ลูกทุ่ง (2482)
ลูกทุ่ง (2482/1939) ณ ลุ่มน้ำท่าจีน จังหวัดสาลี อันเป็นเขตกสิกรรม ครอบครัวของพ่อชมดำรงชีพด้วยการทำไร่ไถนามาหลายชั่วอายุคน พ่อชมมีลูกชายด้วยกันอยู่สองคน คือ ช่วย คนพี่คิดจะเจริญรอยตามพ่อ สืบทอดอาชีพกสิกร แต่ ชู คนน้องมักใหญ่ใฝ่สูงอยากจะเป็นขุนนางท่ามกลางเสียงคัดค้านของพ่อชม ชูจึงต้องดิ้นรนหาทางได้เล่าเรียนด้วยตัวเอง และโชคชะตาก็เข้าข้างชู เมื่อวันหนึ่ง ขุนกสิกิจเดินทางมายังจังหวัดสาลีเผอิญถูกตาต้องใจชูเข้า เพราะตัวเองมีแต่ลูกสาวไม่มีลูกชาย จึงขอรับอุปการะชูให้ได้เข้าเรียนที่กรุงเทพ หลายปีผ่านไป ชูไต่เต้าจนได้เป็นนายอำเภอสมอย่างที่หวัง ไม่เพียงแต่หน้าที่การงานจะก้าวหน้า เรื่องของหัวใจก็กำลังปลูกต้นรักอยู่กับ ผจง ลูกสาวสุดสวยของขุนกสิกิจนั่นเอง ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเหตุให้ชูต้องกลับยังบ้านเกิด เนื่องจากขุนกสิกิจได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยากสิกิจมาประจำอยู่ที่จังหวัดสาลี บัดนี้ ดำ กับ แจ๋ว เพื่อนเล่นในวัยเด็กของชูผันตัวไปเป็นอันธพาลปล้นทรัพย์ชาวบ้าน เป็นที่เดือดร้อนนัก ร้อนถึงหน้าที่ของนายอำเภอที่ต้องบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ชาวบ้าน แต่นายอำเภอชูกลับแสดงท่าทีเจ้ายศเจ้าอย่าง เป็นเหตุให้ชาวบ้านต่างพากันเกลียดชัง ดีที่ช่วยคอยช่วยเหลือไกล่เกลี่ย ช่วยจึงเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน รวมทั้งพระยากสิกิจกับผจงลูกสาวที่เกิดหลงใหลได้ปลื้มในตัวช่วย เพราะนับถือคนประกอบอาชีพกสิกรรมอันเป็นกระดูกสันหลังของชาติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อช่วยรู้ว่าผจงเริ่มมีใจให้ จึงเริ่มไว้ตัว ด้วยรู้ว่าน้องชายสมัครใจรักผู้หญิงคนนี้ และแล้วเหตุร้ายก็เกิดขึ้น เมื่อแจ๋ววางแผนออกปล้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ช่วยจึงปลอมตัวเป็นโจรเพื่อเกลี้ยกล่อมให้แจ๋วกลับใจ เคราะห์ร้ายครานี้ ตำรวจก็สืบทราบแผนการเช่นกัน จึงนำกำลังล้อมจับ ช่วยจึงติดร่างแหไปด้วย ผจงไปขอร้องให้แจ๋วช่วยบอกความจริงกับตำรวจ แจ๋วซึ่งสำนึกในบุญคุณของช่วยอยู่แล้วก็ยอมทำตาม ทำให้ช่วยพ้นผิดและได้ครองรักกับผจง ชูจึงได้สำนึกและกลับตัวเป็นข้าราชการดีตั้งแต่นั้นมา
ตื่นเขย (2481)
ตื่นเขย (2481/1938) อำนวย คล่องเชิงค้า เป็นพนักงานอุตสาหกรรมน้ำตาลไทยมีภรรยาชื่อ ลัดดา วันหนึ่งเขาได้รับมอบหมายให้ไปเจรจาการค้ากับ พระทวีผลกสิกรรม ผู้เป็นเอเย่นต์ขายน้ำตาลที่โคราช แต่ดันไปตกหลุมรัก ลออ ลูกสาวของพระทวีผลฯ ถึงขั้นอยากจะแต่งงาน ระหว่างที่ยังเจรจางานอยู่ที่โคราช เจ้านายได้ส่งโทรเลขให้อำนวยไปเจรจาการค้ากับ พระยาพิชัยพานิชย์ที่อุบล อำนวยก็ไปตกหลุมรัก บุญเกื้อ บุตรีพระยาพิชัยฯ อีก ด้านพระทวีผลฯ กับภรรยายังไม่ค่อยเชื่อถือในตัวอำนวยนัก ด้วยข้อที่ว่าอำนวยนั้นโอ้อวดว่ามีบ้านช่องใหญ่โต จึงพากันมาพิสูจน์ที่กรุงเทพ อำนวยร้อนใจกลัวความแตก จึงไปขอยืมบ้าน สันต์ เกลอเก่าตบตาพระทวีผลฯ ชั่วคราว หารู้ไม่ว่าสันต์เป็นหลานชายของพระทวีผลฯ ขณะเดียวกัน ครอบครัวของพระยาพิชัยฯ ก็กำลังเดินทางมาดูบ้านของว่าที่ลูกเขยด้วยความตื่นเต้นพระยาพิชัยฯ ได้พบกับพระทวีผลฯ ที่บ้านซึ่งอำนวยหลอกว่าเป็นของตน เมื่อได้พูดคุยกันจึงได้รู้ว่าพระทวีผลฯหมายมั่นให้ลออได้แต่งงานกับอำนวย พระยาพิชัยฯจึงเป็นฝ่ายลากลับ จีบ สาวใช้ของสันต์สุดจะทนกับพฤติกรรมเจ้าชู้ของอำนวยจึงไปฟ้องลัดดา ลัดดาจึงแกล้งมาสมัครงานเป็นคนใช้ของพระทวีผลฯ นับวันก็ยิ่งใกล้ถึงวันแต่งงานของลออกับอำนวย ลัดดาเจ็บใจสามีจึงจ้างวาน ปริก ให้มาประกาศความเป็นภรรยากลางงานอำนวยปฏิเสธพัลวัน แต่สุดท้ายก็จำนนด้วยหลักฐาน เมื่อลัดดาประกาศตัวว่าเป็นเมียของอำนวยตัวจริง พระทวีผลฯ จึงอดได้ลูกเขย
แม่สื่อสาว (2481)
แม่สื่อสาว (2481/1938) เพราะบริษัทสบู่ตราหอยของ นายวาณิชย์ คล่องการค้า กับ วิไล น้องสาว มีท่าทีจะเจ๊งบรรดาหุ้นส่วนเฮโลกันมาทวงเงิน วาณิชย์กับวิไลจึงใช้ความกะล่อนหาวิธีต้มตุ๋นหุ้นส่วน ให้ยังทำมาค้าขายกับตนแบบขอไปที กระทั่งวาณิชย์นึกขึ้นได้ว่าตนยังมีคนรู้จักที่ชื่อ นายหน่ำ ท่องเที่ยว เศรษฐีบ้านนอกที่เคยบอกว่าอยากให้ตนหาสาวชาวกรุงมาแลกกับเงินจำนวนมากโขวาณิชย์และวิไลจึงรุดหน้าไปหานายหน่ำเพื่อทำการตกลง วิไลทำหน้าที่แม่สื่อสาว เสนอชื่อ คุณนายจำปาภักดีกุล เศรษฐีนีม่ายบ้าผู้ชาย สาวใหญ่ที่วิไลรู้จัก ทว่าทุกอย่างกลับตาลปัตร เพราะนายหน่ำดันมาตกหลุมรักวิไล ส่วนคุณนายจำปาก็ดันมาคลั่งไคล้วาณิชย์ ครั้นทุกอย่างคลี่คลาย บทสรุปจึงกลายเป็นว่านายหน่ำก็ได้ครองรักกับวิไลสมใจ ส่วนคุณนายจำปาก็ยอมอุทิศทั้งเงินและหัวใจให้วาณิชย์ บริษัทสบู่ตราหอยจึงรอดพ้นจากการล่มจม
หวานใจนายเรือ (2481)
หวานใจนายเรือ (2481/1938) ร.ท. เกษม ยุทธนาวิน ร.น. กับ ร.ต.ชลัชชาญนาวี ร.น. ต้องเดินทางไปฝึกยิงปืนป้อม ณ สถานีฝึกสัตหีบชั่วคราว วันหนึ่ง ขณะที่เกษมกับชลัชเดินเล่นที่ชายหาด ได้ยินเสียงร้องเพลงของหญิงสาว จึงเดินตามหาเสียงนั้น บังเอิญเห็นคนร้ายกำลังฉุดคร่าหญิงเจ้าของเสียง ทั้งสองจึงเข้าไปช่วย และโดนแทงบาดเจ็บ ชายชราคนหนึ่งวิ่งเข้ามาช่วย และพาเกษมไปทำแผลที่บ้าน จึงได้ทราบว่าหญิงสาวนั้นชื่อเพลินใจ อาศัยอยู่กับพ่อคือ พร เพียงสองคน พวกที่เข้ามาทำร้ายตนนั้นคือสมุนของ ทองอ่อน ซึ่งต้องการลายแทงขุมทรัพย์โจรสลัดที่พรครอบครอง จึงมักส่งสมุนมากลั่นแกล้งสองพ่อลูกอยู่เสมอ เกษมติดใจในน้ำเสียงของเพลินใจจึงเสนอให้เพลินใจไปเรียนร้องเพลงที่กรุงเทพ เพื่อให้เพลินใจพ้นน้ำมือของทองอ่อน โดยให้อาศัยอยู่ที่บ้าน พระยาพัศดุนาวา-การ ผู้เป็นบิดาของตน พรมีสีหน้าตกใจเมื่อได้ยินชื่อพระยาพัศดุฯ แต่ก็กำชับบุตรสาวให้อยู่ในโอวาทของท่าน ส่วนตัวเกษมเองต้องฝึกงานอยู่ที่สัตหีบต่อ เพลินใจตั้งใจเรียนร้องเพลงเป็นอย่างดีจนได้สมญานามว่า นักร้องเสียงทอง และเป็นที่หมายปองของ ประกอบ บุตรบุญธรรมของพระยาพัศดุฯ ไม่นาน เกษมก็กลับมารับราชการที่กรุงเทพฯ และเริ่มสนิทสนมกับเพลินใจมากขึ้นทำให้ พิศมัย คู่หมั้นของเกษมเกิดความหึงหวง ทองอ่อนสมคบกับ เถ้าแก่เลี่ยงฮง แซ่อึ้ง เจ้าของเรือตังเก ตามหาขุมทรัพย์โจรสลัด พรเริ่มกังวลว่าทองอ่อนจะรู้ที่ซ่อน จึงปรึกษา ทองต่อ น้องภรรยา ให้ไปเยี่ยมเพลินใจที่บ้านพระยาพัศดุฯ แทน และเล่าความหลังว่าหลังจากภรรยาเสียชีวิตได้ฝาก ประกอบ ลูกชายให้พระยาพัศดุฯ เลี้ยงดู และได้แอบซ่อนสมุดข่อยลายแทงขุมทรัพย์ในห้องเครื่องลายครามที่บ้านพระยาพัศดุฯ เมื่อทองต่อเดินทางมาพักที่บ้านพระยาพัศดุฯ ก็พยายามหาโอกาสขโมยสมุดข่อยแต่โดนประกอบจับได้ จึงต้องบอกความจริงว่าประกอบกับเพลินใจมีความเกี่ยวดองกันและรีบลากลับสัตหีบ พิสมัยร้องขอให้ คุณนายแจ่ม มารดา เร่งรัดการแต่งงานของตนกับเกษม พระยาพัศดุฯ จำต้องแบ่งรับแบ่งสู้ยอมตกลง เพลินใจกลับมาจากเรียนร้องเพลงเผอิญได้ยินสองแม่ลูกกล่าวดูถูกเหยียดหยามตนเอง บังเกิดเป็นความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจึงเก็บข้าวของกลับมาหาบิดาที่สัตหีบ จากนั้น พร เพลินใจ และทองต่อก็เริ่มออกตามหาขุมทรัพย์ จนในที่สุดก็พบหีบสมบัติบรรจุเพชรนิลจินดาและทองคำมากมายทองอ่อนซึ่งสะกดรอยตามมาจึงแย่งชิงสมบัติไป เกษม ชลัช และประกอบนำเจ้าหน้าที่ไล่ตามทองอ่อนจนทัน เกิดการปะทะกันแต่ก็จับกุมทองอ่อนกับพวกได้สำเร็จ
ในสวนรัก (2481)
ในสวนรัก (2481/1938) ชื่น ลูกชายคนเดียวของ นายเชยเศรษฐีเจ้าของทุ่งสาลีแห่งนครชัยศรี กำลังจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพ ก่อนเดินทางชื่นมาบอกลา พิม คนรักซึ่งเป็นเพื่อนตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อมาถึงกรุงเทพแทนที่ชื่นจะตั้งใจศึกษาร่ำเรียน กลับเอาเงินที่นายเชยส่งเสียไปปรนเปรอวิลัย ผู้หญิงหากิน หลงลืมพิมเสียสิ้น อีกฟากหนึ่ง พระยาวินิจวิจารณา ข้าราชการเบี้ยบำนาญเดินทางมานครชัยศรีเพื่อขายที่ให้แก่นายเชยได้พบพิมที่อาสาพายเรือไปส่งที่บ้านนายเชย ระหว่างทางได้พูดจากันจึงรู้ว่าพิมคือลูกสาวของ พร น้องสาวของตน พระยาวินิจฯ จึงขออุปการะพิมให้ไปอยู่ที่กรุงเทพ แล้วล้มเลิกความคิดที่จะขายที่ให้นายเชย เมื่อมาอยู่กรุงเทพได้สักพัก พิมก็ต้องประหลาดใจมาก เพราะตกกลางคืนพระยาวินิจฯ มักจะไม่อยู่บ้าน จึงชวน ต่อม คนใช้แอบสะกดรอยตามพระยาวินิจฯ จนมาถึงภัตตาคารที่ซึ่งวิลัยทำงานอยู่ แทนที่จะได้พบพระยาวินิจฯ พิมกลับได้พบชื่นกำลังครวญเพลงอยู่แทน ต่อมช่วยพาชื่นให้มาพบกับพิม เมื่อชื่นเห็นพิมอยู่ในสถานที่แบบนี้ก็เข้าใจผิด ด่าทอพิมเสียๆ หายๆ พิมเสียใจเป็นอันมาก จึงเขียนจดหมายถึงนายเชยเล่าสิ่งที่ตนพบ เพื่อให้นายเชยเรียกตัวชื่นกลับนครชัยศรี เมื่อนายเชยได้ทราบข่าวจึงหยุดส่งเงินให้ชื่นทันที เมื่อวิลัยรู้ว่าชื่นไม่มีเงินก็ตีจากไป ชื่นสำนึกในความผิดจึงกลับไปขอคืนดีกับพิม
เพลงหวานใจ 2480

เพลงหวานใจ (2480/1937) เรืออากาศเอกจำรัส เยี่ยมพะโยมนายทหารแห่งกองทัพอากาศสยามประสบอุบัติเหตุขณะขับเครื่องบินตกลงป่าประเทศซานคอสซาร์ โชคดีที่ ลิลิน ลูกสาวช่างปั้นหม้อช่วยเหลือไว้ วันหนึ่ง ขณะที่จำรัสออกไปเดินเล่นในป่า พบสาวงามนางหนึ่งกำลังเล่นน้ำอยู่ในห้วย หญิงสาวอ้างว่าเป็นนางกำนัลของพระราชินีและเชื้อเชิญจำรัสเข้าไปในพระราชวัง แท้จริงแล้วเธอคือพระราชินีแห่งประเทศซานคอสซาร์ ขณะนั้น ประเทศซานคอสซาร์กำลังตกอยู่ในอันตรายเนื่องจากผู้สำเร็จราชการทหารรับสินบนจากประเทศยูราวีในการเช่าเมืองประเทศซานคอสซาร์ต่อ เพียงเพราะต้องการเงินหกแสนเหรียญไปซื้อสร้อยไข่มุกให้ มาลา นางละครผู้โด่งดัง ราชเลขานุการบังเอิญรู้แผนการเข้า จึงขอร้องให้จำรัสช่วย โดยวางแผนออกข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าจำรัสมาติดพันมาลาเพื่อหันเหความสนใจ และใช้ลิลินเบี่ยงเบนความสนใจผู้สำเร็จราชการ โดยให้ปลอมตัวเป็นนางละครเต้นยั่วยวน แผนการของราชเลขานุการมีทีท่าจะเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อผู้สำเร็จราชการเห็นลิลินก็ตกตะลึงในความงามจนลืมมาลาไปชั่วขณะ จนกระทั่งถึงกำหนดวันลงนามสัญญาเช่าเมือง ผู้สำเร็จราชการทหารเผอิญอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ซึ่งลงข่าวว่ามาลากำลังรักกับจำรัส ก็หมดรักในตัวมาลา จึงระงับการลงนามสัญญา เมื่อภารกิจลุล่วงไปด้วยดีและเครื่องบินซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว เรืออากาศเอกจำรัสจึงถวายบังคมลาพระราชินีแห่งประเทศซานคอสซาร์กลับสู่ประเทศสยาม

เลือดชนบท 2480
เลือดชนบท (2480/1937) ปรุง สาวชาวบ้านอาศัยอยู่กับแม่อย่างสงบสุขอยู่ที่เมืองอ่างทอง จนกระทั่งแม่มีสามีใหม่ชื่อ โฉม ซึ่งเป็นคนสำมะเลเทเมาและเป็นผีการพนันอย่างสาหัส วันหนึ่งโฉมแพ้พนันชนไก่ เถ้าแก่อ้วน แต่ไม่มีเงินเพียงพอจะชำระหนี้ จึงยกปรุงให้แต่งงานกับเถ้าแก่อ้วน ปรุงชอกช้ำใจเป็นอันมากจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยเขียนจดหมายลาตายถึงมารดา แต่ขณะที่ปรุงกำลังจะกระโดดน้ำหมายปลิดชีวิตของตน เดชะบุญที่ จิตต์ ซึ่งออกมาทอดแหหาปลามาพบเข้าจึงช่วยชีวิตปรุงได้ทัน แต่ไม่มีใครรู้ว่าปรุงนั้นรอดชีวิต จิตต์พาปรุงมาพักที่บ้านและดูแลเป็นอย่างดีจนทั้งสองเกิดสมัครรักใคร่กัน หลายเดือนถัดมา ในวันสงกรานต์ จิตต์และปรุงพากันมาเที่ยวงานเฉกเช่นชาวบ้านคนอื่นๆ เยมส์ และ ทองต่อ เห็นปรุงกำลังร้องเพลงและจำได้ว่าปรุงเป็นคนเดียวกับที่กระโดดน้ำตาย อาศัยที่เป็นน้องชายนายอำเภอจึงนำตัวปรุงไปสอบสวน โฉมทราบข่าวกระวีกระวาดมารับตัวปรุง และหว่านล้อมเยมส์ให้ไปขโมยโฉนดที่ดินที่อำเภอ โดยสัญญาว่าจะยกปรุงให้ หารู้ไม่ว่าโฉนดที่ดินนั้นเป็นโฉนดปลอมที่โฉมเอาไปหลอกเถ้าแก่อ้วน เถ้าแก่อ้วนจึงไปฟ้องนายอำเภอให้จับกุมโฉมกับพรรคพวกได้สำเร็จ ปรุงกับจิตต์จึงได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
วิวาห์เที่ยงคืน (2480)
วิวาห์เที่ยงคืน (2480/1937) เบ็ญจา กับ ประคอง สองศรีพี่น้องเป็นเด็กกำพร้าแม่ ส่วนพ่อก็ถูกผู้ร้ายฆ่าตาย ในเวลาต่อมาประคองผู้พี่ตกเป็นภรรยาของ มงคล นักเลงพนันที่ชอบใช้กำลังข่มเหงภรรยา เบ็ญจาพลอยต้องทุกข์ระทมในการอยู่ร่วมกับพี่เขยซึ่งแสนจะกักขฬะและจ้องจะล่วงเกินตัวเองอยู่เสมอ โชคดีที่ หลวงราญรณกาจ ตำรวจสันติบาลนำกำลังทำลายซ่องการพนันของมงคล เบ็ญจาและประคองจึงต้องออกไปทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ วันหนึ่ง เบ็ญจาเห็นประกาศหาหญิงสาวเป็นแบบปั้นตุ๊กตาในหนังสือพิมพ์ โดย เสน่ห์ บุตรชายหลวงราญรณกาจ ผู้ไม่เคยมีความรักแต่ชอบสะสมตุ๊กตาเป็นชีวิตจิตใจ ว่าจ้าง แนม ปั้นตุ๊กตาให้ เบ็ญจาจึงลองสมัครและได้รับการคัดเลือกให้เป็นแบบตุ๊กตา แต่เมื่อใกล้ถึงกำหนดส่งงาน แนมเกิดเลินเล่อชนตุ๊กตาแตก เบ็ญจาจึงอาสาปลอมตัวเป็นตุ๊กตาประวิงเวลาจนกว่าแนมจะปั้นตุ๊กตาตัวใหม่เสร็จ เมื่อเสน่ห์เห็นตุ๊กตาที่แนมนำมามอบให้ ก็พึงพอใจในฝีมือมาก หารู้ไม่ว่าตุ๊กตานั้นเป็นหญิงสาวปลอมตัวมา ตกค่ำ เมื่อทุกคนในครอบครัวของเสน่ห์หลับเบ็ญจาจึงจะค่อยๆ ย่องกลับบ้าน ฟากมงคลซึ่งถูกจองจำอยู่ในคุกก็อาฆาตหลวงราญรณกาจยิ่งนัก เมื่อถูกปล่อยตัวจากเรือนจำจึงตรงดิ่งไปที่บ้านหลวงราญรณกาจหมายจะเอาชีวิต แต่เคราะห์ดี เป็นเวลาที่เบ็ญจากำลังจะกลับบ้าน จึงได้เห็นคนลอบเข้ามา เบ็ญจารีบผละไปปลุกเสน่ห์ และปราบคนร้ายได้ทัน เสน่ห์จึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วตุ๊กตาที่แนมนำมามอบให้นั้นเป็นเบ็ญจาปลอมตัวมา ก็พอดีกับที่นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน
หลอกเมีย 2480
หลอกเมีย (2480/1937) จำรัส กับ ลาวรรณ สองสามีภรรยาย้ายมาอยู่ที่บ้านใหม่ และได้ คุณอึ หรือชื่อเดิมว่า หนอม มาเป็นคนรับใช้ แต่เมื่อย่างเข้ามาสู่ในบ้านมิวายโรคเดิมของจำรัส คือ โรคกลัวเมีย ก็พลันกำเริบ เพียงแค่ลาวรรณตำหนิเรื่องการติดรูปบนผนังว่าต้องเอารูปของตนไว้ข้างบน บ่ายวันหนึ่ง หนอมคนรับใช้คู่ใจเอาหนังสือพิมพ์มาให้จำรัสดูรูปสาวน้อยนั่งตกปลา แถมยังยุยงเจ้านายให้หาทางไปดูตัวจริง จำรัสนึกสนุกคิดอุบายหลอกลาวรรณว่าการงานวุ่นวายจนเป็นโรคเส้นประสาท และอ้างว่าหมอแนะนำให้ไปตกปลาเพื่อเป็นการผ่อนคลายลาวรรณไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของจำรัสจึงเห็นดีด้วย ที่สระน้ำตามประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์จำรัสได้พบกับสาวน้อยตามใจหวัง และพยายามหาโอกาสเข้าไปทำความรู้จักจนได้นามบัตรและทราบว่าชื่อกมล วันต่อๆ มา จำรัสก็กุเรื่องโกหกลาวรรณเพื่อไปที่บ้านกมล ตามที่อยู่บนนามบัตร ทำให้ได้พบ เถ้าแก่กิมหมง บิดาของกมล ซึ่งเคยมาขอทำประกันโรงสีของตนและวางแผนจะเผาโรงสีเพื่อเอาเงินประกัน ลาวรรณระอาความเจ้าชู้ของสามี ขนาดขู่จำรัสว่าจะพาไปให้หมอเพื่อผ่าเส้นประสาททิ้ง จำรัสก็ไม่มีทีท่าว่าจะเกรงกลัว ยังวางแผนหลอกลาวรรณว่าต้องไปทำงานที่เชียงใหม่ แต่ความจริงแล้วไปพักอยู่กับ ทองอ่อน เพื่อนสนิท ฝ่ายลาวรรณ เมื่อสามีไม่อยู่จึงเดินทางไปที่บ้านเถ้าแก่หมงประกาศตนว่าเป็นภรรยาของจำรัส และสั่งห้ามกมลไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับจำรัสอีก พอจำรัสไปขอพบกมลจึงโดนเถ้าแก่กิมหมงไล่ตะเพิดข้อที่ว่ามีภรรยาแล้วยังมาหลอกลูกสาวตน จำรัสเดินคอตกกลับบ้าน มิวายโดนลาวรรณซักไซ้จับได้ว่าจำรัสไม่ได้ไปเชียงใหม่จริงจำรัสจึงโดนภรรยาฟาดจนต้องนอนซม การหลอกเมียของจำรัสจึงจบลงแต่เพียงเท่านี้
กุหลาบพระนคร

กุหลาบพระนคร (2480/1937) 1 เมษายน วันขึ้นปีใหม่ของชาวสยาม ใครๆ ไม่ว่าหนุ่มสาวต่างทำใจเบิกบานต้อนรับความสุข แต่ปีใหม่มิได้เปลี่ยนเอาความจนของปีเก่าของคนจนไปด้วยเลย คงต้องต่อสู้กับความจนต่อไป วินัย สุปานันท์ ถูกความหมุนเวียนเปลี่ยนชีวิตของเขาแทบจะนับครั้งไม่ถ้วน บิดาคือ ร้อยเอกหลวงสัจจาวุธ เสียชีวิตไปก่อนที่เขาจะเป็นหนุ่ม ทิ้งแม่เจียมและ นิจ น้องสาวที่ยังเล็กให้เผชิญชีวิตตามลำพัง บัดนี้ความหมุนเวียนเปลี่ยนให้แม่เจียมที่เคยแข็งแรงทำงานเลี้ยงลูกอย่างขันแข็ง มาเป็นแม่เจียมที่ตามองอะไรไม่เห็นไม่อาจทำงานได้ อนาถหนาครอบครัวเล็กๆ ต้องประสบมรสุม ทำให้วินัยซึ่งอีกสองเดือนกว่าๆ ก็จะจบการโรงเรียน ต้องตัดใจลาออกมาทำงานเลี้ยงแม่และน้อง มาเป็นกรรมกรถีบสามล้อ และได้ ถึก คนถีบสามล้อเป็นเพื่อนรักกัน อีกแห่งหนึ่งในความเป็นอยู่ของชาวพระนครณ บ้านของคนผู้มั่งมีแล้ว คือบ้านของ พันโทพระยาสรรพาวุธ นายทหารนอกราชการ กับ สุณี ลูกสาวผู้กำลังเป็นกุหลาบดอกที่งามเด่นอยู่ในพระนคร จึงมีชายหนุ่มและกระทั่งแก่หลายรายจ้องมองสุณีด้วยความปรารถนาจะได้ครอง แต่ดูเหมือนไม่มีใครได้ใกล้ชิดเกินไปกว่านายเรืออากาศเอกอารี สมัครยุทธ์ ในสังกัดกรมทหารอากาศ สามารถไปมาหาสู่ที่บ้านได้บ่อยๆ ซึ่ง นิ่ม หญิงคนใช้ที่ต้องคอยเปิดประตูบ้านให้รถเข้าคุ้นเคย วันนี้อารีมาหาสุณีเพื่อแจ้งข่าวว่าเขาถูกย้ายไปประจำกองบินที่ 5 ประจวบคีรีขันธ์ แล้วถามถึงเรื่องส่วนตัว แต่สุณีนิ่งเฉยอารีจึงกลับไปอย่างผิดหวังเช่นเคย วันนี้เจ้าคุณพ่อกับสุณีไปธนาคารเพื่อเบิกเงินสด 6 พันบาทสำหรับจะซื้อที่ดินที่มีคนมาบอกขายแต่ระหว่างเดินทางกลับบ้าน รถยนต์เกิดเสียกลางทางเจ้าคุณไม่รอให้คนขับซ่อม เรียกรถสามล้อกลับบ้านกับลูก บังเอิญวินัยถีบสามล้อมาพอดี รับไปส่งถึงบ้าน เจ้ากรรม ท่านเจ้าคุณและสุณีลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่เบาะสามล้อ วินัยกลับถึงบ้าน จึงรู้ว่าผู้โดยสารลืมกระเป๋าทีแรกถึกว่าให้เอาไปลงทุนเปิดร้านขายของ แต่แม่เจียมว่าให้เอาไปคืนเขาและขอให้เขา เขาอาจเห็นความดีและหางานดีๆ ให้ทำ ถึกพยายามทักท้วง แต่แม่เจียมบอกว่า ลูกผู้ชายเราควรจะทำตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นบ้างชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และรัฐธรรมนูญ สิ่งเหล่านี้อีกที่เราควรรักและหวงไว้ประดุจชีวิตของเรา

กลัวเมีย 2479

กลัวเมีย (2479/1936) จำรัส เป็นผู้จัดการบริษัทสากลประกันภัย มีภรรยาชื่อ ลาวรรณ ชีวิตการแต่งงานของเขาไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เหตุเพราะเป็นโรคกลัวเมียขึ้นสมอง ผัน เพื่อนของจำรัสแนะนำ หมอแนม ซึ่งมีความสามารถสับเปลี่ยนวิญญาณมนุษย์กับผีได้ รุ่งขึ้นจำรัสจึงไปหาหมอแนมให้ช่วยรักษาโรคกลัวเมีย หมอแนมจัดการเปลี่ยนวิญญาณให้จำรัสและกำชับว่าห้ามยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงที่อายุอ่อนกว่า วิธีรักษาของหมอแนมประสบผลดีเกินคาด ไม่ว่าจำรัสจะทำอะไรลาวรรณก็ไม่ดุด่าเหมือนแต่ก่อน จนจำรัสย่ามใจเผลอไปยุ่งกับ ทองฟู นางบำเรอที่มาขอทำประกันความงามที่บริษัทของจำรัส โรคกลัวเมียจึงกลับมาเยือนจำรัสเหมือนอย่างเคย

เลือดชาวนา
เลือดชาวนา (2479/1936) เปรม ปลอดภัย เป็นลูกชาวนาเมืองอยุธยา อาศัยอยู่กับ ปลั่ง มารดาซึ่งเป็นอัมพาต เปรมคบหาอยู่กับ น้อย นาสวน ลูกสาวของ เนย เศรษฐีประจำตำบล แต่ด้วยความยากจนข้นแค้นของเปรม จึงถูกเนยกีดกัน บ่ายวันหนึ่ง เนยและน้อยไปปรึกษากำนันอ่วมในการประกอบพิธีสมโภชแม่โพธิ์สพ เป็นเวลาเดียวกับที่เจือ จิตต์อารี หนุ่มชาวกรุงหลานกำนันอ่วมมาเยี่ยมน้าของตน เจือประทับใจในความงามของน้อยจึงหาโอกาสใกล้ชิดน้อยด้วยการร้องเพลง ถึงแม้เปรมจะแสดงตัวว่าเป็นคนรักของน้อยก็ตาม ทั้งสองจึงทะเลาะกัน เจือเป็นฝ่ายแพ้ วันหนึ่งเปรมออกจากบ้านเพื่อไปซื้อยาให้แม่ที่ตลาด ผ่านร้านสุรา มุ้ยหลี ซึ่งเพื่อนของเปรมกับพรรคพวกของเจือกำลังต่อยตีกันอยู่ เปรมเข้าไประงับเหตุการณ์แต่กลับถูกตำรวจจับกุม ระหว่างถูกควบคุมตัวเปรมขอร้องตำรวจกลับไปบอกแม่ ตำรวจเห็นใจจึงพากันไปที่บ้านเปรม แต่ปรากฏว่าบ้านของเปรมถูกไฟโหมไหม้ เปรมฝ่ากองเพลิงเข้าไปช่วยแม่ไว้ได้ทัน จากนั้นจึงพาแม่ไปรักษาตัวที่กรุงเทพ เผอิญหมอที่ทำการรักษาเป็นน้องชายของปลั่ง จึงช่วยรักษาและออกเงินให้เปรมปลูกบ้านใหม่พร้อมมอบเงินให้อีกจำนวนหนึ่ง เปรมรีบกลับมาหาน้อยที่อยุธยาด้วยความดีใจ แต่ขณะนั้น น้อยกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับเจือ เปรมจึงยอมเป็นฝ่ายเสียสละ เพราะไม่อยากให้น้อยอกตัญญูต่อบิดา แต่น้อยยืนกรานว่าหัวเด็ดตีนขาดจะไม่แต่งงานกับเจือ เจือแอบฟังอยู่โดยตลอดซาบซึ้งถึงรักแท้ที่ทั้งสองมีให้กัน จึงมอบแหวนแต่งงานให้เปรมแทนที่ตน
จันทร์เจ้าขา 2479

จันทร์เจ้าขา (2479/1936) จากเรื่องอ่านเล่นลือชื่อมาเปนลครร้องเรื่องที่ดูไม่น่าเบื่อ จากเรื่องลครที่ดูกันไม่เบื่อมาเปนภาพยนตร์พากย์ชั้นมโหฬาร คือ "จันทร์เจ้าขา" ของ "พรานบูรพ์" (ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพฯ วารศัพท์ พฤษภาคม พ.ศ. 2479)

ดงตาล 2479
ดงตาล (2479/1936) เปนหนังไทยเรื่องแรกของ "พรานบูรพ์" "ดงตาล" เปนเรื่องรักที่ดุดันน่าหวาดเสียว แต่ "ดงตาล" แสดงโดยคนตลก ๔ คน คือ สุคนธ์, ทองถม, แส และชื้น "ดงตาล" ถ่ายทำในท่ามกลางวิวงามตามธรรมชาติแห่งเกาะยอ ทะเลสาบสงขลา (ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามราษฎร์ เมษายน พ.ศ. 2479)
แก่นกะลาสี 2479
แก่นกะลาสี (2479/1936) จ่าโทว่อง นักเรียนใหม่โรงเรียนชุมพลทหารเรือถูก จ่าโทเอื้อม เขม่น ทันทีที่เห็นหน้า ทั้งสองมีเรื่องชกต่อยเป็นประจำ โดยที่ต่างคนต่างไม่ทราบว่ากำลังคบผู้หญิงคนเดียวกันคือ ศรีสวาท ต่อมาทั้งสองได้รับเลือกให้ไปปฏิบัติราชการรับเรือตอร์ปิโดที่ประเทศอิตาลี ระหว่างการเดินทางจ่าโทเอื้อมประสบอุบัติเหตุแต่จ่าโทว่องช่วยเหลือไว้ทัน ทั้งสองจึงยุติการทะเลาะกันนับแต่นั้นเป็นต้นมา จ่าโทว่องเปิดใจเรื่องคนรักทำให้จ่าโทเอื้อมรู้ความจริง จ่าโทว่องจึงเสียสละศรีสวาทให้แก่จ่าโทเอื้อม แต่ขณะที่อยู่ต่างเมืองจ่าโทเอื้อมนึกสนุกไปจีบสาวอิตาลี จ่าโทว่องแอบถ่ายรูปไว้และส่งไปให้ศรีสวาท เมื่อศรีสวาทได้รับจดหมายเห็นรูปบาดตาจึงหันไปหาเสี่ยเซ้งซึ่งพี่ชายแนะนำให้รู้จัก ถึงเวลาที่เรือหลวงเจ้าพระยากลับสู่น่านน้ำไทย จ่าโทว่องกับจ่าโทเอื้อมต่างตรงดิ่งไปหาศรีสวาทยอดรัก เมื่อรู้ว่าศรีสวาทเปลี่ยนใจจึงหันกลับไปตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการทหาร

พญาน้อยชมตลาด (2478/1935) พญาน้อย ราชบุตรของพระเจ้าช้างเผือกมีอุปนิสัยชอบเอาแต่ใจตนเอง เป็นที่กลุ้มใจของพระราชบิดา จึงจัดการอุปภิเษกแต่พญาน้อยก็ยังไม่เลิกนิสัย วันหนึ่ง มะโดด กับ มะดวด มหาดเล็กคู่ใจของพญาน้อยมาถวายรายงานว่าพบสาวงามและเชิญพญาน้อยไปทอดพระเนตร พญาน้อยจึงทำทีเป็นเสด็จเยี่ยมทุกข์สุขของราษฎร เมื่อไปถึงตลาดท้ายเมืองตะเกิง พญาน้อยตรงดิ่งไปยังร้านแป้งน้ำมัน ซึ่ง เม้ยเจิง เป็นเจ้าของและพยายามเกี้ยวพาราสี แต่เม้ยเจิงมีสามีแล้วชื่อ มะเทิ่ง เมื่อเม้ยเจิงปฏิเสธหนักเข้า พญาน้อยผู้เอาแต่ใจจึงข่มขู่ว่าจะทำร้ายมะเทิ่งหากเม้ยเจิงไม่ยอมเป็นสนมเอก เม้ยเจิงจึงต้องตามพญาน้อยเข้าวัง พญาน้อยนำเม้ยเจิงแอบไว้ในห้องหนึ่งและให้คนหว่านล้อมเม้ยเจิง แต่นางก็เอาแต่ร้องไห้รำพันถึงสามีมะดวด กับ มะโดด แนะนำให้พญาน้อยจูบเม้ยเจิง ปรากฏว่าได้ผลดีเกินคาด เม้ยเจิงลืมมะเทิ่งเสียสิ้น ขนาดมะเทิ่งถวายฎีกาต่อพระเจ้าช้างเผือก เม้ยเจิงก็กลับให้การว่าตามพญาน้อยมาโดยสมัครใจ มะเทิ่งจึงต้องกลับบ้านทั้งน้ำตาพร้อมเงินค่าทำขวัญ 50 ชั่ง ปล่อยให้เม้ยเจิงมีความสุขกับพญาน้อย