ฅนไฟบิน

ฅนไฟบิน (2549/2006) ปี พ.ศ. 2398 เป็นต้นมาได้เกิดอาชีพ “นายฮ้อย” ขึ้นมา เพราะประเทศต้องการทำนาเพื่อนำข้าวส่งออกต่างประเทศ เหล่ากลุ่มนายฮ้อยเหล่านี้ต้อนควายเพื่อมาขายยังกรุงเทพฯ นายฮ้อยบางกลุ่มก็เป็นโจรแฝงมาเพื่อปล้นควายและฆ่าชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนโดยทางการมิได้เข้าช่วยเหลือแต่อย่างใด หนำซ้ำ “พระยาแหว่ง” (ลีโอ พุฒ-พุฒิพงศ์ ศรีวัฒน์) ยังต้องการให้ฆ่าควายให้หมดอีกด้วยเพื่อจะได้ขายรถไถฝรั่งให้กับประชาชนใช้แทนควาย กลุ่มนายฮ้อยโจรเหล่านี้ต้องเผชิญกับ “โจรบั้งไฟ“ (ชูพงษ์ ช่างปรุง) ผู้ออกปล้นด้วยเหตุผล 2 ประการคือ ช่วยเหลือชาวบ้านผู้ทุกข์ยาก และที่สำคัญหาคนที่ฆ่าพ่อแม่ของตน จนกระทั่งเจอกับ “นายฮ้อยสิงห์” (สามารถ พยัคฆ์อรุณ) และเชื่อมั่นว่าเป็นคนฆ่าพ่อแม่ของตนจริงๆ ในขณะที่พระยาแหว่งจ้างโจรปล้นฆ่านายฮ้อยได้หมด แต่กลับไม่สามารถฆ่านายฮ้อยสิงห์คนที่ไม่เคยแพ้ใครได้ พระยาแหว่งจึงวางแผนหลอกใช้โจรบั้งไฟและ “ปอบดำ” (พันนา ฤทธิไกร) ผู้ลึกลับและมีความแค้นอยู่กับนายฮ้อยสิงห์มานาน จึงตกลงใจช่วยเหลือโดยทันที ทั้งพระยาแหว่งและโจรบั้งไฟต่างก็หลงรัก “อีสาว” (กัญญาภัค สุวรรกูฏ) ลูกสาวคนเดียวของปอบดำ แต่ปอบดำก็ไม่ยอมให้ใครได้อีสาวไปครอง… “นายฮ้อยสิงห์” ยังไม่รู้ว่าตนเองถูกปองร้าย… ชีวิตของ “อีสาว” ยังมีความลึกลับที่ยังไม่เปิดเผย… “โจรบั้งไฟ” และ “พระยาแหว่ง” ยังไม่รู้ความลับของ “ปอบดำ” แต่ทั้งสามก็ต้องร่วมมือกันเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของแต่ละคน…

เขาชนไก่ (2549/2006) ปู่ทักว่าสุดโหด พ่อแย้งว่าสนุก พี่กลับมาระบม และผมจะเชื่อใครดี หลากหลายเรื่องราวเกี่ยวกับ “เขาชนไก่” ปราการด่านสุดท้ายของเหล่านักศึกษาวิชาทหาร (รด.) ชั้นปีสุดท้าย ที่ถูกเล่าขานบอกต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ที่พวกเขาต้องฟันฝ่าไปให้ได้ และถ้าอยากทดสอบมิตรภาพคำว่า “เพื่อนตาย” คงไม่มีที่ไหนเหมาะเท่ากับ “เขาชนไก่” แห่งนี้ ว่ากันว่าสำหรับวัยรุ่นชายไทยที่มีอายุระหว่าง 15-18 ปี “เขาชนไก่” ไม่ต่างอะไรไปกับ “ฝันร้าย” ที่เหล่า รด.หนุ่มชั้นปีสุดท้ายจะต้องเผชิญหน้า ฟันฝ่า และก้าวผ่านไปให้จงได้ ทันทีที่รอยเท้าแรกถูกย่ำลงผืนดินของ “เขาชนไก่” มุมมอง ความคิด และประสบการณ์ในชีวิตของพวกเขาทุกคนจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าเสี้ยวเวลาแต่ละโมงยามสามารถเปลี่ยนแปลงคนได้ รับรองว่าการใช้ชีวิตกินนอนและฝึกอย่างสุดโหดตลอด 5 วันที่เหล่ารด. หนุ่มต้องเผชิญที่ “เขาชนไก่” จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญมาสู่ชีวิตของพวกเขาทุกคนอย่างแน่นอน และเมื่อย้อนเวลากลับไป เมื่อใดก็ตามที่นึกถึง “เขาชนไก่” หลากหลายร่องรอยแห่งความทรงจำที่เกิดขึ้นกับพวกเขาก็พร้อมที่จะผุดขึ้นอีกครั้ง ประสบการณ์ทั้งสุข และทุกข์ ความเข้มข้น ขมขื่น สนุกสนาน และยากลำบาก และเชื่อเถอะว่า พวกเขาจะได้อะไรไม่น้อยจาก “เขาชนไก่” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก้าวข้ามวัยสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่ดีต่อไป… “สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล” และ “บาแรมยู” พร้อมใจกันแท็กทีมหยิบเอาเรื่องราวความผูกพันแบบลูกผู้ชายที่หลายคนไม่เคยรู้ (แต่ก็อยากรู้โดยเฉพาะสาวๆ) ว่าเด็กผู้ชายวัย 15-18 ปีเขาไปทำอะไรที่ “เขาชนไก่” และตลอดระยะเวลา 5 วันที่นั่นเกิดอะไรขึ้นกับเหล่านักศึกษาวิชาทหาร (รด.) ปีสุดท้าย จากผลงานการกำกับเดี่ยวของ “วิทิต คำสระแก้ว” แห่ง “กั๊กกะกาวน์” (2547) ภายใต้การโปรดิวซ์โดย “ปรัชญา ปิ่นแก้ว, สุกัญญา วงศ์สถาปัตย์ และ นิหน่า-สุฐิตา เรืองรองหริญญา” ในภาพยนตร์ดราม่า-คอเมดี้ที่มีชื่อชวนจำว่า “เขาชนไก่“ สถานที่ที่อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวของมิตรภาพและประสบการณ์แห่งคำว่า “เพื่อนแท้“ พวกเขาพร้อมแล้วที่จะถ่ายทอดเรื่องราวและประสบการณ์ “การก้าวข้ามแห่งวัย“ ที่เหล่ารด. หนุ่มทั้ง 10 คนจะต้องเผชิญหน้าร่วมกัน สำหรับ “หน่อย” (วศิษฎ์ ผ่องโสภา) แล้ว การที่ต้องเติบโตมาในฐานะลูกชายคนเล็กของบ้านที่มีพ่อเป็นผู้ตรวจราชการแผ่นดิน ทำให้ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมา หน่อยต้องเรียนรู้ชีวิตของเด็กผู้ชายที่เติบโตมาโดยแทบจะนับจำนวนเพื่อนได้ อย่าว่าแต่เพื่อนสนิทเลย หลายๆ ครั้งที่ต้องปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ สังคมใหม่ ๆ เพราะนอกจากการที่ต้องย้ายบ้านบ่อยๆ พอๆ กับการย้ายโรงเรียนแล้ว ทำให้เขาเติบโตมากลายเป็นเด็กที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง และกลายเป็นไก่อ่อนในสายตาของเพื่อนๆ เสมอ จนกระทั่งขึ้นชั้น ม.6 หน่อยก็ยังไม่เลิกย้ายบ้านพร้อมๆ กับการย้ายโรงเรียน และที่ “โรงเรียนทรัพย์มณี” ที่สุดท้ายของการใช้ชีวิตวัยหนุ่มของเด็กมัธยมปลายอย่างหน่อยกำลังจะนำมาซึ่งประสบการณ์ชีวิตที่เขาไม่มีวันลืม เพราะนอกจากเพื่อนใหม่ทั้ง 9 คนที่ล้วนแล้วมีบุคลิกเฉพาะตัวแตกต่างกันตามแต่ละสไตล์ไม่ว่าจะเป็น “ปืน” (อาชว์ ไหลสกุล) หนุ่มสำอางขี้หลี, “พอลล่า” (ธนพล วิกิตเศรษฐ) เพื่อนหนุ่มผู้มีหัวใจสาวทั้งหน้าตาและกิริยามารยาท, “เก้ง-ก้าง” (ประสงค์-พงศ์ชัย งามภัทรวรกุล) แฝดนรกคู่ป่วนตัวจริง, “มด” (ทศพล ธนะพาสุข) เพื่อนร่างท้วมอารมณ์ดี คลั่งไคล้การกินเป็นชีวิตจิตใจ, “สมนึก” (วรัญญู วรพัทโรภาส) เพื่อนตี๋ที่เชื่อเรื่องวิญญาณและสิ่งลี้ลับ, “บุญรอด” (ฐิติพงษ์ ติโลกวิชัย) เพื่อนขี้โม้และมั่นใจในความฉลาดของตนจนเกินเหตุ, “อิฐ” (ทวีรัตน์ จุลศิริ) เพื่อนผู้เงียบขรึม ห้าว และเกเรที่สุดในหมู่เพื่อน และ “บ๊อบ” (อภิพล ตรีเทวะวงษา) ผู้ที่ไม่เคยยอมใคร หนำซ้ำยังพยายามวางตัวเป็นผู้นำกลุ่มเพื่อนอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่หน่อยและเพื่อนๆ จะต้องมีชะตากรรมร่วมกันคือสิ่งที่เหล่านักเรียน รด.ปีสุดท้ายทุกคนจะต้องฟันฝ่าไปให้ได้ นั่นคือการฝึกที่ใช้เวลาทั้งหมด 5 วันที่ “เขาชนไก่” สถานที่ฝึกรด. ที่ได้รับการกล่าวขานถึงว่าโหดและหินที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการโดดหอสูง 34 ฟุต ด่านกำแพง 10 ฟุต การฝึกที่หอการยิง การฝึกที่ลานซ้อมเข้าตีที่ว่ากันว่าโหดที่สุด เจ็บที่สุด และร้อนที่สุดด้วยระยะทางการฝึกถึง 1 ก.ม. ฯลฯ ภายใต้การฝึกอันสุดโหดจาก “จ่าไท” (สรพงษ์ ชาตรี) ครูฝึกสุดเหี้ยมประจำกองร้อยผู้ที่เลือกอิฐให้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าหมู่แทนบ๊อบ และที่ “เขาชนไก่” นี่เอง หน่อยได้เห็นอีกหลากหลายแง่มุมในตัวของอิฐที่หลายคนไม่เคยรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลอดระยะการฝึกมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นกับทั้งในกลุ่มเพื่อนด้วยกันเอง เพราะนอกจากทุกคนจะต้องต้องพยายามเอาตัวรอดให้ได้ในสถานการณ์ต่างๆ แล้ว การเผชิญหน้ากับกลุ่มเด็กช่างกล รด.ต่างโรงเรียนตั้งแต่วันแรกของการฝึกที่พยายามรวมหัวกลั่นแกล้งและเล่นงานหน่อยกับพวก และเมื่ออิฐพยายามปกป้องเพื่อนกลับกลายเป็นว่าทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงยิ่งขึ้น จนเป็นชนวนสำคัญนำไปสู่เรื่องราวใหญ่โตเกินกว่าที่ทุกคนจะคาดคิดและรับมือได้ มันคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของ “เขาชนไก่” ที่หน่อยและเพื่อนๆ ของเขาจะต้องเรียนรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่า “มิตรภาพ” และ “เพื่อนตาย” นั่นเอง แต่ไม่ว่าพวกเขาจะประสบชะตากรรมเช่นไร เมื่อวันหนึ่งพวกเขามองย้อนกลับมาที่ฝันร้ายครั้งนี้ เขาจะหัวเราะให้กับมัน และภาคภูมิใจที่ครั้งหนึ่งได้เคยฝันร้ายเช่นนี้ เช่นเดียวกับชายไทยอกสามศอกคนอื่นๆ…
โคตรรักเอ็งเลย (2549/2006) “รักแท้ดูแลได้ไหม” และจะทำยังไงให้ “อุดม แต้พานิช” และ “เมียของเขา” ยังคง Sweet หวานเหมือนกับวันแรกที่รักกัน และจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่า “อาถรรพ์ของการใช้ชีวิตคู่” มีอยู่จริง พบเลิฟสตอรีชวนยิ้มจากฝีมือเขียนบท-กำกับโดย “พิง ลำพระเพลิง” รับรองดูแล้วคุณจะรีบบึ่งกลับไป “หอมแก้ม” เมียที่บ้านของคุณทันที เลิฟสตอรีจี๊ดโดนใจเมื่อ “รงค์” (อุดม แต้พานิช) นักเขียนบทตลกกำลังตกที่นั่งลำบากกับอาถรรพ์ชีวิตคู่ที่ดูเหมือนจะไร้ปัญหา แต่ทว่ามันมีอยู่จริงเพราะ “แดง” (วิสา สารสาส) ภรรยาสุดที่รักดันไปเกิดมีกิ๊กกั๊กปันใจให้กับหมอตรวจภายในที่แสนสุภาพสุดหล่อนามว่า “รักษา” (อัครา อมาตยกุล) อันที่จริงจะโทษแดงฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะว่ารงค์เองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เพราะทั้งคู่แต่งงานกันมานานเรื่องของความกุ๊กกิ๊กโรแมนติกก็เริ่มห่างหายไปตามกาลเวลา ทำให้อะไรในชีวิตมันไม่ฟู่ฟ่ากระชุ่มกระชวยเหมือนเดิม ประกอบกับแดงเองก็มาถูกใจหมอตรวจมะเร็งปากมดลูกเข้าอีก ถึงใจจะหวั่นไหวเธอก็พยายามตัดใจเลี่ยงไปตรวจมะเร็งเต้านมตามคลินิก ก็เจ้ากรรมดันเป็นคลินิกของรักษาเข้าอีก ทำเอาแดงเสียการทรงตัวและหัวใจไปกับความสุภาพของหมอหนุ่ม แล้วแดงจะทนได้อย่างไร ในขณะเดียวกันกับที่รงค์น้อยผู้น่าสงสารต้องหาทางออกโดยพึ่งดร.อ่าง ทำเอาแดงน้อยใจสามี จึงเริ่มสานต่อความสัมพันธ์กับรักษา ดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง รงค์รับรู้ถึงความสัมพันธ์แบบลับๆ ล่อๆ ของเมียเข้าจากไดอารีเล่มแดง อารมณ์ปรี๊ดขึ้น ผัวเมียเคลียร์กันไม่ลง แดงขับรถออกจากบ้านตกเขาทันที เดือดร้อนถึงปอเต็กตึ๊งที่ต้องตามไปเก็บ รงค์ได้แต่เสียใจที่ทำให้เมียต้องจากไปโดยที่ยังไม่ทันได้พูดจากันให้เข้าใจ รงค์อยู่บ้านชักรู้สึกหวั่นๆ ข้าวของในบ้านเริ่มเปลี่ยนที่อยู่บ่อยๆ เขาบอกกับทุกคนว่าเมียของเขากลับมาที่บ้านแน่นอน เพื่อนได้แต่บอกให้ทำใจ แต่คุณพระช่วย แดงมาที่บ้านรงค์จริงๆ มาให้เห็นตัวเป็นๆ เลย เอาล่ะสิ คราวนี้เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร แดงตายหรือไม่ตายกันแน่ ถ้าตายแล้วกลับมาหลอนรงค์เพื่ออะไร
แก๊งชะนีกับอีแอบ (2549/2006) แฟนหนุ่มเข้ามาแล้วก็จากไป แต่เพื่อนสาวนั้นไซร้อยู่ยั้งยืนยง เป็นประโยคปลุกใจแสนอมตะ ที่เพื่อนสาวจะใช้ปลอบประโลมใจกัน ในยามที่หนึ่งในพวกเธอกำลังเผชิญภาวะขาดเสถียรภาพในความสัมพันธ์ หรืออาจจะเป็นประโยคที่สาวๆ ท่องไว้เตือนใจตัวเอง ยามที่เธอต้องกลับมาใช้ชีวิตสาวโสดออกเที่ยวเตร่กับเพื่อนสาวตามเดิม หรืออาจจะเป็นประโยคที่พูดก่อนการชนแก้วของกลุ่มเพื่อนสาว ที่มาร่วมดื่มเพื่อลืมเธอในค่ำคืนหนึ่ง ทำไมผู้ชายถึงไม่เคยว่าง เมื่อแฟนสาวพยายามโทรมาชวนเขาออกไปซื้อของ ทำไมผู้ชายมักมีคำพูดติดปากว่าอะไรก็ได้ เมื่อแฟนสาวหวังพึ่งการตัดสินใจของเขา ทำไมผู้ชายไม่สามารถทนฟังแฟนสาวระบายปัญหาทุกข์ใจจนจบโดยไม่พูดแทรกได้ ทำไมผู้ชายถึงพยายามทำให้แฟนสาวหยุดร้องไห้ด้วยการสั่ง แทนการกอด ทำไมผู้ชายคิดถึงเรื่องเพศทุกลมหายใจเข้าออก แต่เมื่อพูดถึงรัก กลับทำท่าเหมือนไม่อยากหายใจ ดังนั้นการมีแฟนที่มีลักษณะตรงข้ามกับทุกข้อที่กล่าวมา จึงเป็นสิ่งที่สาวๆ ใฝ่ฝันถึง และแล้ว ก้อง (เธียรชัย ชัยสวัสดิ์) ชายหนุ่มแสนดีในฝันของสาวๆ ก็ก้าวเข้ามาในชีวิต แป้ง (มีสุข แจ้งมีสุข) หญิงสาวผู้ค้นพบเข็มในมหาสมุทรที่เพิ่งเกิดสึนามิ เรื่องราวน่าจะจบลงอย่างที่สาวๆ ต้องอิจฉา แต่อนิจจา เพื่อนๆ ของแป้ง ได้แก่ ป๋อม (พัชรศรี เบญจมาศ) แพท (กุลนัดดา ปัจฉิมสวัสดิ์) เจ๊ฝ้าย (พิมลวรรณ ศุภยางค์) และ นิ่ม (อรปรียา หุ่นศาสตร์) กลับไม่คิดเช่นนั้น พวกเธอพยายามอย่างสุดกำลัง เพื่อขัดขวางแฟนหนุ่มสุดวิเศษคนนี้ เพราะสัญชาตญาณชะนีร้องเตือนว่าหน้าหล่อคนนี้เป็นอีแอบ
เพลงสุดท้าย (2549/2006) “สมหญิง ดาวราย“ (อารยา อริยะวัฒนา) สาวประเภทสองที่ได้รับการยกย่องให้เป็นนักแสดงคาบาเรต์ดาวเด่นของทิฟฟานีโชว์ที่พัทยา เนื่องจากเธอเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่มากกว่า “นางโชว์“ คนหนึ่งพึงจะมี ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาท่าทาง กิริยามารยาทที่เป็นกุลสตรีทุกด้าน รวมถึงลีลาการแสดงในรูปแบบต่างๆ ที่ออกมาจากจิตวิญญาณอย่างแท้จริง สมหญิงมีเจตนารมณ์อันฝังแน่นว่า “ความรัก“ จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับจิตใจของเธอเป็นอันขาด เพราะตัวอย่างชีวิตรักของเพศที่สามสอนให้สมหญิงได้เรียนรู้ว่า “ไม่มีรักแท้สำหรับเพศสีม่วง“ นอกเสียจากความเจ็บปวดขื่นขมและผิดหวังเพียงอย่างเดียว เฉกเช่นชีวิตรักของ “ประเทือง / ซ้อเทือง” (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) กะเทยรุ่นใหญ่ เจ้าของทิฟฟานีโชว์ที่แม้จะสมบูรณ์พูนพร้อมไปเสียทุกอย่าง แต่ก็ยังไม่วายต้องทุรนทุรายเกือบตายเพราะความรัก เมื่อ “บดินทร์” นักร้องหนุ่มหน้าม่านที่ซ้อเทืองเลี้ยงไว้ผละหนีจากอกช้ำๆ หลังจากได้กอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาปรารถนาแล้ว “บุญเติม” (วชรกรณ์ ไวยศิลป์) นักร้องหนุ่มหน้าม่านคนใหม่ของทิฟฟานีโชว์ได้รับการต้อนรับจากคนดูและเพื่อนร่วมคณะเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสมหญิงที่เห็นแววความสามารถของบุญเติม และเป็นผู้ชักชวนให้มาทำงานนี้ สมหญิงได้ให้ความช่วยเหลือทุกอย่างแก่บุญเติมอดีตช่างซ่อมรถด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง เพราะเห็นว่าบุญเติมต้องทำงานส่งเสียตัวเองเรียนด้วย เป็นเหตุให้ซ้อเทืองและเพื่อนนางโชว์เริ่มซุบซิบกันว่า บุญเติมได้เข้ามาทำลาย “เขื่อนกั้นหัวใจ“ ของสมหญิงลงแล้ว แต่แล้วเมื่อแม่อันเป็นที่รักและจุดยึดเหนี่ยวจิตใจของสมหญิงต้องมาเสียชีวิตลงอย่างไม่คาดคิด แหล่งพักพิงหัวใจที่บอบช้ำของสมหญิงจึงอยู่ที่บุญเติมเรื่อยมา จนสุดท้ายสมหญิงแยกไม่ออกว่าหัวใจของตัวเองนั้นหลงรักบุญเติมมากน้อยเพียงใด วันเวลาผ่านไปก็ยิ่งทำให้บุญเติมกับสมหญิงคือ เงาตามตัวของกันและกัน แต่แทนที่เพื่อนๆ นางโชว์จะดีใจไปกับสมหญิง ทุกคนกลับให้ความเป็นห่วง โดยเฉพาะซ้อเทืองที่เป็นห่วงสมหญิงมากกว่าใคร เพราะจากสมหญิงที่เคยร่าเริงคบหาสมาคมกับเพื่อนๆ กลับกลายเป็นสมหญิงที่เฝ้ารอนับวันเวลาอย่างไร้จุดหมาย เมื่อบุญเติมต้องไปเรียนหรือไปค้างกับเพื่อนๆ นักศึกษาที่กรุงเทพฯ ในวันนั้นแม้ว่าสมหญิงจะภาวนาให้มันเป็นเพียงฝันร้าย แต่มันก็คือความจริง…ความจริงอันแสนเจ็บปวด เมื่อบุญเติมเกี่ยวก้อย “อรทัย” (สุมลรัตน์ วัฒนาเศลารัตต์) น้องสาวสุดที่รักของสมหญิง มาสารภาพกับเธอว่า ทั้งสองมีความรักแท้ต่อกันและต้องการที่จะเดินทางไปเรียนหนังสือที่เมืองนอกด้วยกัน สมหญิงเจ็บปวดรวดร้าว และต้องจำยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้าอย่างสุดแสนทรมาน เธอจะมีชีวิตอยู่ในโลกมืดนี้ต่อไปได้อย่างไร และแล้ว “บทเพลงชีวิตบทสุดท้าย” ของ “สมหญิง ดาวราย” ก็ค่อยๆ บรรเลงขึ้น…
รักจัง (The Memory) (2549/2006) รักจัง บอกเล่าเรื่องราวความรักของ ฟิล์ม (รัฐภูมิ โตคงทรัพย์) นักร้องซูปเปอร์สตาร์ชื่อดัง กับ จ๋า (พอลล่า เทเลอร์) ปาปารัสซี่สาว ที่ตามถ่ายภาพฟิล์มถึงอำเภอปาย เพื่อเอาไปขายให้กับสำนักพิมพ์ แต่แล้วฟิล์มก็เกิดอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง รถของฟิล์มตกเขาจนทำให้ฟิล์มความจำเสื่อม แต่ฟิล์มได้รับความช่วยเหลือจาก ลอซู (อื้ด โปงลางสะออน) โดยมี อาล่า (ลาล่า โปงลางสะออน) และอาลู่ (ลูลู่ โปงลางสะออน) และเมื่อจ๋าเจอฟิล์มอีกครั้งและได้รู้ว่าฟิล์มความจำเสื่อม จ๋าจึงได้โอกาสสร้างข่าวเพื่อขายให้กับสำนักพิมพ์ แต่เมื่อจ๋ารู้จักฟิล์มมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกของเธอกับฟิล์มนั้นเปลี่ยนไป แต่เมื่อความจำของฟิล์มกลับคืนมา จึงทำให้ฟิล์มหลงลืมความทรงจำระหว่างเขากับจ๋า จนเหลือเพียงความทรงจำที่เลือนลาง ที่รอคอยวันที่ความทรงจำเหล่านั้น กลับคืนมา
เด็กหอ (2549/2006) ชาตรี (ชาลี ไตรรัตน์) อายุ 12 เรียน ม.1 ถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำอย่างฉุกละหุก สาเหตุเป็นเพราะ ชาตรี รู้ความลับบางอย่างของคุณพ่อ การต้องย้ายโรงเรียนกลางเทอมเป็นเรื่องโหดร้ายมาก ไหนจะห้องเรียนใหม่ ไหนจะเรือนนอนที่ไม่สนิทใจเหมือนอยู่บ้าน ที่แย่ที่สุด คือ ต้องนอนเตียงเก่าของคนอื่น ชาตรี ไม่ค่อยมีเพื่อน มีที่สนิทกันจริงๆ แค่คนเดียว เขาสองคนมักแอบไปนั่งเล่นที่สระน้ำเก่าหลังโรงเรียนเสมอๆ อาจด้วยทั้งความเหงา ความซน หรือความรู้สึกอะไรบางอย่าง จึงตัดสินใจใช้สระว่ายน้ำเก่าหลังโรงเรียนเป็นเครื่องระบายความเหงาและความเศร้าอยู่เป็นประจำ มีเรื่องเล่าว่าหลายปีมาแล้ว ก่อนที่โรงเรียนจะสร้างสระว่ายน้ำใหม่ สระแห่งนี้เคยเป็นที่เล่นน้ำของพวกเด็กๆ ในช่วงสุดสัปดาห์ แต่ปัจจุบันสระกลับถูกปิดตาย มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับสระน้ำนั้น ถ้าคุณเชื่อเรื่องเล่าในโรงเรียนประจำ และสัญญาว่าจะไม่บอกใคร ชาตรีพร้อมจะเล่าความลับบางอย่างให้คุณรู้
แค่เพื่อนค่ะพ่อ (2549/2006) มีน เด็กหนุ่มวัยรุ่น อายุ 16 ปี ได้ย้ายบ้านจากกรุงเทพฯ มาอยู่ต่างจังหวัด เนื่องจากอาชีพของพ่อมีน ด้วยความที่มีนค่อนข้างจะเรียบร้อยจนดูว่าไม่ค่อยมีปากมีเสียงกับใครเขา แถมยังเป็นเด็กจากกรุงเทพเสียอีก จึงเป็นจุดสนใจของเด็กนักเรียนเจ้าถิ่นอย่างอู๊ด แอนด์ เดอะแก๊งค์ อันประกอบไปด้วย อู๊ด เด็กหนุ่มหัวโจก แม้ว่าภายนอกจะดูค่อนข้างเกเร แต่ก็มีจิตใจดี รักยายตัวเองเป็นที่สุด, ตี๋ ลูกไล่ของอู๊ด และแว่น นักประดิษฐ์ประจำกลุ่ม คอยกลั่นแกล้งสารพัด มาวันหนึ่งมีนได้ช่วยเหลือย่าของอู๊ดจากการเป็นลมไว้จึงทำให้ทั้งสองเริ่มเข้าหากัน และกลายเป็นเพื่อนสนิทต่อมา เช่นเดียวกับวัยรุ่นทั่วไป มีนไปชอบเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อฟาง ฟางเป็นนางรำของโรงเรียนและสิ่งนี้เองที่เป็นสาเหตุให้มีนแอบชอบฟางนับแต่เห็นครั้งแรก แต่ว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายนัก เพราะว่าการจะเข้าให้ถึงฟางนั้นต้องผ่านด่านสาหัสมาให้ได้ก่อน ซึ่งก็คือ กำนันเปี๊ยก พ่อของฟางนั้นเอง เนื่องจากฟางเป็นลูกคนเดียว กำนันเปี๊ยกจึงให้ความดูแล ทะนุทนอมอย่างมาก แม้ว่าฟางเองจะดูมีใจให้กับตัวมีนไม่ใช่น้อย ภาระสำคัญจึงต้องตกมาเป็นหน้าที่ของอู๊ดและเพื่อนในการหาวิธีให้มีนผ่านกำนันเปี๊ยกไปให้ได้ ทั้งช่วยงานในฟาร์ม สรรหาวิธีหลอกล่อสารพัด จนกระทั่งเป็นเหตุให้กำนันเปี๊ยกเสียหน้าครั้งใหญ่ต่อหน้าครูอาจารย์ พาลโมโหถึงขนาดไม่ให้ลูกสาวมาโรงเรียนเพื่อจะได้ไม่ต้องมาเจอกับมีนอีก ถึงมีนจะยังคงเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากเพียงใด มีนก็ยังคงพยายามหาหนทางเพื่อให้เขาและฟางได้กลับมาพบหน้าพูดคุยกันอีกครั้ง แล้วมีนก็ได้ตระหนักว่าอุปสรรคครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่พ่อของฟางอีกต่อไป แต่อยู่ที่ตัวของฟางเองต่างหาก!!!
กระสือ วาเลนไทน์ (2549/2006) สิบสี่กุมภาพันธ์ สองพันสี่ร้อยแปดสิบสี่ วันแสนดี วันที่รัก ปักใจสอง หวังให้เธอ เคียงอยู่ เป็นคู่ครอง ไม่หวังปอง สิ่งอื่นใด ในโลกา แต่ชะตา กลับกลั่นแกล้ง ไม่เข้าข้าง จำต้องห่าง ร้างไกล ให้โหยหา ขอจงรอ รอพี่หน่อย นะแก้วตา รอพี่มา กลับใกล้ชิด นิจ…นิรันดร์ ในยุคสมัยที่ “มนุษย์” เมินเรื่อง “นรก-สวรรค์” ไม่สนใจใน “กฎแห่งกรรม” ไม่ศรัทธา “การทำความดี” ไม่ใยดีในเรื่อง “ความรัก” และไม่ปักใจเชื่อว่า “กระสือ” จะมีจริง ผู้กำกับ “ยุทธเลิศ สิปปภาค” จะยำแกนเรื่องทั้งหมด มาให้ได้สัมผัสกันแบบ “ดราม่า” จริงจัง แต่ไม่เจือจางอารมณ์ “ขันพองสยองเกล้า” ที่จะทำให้คุณต้องกลับไปทบทวนคำตอบของ “Do You Believe in Destiny?” กันใหม่อีกหลายตลบ ผ่านการแสดงหนังใหญ่ครั้งแรกของนักแสดงหญิงรุ่นใหม่ “พลอย จินดาโชติ” และนักแสดงชายเจ้าบทบาท “ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์” กับการถ่ายทอดความรักของพยาบาลสาวและภารโรงหนุ่ม ท่ามกลางบรรยากาศโรงพยาบาลเก่าแก่ ที่มีเสียงร่ำลือหนาหูถึง “กระสือสาว” นางหนึ่ง…อยู่บ่อยครั้ง ในภาพยนตร์รักซาบซึ้งชวนสยอง ของยุทธเลิศ “กระสือวาเลนไทน์” 9 กุมภาพันธ์ 2549 แล้วคุณจะซึ้งจนขนหัวลุก ณ โรงพยาบาลเก่าแก่แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ…มีเรื่องราวความรักถือกำเนิดขึ้น พยาบาล “สาว” (พลอย จินดาโชติ) แสนสวยบุคลิกดี ซึ่งถึงแม้ว่าเธอเพิ่งจะย้ายมาประจำการ ณ โรงพยาบาลแห่งนั้นได้ไม่นานนัก แต่เธอก็เป็นที่รักใคร่ชอบพอของเพื่อนร่วมงานทุกคนในโรงพยาบาล ไม่เว้นแม้แต่ภารโรง “หนุ่ม” (ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์) คนซื่อที่ถูกชะตากับพยาบาลสาวตั้งแต่แรกเห็นในวันวาเลนไทน์ของปี 2549 นี้ด้วย “ดอกกุหลาบ” ดอกแรกที่สาวได้รับจากภารโรงหนุ่มโดยบังเอิญในวันแห่งความรักนั้น นำไปสู่จุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ประหลาดและความผูกพันกันอย่างคาดไม่ถึง หรือพรหมลิขิตที่สาวเชื่อมั่นอยู่เสมอจะชักพาให้เธอพบกับความรักครั้งใหม่ หลังจากที่ถูกหักอกกับรักครั้งเก่า จนต้องพกพาความบอบช้ำย้ายเข้ามาทำงาน ณ โรงพยาบาลแห่งนี้…ที่ความรักกำลังดำเนินไป ก่อนหน้านี้สาวมักจะมีอาการประหลาดที่ต้องตื่นขึ้นมาอาเจียนในทุกๆ เช้า และทุกครั้งสิ่งที่เธออาเจียนออกมานั้นดูไม่แตกต่างจากรกเด็กที่เธอเคยเห็นในห้องคลอดเลยสักนิด รวมทั้งเธอยังมีอาการเห็นภาพซ้อนแวบเข้ามาในสมองอย่างไม่มีที่มาที่ไป และภาพที่เห็นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นภาพของโรงพยาบาลแห่งเดียวกันนี้ในยุคสงครามเมื่อกว่าหกสิบปีที่ผ่านมา เท่านั้นไม่พอ สาวยังได้พบกับ “ภาพถ่ายเก่าๆ ใบหนึ่ง” ในกล่องเหล็กซึ่งถูกวางอยู่ในห้องพักของเธอมาเนิ่นนาน ในภาพนั้นเป็นภาพของหนุ่มในชุดทหารสมัยสงครามถ่ายคู่กับเธอในชุดพยาบาลในยุคเดียวกัน และด้านหลังภาพถ่ายเป็นลายมือของหนุ่มที่เขียนถึงเธอ จากข้อความบางอย่าง มันได้บ่งบอกว่าในชาติที่แล้วทั้งสองคนนี้คือคู่รักกัน แต่ยังไม่ทันที่สาวจะนำภาพถ่ายใบนั้นไปให้หนุ่มคลายความเคลือบแคลงสงสัยของเธอลง อุบัติเหตุหนึ่งกลับทำให้หนุ่มกลายเป็นอัมพาต และไม่สามารถสื่อสารใดๆ ได้นอกจากแค่การกะพริบตา หรือเวรกรรมกำลังจะตามมาสนองคู่รักเมื่อชาติที่แล้วคู่นี้อย่างเท่าทัน ขณะเดียวกันในค่ำคืนแห่งความสับสน สาวกลับค้นพบความจริงอันน่าสะพรึงกลัวภายในร่างกายของเธออย่างยากที่เธอจะเชื่อได้…มันคืออะไรกัน หรือเธอเองจะมีส่วนผูกโยงกับ “กระสือสาว” ที่ถูกร่ำลือถึงบ่อยๆ ณ โรงพยาบาลเก่าแก่แห่งนี้…เรื่องราวความรักกำลังจะจบลง
หม้ายไฮโซ (2549/2006) *ปีอาจไม่ตรง* เงินตราแห่งไฟรัก กิเลสที่เติมเต็มด้วยความกระหายที่ไม่รู้จักพอ หลังจาก อลงกรณ์ ถูกฆาตกรรมในงานเลี้ยง ทำให้ อภิสิทธิ์ ผู้เป็นลูกชายต้องเดินทางกลับจากต่างประเทศเพื่อมาดูแลกิจการแทน การกลับมาครั้งนี้อภิสิทธิ์ได้รับมรดกจำนวนมากจากผู้เป็นพ่อ ซึ่งจากเหตุนี้เองสร้างความไม่พอใจให้กับ เพ็ญวดี ภรรยาสาวของพ่อเป็นอย่างมาก จึงร่วมมือกับ เมธา ชู้รัก หาทางกำจัดอภิสิทธิ์เหมือนกับที่เคยทำกับอลงกรณ์
มายาพิศวาส (2549/2006) *ปีอาจไม่ตรง* วิถีแห่งคนบาป และไฟแห่งราคะที่ไม่มีวันดับมอด.. เรื่องราวความรักของอาวุธ ชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยไฟราคะ เมื่อชีวิตของเขามิอาจเลือกอะไรได้เป็นเพียงแค่เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง เขาต้องจำยอมมีสัมพันธ์รักลึกซึ้งกับ โอภาส พี่ชายของตัวเองที่มีความผิดปกติทางเพศ และ โจนท์ พี่สะใภ้ รวมทั้ง อาภา พี่สาว จนทำให้สัมพันธ์รักระหว่างเขาและคู่หมั้น สีดา ต้องจบลงเมื่อเธอรู้ความจริง เธอรับไม่ได้กับการกระทำของอาวุธ จึงตัดสินใจถอนหมั้น อาวุธสำนึกผิดกับสิ่งที่เขาได้ทำจึงตัดสินใจหยุดทุกอย่างด้วยชีวิตของเขา
ข้าวเหนียวหมูปิ้ง (2549/2006) คู่นี้หนุงหนิงแนบแน่นไม่ใช่แฟนแต่มากกว่าเพื่อน เรื่องเล่ามิตรภาพของเด็กหญิงวัย 8 ขวบกับเจ้า Dog ตัวจิ๋ว หนีบลูกซึ้งส่งเสียงโฮ่งๆ เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคุณ กะเทาะสายใยแห่งมิตรภาพความรู้สึก ที่ครั้งหนึ่งเด็กๆ ทุกคนเคยมีให้กับเพื่อนแท้ 4 ขา สำหรับ “ข้าวเหนียว” (นวรัตน์ เตชะรัตนประเสริฐ) แล้ว การที่จู่ๆ “แม่บี” (สินิทธา บุณยศักดิ์) พาข้าวเหนียวมาฝากไว้ที่บ้านญาติๆ โดยไม่ทันตั้งตัว ข้าวเหนียวอดน้อยใจแม่บีไม่ได้จริงๆ นะ ถึงแม้ว่าในบ้านหลังใหม่จะมีญาติๆ ของแม่อยู่กันตั้งหลายคน ไม่ว่าจะเป็น “ยายอุ่น” (มารศรี อิศรางกูร ณ อยุธยา), “ป้าเกด” (เนาวรัตน์ ซื่อสัตย์), “อาเปี๊ยก” (เปี๊ยก ดีเจสยาม) แต่ทำไมนะข้าวเหนียวยังรู้สึกเหงาอยู่เลย ก็คงมีแต่ “น้าเล็ก” (พัชรศรี เบญจมาศ) นี่แหละที่ข้าวเหนียวรู้สึกสนิทหน่อย อาจจะเป็นเพราะน้าเล็กแกคงรู้ว่าข้าวเหนียวเหงาและอดคิดถึงแม่ไม่ได้นั่นเอง เหมือนอย่างเคยวันนี้ข้าวเหนียวโดดเรียนอีกแล้ว ข้าวเหนียวเดินเรื่อยเปื่อยไปแถวสยามเห็นคนซื้อหมูปิ้ง แต่ที่น่าแปลกใจมีเจ้าหมาน้อยตัวสีน้ำตาลท่าทางมันดูน่าสงสารเหมือนข้าวเหนียวเลย มันคงหิวนะ เห็น ส่งเสียงร้องขอกินหมูปิ้งจากคนขายและคนซื้อที่ยืนอยู่ ดูๆ ไปข้าวเหนียวว่าหน้าตามันตลกดี ปากมอมๆ สีดำ ท่าทางน่ารักจัง คิดแล้วก็อยากเป็นเพื่อนกับมัน ข้าวเหนียวเลยตัดสินใจอุ้มมันใส่กระเป๋าเอากลับไปบ้านด้วยดีกว่า อย่างน้อยถึงมันไม่มีใครมันก็ยังมีข้าวเหนียว เอางี้นะ ข้าวเหนียวจะตั้งชื่อมันว่า “หมูปิ้ง” “ข้าวเหนียวกับหมูปิ้ง” ฟังดูน่ารักดี แต่ไม่ใช่ว่าข้าวเหนียวจะเลี้ยงหมูปิ้งได้ง่าย ๆ นะ เพราะน้าเล็ก เคยบอกว่า ที่บ้านคับแคบแล้วยายอุ่นเองก็แพ้ขนหมาด้วย คงเลี้ยงหมาไม่ได้ ยังไงก็ตามข้าวเหนียวจะไม่มีวันทิ้งหมูปิ้ง ข้าวเหนียวตัดสินใจเอามันขึ้นไปเลี้ยงบนดาดฟ้าดีกว่า เวลาหมูปิ้งส่งเสียงจะได้มีใครรู้ และทุกๆ วันข้าวเหนียวก็จะเอาหมูปิ้งใส่กระเป๋าไปโรงเรียนด้วยกัน อีกอย่างข้าวเหนียวไม่อยากให้หมูปิ้งอยู่คนเดียว เพราะแถวบ้านชอบมีพวกจับหมามาด้อมๆ มองๆ ด้วย แต่แล้ววันหนึ่งฝนตกหนักมาก หมูปิ้งที่อยู่บนดาดฟ้าเลยไม่สบาย ข้าวเหนียวตัดสินใจทุบกระปุกพี่หมูเอาเงินพาหมูปิ้งไปหาหมอ หลังจากนั้นที่บ้านก็รู้กันว่าข้าวเหนียวแอบเลี้ยงหมูปิ้ง น้าเล็กบอกว่ายายอุ่นแพ้ขนหมา จะเอาหมูปิ้งไปปล่อย แต่ข้าวเหนียวขอร้องไว้ว่ารอให้มันหายจากไข้ก่อนได้ไหมน้าเล็ก แม่บีจ๋า ข้าวเหนียวคิดถึงแม่บีจัง เมื่อไรแม่บีจะกลับมา น้าเล็กจะเอาหมูปิ้งไปปล่อยไหมเนี้ยะ

กำลังแสดงผลลัพธ์ทั้งหมด 12 รายการ