ตลก
บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 2 (2550/2007) เรื่องราวต้นกำเนิดของวงศ์คมก่อนที่จะมาเป็นบอดี้การ์ดให้กับท่านโชติและชายชล ในขณะที่เป็นตำรวจพิเศษของรัฐบาลสาธารณรัฐหนองหวายหลึม เขาได้รับคำสั่งให้แทรกซึมเข้าไปยังบริษัท "GRSM GRAMMA" บริษัทค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ที่มี "เฮียสุรชัย" และ "สุชิน" เป็นเจ้าของ แต่เบื้องหลังแล้วทั้งสองคือพ่อค้าอาวุธเถื่อนรายใหญ่ คำเหลาได้แทรกซึมโดยการเข้าไปเป็นนักร้องในบริษัท โดยใช้ชื่อในวงการว่า "มัมมี่ เหลา" และที่นี่เขาได้พบกับ "พอลล่า" เลขาสาวสวยของเฮียสุรชัยและ สุชิน ซึ่งแท้จริงแล้วเธอคือ CIA ปลอมตัวมา ซึ่งทั้งคู่จะต้องร่วมมือกันหยุดยั้งเฮียสุรชัยและสุชินให้ได้ คำเหลา (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) เจ้าหน้าที่ มือดีอันดับต้น ๆ แต่ชอบทำเรื่องซวยให้เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่หนักใจ ของหน่วยสืบสวนพิเศษสำนักงานสืบสวนเฉพาะกิจแห่งสาธารณรัฐชาติเวียง ได้ถูกส่งตัวไปยังประเทศไทยหลังจากที่ทางหน่วยงานได้ข้อมูลลับมาว่า มีผู้ก่อการร้ายรายใหญ่ สุชิน (สุชิน ควรสงวน) และสุรชัย (สุรชัย สมบัติเจริญ) ที่มุ่งทำลายสาธารณรัฐชาติเวียงแฝงตัวอยู่ในประเทศไทย โดยได้เปิดธุรกิจค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ภายใต้แบรนด์ GRSM GRAMMA บังหน้า ทางหน่วย(รัฐเวียง)จึงได้ส่งคำเหลา เข้าไปปฏิบัติการต่อต้านผู้ไม่ประสงค์ดีรายนี้ คำเหลาเลยจำเป็นต้องงัดกลยุทธทั้งหมดโกหก เขียว (เจเน็ต เขียว) ภรรยาของตัวเองว่าต้องไปทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯ โดยที่ไม่เคยปริปากบอกแม้แต่นิดเดียวว่าตัวเองทำงานมีเกียรติขนาดไหน เขียวได้แต่สงสัย คำเหลาแฝงตัวเข้าไปเป็นนักร้องในบริษัทค่ายเทป GRSM ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ระดับประเทศที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายตั้งขึ้นเพื่อใช้บังหน้า โดยคำเหลามาสมัครเป็นนักร้องโดยใช้ชื่อว่า มัมมี่ เหลา จนกลายเป็นที่โด่งดังระดับซุปเปอร์สตาร์ขวัญใจประเทศเพียงชั่วข้ามคืน จนสามารถทำยอดทะลุเป้าไปได้มากกว่า 100 ล้านแผ่น และในขณะที่มัมมี่เหลาโด่งดังขึ้นก็ได้พบกับ พอลล่า (แจ็คเกอลิน อภิธนานนท์) นักสืบสาวจากหน่วยงานต่างประเทศที่แฝงตัวเข้ามาเป็นเลขาของ สุชิน และ เฮียสุรชัย ซึ่งเข้ามาปฏิบัติการอยู่ก่อนแล้วโดยที่คำเหลาไม่รู้ตัวมาก่อน คำเหลาและพอลล่า ทั้งสองคนต้องร่วมมือกันเพื่อจัดการกับผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ให้ได้ก่อนที่จะเกิดการปฏิบัติการระเบิดถล่มเมืองขึ้น ภาระกิจเพื่อประเทศและแฟนเพลงจึงเต็มไปด้วยความโกลาหล ปฎิบัติการสาดกระสุนกระหน่ำ สาดมุขกระจายของคำเหลากำลังจะเริ่มต้นขึ้น!
เรื่องย่อ : ฅนไฟบิน (2549/2006) ปี พ.ศ. 2398 เป็นต้นมาได้เกิดอาชีพ “นายฮ้อย” ขึ้นมา เพราะประเทศต้องการทำนาเพื่อนำข้าวส่งออกต่างประเทศ เหล่ากลุ่มนายฮ้อยเหล่านี้ต้อนควายเพื่อมาขายยังกรุงเทพฯ นายฮ้อยบางกลุ่มก็เป็นโจรแฝงมาเพื่อปล้นควายและฆ่าชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนโดยทางการมิได้เข้าช่วยเหลือแต่อย่างใด หนำซ้ำ “พระยาแหว่ง” (ลีโอ พุฒ-พุฒิพงศ์ ศรีวัฒน์) ยังต้องการให้ฆ่าควายให้หมดอีกด้วยเพื่อจะได้ขายรถไถฝรั่งให้กับประชาชนใช้แทนควาย กลุ่มนายฮ้อยโจรเหล่านี้ต้องเผชิญกับ “โจรบั้งไฟ“ (ชูพงษ์ ช่างปรุง) ผู้ออกปล้นด้วยเหตุผล 2 ประการคือ ช่วยเหลือชาวบ้านผู้ทุกข์ยาก และที่สำคัญหาคนที่ฆ่าพ่อแม่ของตน จนกระทั่งเจอกับ “นายฮ้อยสิงห์” (สามารถ พยัคฆ์อรุณ) และเชื่อมั่นว่าเป็นคนฆ่าพ่อแม่ของตนจริงๆ ในขณะที่พระยาแหว่งจ้างโจรปล้นฆ่านายฮ้อยได้หมด แต่กลับไม่สามารถฆ่านายฮ้อยสิงห์คนที่ไม่เคยแพ้ใครได้ พระยาแหว่งจึงวางแผนหลอกใช้โจรบั้งไฟและ “ปอบดำ” (พันนา ฤทธิไกร) ผู้ลึกลับและมีความแค้นอยู่กับนายฮ้อยสิงห์มานาน จึงตกลงใจช่วยเหลือโดยทันที ทั้งพระยาแหว่งและโจรบั้งไฟต่างก็หลงรัก “อีสาว” (กัญญาภัค สุวรรกูฏ) ลูกสาวคนเดียวของปอบดำ แต่ปอบดำก็ไม่ยอมให้ใครได้อีสาวไปครอง… “นายฮ้อยสิงห์” ยังไม่รู้ว่าตนเองถูกปองร้าย… ชีวิตของ “อีสาว” ยังมีความลึกลับที่ยังไม่เปิดเผย… “โจรบั้งไฟ” และ “พระยาแหว่ง” ยังไม่รู้ความลับของ “ปอบดำ” แต่ทั้งสามก็ต้องร่วมมือกันเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของแต่ละคน…
เรื่องย่อ : โคตรรักเอ็งเลย (2549/2006) เลิฟสตอรีจี๊ดโดนใจเมื่อ “รงค์” (อุดม แต้พานิช) นักเขียนบทตลกกำลังตกที่นั่งลำบากกับอาถรรพ์ชีวิตคู่ที่ดูเหมือนจะไร้ปัญหา แต่ทว่ามันมีอยู่จริงเพราะ “แดง” (วิสา สารสาส) ภรรยาสุดที่รักดันไปเกิดมีกิ๊กกั๊กปันใจให้กับหมอตรวจภายในที่แสนสุภาพสุดหล่อนามว่า “รักษา” (อัครา อมาตยกุล) อันที่จริงจะโทษแดงฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะว่ารงค์เองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เพราะทั้งคู่แต่งงานกันมานานเรื่องของความกุ๊กกิ๊กโรแมนติกก็เริ่มห่างหายไปตามกาลเวลา ทำให้อะไรในชีวิตมันไม่ฟู่ฟ่ากระชุ่มกระชวยเหมือนเดิม ประกอบกับแดงเองก็มาถูกใจหมอตรวจมะเร็งปากมดลูกเข้าอีก ถึงใจจะหวั่นไหวเธอก็พยายามตัดใจเลี่ยงไปตรวจมะเร็งเต้านมตามคลินิก ก็เจ้ากรรมดันเป็นคลินิกของรักษาเข้าอีก ทำเอาแดงเสียการทรงตัวและหัวใจไปกับความสุภาพของหมอหนุ่ม แล้วแดงจะทนได้อย่างไร ในขณะเดียวกันกับที่รงค์น้อยผู้น่าสงสารต้องหาทางออกโดยพึ่งดร.อ่าง ทำเอาแดงน้อยใจสามี จึงเริ่มสานต่อความสัมพันธ์กับรักษา ดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง รงค์รับรู้ถึงความสัมพันธ์แบบลับๆ ล่อๆ ของเมียเข้าจากไดอารีเล่มแดง อารมณ์ปรี๊ดขึ้น ผัวเมียเคลียร์กันไม่ลง แดงขับรถออกจากบ้านตกเขาทันที เดือดร้อนถึงปอเต็กตึ๊งที่ต้องตามไปเก็บ รงค์ได้แต่เสียใจที่ทำให้เมียต้องจากไปโดยที่ยังไม่ทันได้พูดจากันให้เข้าใจ รงค์อยู่บ้านชักรู้สึกหวั่นๆ ข้าวของในบ้านเริ่มเปลี่ยนที่อยู่บ่อยๆ เขาบอกกับทุกคนว่าเมียของเขากลับมาที่บ้านแน่นอน เพื่อนได้แต่บอกให้ทำใจ แต่คุณพระช่วย แดงมาที่บ้านรงค์จริงๆ มาให้เห็นตัวเป็นๆ เลย เอาล่ะสิ คราวนี้เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร แดงตายหรือไม่ตายกันแน่ ถ้าตายแล้วกลับมาหลอนรงค์เพื่ออะไร หาคำตอบได้ใน “โคตรรักเอ็งเลย” ภาพยนตร์ตลกลากเลือดชวนค้นหาว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านเนิ่นนานไปเพียงไหน ความรักระหว่างคนสองคนจะยังคงมั่นคง ซาบซึ้ง เหมือนกับครั้งแรกเขาที่ตกหลุมรักกันหรือไม่ อาถรรพ์ของชีวิตคู่แก้ไขได้อย่างไร และมันคืออะไรกันแน่ ไม่นานเกินรอได้ดูกันแน่นอน 27 กรกฎาคมนี้ในโรงภาพยนตร์
มอ๘ (2549/2006) เมื่อนักเรียนชายสุดทะโมนกระโจนมาเรียนรวมกับนักเรียนหญิงสุดเรียบร้อย ก่อให้เกิด “โรงเรียนสหศึกษาแห่งแรก” ในเมืองไทย แต่ความรักแบบปั๊ปปี้เลิฟกลับถูกปิดกั้นจาก “ครูสมปัติ” สุดเฮี้ยบ นักเรียนชายหญิงจะหาทางออกของมิตรภาพความรักได้อย่างไร… ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2500 การศึกษาของไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงและมีการจัดตั้ง “โรงเรียนสหศึกษาแห่งแรก” โดยโรงเรียนหญิงที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนนำร่องคือ “โรงเรียนดรุณีศึกษา” โรงเรียนสตรีที่ชนะเลิศรางวัล “โรงเรียนสตรีดีเด่น“ ติดต่อกันมาถึง 25 ปี ส่วนโรงเรียนชายที่ได้รับเลือกคือ “โรงเรียนอักษรศิลป์” โรงเรียนที่ได้ชื่อว่า “เรียนดี กีฬาเด่น“ “ครูบุญรอด” ครูใหญ่โรงเรียนดรุณีศึกษามอบหมายให้ “ครูสมปัติ” ครูสาวจอมเฮี้ยบและ “ครูเกษร” ครูสาวเรียบร้อยแสนหวานสองศิษย์คนโปรดเป็นผู้คัดเลือกและควบคุมนักเรียนหญิง 15 คนที่ดีที่สุดในโรงเรียนทั้งด้านการเรียนและความเป็นกุลสตรีงามทั้งกายงามทั้งมารยาทเพื่อเข้าร่วมโครงการนี้ โดยให้ครูสมปัติไปเป็นครูประจำชั้น ส่วนครูเกษรให้ไปดูแลเรื่องมารยาท ก่อนไปครูบุญรอดอบรมและย้ำเน้นเรื่องความเป็นกุลสตรีและความมีคุณค่าของผู้หญิง อย่าให้เสียชื่อโรงเรียนที่สร้างสมมายาวนาน ครูสมปัติยืนยันหนักแน่นถึงความมั่นใจกับนักเรียนหญิงที่คัดเลือกเอาไว้และเรียกกลุ่มนี้ว่า “ดอกไม้เหล็ก“ ด้วยความแตกต่างกันระหว่างชายหญิงครูสมปัติต้องเจอเรื่องห่ามๆ ซนๆ ของบรรดานักเรียนชายโรงเรียนอักษรศิลป์ ส่วนครูเกษรและนักเรียนสาวทั้ง 15 คนต้องเจอกับการจีบทุกรูปแบบจากเด็กผู้ชายและครูหนุ่มของโรงเรียนอักษรศิลป์เหตุการณ์วุ่นวายแต่น่ารักๆ ภายในโรงเรียนเกิดขึ้นพร้อมความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างนักเรียนหญิงและนักเรียนชายภายใต้กฎระเบียบที่ครูสมปัติวางไว้อย่างเคร่งครัด ทุกอย่างกำลังไปด้วยดีจนกระทั่งนักเรียนชายไปมีเรื่องชกต่อยในงานก่อเจดีย์ทรายโดยครูชายประจำโรงเรียนไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ กระทรวงศึกษาธิการทราบเรื่อง “คุณหญิงกุหลาบ” จึงแต่งตั้งครูสมปัติขึ้นทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายปกครองของโรงเรียนอักษรศิลป์โดยมีกฎข้อแรกคือ ห้ามนักเรียนมีเรื่องชกต่อยและห้ามมีความรักในโรงเรียนเด็ดขาด เพราะครูสมปัติเห็นว่าความรักในวัยเรียนถ้ามีมากไปเราจะควบคุมกันไม่ได้…
เรื่องย่อ : โหน่ง เท่ง นักเลงภูเขาทอง (2549/2006) บางกอก เมื่อ พ.ศ. 2466 ลิเกกำลังเสื่อมความนิยม มหรสพใหม่ที่เรียกกันว่า “ภาพยนตร์” หรือ “หนัง“ กำลังเป็นที่จับตามอง แม้ในแง่กลุ่มคนดูจะไม่ได้แย่งกันอย่างเด่นชัด แต่ในแง่ศักดิ์ศรีของความเป็นมหรสพพื้นบ้านที่สืบสานต่อกันมาจนเป็นมรดกของชาติบัดนี้กลับถูกมหรสพต่างชาติรุกราน เมื่อวิกลิเกต้นไทร ท้ายวัดสระเกศ วิกลิเกที่ยอมรับกันว่ามีคนดูอยู่ในอันดับต้นๆ ของบางกอก เพราะติดใจในเรื่องราวที่ผูกขึ้นมาไม่ซ้ำใคร และลีลาของ “บุญเท่ง” (เท่ง เทิดเถิง) กับ “ลิ้นจี่” (ฝ้าย-อิสรีย์ สงฆ์เจริญ) คู่พระนางสายเลือดแท้ๆ ของ “นายแดง” (อุดม ชวนชื่น) เจ้าของวิก ทำให้วิกลิเกแห่งนี้ยังคงสร้างความสำราญอยู่ได้ จนมีจดหมายจากทางการขอความร่วมมืออำนวยความสะดวกให้กองถ่ายภาพฉายหนังเรื่อง “นางสาวสุวรรณ” กำลังจะมาใช้สถานที่ซึ่งมีต้นไทรและภูเขาทองมองเห็นเป็นเบื้องหลังโดยจำเป็นต้องรื้อวิก บุญเท่งและ “ชาวคณะ” (นุ้ย เชิญยิ้ม, กิ๊บ โคกคูน) ไม่ยอมถึงกับประกาศกร้าวให้ “สยามต้องเลือกว่าถ้ามีนางสาวสุวรรณต้องไม่มีลิเกต้นไทร” แน่นอน สยามเลือก “นางสาวสุวรรณ” การต่อต้านขัดขวางทุกรูปแบบจึงได้เริ่มขึ้น โดยมี “น้อยโหน่ง” (โหน่ง ชะชะช่า) นักเลงคุมถิ่นที่มาติดพันลิ้นจี่น้องสาวบุญเท่งเข้าร่วมด้วย เรื่องราวคงจบลงโดยง่าย ถ้านางเอกที่แสดงเป็นนางสาวสุวรรณ ไม่ใช่คนเดียวคนนั้นที่บุญเท่งเฝ้าฝันถึง เธอชื่อ “นวลจันทร์” (นิกัลยา ดุลยา) บุญเท่งต้องเลือกระหว่างชาวคณะลิเกกับนวลจันทร์ ส่วนน้อยโหน่งยังไงก็เลือกลิ้นจี่อยู่แล้ว แต่ถ้าการขัดขวางนี้ไม่สำเร็จความรักของเขาก็หมดอนาคตด้วย เรื่องราวของความรักบนศักดิ์ศรีแห่งความเป็นศิลปิน บุญเท่งและน้อยโหน่งจำต้องทำตัวเป็นนักเลง เตรียมตัวนับถอยหลังประกาศสร้างความฮาแบบไม่เกรงใจ ปูพรมยืนยันฉาย “โหน่งเท่ง นักเลงภูเขาทอง” พร้อมกันทั่วประเทศ 30 มีนาคม 2549