับประณามจ่าดับว่า ถ้าไม่ยอมรับก็เท่ากับจ่าดับเห็นแก่พ่อแม่ของตนเท่านั้น ไม่เห็นแก่สวัสดิภาพของชาวบ้านนับพัน อย่างนี้ก็เท่ากับโอนตำแหน่งกำนันมาต้มให้แกรับภาระ อุจาระเต็มกางเกง คนเดียว หลังจากที่เสือโทนและบรรดาพวกได้สัญญามั่นเหมาะจากกำนันสวนไปแล้ว ในวันสงกรานต์ของบ้านชนแดน ขณะที่ชาวบ้านกำลังสนุกสนานอยู่กับการแห่นกปล่อยปลา การณ์ก็ปรากฏว่า มีนักเลงเดี่ยวคนเดียวคนหนึ่ง คนแปลกหน้าล่วงล้ำแบบทะเล่อทะล่าเข้ามาในหมู่บ้านชนแดน นักเลงเดี่ยว (ทักษิณ แจ่มผล) มาในลักษณะของคนสติไม่เต็ม แต่หมอเป็นคนไวและหมัดหนักชะมัด ฉะนั้นเมื่อกำนันและพวกเข้าไปทำร้ายขับไล่ จึงถูกหมอตอกหน้ากลับ จนล้มลุกคลุกคลานและตกน้ำตกท่าไป นอกจากเก่งในเชิงมวย นักเลงคนนั้น ยังความหมื่นทะลึ่ง กับผู้เป็นเอก และเป็นเหตุให้อ้อยต้องวิ่งไปลากมือ เจ้าเด่นคู่รักมาคะยั้นคะยอให้ต่อยหน้านักแปลกหน้าให้ได้ แต่แล้วผลปรากฏว่า เด่นกลายเป็นกระสอบทรายให้ นักเลงแปลกถิ่นซ้อมมวยไปอย่างน่าสงสาร ชะเอมเข้าช่วยก็ถูกจูบตอบแทน ชะเอมเข้าทุบตีก็ก็จะพลอยถูกปล้ำ จนกระทั่งนักเลงคนนั้นได้เผชิญหน้ากับจ่าดับ การต่อสู้ระหว่างนักแปลกหน้ากับจ้าวถิ่นได้เป็นไปอย่างดุเดือด ผลก็คงเดิมจ่าดับลงไปนอนเป่าฝุ่นเสียศักดิ์ศรีอย่างสิ้นเชิง ขณะที่เหลี่ยมนักเลงของจ่าดับถูกลบ เป็นเวลาเดียวกับที่ เสือโทน เสือทอม เสือทิม และเสือทัพ ขี่ม้ามาถึง มันทั้ง 4 จึงได้หัวเราะเยาะจ่าดับได้ทันเวลา มิหนำซ้ำช่วยกันรุมซ้ำเติมจ่าดับอย่างทารุณ จนนักเลงเดี่ยวคนนั้นทนดูไม่ได้ ขณะที่เสือทอม เสือทิมรุมซ้อมจ่าดับ เสือโทน เสือทัพ จะลอบยิงจ่าดับ นักเลงแปลกหน้าคนนั้นจึงช่วยยิงสกัดไว้ และเขาเองเข้าเสนอตัวรับมือสู้กับเสือทิม เสือทอม แบบ 2 ต่อ 1 อย่างทรหด จนสองเสือพี่น้องสิ้นลาย สี่เสือกลับเข้าป่าอย่างอาฆาตแค้น ขณะเดียวกันความกล้าหาญของนักเลงแปลกหน้าที่มีฝีมือเหนือกว่า จ่าดับ จำเปาะได้ระบือไปทั่วบ้าน เขาเริ่มเป็นที่เอ็นดูของชะเอมและเป็นที่ชอบพอของอ้อย ในคืนนั้นชะเอมแอบไปเอาเสื้อผ้าของพ่อไปให้นักเลงจรคนนั้นเปลี่ยน เธอเป็นห่วงว่าเขาจะถูกทำร้าย เวลานั้นความเก่งของเขากำลังเป็นภัยแก่หมู่บ้าน เพราะเขาคนเดียวจะต้องเป็นเหตุให้พวกเสือโทนมารุกรานหมู่บ้านอีกใครๆก็อยากขับไล่เขาออกไป ความอารีของชะเอม ได้รับความรักจากชายชาตรีผู้นั้นตอบแทน แต่ขณะที่คนทั้งสองจะเข้าใจในรัก อ้อยก็เข้ามาเป็นมารขวาง อ้อยสกดรอยตามพี่สาวมา เพื่อจะเก็บเอาความอารีต่อชายที่พ่อถือว่าเป็นศัตรูผู้นี้ไปฟ้องพ่อ นักเลงเดี่ยวผู้นั้นจึงสร้างความรักจอมปลอมขึ้นกับอ้อยด้วยชั้นเชิงของเสือผู้หญิง เขาแกล้งทำเป็นเข้าใจว่าอ้อยคือชะเอม และพร่ำพรรณารักที่มีต่อชะเอมกับอ้อยเอง แล้วฝากจูบไปให้อ้อยด้วย อ้อยหลงเชื่อตายใจสนิทคิดว่าตนชนะพี่สาว เก็บเอาความรักที่นักเลงเดี่ยวผู้นั้นพร่ำเพ้อถึงตนมาเป็นความอบอุ่นชื่นใจของตนอยู่คนเดียว คืนนั้นเสือโทนใช้พวกมาลอบทำร้ายนักเลงเดี่ยวผู้นั้น ด้วยอาวุธปืนและระเบิดมือแต่กลับถูกซ้อนกลพ่ายกลับไป โจรชายแดน ทั้ง 4 เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง ความมุ่งหมายของมันเกินแค้น มันต้องการจะเก็บนักเลงแปลกหน้าคนนี้ให้ได้ จึงปักป้ายไว้กลางตลาด ฉะนั้นแล้ววันรุ่งขึ้นพวกมันนับสิบจะเข้าทลายหมู่บ้าน คนทั้งหมู่บ้านตกอยู่ในสภาพฝันร้าย ไม่มีใครมีปัญหากล้าไล่นักเลงแปลกหน้าคนนั้นออกไปได้ และไม่มีใครมีปัญญาจะคิดต่อต้านกับพวกเสือโทน ในวันรุ่งขึ้นแม้กระทั่งจ่าดับ จำเปาะก็ผละจากตำแหน่งจ้าวถิ่นไปอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะเขามีใจอยู่กับชะเอม แต่บัดนี้ชะเอมมอบรักให้แก่นักเลงแปลกหน้าเสียแล้ว เหล่าร้ายนับสิบๆหลั่งไหลจากป่าเข้ามาในหมู่บ้าน ด้วยเหลี่ยมนักเลงและชั้นเชิงนักสู้ที่เหนือกว่า นักสู้เดี่ยวๆคนนั้น ก็กระทำการดังปฏิหาริย์ เขาคนเดียวสามารถต่อต้านเหล่าร้ายนับสิบเหล่านั้น ถอยร่นเข้าป่าไปอย่างเป็นระเบียบ แต่ถึงเขาเก่งเพียงไร ก็ไม่ยิ่งไปกว่าเทวดาขณะนั้น ที่เขายังสู้กับเหล่าร้ายและกำลังจะถูกลอบยิงข้างหลัง จ่าดับ จำเปาะซึ่งแอบดูพฤติกรรมของเขาอยู่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ได้ เมือเขาขอบคุณจ่าดับ จำเปาะ จ่าดับก็บอกปัดนักเลงเดี่ยว แบบไว้เชิงว่า หายกัน เพราะครั้งหนึ่งนักเลงแปลกหน้าก็เคยช่วยชีวิตเขา ในที่สุดวันสำคัญก็มาถึง คืนนั้นนักเลงแปลกหน้าลอบเข้าไปในป่าเขตต์ชายแดน จ่าดับได้สกดรอยตาม ชะเอมกับชะอมตามจ่าดับไปอีกทีหนึ่ง เพราะคิดว่าจ่าดับจะเล่นสกปรกตามฆ่าชายคนรักของเธอ อ้อยอีกคนหนึ่งบัดนี้ได้ทราบความจริงแล้วว่า เธอถูกหลอกลวง นักเลงคนนั้นรักชะเอมไม่รักคนด้วยความแค้นของเด็กสาว ทำให้อ้อยกระทำการอันไร้สติ เธอหนีออกจากบ้านจะเตลิดกลับไปหาเสือทอมคู่รักเก่าอีก พอดีจ่าดับได้ทราบความจริงจากชาวบ้านว่า พ่อของตนถูกฆ่าตายเป็นศพอยู่หน้าบ้าน ศพแม่ของตนหายไป แต่มีเสียงปีศาจร้องโหยหวลอยู่ในบ้านร้างอันเป็นของพ่อแม่เขา หากใครเข้าใกล้บ้านนั้นจะถูกมือลึกลับยิงออกมา จ่าดับรีบรุดไปที่บ้านผู้ให้กำเนิดของตน ระหว่างทางเข้าได้เห็นเครื่องบินลำมหึมากำลังปล่อยร่มลงมา เมื่อจ่าดับเข้าไปถึงหลุมฝังศพพ่อ เขาได้พบนักเลงคู่อาฆาตคนนั้น นั่งร้องไห้อยู่ที่หลุมฝังศพพ่อ เขาจะขับไล่ ก็เผอิญได้เห็นบนบ้านของเขามีพวกเหล่าร้ายอยู่ มีเสียงแส้ มีเสียงร้องครวญครางของปีศาจแม่ของเขาครวญครางอย่างที่ชาวป่าว่า ทั้งเขากับนักเลงแปลกหน้า เลยช่วยกันเสี่ยงชีวิตเข้าไปทำลายเหล่าร้ายในบ้าน ที่นั่นเขาได้พบแม่ของเขายังไม่ตาย แต่ถูกจับเข้าขื่อคา ทรมานด้วยการเฆี่ยนตีจนแม่เขาเกือบจะสิ้นใจอยู่แล้ว จ่าดับเข้าไปปลดพันธนาการให้แม่ แก่เห็นนักเลงแปลกหน้าก็พยายามพูด แต่แล้วแกก็สิ้นลมเสียก่อน นักเลงคนนั้นเรียกแม่ของจ่าดับว่าแม่ แล้วเปิดเผยความจริงว่า คนเป็นลูกคนกลาง เขาเป็นน้องชายของจ่าดับ จำเปาะ คนที่เกเรที่สุด ซึ่งขโมยเงินพ่อแม่จนหมดตัวหนีไปเกะกะอยู่ในกรุงเทพฯ และเขาชื่อ เดี่ยว จำเปาะ ถึงกระนั้นก็ตาม จ่าดับก็ยังไม่ปลงใจเชื่อ และไม่ยอมให้เดี่ยวทำแม้แต่จะกราบหลุมศพแม่ให้เป็นเสนียด ครั้นเดี่ยวดึงดันจะทำจ่าดับจึงขัดขวาง ด้วยหมัดมวย แต่ก่อนที่ทั้งสองจะรู้ดำรู้แดง ก็ถูกขัดขวางการต่อสู้จากคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งแต่งด้วยชุดดำทั้งชุด คนแปลกหน้านั้นมาด้วยกัน 5 คน พอเปิดหน้า จ่าดับจึงได้พบว่า คนทั้งห้านั้นก็คือเพื่อนเก่าและนายเก่า ได้แก่ ตังกวย แซ่ลี้ สิบโทอัคคี เมฆยันต์ สิบโทกล้า ตะลุมพุก และพันตรีกฤษณ์ กับเพื่อนใหม่อีกคนหนึ่งคือพันตรีไกวัล (อดุลย์ ดุลยรัตน์) ผู้เชี่ยวชาญการจรวด คนทั้งหมดเปิดเผยกับจ่าดับว่า ถูกทิ้งร่มมาเพื่อปฏิบัติราชการ ขณะนี้มีเหล่าร้ายไม่ปรากฏสัญชาติกำลังมาตั้งจรวดทีมีอานุภาพร้ายแรงเพื่อรุกรานประเทศไทย เขาทั้ง 5 มาในนามของหน่ายกล้าตาย แห่งกองทัพบกไทยเพื่อหาหนทางทำลายแผนการอุบาทของเหล่าร้ายเสีย จ่าดับจึงเข้าใจเรื่องราวได้ตลอดว่า การที่เสือโทน กับพวกมารุกรานบ้านชนแดนและสัญญาไม่ล้ำถิ่นก็เพื่อ ไม่ต้องการให้คนแปลกหน้าเข้าไปรู้ความลับเรื่องจรวดซึ่งตั้งซ่อนอยู่ในป่านั้นเอง ขณะนั้นคนทั้งหมดได้พบกับชะเอมกับชะอม และได้เห็นเด่นเป็นบ้า รกตามอ้อยเข้าไปในถิ่นเหล่าร้าย ทุกคนเกรงว่า เด่นจะเข้าไปอาละวาดทำให้เรื่องแตก จ่าดับและเพื่อนจึงตามเด่นเข้าไปในหุบเขา ทิ้งให้เดี่ยว ชะเอม ชะอม อยู่ในสายตาของ พันตรีไกวัล เดี่ยวพบสายโทรศัพท์จึงตามสายโทรศัพท์ขึ้นไป จนกระทั่งพบโรงจรวดของผู้คิดร้าย ซึ่งสร้างเป็นโรงไม้ไผ่มุงแฝกครอบคลุมพรางตาไว้กลางป่า พันตรีไกวัลต้องการจะบอกข่าวนี้กับเพื่อนคอมมานโด จึงทิ้งเดี่ยวไว้กับชะเอมและชะอม ตัวเองเล็ดลอดเข้าไปในหุบเขาถิ่นโจรของเสือโทน เสือทอม เสื่อทิม และเสือทัพ ตั้งอยู่โพรงถ้ำอันกว้างขวางของเขาทะยาน ภายในห้องลับด้วยวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยเครื่องยนตร์กลไกและไฟฟ้า พวกทรยศต่อชาติทั้ง 4 เสือ ได้กำลังสมทบจากดาวร้าย มือปืน 12 ดาว ซึ่งได้จ้างมา ในจำนวนนี้มีมือปืนคนสำคัญอยู่คนหนึ่งคือหมัด เชิงมวย มันอ้างว่ามันคือน้องชายของเจ้าเหมาะ เชิงมวยที่สิ้นชื่อไปแล้วแต่ครั้งต่อสู้ที่หาดใหญ่ หมัด เชิงมวยมาสมัครเป็นมือปืนรับจ้างของเหล่าร้ายครั้งนี้ ก็เพื่อต้องการจะมาล่าชีวิตของจ่าดับ จำเปาะซึ่งมันเข้าใจว่าครั้งนั้น จ่าดับทอดทิ้งให้เจ้าเหมาะพี่ของมันตาย แต่แทนที่เจ้าหมัดจะได้ล่าชีวิตจ่าดับ จ่าดับกลับเป็นผู้ช่วยชีวิตเจ้าหมัดไว้ จากการลอบสังหารของพวกเสือไทย เพราะเจ้าหมัดแอบไปรู้ความลับว่า พวกนี้ขายชาติ เจ้าหมัดชอกช้ำใจมากที่ตนต้องตกเป็นทาสบุญคุณของจ่าดับ แค้นของมันกลายเป็นหมัน มันเลยหาโอกาสช่วยชีวิตจ่าดับ จำเปาะ และเพื่อนคอมมานโดไว้ให้ได้เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณในช่วงนาทีวิกฤต พันตรีไกวัลรีบมาบอกพรรคพวกว่าตนพบจรวดแล้ว เขาต้องการจะเล็ดลอดเข้าไปในกองบัญชาการของเหล่าร้ายเพื่อทราบกำหนด วัน เวลา ปล่อยจรวด ซึ่งคาดหมายว่าอยู่ในอุโมงค์ ถ้าของเขาทะยานนั้น ส่วนจ่าดับเป็นห่วงชะเอมและชะอม ทั้งไม่ไว้ใจในความบริสุทธิ์ของเจ้าเดี่ยว เขากับเพื่อนจึงรีบรุดไปยังโรงจรวด พันตรีไกวัลหาทางลงไปในถ้ำเขาทะยาน เป็นเวลาเดียวกันกับที่อ้อยกำลังถูก 4 เสือร้ายยื้อแย่งกันอุตลุด พันตรีไกวัลลงไปในห้องพักของรุ่งทิวา (วิไลวรรณ วัฒนพานิช) ซึ่งเป็นลูกสาวสุดที่รักของอ้ายเสือโทน เขาช่วยรุ่งทิวาให้รอดพ้นจากการลวนลามของสมุนโจรคนหนึ่ง แต่ใช่ว่าเขาจะมีความเอื้ออารีต่อลูกเสือร้ายก็หาไม่ด้วยเลือดรักชาติมันร้อนระอุ เขาเดือดแค้นทุกสายเลือดของเสือโทน ซึ่งประพฤติตนเป็นคนขายชาติ ถึงกระนั้นพันตรีไกวัลก็หาทำร้ายรุ่งทิวาได้ไม่ ความเดือดแค้นอันเนื่องมาแต่ความรักชาติดับลง เมื่อได้ประจักษ์ว่าแท้จริง รุ่งทิวาเป็นคนตาบอด เธอเป็นเพชรท่ามกลางโคลนตม เป็นลูกที่ดีของพ่อชั่วอย่างเสือโทน เป็นน้องที่ดีของเสือร้ายอย่างทิมและทอม รุ่งทิวาปรารถนาจะได้เห็นฟ้าเมืองไทย เช่นเดียวเดียวกับที่พันตรีไกวัลรักฟ้าเมืองไทย เธอปรารถนาจะได้เห็นธงไทยปลิวสะบัดอยู่เหนือดินแดนนั้น ไม่ใช่ธงของผู้ทรยศหรือผู้คิดร้าย หล่อนมอบธงไทยให้พันตรีไกวัล ธงผืนที่สร้างขึ้นในความฝันของเธอ มันมีเพียงสีขาวและน้ำเงินเธอขอให้ไกวัลเติมสีแดงให้ และขอให้เขาช่วยให้ธงนั้นปลิวสะบัดอยู่เหนือดินแดนนั้นอย่างที่เธอปรารถนา การลอบเข้ามาของพันตรีไกวัล ไม่พ้นการลอบรู้ของเหล่าร้าย เสือโทน ร้องสั่งให้ลูกสาวของตนกดปุ่มระหัสหนี ออกจากประตูกลไปเสียจากห้องนั้น ตนเองจะให้ปืนทันสมัยที่ทรงอานุภาพทำลายห้องที่พันตรีไกวัลแอบไปหลบอยู่นั้นเสีย แต่ระหว่างพ่อ ผู้ทรยศต่อชาติกับนักรบผู้รักชาติ รุ่งทิวาเลือกเอาบุคคลหลัง โดยยอมเสียสละชีวิตของตนเอง ปล่อยพันตรีไกวัลหลบหนีไปทางประตูกล ตนเองต้องตกเป็นเหยื่อกระสุนระเบิดจากปืนทันสมัยซึ่งมีอานุภาพร้ายและผู้บังเกิดเกล้าของเธอเองลั่นประหารโดยสำคัญผิด เมื่อจ่าดับและพวกไปถึงจรวด เจ้านักเลงเดี่ยวคนนั้นได้หลบหนีไปแล้วโดยพันธนาการชะเอมและชะอมไว้ ทุกคนต่างเข้าใจแน่นอนว่า เดี่ยวต้องเป็นจาระบุรุษ แต่สิ่งที่ทุกคนจะทำได้ต่อไปก็คือ แก้ไขเหตุการณ์โดยด่วนก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป พันตรีกฤษณ์ได้ค้นพบทางลงไปใต้ดินจึงพบเค้าว่า ประดาผู้คิดร้ายต่อประเทศไทยใช้ใต้ดินเขาทะยานเป็นกองบัญชาการ ไม่ทันที่ทุกคนจะตั้งตัว ทหารของผู้คิดร้ายก็เข้าจับกุมคนทั้งหมดเว้นชะเอมคนเดียวที่ได้หลบซ่อนตัว ทั้งหมดถูกพันธนาการด้วยลวดขนาดเล็ก ล่ามไว้กับหีบระเบิดเวลา รอเวลาตายตอนย่ำรุ่ง ซึ่งผู้คิดร้ายต่อประเทศไทยจะปล่อยจรวดเข้าทำลายกรุงเทพฯ ขณะนั้นพันตรีไกวัล หนีมาพบเพื่อนๆทุกคนถูกพันธนาการอยู่ แต่ไม่สามารถจะช่วยได้เพราะอยู่คนละห้อง และไม่สามารถจะพังห้องกระจกที่สร้างขึ้นมาพิเศษป้องกันการทำลาย พันตรีไกวัลจึงไม่สามารถเข้าไปช่วยได้ เผอิญชะเอมออกมาจากที่ซ่อน พันตรีไกวัลซึ่งเป็นผู้พันทหารช่างแสง จึงให้ชะเอมเป็นเครื่องมือเขาในการถอดชนวนระเบิด โดยเขาจะเป็นผู้ออกคำสั่งทีละขั้นตอน ชะเอมสามารถถอดระเบิดเวลาได้จากการบอกของพันตรีไกวัล ชะเอมได้ช่วยชีวิตทุกคนได้สำเร็จ ทั้งหมดจึงร่วมกันต่อสู้แหวกวงล้อมของเหล่าร้ายออกไปนอกเขาทะยานได้ จ่าดับ จำเปาะพบกับน้องคนเล็กเจ้าเด่น จำเปาะถูกเหล่าร้ายทำร้ายบาดเจ็บสาหัสอยู่ในซุ้มไม้ เด่นขณะนั้นเลือดกำลังเข้าตา ความที่ถูกข่มเหงทำร้ายอย่างเจ็บปวด ทำให้เลือดของลูกผู้ชายและเลือดรักชาติเกิดขึ้นฉับพลัน เด่นขอธงของรุ่งทิวาที่พันไกวัลนำติดตัวมา ให้เป็นหน้าที่ของเขาที่จะเติมเลือดสีแดงให้ เพื่อให้เป็นธงไตรรงค์ของชาติไทย และขอร้องให้ทุกคนปล่อยเขาไว้เป็นหน้าที่ของเขาอีกที่จะชักธงไตรรงค์ขึ้นเหนือดินแดนนั้น แทนธงของผู้รุกราน พันตรีกฤษณ์ได้วิทยุบอกแก่กองบัญชาการเพื่อนัดหมายเวลา ทำลายจรวดของเหล่าร้ายในเวลาย่ำรุ่ง โดยใช้ทหารม้าและยานเกราะ โดยให้ดูธงไทยที่ชักขึ้นเหนือดินแดนนั้นเป็นสัญญาณโจมตี รุ่งขึ้น ด้วยธงสีขาว น้ำเงิน และสีแดงอันได้แก่เลือดจากกายของตนเองจนชุ่มโชก เจ้าเด่นซึ่งเคยเป็นหนุ่มขลาดได้สำแดงความเป็นวีรบุรุษสมชายชาตรี มันชูธงไว้กับคอ วิ่งทะยานเข้าหาเหล่าร้าย ที่กำลังจะชักธงดำขึ้นสู่เสา การต่อสู้เพื่อชาติอย่างบ้าเลือดของเจ้าเด่นเกิดขึ้นที่โคนเสาธงนั้น พลังรักชาติของมันประทับใจอ้อยที่เคยหยามน้ำใจแก่มัน อ้อยทนดูเจ้าเด่น แบะอกรับอาวุธของข้าศึกอยู่ไม่ได้ อ้อยที่ทุกคนกล่าวว่าเป็นนังผู้หญิงที่รักความหรูหราฟุ้มเฟ้อ ก็สละชีวิตตนเองเข้าปะทะเหล่าร้ายร่วมด้วยเจ้าเด่น เจ้าเด่นชักธงไตรรงค์ได้ครึ่งเสาก็ถูกยิงด้วยกระสุนปืนกล นางอ้อยโดดเข้าคว้าเชือกธงแทน เมื่อมันเองถูกกระสุน ตัวมันล้มฟาดกลิ้งลง มันดึงเชือกนั้นพาธงไตรรงค์คู่ฟ้าขึ้นสะบัดอยู่ยอดเสา และธงนั้นไม่มีโอกาสที่จะลดลงอีก หรือยอมให้ธงอื่นชักขึ้นแทนเลย เพราะทั้งอ้ายเด่นและนางอ้อยมันร่วมใจกันเอาเชือกธงที่เหลือนั้นมัดติดตัวมันทั้งสองพันรอบเสาธงอย่างแนบแน่น มันขาดใจด้วยกันที่เสาธงนั้น มัดอยู่ด้วยกันเหมือนคนเดียวกัน ใจเดียวกัน ก่อนขาดใจ อ้ายเด่นยิ้มทั้งน้ำตา ในทันใดที่ธงไทยปลิวสะบัด นักรบผู้รักชาติไทยทั้งทหารม้า ยานเกราะ และหน่วยกล้าตายก็เข้าจู่โจมทำลายจรวด ผู้ที่มาเหนือเมฆอย่างที่ไม่มีใครในบ้านชนแดนคาดฝันก็คือ พันตำรวจตรีเดี่ยว จำเปาะ ผู้พันพลร่มกล้าตาย ค่ายนเรศวร ซึ่งได้พาบรรดาพลร่มลูก “เสือดำ” ทั้งผองถลาลงมาจากอากาศเข้าต่อสู้ข้าศึกอย่างทรหดดุเดือด และแม้จรวดจะถูกทำลายแล้วก็ตาม แต่งานของทหารเสือหาได้ยุติลงไม่ เขาได้เผชิญหน้ากับดาวร้ายมือปืน 12 ดาวที่ทรยศต่อประเทศชาติ เพื่อสั่งสอนและกำจัดมิให้คนไทยคนใดทรยศต่อประเทศชาติ จ่าดับ จำเปาะ หมัด เชิงมวยผู้กลับใจเพราะรู้ซึ้งในน้ำใจจ่าดับ ตังกวย แซ่ลี้ สิบโทอัคคี เมฆยันต์ พันตรีไกวัล วิทยา สิบโทกล้า ตะลุมพุก พันตรีกฤษณ์ แก้วณรงค์ และพันตรีเดี่ยว จำเปาะ ทั้งหมดพกปืนกันคนละกระบอก เข้าเผชิญหน้ากับ 12 มือปืนนั้นอย่างแลกชีวิต ทั้งหมัด ทั้งมวย ทั้งยิงกันแบบแลกชีวิต จนสามารถหมอบ 12 มือปืนลงไปอย่างลาบคาบ พันตรีเดี่ยว จำเปาะได้อยู่กินกับชะเอม และพี่น้องก็เข้าใจกันในอ้อมกอดของจ่าดับ จำเปาะและเดี่ยว จำเปาะ จ่าดับได้เพื่อนใหม่ที่ขอติดตามจ่าดับไปในทุกหนแห่งแทนพี่ชายเขา นั้นคือหมัด เชิงมวย
หนึ่งต่อเจ็ด (2501)
หนึ่งต่อเจ็ด (2501/1958) หนึ่งต่อเจ็ด เป็นภาพยนตร์สี 16 มม.ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2501 เป็นผลงานการกำกับของ ส.อาสนจินดา เป็นภาพยนตร์ตอนแรกในภาพยนตร์ชุด หนึ่งต่อเจ็ด ภาพยนตร์ภาคต่อของไทยที่ได้รับการสร้างอย่างต่อเนื่องมากที่สุดในอดีต โดยเป็นเรื่องราววีรกรรมการกอบกู้ชาติไทย เชือกกล้วย กางเกงแดง กลายเป็นเอกลักษณ์ของจ่าดับ จำเปาะ ที่รับบทโดย ส.อาสนจินดา ซึ่งเป็นตัวละครหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้
พล นิกร กิมหงวน ตอน เวทีถล่มและพิชิตเมีย (2501)
พล นิกร กิมหงวน ตอน เวทีถล่มและพิชิตเมีย (2501/1958) พล นิกร กิมหงวน ตอน เวทีถล่มและพิชิตเมีย เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2501 สร้างจากนิยายชุดเรื่องดังของ ป.อินทรปาลิต สร้างโดย โยคีสถาน สี่พระยา แผนกภาพยนตร์ โดยมี วิรัช พึ่งสุนทร สร้างบทและกำกับการแสดง
โรงแรมนรก (2500)
โรงแรมนรก (2500/1957) โรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่งในต่างจังหวัดที่ชื่อว่า โรงแรมสวรรค์ ที่มีลุงและหลานสองคนดูแลกิจการร่วมกัน ฝ่ายหลานชายนั้นนักแสวงโชคที่หวังจะหาเงินเล็กๆน้อยๆเข้ากระเป๋าจากการรับพนันงัดข้อกับ น้อย (ประจวบ ฤกษ์ยามดี) หลานชายคนดูแลกิจการโรงแรมที่อ้างว่าเป็นนักเลงงัดข้อแชมเปี้ยนโลก นอกจากเป็นบริกรของโรงแรมแล้ว ห้องพักเพียงห้องเดียวของโรงแรมแห่งนี้ถูกจับจอง โดยชายหนุ่มที่ชื่อว่า ชนะ (ชนะ ศรีอุบล) ซึ่งไม่ยอมเปิดเผยว่า เขาเลือกแวะพัก ณ โรงแรมแห่งนี้ด้วยจุดประสงค์อันใด โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ เจ้าของห้องพักเพียงห้องเดียวในโรงแรมผู้ที่ไม่ยอมเปิดเผยวัตถุประสงค์ของการมาเยือนโรงแรมแห่งนี้ ซึ่งมีพฤติกรรมแปลกๆของแขกมากหน้าหลายตา ที่มาเยือน แต่อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ เขาไม่ค่อยพอใจกับสภาพอันวุ่นวายโกลาหลภายในโรงแรม ซึ่งมีคนพลุกพล่านและส่งเสียงอึกทึกครึกโครมตลอดเวลา ส่วนหนึ่งเป็นพวกนักดนตรีที่มาขออาศัยห้องโถงของโรงแรมฝึกซ้อมเพลง, ศาสตราจารย์สมพงษ์ (สมพงษ์ พงษ์มิตร) พูดถึงวงการศิลปินเมืองไทยในเชิงเหยียดหยาม แต่ตัวเขากลับเบี้ยวไม่ยอมจ่ายค่าเหล้าที่ติดค้างโรงแรมเป็นเวลานาน ก็ดูเหมือนจะเป็นการเหน็บแนมบรรดาคนหัวสูงที่เห็นของนอกดีกว่าของไทย หรือในช่วงถัดมา โรงแรมสวรรค์ของน้อยก็ได้ต้อนรับชายหญิงคู่หนึ่งที่ล่ามโซ่ตัวเองไว้ที่ข้อมือ ฝ่ายหญิงบอกว่าเธอชื่อ ยุพดี (ชูศรี มีสมมนต์) เพิ่งแต่งงานกับสามีที่ชื่อ หม่องส่าง และสาเหตุที่ต้องล่ามโซ่ ก็เพราะพ่อของฝ่ายชายกลัวเธอจะหนีไปมีชู้ เรียม (ศรินทิพย์ ศิริวรรณ) สาวลึกลับที่บอกว่ามี อายุ 65 ปี มีลูก 12 คน อาชีพค้าฝิ่นเถือน เป็นม่าย ผู้ที่แสดงตัวว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับชนะอย่างโจ่งแจ้งแต่ต้องกลับกลายมาเป็นคู่รักกันในยามคับขัน เมื่อชนะไม่ยินยอมให้ตัวเองตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ และอาศัยความเหนือกว่าด้านพละกำลังบังคับให้ฝ่ายหลังต้องใช้เก้าอี้ยาวในห้องโถงเป็นเตียงนอน คนหนึ่งเถรตรงและแข็งกระด้าง ส่วนอีกคนเอาแต่ใจ และชอบอาศัยความเป็นผู้หญิงหว่านล้อมเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ หรือยั่วโทสะให้อีกฝ่ายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ความขัดแย้งของคนทั้งสองก็เป็นแค่เรื่องพ่อแง่แม่งอน ภายหลังการมาถึงของแขกไม่ได้รับเชิญสามคน คือ เสือสิทธิ์ (สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์) ซึ่งเป็นหัวโจก สมุนคนรอง ชื่อว่า ไกร (ไกร ภูตโยธิน) และคนสุดท้าย เชียร (วิเชียร ภู่โชติ) ทั้งสามล่วงรู้ว่า ชนะ เป็นสมุห์บัญชีของบริษัทปรีดาไทย เขาแวะพัก ณ โรงแรมแห่งนี้เพื่อรอรับเงิน 6 แสนบาทที่จะนำไปแจกจ่ายให้คนงาน แต่ไม่มีใครอาจรู้ได้ว่า เงินจำนวนมหาศาลนั้นจะมาถึงตอนไหน และใครเป็นคุมมา เงื่อนไขที่ทำให้เรื่องยิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้นไปอีกก็คือ เสือสิทธิ์กับพวกไม่ใช่กลุ่มเดียวที่หวังจะเป็นเศรษฐีชั่วข้ามคืน แต่ยังมี เสือดิน (ทัต เอกทัต) จอมโจรที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมทารุณอีกคนที่ต้องการได้ครอบครองเงินก้อนเดียวกัน และปริศนาทั้งหมดถูกคลี่คลายโดยตำรวจที่มาเยือนในท้ายเรื่อง
กะล่อนทอง (2500)
กะล่อนทอง (2500/1957) กะล่อนทอง เป็นภาพยนตร์สี 16 มม.ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2500 ให้เสียงพากย์สด
บัวขาว (2500)
บัวขาว (2500/1957) รัตนาภรณ์-สมควร ข้อความบนใบปิด กมลศิลป์ภาพยนตร์ นำเสนอ ยอดแห่งภาพยนตร์... สนุกดูกันให้สำราญ ต้องดู... รัตนาภรณ์ อินทรกำแหง สมควร กระจ่างศาสตร์ ใน บัวขาว จากบทประพันธ์ของ กุลปราณี รุจิรา-มารศรี และจิตรา ร่วมพากย์ เรื่องของเด็กสาวแสนซน ผู้กำความรักของเจ้าหนุ่มไว้ในอุ้งมือ... ดู...ความรักพิลึกของเจ้าชายหนุ่ม ผู้มีความเปิ่นประจำตัว รักโลดโผนที่เหนือกว่ารักใดๆ... เสถึยร ธรรมเจริญ จุฑารัตน์ จินรัตน์ บุญส่ง เคหะทัต, สมพงษ์ พงษ์มิตร รังสี ทัศนพยัคฆ์ กำกับการแสดง ธีระ แอคะรัตน์ ถ่ายภาพ (ที่มา :Thai Movie Posters)
หนีเมีย (2499)
หนีเมีย (2499/1956) คุณพูนทรัพย์ หม้ายสาวฐานะดี ต้องมาแต่งงานกับคนไม่ได้เรื่อง เรียนไม่จบ แถมยังสำมะเลเทเมา เพียงเพราะเกรงใจพี่ชายของสามีในอนาคต ซึ่งรู้จักมักคุ้นกันมาเป็นเวลานาน หลังจากแต่งงาน คุณพูนทรัพย์หาทางดัดนิสัยสามีโดยให้ไปทำงานเป็นเสมียนซึ่งทำให้เขาไม่ค่อยมีความสุขนัก เพราะไม่ได้ไปเที่ยวเตร่เหมือนแต่ก่อน ในบ้านของคุณพูนทรัพย์มีคนรับใช้อยู่หลายคนหนึ่งในนั้นเป็นสาวใช้รูปงามชื่อว่า ทับทิม สามีของคุณพูนทรัพย์พึงพอใจในตัวทับทิมมาก อยากจะได้มาเชยชมทับทิมเองก็แอบหว่านเสน่ห์ให้เจ้านายเพราะหวังจะรวยทางลัด เขาย่องเข้าห้องทับทิมหลายครั้ง จนวันหนึ่งทับทิมเกิดหายไปจากบ้าน ทิ้งไว้แต่จดหมายซึ่งมีใจความว่า การที่เธอต้องตกเป็นเมียเก็บคุณผู้ชายเจ้าของบ้านนั้นยังพอทน แต่คืนหนึ่งๆมีคนย่องเข้าห้องตั้งหลายคนทั้งคนสวน คนขับรถ ทำให้เธอสุดจะทน ขอลาไปตายเอาดาบหน้าซะยังดีกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้คุณพูนทรัพย์โกรธมากไม่ยอมพูดจากับสามี เขาจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพราะไม่กล้าสู้หน้าเมีย สุนัขตัวโปรดของคุณพูนทรัพย์วิ่งตามเขาออกมา แม้จะไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมกลับเข้าไปในบ้าน ในที่สุดเขาจึงจำต้องยอมพามันไปด้วยกัน ระหว่างที่อาศัยอยู่ที่บ้านเพื่อนสนิท สามีของคุณพูนทรัพย์เริ่มรู้สึกสำนึกถึงความเหลวแหลกของตนเอง และระลึกได้ว่าคุณพูนทรัพย์นี่เองที่เป็นคนทำให้เขาเริ่มรู้สึกเป็นคนมีค่าขึ้นมาบ้าง 3 วันผ่านไป คุณพูนทรัพย์ก็มาปรากฏตัวที่บ้านเพื่อนสนิทของสามี เพื่อรับสุนัขกลับบ้านโดยไม่ชายตาแลสามีแม้แต่น้อย เขาพยายามง้องอนคุณพูนทรัพย์อย่างสุดกำลัง จนในที่สุดคุณพูนทรัพย์ก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ หลังจากนั้น เขาก็ขยันขันแข็งเอาการเอาเงิน ไม่ยอมกลับไปเป็นคนไม่ได้เรื่องเหมือนเดิมอีกต่อไป
รักคุณเข้าแล้ว (2499)
รักคุณเข้าแล้ว (2499/1956) โทรเลขฉบับหนึ่งทำให้ วิเชียร มานะดีถูก ปราณีต เมียรักเพ็งเล็งอีกครั้ง เพราะเคยเป็นคนเจ้าชู้มาก่อน แต่แท้จริงแล้วผู้ที่ส่งโทรเลขมาคือ วัชรี มานะดี หลานสาวซึ่งกำลังจะมากรุงเทพ เมื่อถึงวันที่ 12 วิเชียรไปรับวัชรีที่สถานีรถไฟตามนัดหมาย แต่ก็หาได้เล็ดลอดสายตาของปราณีตไม่ เพราะนางได้แอบสะกดรอยตามผัวอย่างไม่คลาดสายตา วิเชียรไหวตัวทันถีบสามล้อหนีการจับกุมของผู้ที่เป็นเมีย อะไรๆ ก็ดูท่าจะไม่ราบรื่นไปซะหมด เมื่อวิเชียรพาวัชรีมายังหอพักที่ตนแอบเล็งไว้ ผู้ดูแลซึ่งหูหนวกและเจ้าระเบียบก็ดันเข้าใจผิดคิดว่านายวิเชียรเป็นพวกมารสังคม กว่าจะอธิบายจนเข้าใจก็เล่นเอาเหนื่อยหอบพอหาหอพักให้หลานสาวได้สำเร็จกลับเจอปราณีตยืนจังก้าอยู่หน้าหอ วิเชียรจึงหาทางออกด้วยการแกล้งเป็นลม ค่ำวันนั้น วัชรีต้องใจหายใจคว่ำเพราะเสียงโหวกเหวกของขี้เมาข้างห้อง ทราบชื่อว่าคือ สมศักดิ์ หนุ่มนักหนังสือพิมพ์ของสารเสรี ซึ่งกำลังดีอกดีใจที่ กานดาธิดาสาวของเจ้าคุณโหราธิบดีจะแต่งงานด้วย แต่แล้ววันต่อมา นายสมศักดิ์ก็ส่งเสียงดังโวยวายอีกในเวลาเดิม แต่คราวนี้เป็นเพราะถูกกานดายกเลิกการแต่งงาน จนแล้วจนรอด วัชรีก็ไม่เคยพบหน้าเจ้าขี้เมาข้างห้อง เพราะเวลางานที่แตกต่างกัน กระทั่งวันหนึ่ง วัชรีได้พบสมศักดิ์ที่ป้ายรถเมล์ในยามเช้า ชายหนุ่มตกหลุมรักวัชรีตั้งแต่แรกเห็น และพยายามหาทางทำความรู้จักแต่ก็ต้องคลาดกันทุกที ทนง หัวหน้าโรงงานน้ำอัดลมซึ่งวัชรีทำงานอยู่เป็นผู้มีนิสัยเห็นผู้หญิงเป็นของเล่น เล็งวัชรีเป็นเป้าหมายต่อไป แต่วัชรีไม่คล้อยตาม มิหนำซ้ำยังเอาเรื่องไปฟ้องผู้จัดการจนทนงถูกไล่ออก ทนงผูกใจเจ็บ จ้างนักเลงมาดักทำร้ายวัชรี แต่สมศักดิ์มาช่วยไว้ทัน วัชรีทราบว่าหนุ่มนักหนังสือพิมพ์ที่ช่วยเธอไว้ก็คือขี้เมาข้างห้อง จึงหาโอกาสตอบแทนด้วยการแอบเข้าไปทำความสะอาดห้องให้ หนุ่มสาวข้างห้องเริ่มโคจรมาพบกันด้วยดี ถ้าหากไม่เข้าใจผิดกันเสียก่อน เพราะในขณะนั้น ปราณีตกำลังมาขอคำปรึกษาจาก สมศักดิ์ หลานชาย ส่วนวิเชียรฉวยโอกาสที่เมียไม่อยู่แวะมาเยี่ยมหลานสาว ความโกลาหลจึงเกิดขึ้น
เศรษฐีอนาถา (2499)
เศรษฐีอนาถา (2499/1956) เรื่องราวเกิดขึ้นที่สถานีรถไฟหัวลำโพงวันนี้ นายจอน บางคอแหลม (เจิม ปั้นอำไพ) ก็เมาหัวราน้ำสร้างความอิดหนาระอาใจต่อเพื่อนเจ้าหน้าที่รถไฟเหมือนอย่างทุกวัน แต่วันนี้ เขาโชคดีได้มาเจอกับ ประพนธ์ ธนพิทักษ์ (เสถียร ธรรมเจริญ) หนุ่มมหาเศรษฐีที่เพิ่งอกหักจาก กันทิมา (ระเบียบ อาชนะโยธิน) ช่างตัดเสื้อสาว จึงมานั่งดื่มเหล้าคลายเครียดบนรถไฟและนึกสนุกมอบเงินให้นายจอนสิบล้านบาท หลังจากที่คุยกันถูกคอเรื่องความรวยความจน โดยมีข้อแม้ว่านายจอนจะต้องใช้เงินคืนเขาให้หมดภายในหนึ่งปีก่อนจะแยกจากกัน เรื่องดำเนินไปด้วยความครื้นเครง กระทั่งประพนธ์รู้ว่านายจอนคือพ่อของกันทิมา จึงพยายามหาทางพิชิตใจเธอ แต่ความก็ดันมาแตก กันทิมาน้อยใจคิดว่าประพนธ์วางแผนเพื่อให้ได้ตัวเธอ นายจอนจึงต้องเข้ามาช่วยประสานรอยร้าวให้ทั้งสองเข้าใจกัน ประพนธ์และกันทิมาจึงได้รักกันสมปรารถนา
สามชาติ เรื่อง นางนาคพระโขนงคืนชีพ (2499)
สามชาติ เรื่อง นางนาคพระโขนงคืนชีพ (2499/1956) 3 เรื่อง... 3 รส รวมอยู่ในภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน นางนาคพระโขนงคืนชีพ หวาดเสียว ตื่นเต้น สนุกสนานด้วยอภินิหารแบบใหม่ ระบำผี นาฏศิลปแบบใหม่ ของ... ดินแดนอาทิตย์อุทัย เทพธิดาดำ นิยายชีวิต รัก เศร้า เสทือนใจของเด็กสาวในมุมมืดแห่งนครปารีส (ที่มา: นิตยสารผดุงศิลป์ กรกฎาคม พ.ศ. 2499)
สามเกลอหักด่าน (2499)
สามเกลอหักด่าน (2499/1956) เรื่องราวความโกลาหลของ สมพงษ์ คนกวาดถนนที่ถึงคราวต้องไปรับใช้ชาติ สมพงษ์สังกัดอยู่ในกรมกองเดียวกับ ล้อต๊อก และ หมู่จุมพล อริเก่า และเพิ่งจะรู้ว่า ซูหยิน หญิงสาวที่เขาหลงรักเป็นน้องสาวของล้อต๊อก ส่วน สารภี คนรักของล้อต๊อกก็บังเอิญเป็นน้องสาวของสมพงษ์ ทั้งสามเกลอจึงลืมเรื่องบาดหมางในอดีตและปรองดองกัน ขณะนั้น ศัตรูประกาศรุกรานประเทศไทยทหารสามเกลอถูกส่งตัวไปทำหน้าที่พลลาดตระเวนสอดแนมข้าศึก ภายใต้ความรับผิดชอบของ ร.ต.อธึกระหว่างนั้น พลประสาน ปัทมเวณูได้หายตัวไป ทุกคนจึงออกตามหา สามเกลอซึ่งกำลังลอบเข้าไปค่ายข้าศึก แอบได้ยินแผนการโจมตีประเทศไทย และได้เห็นพลประสานกำลังถูกข้าศึกทรมานเสียชีวิต สามเกลอใช้ความพยายามขโมยแผนการโจมตีลับได้สำเร็จ ล้อต๊อกกลับไปแจ้งข่าวกับผู้บัญชาการ กองทัพไทยจึงยกทัพเข้าโจมตีจนเกิดการรบขึ้น ล้อต๊อกตรึงกำลังอยู่และได้เห็นว่าข้าศึกมีกำลังเยอะกว่า จึงยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อมายับยั้งการบุกโจมตีของกองทัพไทย เมื่อรวบรวมกำลังคนได้เท่าเทียมกับข้าศึก กองทัพไทยจึงเข้าต่อสู้อีกครั้ง พลทหารสมพงษ์ได้เสียสละชีวิตกระโดดเข้ารับลูกระเบิดเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเป็นอันตราย ประเทศไทยจึงรอดพ้นจากการรุกรานของข้าศึกมาได้
Placeholder
เหยื่อกามเทพ (2498)
เหยื่อกามเทพ (2498/1955) พวงเพ็ญ ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของ นายเพียน คหบดีผู้มั่งคั่งซึ่งกำลังลงสมัครผู้แทนราษฎร ถูกพ่อซึ่งเป็นคนหัวโบราณนำไปกักตัวไว้ในที่ห่างไกลผู้คน เพราะห่วงว่าลูกสาวจะตกเป็นทาสสังคมสมัยใหม่ แต่เมื่อถึงวัยกำลังอยากรู้อยากเห็น พวงเพ็ญจึงคบคิดกับพี่เลี้ยงปลอมตัวไปคลุกคลีกับชาวไร่ จนพบรักกับหนุ่มชาวไร่ซึ่งเข้าใจว่าพวงเพ็ญเป็นสาวใช้ และตกลงปลงใจปลูกเรือนอยู่ด้วยกันฉันท์สามีภรรยา นายเพียนได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนราษฎร โดยความช่วยเหลือเป็นอย่างดีของเพื่อนเก่า จึงคิดตอบแทนบุญคุณเพื่อนด้วยการประกาศยกลูกสาวกลางงานเลี้ยงหนุ่มชาวไร่ซึ่งบังเอิญเข้ามาในงานเลี้ยงได้ยินเข้า คิดว่าพวงเพ็ญเห็นชาวไร่เป็นของเล่น มิหนำซ้ำคนในงานยังดูถูกเหยียดหยาม หนุ่มชาวไร่จึงประจานพวงเพ็ญด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาทหนุ่มชาวไร่เอาชนะลูกผู้ดีได้ แล้วจากไปอย่างไม่แยแส พวงเพ็ญซึ่งไม่อยากแต่งงานกับคนแก่คราวพ่อ จึงประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่าหนุ่มชาวไร่เป็นสามีของตน นายเพียนจึงใจอ่อนยกพวงเพ็ญให้หนุ่มชาวไร่ในที่สุด